โลกทิพย์ (หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย)

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย tst, 17 สิงหาคม 2007.

  1. tst

    tst เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +508
    จำพรรษาที่วัดป่าอิสรธรรม พ.ศ. 2494

    เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ก่อนที่จะเข้าพรรษาในปีนั้น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านก็ได้ลงมาจากภูวัว เพื่อแสวงหาสถานที่จำพรรษา ในปีนั้นก็ได้เข้าไปศึกษาธรรมะ และอาศัยจำพรรษากับ หลวงปู่สีลา อิสสโร วัดป่าอิสรธรรม จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของหลวงปู่มั่น ภูริทตตเถร อีกองค์หนึ่ง ที่มีข้อวัตรปฏิบัติอันน่าศึกษา เป็นแบบฉบับของพระกรรมฐานได้เป็นอย่างดี จนหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้ นำปฏิปทาของหลวงปู่สีลามาพูดยกย่องสรรเสริญถึงอยู่เสมอๆ


    http://www.khaosukim.org/history_luangbu/15_keep_watpa-isaratam.html
     
  2. tst

    tst เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +508
    ไข้ป่าเป็นเหตุ

    ในช่วงที่บำเพ็ญอยู่บนภูวัวนั้น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็ได้ ประกอบความเพียรอย่างอุกฤษฏ์จวบกับจะมีอาการป่วยเป็นไข้ป่าอยู่บ้างแล้ว พอมาจำพรรษา ที่วัดป่าอิสรธรรม ท่านก็ได้ประกอบความเพียรเพิ่มขึ้นอีกตลอด ๓ เดือนไม่ได้เอนกายลงนอนจำวัดเลย ท่านได้ประกอบความเพียรอยู่ในอิริยาบถ ๓ คือ ยืน เดิน นั่ง ตลอดทั้งข้อวัตร กิจวัตร อาจาริยวัตร ทั้งหมดท่านก็ได้ทำอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่มีขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย พอใกล้จะออกพรรษาในปีนั้น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็ได้ล้มป่วยลงด้วยพิษของไข้ป่า หรือ ไข้มาลาเรียขึ้นสมองอย่างแรง ความต้านทานก็ไม่เพียงพอ เนื่องจากร่างกายไม่ค่อยได้พักผ่อน และไม่ได้เอนกายลงนอนจำวัดเลยตลอด ๓ เดือนเต็ม ในช่วง ๘ วันนี้จังหันก็ฉันไม่ได้อีก ฉันอะไรลงไปก็อาเจียนออกมาหมดเพราะ พิษไข้ขึ้นสูงมาก เป็นลักษณะนี้อยู่หลายวัน จนกระทั่งวันหนึ่งอาการรู้สึกว่าจะเพียบหนักกว่าทุกวัน ท่านจึงได้ยอมเอนกายลงนอนพัก ในขณะนั้นทุกขเวทนากำลังบีบคั้นอย่างรุนแรงมาก ทางด้านสังขารร่างกายนั้นรู้สึกว่ากระวนกระวายเป็นที่สุด ส่วนทางด้านจิตใจนั้น
    ท่านก็พิจารณาจับดูอาการตามรู้อยู่เรี่อยไป จนที่สุดทางด้านจิตใจก็เริ่มกระวนกระวาย และก็กระวนกระวายมากเข้าทุกทีๆ จนไม่รู้ว่าจะเอาจิตใจไปวางไว้ตรงไหนดี ทั้งๆ ที่ท่านเองก็มีสมาธิอยู่ แต่เมี่อทุกขเวทนามากเข้าก็วางใจไม่ลงเอาเสียเลย เพราะ ทุกขเวทนามันมากกว่า มันทับเอาขนาดหนัก ในขณะที่กำลังกระวนกระวายอยู่นั้น ก็มีความรู้สึกว่า ความรู้สึกต่างๆ มาจับอยู่ที่ท้องมากที่สุด มากกว่าทุกส่วนของร่างกาย หลวงปู่สมชาย ท่านบอกว่ามีความรู้สึกคล้ายๆ กับมีก้อนหินขนาด ใหญ่มาวางทับอยู่บนท้อง รู้สึกว่าท้องค่อยๆ ยุบลงๆ ๆ จน กระทั่งรู้สึกว่าหายใจออกบ้าง ไม่ออกบ้าง คล้ายกับว่าไส้ข้างในท้องนั้นมันบิดตัว และลมในท้องก็ค่อยๆ อัดขึ้นมาๆ อัดขึ้นมาจุกอยู่ที่ตรงคอหอย ความเจ็บความปวดวิ่งไปทั่วสรรพางค์กายอย่างไม่มีอะไรมาเทียบเลย ทุกข์ทรมานเป็นที่สุด อาการ เป็นอยู่อย่างนี้สักครู่ใหญ่จึงมีความรู้สึกว่ากำลังจะสะอึกแล้วก็ สะอึก ... อึ๊ก ... โล่งไปหมดทั้งตัว ...เบาสบาย...

