คุณ น่ะแหละ คิดอะไรอยู่ อ่านคำสอนของพระพุทธองค์ นอกเหนือจากที่เคยๆ รู้ บ้างก็ดีนะ
คำพูดหลายคำของคุณ มันค้านกับคำสอนของพระพุทธองค์ อยู่หลายส่วน
โลกคือพระเจ้า...รู้หรือไม่...
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ผู้รู้แจ้ง, 19 กุมภาพันธ์ 2009.
หน้า 46 ของ 49
-
แล้ว ถ้า ตั้ง ใจ จะ อยู่ ล่ะ อยู่ ได้ มั๊ย
-
เป่า ศิษย์พี่
คือ ผมก็แก้ต่างให้เห็นว่า เราไม่ได้พูดไปในทำนองไม่ทำอะไรเลย
ใครใคร่ทำสมถะกองไหน ก็ทำไปสิ ทำตามอัธยาศัย แต่อะไรเกิด
ขึ้น จะปิติ สุข เอกัคคตา อุบกขา นิมิต ปฏิภาคนิมิต นิ่งๆ ว่างๆ
สุญญตา ก็ยกมาเป็นของถูกรู้ถูกดูให้หมด เอามาตามรู้ให้หมด
การตามรู้ ก็คือ ทำ อีกภาคหนึ่ง ซึ่งไม่ต้องออกแรงอะไร เพราะตามรู้
ไปตามท่มันมีอยู่นั้นแหละ หยุดที่รู้ พอดีที่การรู้ -
ไม่ได้ห้ามทำอะไร ใครอยากทำอะไรก็ทำไป แต่ยกออกมาดูให้หมด
ยกมาเป็นของถูกรู้ถูกดู ตามรู้ไป ตามที่มันเป็น แยกจิตออกมาทำหน้าที่
อีกส่วน
จิตมันไวพอครับ มันทำหน้าที่นี้ได้แน่นอน ไม่ขัดขวางอะไรทั้งนั้น
แต่การตามรู้ จะต้องใช้สัญญา ดังนั้น ฌาณ3 ยังพอทำการตามรู้ได้
หากอยู่ที่ ฌาณ3 แล้วยกจิตขึ้นตามรู้สภาวะ จะเห็นเป็นดวงแสงเกิด
ดับๆ ยิบๆ ๆ ๆ ๆ ๆ บ้างก็ว่า เห็นสันตติของจิต ตายไปเป็นพรหม จะทำ
สติปัฏฐานเข้านิพพานต่อได้
เห็นไหม ไม่มีห้ามอะไรทั้งนั้น
ห้ามอย่างเดียว อย่าเพิกสัญญาออก ซึ่งจะมี เนวสัญญาวิญาตนะ กับ
สัญเวทิตยนิโรธน เพราะสัญญาจะอ่อนกำลัง ทำให้ตามรู้ไม่ได้ ทำ
ให้วิปัสสนาไม่ได้ -
-
เรื่องที่ว่า คุณหลุดพ้นจากทุกข์ได้แล้ว แต่จิตคุณมันเสพกามเป็นปกติ อันนี้ก็ค้านกับคำสอนของพระพุทธองค์ ตามที่เราเข้าใจ -
เมื่อไม่สมควรรู้ ก็ อย่าไปรู้
หุหุ
วน วน ยัง ไง ไม่ รู้
สับ สน สับ สน
ไม่ ใช รู้็้ แล้ว ก็ รู้ ว่า ไม่ ควร รู้ แล้ว ก็ เฉย เฉย เหรอ ครับ
ถ้า เก็บ เอา มา ปรุง ว่า รู้ ใน สิ่ง ที่ ไม่ ควร รู้ มัน ก็ ไม่ ใช่ มัน ยิ่ง ทำ ให้ เศร้า หมอง หรือ ว่า อัตตา ขยายตัว เพราะคิด ว่า รู้ ใน สิ่ง ที่ ไม่ ควร รู้
รู้ แล้ว ไง ไม่ รู้ แล้ว ไง
ไอ้ ที่ รู้ เรา จำ เป็น ต้อง ใช้ หรือเปล่า
ที่ ตาม รู้ เพื่อ จะ ได้ ตัด เหตุ ผล ก็ จะ ไม่ มี ตาม มาี -
คุณ นิวรณ์ ผมแนะนำให้คุณ รู้จักคำว่ายอมรับในความผิดพลาดของตน
และ ควรสำนึกในการกระทำมากกว่านี้ เพราะว่าเมื่อคุณไม่ยอมรับการกระทำของคุณที่ผิดพลาด คุณจะเฉไปเฉมา แล้วมันจะทำให้คุณไม่เคย สำนึกว่า อะไรที่ต้องแก้ไข คุณจะมองสิ่งที่ผิดพลาดผ่านไป คล้ายกับว่ามันไม่สำคัญ
ซึ่งจริงๆ แล้วมันจะสำคัญและมีคุณค่าที่สุดให้กับ ปัจจุบัน ถ้าหากว่า เราทบทวนแล้วสำนึก ว่าเราไม่ควรทำแบบนั้นเราไม่ควรทำแบบนี้ ที่โต้แย้งกันมากับผม หรือ กับคนอื่น สิ่งที่ผมเห็นคือ คุณเบนประเด็นตลอด
นั่นแหละจะทำให้คุณ ไม่พบธรรม เพราะว่าใจที่ตนเองรู้สึก คุณไม่ระลึกกับไปรู้ในอดีต แต่คุณลบมันไปด้วยปัจจุบัน อันทำให้คุณไม่สามารถหา สมุทัย ได้เจอเลย นั้นแหละ ทำไมจึงเป็นที่มาของการดูเฉยๆ ของคุณแล้วคุณรู้สึกดี
แท้ที่จริงแล้ว คุณนั่นแหละ ที่เข้าข่าย ละสัญญาเดิม เพื่อลบทุกขังของตน เอกวีร์ คุณหลงไปมาก และ คนหลงนั้นจะคิดว่าตนรุ้เสมอก็เพราะว่า พญามารนั้นจะชอบคนที่ไม่ทบทวน และ สำนึกสิ่งที่ผิดพลาดไป
ถ้าผมทำนายไม่ผิด คุณเอกวีร์ คุณจะเป็นคนที่ เมื่อทำผิดพลาดแล้ว เฉยๆ แต่ไม่เคยสำนึกอย่างจริงจังที่ ภาษาฝรั่งเรียกว่า sorry
คุณกำลังเป็นเหมือนขจร ที่ ปากด่าคนนั้นคนนี้แล้ว เฉยๆไป เหมือนไม่มีอะไร เพราะตนเองไม่เคยเห็นภัยในสิ่งนั้น จึงทำให้ประมาท
ก็ในเมื่อใจมันยังไม่ละเอียดอ่อน ในสิ่งละเอียด การได้ตื่น คือ การที่เราระลึกได้ว่า นี้ทำไมเราจึงกล่าวแบบนั้น ทำไมเราจึงกล่าวแบบนี้ออกไป ทำไมเราจึงแสดงอาการแบบนั้น จึงแสดงอาการแบบนี้ออกไป ทุกครั้งที่เรามีกิริยาที่ออกจากจิต
ใครก็ตามที่ตื่นแล้ว จะไม่เคยเห็นว่าตนเองถูกเลย จะมองเห็นสิ่งผิดพลาดของตน เว้นแต่ คนๆ นั้นเข้าสู่มรรคแล้ว -
เอาแบบนี้ คุณ haha
รู้ นั้นคืออะไร คือ หน้าที่ของจิต
หากคุณยังมี จิต ก็ต้องมี รู้
ซึ่ง อาการรู้นั้น มีอยู่แล้ว อันนี้ ไม่ต้องไปทำ
ซึ่ง รู้เฉยๆ ก็คือ สภาวะ รู้ของจิต
* * * * *
ทีนี้ มาคำว่า รู้ ที่เราเคยชิน
อันนี้ มันคือ รู้ว่า อะไรเป็นอะไร รู้แบบนี้ เราไม่เอา เราไม่ได้เอามาเจริญ
เป็นของไม่มีประโยชน์ เพราะมันช้ากว่าการรู้ของจิต จิตมันรู้ก่อน เราถึง
รู้ความตามหลัง
ดังนั้น เราเจริญสติ เพื่อให้เข้าถึง การใช่รู้ที่เกิดโดยจิต การรู้ตรงนี้
ไม่ต้องทำ เพราะมันเป็นหน้าที่ของจิต
และถ้าเราใช้รู้ของจิตได้ มันพ้นการคิดทันที -