    แล้วก็มีความรู้สึกว่าทุกขเวทนาทั้งหลายที่ม อยู่นั้นหลุดหายไปหมดแล้ว ...เอ๊ะ... นี่เราหายป่วยได้อย่างไร แล้วก็ลุกขึ้นมานั่งได้ทันที ท่านจึงแปลกใจในตัวของท่านเองว่า " เอ๊ ราป่วยมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว เมื่อสักคูร่นี้เราก็ยังป่วยอยู่นี่นา เรากำลังมีทุกขเวทนาครอบงำอยู่ กำลัง กระวนกระวายอูย่ แต่ทำไมเราสะอึกแค่ทีเดียว ทุกขเวทนาต่าง ๆ เหล่านั้นจึงหายไปได้อย่างไร เราเองป่วยมาตั้ง ๘ วัน ๘ คืนแล้ว อาทารก็ฉันไม่ได้เลย แต่พอจะหายทำไมมันช่างง่ายนัก แค่สะอึกทีเดียวก็หายได้...

    http://www.khaosukim.org/history_luangbu/16_fever.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2007
  3. tst

    tst เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +508
    ไปเยี่ยมเณรหน่อย

    ในเวลาขณะนั้นประมาณ ๑ ทุ่มเศษ หลังจากที่ท่านรู้กว่าตัวของท่านได้หายป่วยอย่างประ หลาดแล้ว ก็เลยนึกถึงสามเณรที่กำลังป่วยหนักอยู่อีกองค์หนึ่ง ซึ่งติดไข้ป่ามาจากภูวัวด้วยกันกับท่าน และเมื่อตอนเย็น จะมืดนี่ก็ได้มีพระมาบอกว่าสามเณรป่วยมาก พอท่านนึกขึ้นมา ได้ดังนั้นก็ตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมดูอาการไข้ของสามเณร แต่ทันใด นั้นท่านก็มีความรู้สึกว่ายังไม่ทันได้ก้าวขาเลย แต่จะไปด้วยเหตุใดไม่ทราบ ปรากฏว่ามาถึงสามเณรทันที และมองเห็นสามเณรนอนหลับเป็นปกติ แต่ก็นึกว่าสามเณรคงยังตัวร้อนอยู่ จึงอยากจะเอามือไปแตะดูอาการ พอก้มตัวลงไปแล้วก็คิดได้ว่าถ้า ถูกตัวแล้วสามเณรตื่นขึ้นก็จะทำให้ไม่สบายอีก จึงได้หยุดการกระทำดังกล่าวลง และพรางคิดว่ากลับกุฏิแล้วพรุ่งนี้ตอนกลางวันจึงค่อยมาเยี่ยมใหม่ ต่อจากนั้นท่านก็เลยนึกถึงเรี่องกฐินว่าทำกันอย่างไร พอไปถึงศาลา ก็นึกได้ว่าเวลานี้เป็นตอนกลางคืน แต่เราทำไมจึงสามารถมองเห็นอะไรต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ชัดเจนจนรู้ว่ากองกฐินนั้นมีอะไรบ้าง โดยที่ไม่ต้องใช้ไฟ พอหันไปมองอีกด้านหนึ่งของศาลา ก็ได้เห็นหลวงปู่สีลา อิสสโร กำลัง ประชุมพระเณรและได้ยินพูดพาดพิงมาถึงตัวของท่านเอง ในลักษณะยกย่องว่า "...ครูบาสมชายนี่เป็นผู้ที่ทำจริง เอาจริงมีความพยายามสูงมาก ถ้าท่านไม่ตายเสียก่อน ท่านคงได้ คุณธรรมชั้นสูงอย่างแน่นอน และคงจะได้เป็นกำลังพระศาสนาที่สำคัญองค์หนึ่ง แต่น่าเสียดายเหลือเกินว่าเวลานี้ท่านกำลังป่วยหนัก ใกล้จะตายเอาเสียด้วยเพราะพิษไข้ป่า ขึ้นแรงสูงมาก นอกจากท่านจะป่วยแล้วก็ยังมีความ พยายามประกอบความเพียรไม่หลับไม่นอนเอาเสียเลย เมื่อวันก่อนท่านยังสั่งไว้อีกว่าไม่ต้องเป็นห่วงท่าน ขอเพียงแต่พระเณรเอาน้ำใส่กาไปตั้งไว้ที่หน้ากุฏิก็พอ ถ้าท่านตายก็ให้ฝังเลย ไม่ต้องเผา ดูซิ ท่านไม่ต้องการให้เป็นภาระของสงฆ์เสียอีก หรือตายแล้วก็ไม่รู้..."