สำหรับ ใครว่าเราแกล้งโง่ 2 คนคือ ขจรศักดิ์ และ ไอ้ห่า (ha) กลับไปอ่านข้อความผมให้ดี
ขี้เต็มหัวยังนึกว่า ตนดี แสดงขี้บนหัวให้คนอื่นเขาตลกกัน มันยังนึกว่ามันฉลาด เมื่อวานนี้ แค่ถามว่า เมื่อวานเย็นกินข้าวกับอะไร มันตอบว่า ขี้ก็เหมือนข้าว
ผมก็บอกว่า งั้นกินขี้ผมไหม มันบอก กินก็ได้
วันนี้ผมจะบอกว่า ไม่ต้องมากินขี้ผมหรอก ขจร กินอ๊วกลูกเมียตัวเองให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาอวด ดีแต่พูด
ใครว่า จรแกล้งโง่ -
ดังนั้น การรู้ที่เกิดในนิมิต ในสมาธิ เราจะถือว่าเป็นรู้ที่เกิดหลังการรู้ของจิต
เราจึงไม่เอารู้ตรงนั้น เราจึงยกการรู้ที่เกิดในสมาธิมาถูกรู้ถุกดู เพื่ออะไร เพื่อ
ให้ถึงการรู้ของจิตให้ได้
ซึ่งก็บอกแล้วนะครับว่า เราไม่ต้องทำ เพราะ จิตมันทำหน้าที่รู้นั้นอยู่แล้ว
หากเราทำ มันจะตกจากวิปัสสนา มาเป็น สมถะ ทันที -
พอเริ่มจิบๆ แตะการรู้ ที่ทำหน้าที่โดยจิตได้ จะเรียกว่า จิตตื่น จิตยิ้ม
ดังนั้น หากเรารู้ว่า ฐานรู้ อยู่ตรงนี้ ก็จะรู้ทันทีว่า จิตไหลออกนอก
ไปมีกิเลส ไปมีนิมิต -
-
จริงๆ แล้วการดูจิต เป็นเพียงแค่ชื่อเรียกสมมุติ
หรือ คือการเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน นั่นเอง
ไม่ใช่การดูจิตเฉยๆ แล้วจะเกิดปัญญาขึ้นมาได้ ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด
การจดจำสภาวะธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นโดยอาศัยผัสสะ ที่กระทบทางทวารทั้ง 5
จากนั้นแล้วมันจะลงอยู่ที่จิต จึงต้องอาศัยการระลึกรู้ต่อสิ่งที่มากระทบนั้น
ว่าลักษณะของกิเลสชนิดนั้นเป็นอย่างไร แต่ตรงนี้ยังไม่ใช่ตัวปัญญา
จนเมื่อมีสติระลึกจดจำสภาวะธรรมเหล่านั้นได้มากๆเข้า
จนมีสติระลึกรู้อยู่เนืองๆ ทันทีที่จะสติระลึกรู้
จะมีความตั้งมั่นแห่งจิต จิตจะเป็นกลางต่อสภาวะธรรมเหล่านั้น
แล้วจะไม่หลงไปปรุงแต่ง ต่อสังขารธรรมต่างๆที่ปรุงแต่ง จิตจะตื่นขึ้นมา
ตรงที่จิตตื่นขึ้นมานี้แหละ คือหลักการสำคัญ เบื้องต้น -
ที่นี้ เราก็รู้อยู่ที่ฐาน ดังนั้น ทันทีที่จิตจะเคลื่อนส่งออกนอก เราก็รู้ทันแล้ว
ดังนั้น กิเลส ก็ไม่ทันเกิด นิมิตไม่ทันเกิด เราก็ภาวนาแบบนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่ง
ตรงนี้บางคนก็ขึ้นฌาณจิต ฌาณ3 ไปเห็น ดับ วับๆ ๆ ๆ ทันทีที่น้อมสมาธิ
หากไม่น้อมเข้าสมาธิ ก็จะเห็นกิเลส แต่ถ้าเราไม่แทรกแซง ไม่เกลียดมัน
ก็จะเป็นกลางต่อมัน มีปัญญาตั้งมั่นอยู่ที่ฐานรู้ของจิตอยู่ ทั้งที่ กิเลสมันเกิด
สัญญามันทำงาน ขันธ์มันทำงานของมันจนเสร็จกระบวนการ แต่ไม่ล้นออก
ไปทางกาย วจี ก็เกิดภาพ กิเลสเหมือนแขกที่จรมา ผ่านหน้าบ้านไปเฉยๆ
เป็นกลางต่อการปรุงแต่งของสังขาร ทั้งปวง ด้วยจิตที่ตั้งอยู่ที่ฐานรู้ จิตตื่น จิตยิ้ม
แต่มันเป็นขณะๆ ไม่ได้เกิดตลอด เราก็เพียรไปเรื่อยๆ -
ปิ๊ง
อะไรคือดวงจิตหลังความตาย ตอบว่า ก็ดวงจิตหลังความตาย
ไปจุติได้ ไปได้ยังไง ตอบว่า ก็เราไปในคุก หรือ ไปในวัดได้อย่างไร
เกิดเป็นคนเป็นสัตว์ ได้อย่างไร ตอบว่า ก็เหมือนกับ จร โง่ได้อย่างไรนั่นแหละ
***************
ต้อง บอก ว่า ฟาย วิว บี ฟาย ครับ งาน นี้
แม่ ของ ฟอร์เรส กั๊ม พูด ถูก ต้อง เสมอ
คน เรา มัน ก็ เนอะ ว่า แต่ เขา อิเหนา เป็น เสีย เอง สอง ครั้ง สอง ครา แล้ว
ว่า คน อื่น นิสัยเหมือน ผู้ หญิง
ว่า คน อื่น เบี่ยงเบนประเด็น
ไม่ สน ใจ ใส่ ใจ
เอา แต่ ตัว เป็น ใหญ่
ไม่ เอื้อเฟื้อ อนุเคาระห์ ก็ ผู้ อื่น
แล้ว ยัง มา ยัดเยียด ให้ ผู้ อื่นไม่สามารถ บรรลุธรรม อีก หน่ะ
พ่อคู๊ณณณณณณณ พ่อ มหาจำเริ๊ญญญญญญญญ
โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า
บอก ว่า พื้น ต้อง แน่น นี่ อะไร กลืน น้ำลายเหม็น เหม็น ของ ตัว เอง หรือ ไง
อย่า มา ปอชอปอ แถว นี้ ดี ฝ่า -
คุณ ห่า คุณเคยเห็น ควายอ่านหนังสือไหม มันได้แต่มอง มันไม่รู้เรื่องมันก็มองผ่าน
เพราะมันไม่เข้าใจอะไรเลย
ก็ถ้ารู้เรื่อง ไหนลองอธิบายมาซิ ว่าคำตอบผมมันหมายถึงอะไร มันมีจุดผิดพลาดอย่างไร
อย่าเอาแต่ยกมา แล้วตลก มันไม่ต่างอะไรกับ ควายหัวเราะเยาะคนที่ไม่กินหญ้า
ถ้า มีปัญญาต้องแจงข้อผิดพลาดให้ได้ เอาเลย -
-
จิตเห็นจิตนั้น ยังอีกไกลอยู่มาก ต้องให้พี่วิษณุมาเล่าบ้าง
เดี๋ยวจะกลายเป็นยัดเยียดให้ฟังคนเดียว
อ้อ ไกลสำหรับบางพวกนะ
สำหรับ อย่าง เคขวัญ รุ้กิเลสผ่านหน้าบ้านไปก็พอแล้ว แค่นั้นก็แจ่ม
ไม่รู้จะแจ่มยังไง กิเลสมันลากจิตยิ้มไปได้ซะที่ไหน เวลาสติมันเกิด
จริงบ่ เจ๊
หรือลากได้ อันนี้แล้วแต่ความกล้า สุขาปฏิปทา แต่แหกผาก
หน้า 46 ของ 49