    ในขณะที่ยืนฟังอยู่นั้นก็หวนคิดขึ้นมาได้ว่า ...การที่มา ยืนฟังคูรบาอาจารย์พูดคุยกันโดยที่ตัวเองไม่ได้อยู่ในหัตถบาทด้วยนั้นเป็นอาบัติทุกกฎ และเสียมารยาทด้วย ถ้ามีใครผ่านมาเห็นเข้าจะหาว่าเรามาแอบฟังเรื่องราวต่างๆ ซึ่งเป็นทั้งอาบัติ และเสียมารยาท ก็รู้สึกไม่สบายใจ... ท่านจึงได้รีบออกจาก สถานที่แห่งนั้นทันที พอเดินลงมาถึงลานวัด ก็มาเจอกับสุนัขตัวหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ



    http://www.khaosukim.org/history_luangbu/17_novice.html
     
  4. tst

    tst เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +508
    หมาเห็นผีจริงไหม

    ในขณะที่หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย เดินลงมาจากศาลาจะกลับกุฏินั้น ก็เจอกับหมาตัวหนึ่งเข้า จึงอยากจะเดินไปเล่นกับมัน เพราะว่าเป็นหมาที่ท่านเลี้ยงไว้เอง และเป็นหมาที่เชื่องมาก และเคยเป็นเครื่องมีอของท่าน คีอ ท่านได้ทดลองสะกดจิต ฝึกแบบจิตวิทยากับหมาตัวนี้ทุกวัน ตามปกติแล้วหมาตัวนี้ เมื่อเห็นท่านจะต้องวิ่งเข้ามาหาทันที มักชอบติดตามไปไหนมาไหนด้วยเสมอๆ แต่วันนี้ทำไมมันจึงเป็นอย่างนี้ พอเห็นปุ๊บก็วิ่งหนีทันที ทำท่าหยุดๆ มองๆ ท่านเดิน
    ตามไปก็วิ่งหนีต่อไปอีก แล้วก็วิ่งหนีหายไปทางไหนไม่รู้เลย ท่านจึงคิดว่า ..เอ๊?.. หมาตัวนี้มันเห็นผีหรีอเปล่าหนอ น่าสงสัย จริงๆ ? ..



    http://www.khaosukim.org/history_luangbu/18_seeghost.html
     
  5. tst

    tst เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +508
    ไหนตัวเรากันแน่

    หลังจากครุ่นคิดอยู่กับหมาแล้วก็ได้เดินทางกลับกุฏิ พอเปิด ประตูกุฏิเข้าไปก็ยิ่งแปลกประหลาดกับสิ่งที่ได้พบเห็นต่อหน้าต่อตานั้นว่าอะไรกันแน่ ร่างที่นอนอ้าปากตาเหลือกอยู่บนเตียงนั่นก็ตัวเรา ที่ยืนมองอยู่นี้ก็ตัวเราอีก จึงแปลกใจมากว่า .. เอ๊ .. เกิดอะไรขึ้นนะนี่?.. ทำไมเราจึงเป็นสองคนได้ ที่ยืนอยู่นี่ก็เรา ที่นอนอ้าปากตาเหลีอกอยู่บนเตียงนั่นก็เราอีก มันอะไรกันแน่ และท่านยังคิดไปอีกว่า นี่ หรีอที่ว่าผลของสมาธิสามารถจะทำคนคนเดียวให้เป็นสองคนได้

    ขณะที่ท่านกำลังไตร่ตรองคิดอยู่นั้น ก็ได้มีชายใส่ชุดสีขาวเข้ามาหาท่าน ๒ คน พร้อมกับพูดขึ้นว่า "..ผมมาพาท่านไปเที่ยวบ้าน.." หลวงปู่จึงถามเขาว่า "..บ้านที่ร้อยเอ็ดหรือ (บ้านเกิด). " เขาตอบว่า ". ไม่ไช่.." หลวงปู่จึงถามเขาต่อไป อีกว่า "..ยังไปไม่ได้หรอก เพราะกำลังสงสัยอยู่ว่านี่มันอะไรกันแน่ นั่นก็ตัวเรา ที่ยืนอยู่นี่ก็ตัวเรา ถ้าพรุ่งนี้คูรบาอาจารย์ถามจะตอบไมู่ถก.." ชาย ๒ คนนั้นตอบว่า "..ไม่เป็นไรถ้าท่านไปกับข้าพเจ้าแล้วจะสิ้นสงสัยเอง.."หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้ย้อนถามเขาถึง ๒ ครั้ง เขาก็ตอบยืนยันว่าจะสิ้น สงสัยจริงถึง ๒ ครั้งเช่นกัน ...ถ้าอย่างนั้นก็ตกลง .. ไป .. พอตอบว่าตกลงเท่านั้นเอง ก็ปรากฏว่ามีความรู้สึกคล้ายๆ กับว่าลอยตามเขาไปทันที และปรากฏว่าลอยออกไปทางทิศตะวันออกของกุฏิ ลอดกิ่งต้นกะบกออกไป หลวงปู่ได้ถามเขาอีกครั้งหนึ่งว่า ..จะพาไปที่ไหน..่' เขาชี้มือให้ดู มองเห็นคล้ายๆ กับ มีดวงดาวดวงหนึ่งลอยอยู่ข้างหน้าและกำลังจะตรงเข้าไปนั่นเอง
    ตามความรู้สึกของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านสังเกตดูแล้วดวงดาวที่จะไปนั้น มีลักษณะคล้ายกับดาวเพชร และก็ปรากฏว่าพุ่ง .... วูบ ... เข้าไปสู่ดาวดวงนั้นทันที

    http://www.khaosukim.org/history_luangbu/19_where_self.html
     
  6. tst

    tst เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +508
    โลกทิพย์

    พอเข้าไปถึงสถานที่แห่งใหม่นี้แล้ว หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านเล่าว่า มีความรู้สึกคล้าย ๆ กับโลกมนุษย์ของเรานี่เอง แปลกแต่ว่ามีต้นไม้เป็นระเบียบและสูงมาก กิ่งก้านสาขาเข้าประสานถึงกันหมด พอมองขึ้นไปข้างบน เหลืองอร่ามเหมือนสีทอง ส่วนข้าง ล่างที่พื้นเหยียบเหมือนมีหญ้าแห้วหมูปกคลุมทั่วไปหมดหรือคล้ายๆ กับปูลาดไปด้วยพรม คลุมไปหมดมองไม่เห็นพื้นดินเลยว่าเป็นอย่างไรเหยียบไปตรงไหนก็นุ่มนิ่มไปหมด ถึงตอนนี้หลวงปู่บอกว่า จิตใจนี่เปลี่ยนไปหมด หน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว จิตใจอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก ถ้าใครไปเจอแล้วจะรู้เอง ว่าจิตใจมันเปลี่ยนอย่างไร เพราะว่าบางอย่างไม่สามารถเล่าให้ถูกต้องได้ อุปมาข้อนี้เหมือนกับรสชาติของผลไม้ ผู้ที่ยังไม่เคยชิมดู ถึงแม้ว่าใครจะพรรณนาเรื่องรสชาติให้ฟังเท่าไรก็ไม่สิ้นสงสัย นอกจากจะทดลองรับประทานด้วยตนเองถึงไม่ต้องพรรณนาก็สามารถรู้ได้เองฉันใด เรื่องนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น เมื่อเรายังไม่ถึงก็ไม่รู้ว่าจิตใจเปลี่ยนแปลงอย่างไร บอกไม่ถูก แต่ถ้าถึงแล้วไม่ต้องมีใครบอกก็สิ้นสงสัยเอง

    และอีกอย่างหนึ่งท่านบอกว่า พอก้าวเท้าเข้าไปถึงเท่านั้น ก็ได้ยินเสียงขับกล่อมอยู่ตลอดเวลา คล้าย ๆ กับเสียงดนตรี ทำให้จิตใจเยือกเย็นและอ่อนโยนเป็นลำดับ แต่ไม่รู้ว่าต้นเสียงนั้นอยู่ที่ไหน และแล้วเขาก็พาท่านไปจนถึงบ้านหลังหนึ่ง แล้วเขาก็บอกว่า "นี่แหละบ้านของท่าน ที่เราว่าจะพาท่านมา"
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]หลังจากนั้นเขาก็พาเข้าไปในบ้าน ท่านจึงได้เอ่ยถามเขาว่า "ใครเป็นผู้มาสร้างไว้ให้" เขาตอบว่า "ที่เราอยู่เวลานี้คือ' ... โลกทิพย์...่ ของทั้งหมดไม่ต้องมีไครสร้าง เกิดขึ้นเอง เป็นเอง ด้วยอานิสงส์ของความดีที่ทำไว้ในโลกมนุษย์" พอเขาพูดเพียงแค่นั้น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านจึงได้รู้ทันทีว่า "ถ้าอย่างนั้นเราก็ตายแล้วนะซี ถ้าตายอย่างนี้จะไปกลัวตายทำไม ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหนเลย" และได้ ถามเขาอีกว่า "บ้านหลังนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร"[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][/FONT]


    http://www.khaosukim.org/history_luangbu/20_loktip.html
     
  7. tst

    tst เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +508
    อานิสงส์สวดพระปาฏิโมกข์

    เขาอธิบายให้ฟังว่า "สมัยหนึ่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านได้จำพรรษาอูย่กับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ จังหวัดสกลนคร ในปีนั้นท่านได้ตั้งใจสวดปาฏิโมกข์ สวดได้ดีมาก และน้อมใจขึ้นสวดจริง ๆ จึงได้บังเกิดปราสาทหลังนี้ขึ้นเป็นอานิสงส์ตอบสนอง" พอท่านได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก ทั้งดีใจ และเสียใจ ระคนกัน ซึ่งแต่ก่อนนึก ว่าครูบาอาจารย์หานโยบายให้ลูกศิษย์มีความขยันท่องปาฏิโมกข์ แต่พอมาเจอเข้าอย่างนี้ จึงรู้ว่าเป็นเรื่องจริง พอมองออกไปข้างนอก ด้านทิศตะวันออกของปราสาทก็มองเห็นสวน มะม่วงสวยงามขึ้นเป็นระเบียบเรียบร้อยดีร่มรื่นและมีลานหญ้ามีน้ำตกไหลซู่ซ่าน่าสดชื่นจริงๆ มีที่นั่งที่นอนสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ มองดูแล้วรู้สึกว่าเป็นสถานที่น่ารี่นรมย์เป็นอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่ทำให้เพลิดเพลินจำเริญใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้ว หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย จึงเอ่ยถามขึ้นอีกว่า "สวนมะม่วงแห่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร" เขาตอบว่า "เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๙ คือในปีเดียวกันนั่นเอง ท่านได้ไปบิณฑบาตที่บ้านธาตุนาเวง ซึ่งเป็นทางสายบิณฑบาตที่ไกลกว่าทุกสายและลำบากมาก ต้องข้ามน้ำข้ามคลอง บางแห่งก็ต้องเดินลุยขี้โคลนไป ผ้าสบงจีวรต้องเปียกเลอะเทอะแทบทุกวัน จน ไม่มีพระเณรองค์ไหนอยากจะไป เมื่อไม่มีไครไป ท่านจึงไปแต่เพียงผู้เดียวตลอดพรรษา และมีอยู่วันหนึ่ง ได้มีชาวบ้านถวายมะม่วงอกร่องใส่บาตรมาหลายลูก พอท่านเดิน กลับจากบิณฑบาตก็มีความตั้งใจว่าถ้ากลับถึงวัดแล้วก็จะเอามะม่วงที่บิณฑบาตได้มานี้ถวายคูรบาอาจารย์ให้หมดทุกองค์ เพราะว่าเป็นอาหารที่ประณีตดี พอกลับมาถึงวัดแล้ว ท่านก็ได้น้อมใจที่เต็มไปด้วยบุญกุศล เอามะม่วงใส่บาตรถวายคูรบาอาจารย์จนหมดเกลี้ยง โดยที่ตนเองไม่ได้เก็บไว้ฉันเองเลย ซึ่งในครั้งนั้นเป็นการตั้งใจและน้อมใจทำบุญอย่างจริงๆ ผลของอานิสงส์นั้น จึงบังเกิดเป็นสวนมะม่วง และสถานที่แห่งนี้ขึ้นตอบสนอง"

    หลังจากนั้นเขาก็เล่าอะไรต่ออะไรให้ฟังอีกเป็นลำดับ ว่าของแต่ละอย่างเกิดขึ้นได้อย่างไร อยู่ที่ไหน ตลอดถึงครูบา อาจารย์ของเขา ที่นำพาประกอบบุญกุศลตั้งแต่ครั้งสมัยที่เขา ยังอยู่ในโลกมนุษย์ เขาได้นำหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย เที่ยวชม สถานที่ต่างๆ อยู่บนโลกทิพย์นั้น หลวงปู่ท่านก็เกิดความเสียใจ มากว่า "อานิสงส์ของท่านทำไมมันช่างน้อยนัก ท่านเคย สร้างโบสถ์ และวิหารก็หลายหลัง ให้ทานการบริจาคด้านอื่นๆ ก็มีจำนวนมากมาย ทำไมไม่เห็นมีอานิสงส์เลย เหตุ ใดจึงมีเพียงสองอย่างเท่านั้น" จึงได้ถามเทพเจ้าเหล่านั้นต่อ ไปอีก และเขาก็ตอบว่า "นั่นท่านสักแต่ว่าทำ โดยที่ไม่มีจิตใจ น้อมลงเพื่อบุญกุศล ทำมากเท่าไรก็ไม่มีอานิสงส์ ถึงมีบ้าง ก็ยากเต็มที เหมือนโยนเข็มลงมหาสมุทร แต่ว่าอานิสงส์ ทั้งสองอย่างที่ท่านประจักษ์อยู่นี้ ท่านได้ทำด้วยใจน้อมลง เพื่อบุญกุศลจริง ๆจึงบังเกิดขึ้นเป็นอานิสงส์ดังนี้สองอย่าง"

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านได้เล่าให้ฟังอีกว่า อานิสงส์ของท่านนั้นถ้าเปรียบกับของคนอื่นที่ได้เห็นมาแล้วนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีวาสนาบารมีกันมากทั้งนั้น เพราะมีสิ่ง ประดับบารมีที่วิจิตรพิสดารมากมายกว่าของท่านเหลือเกิน ถ้า เปรียบแล้วท่านบอกว่า "ของท่านนั้นเปรียบเหมือนเทพเจ้า ระดับชาวบ้านธรรมดา หรือระดับขอทานเท่านั้น" "ส่วน ของเทพเจ้าองค์อื่น ๆนั้นเปรียบเหมือนเทพเจ้าระดับเศรษฐี หรือพระราชาทีเดียว" ท่านจึงเกิดความเสียใจ และคิดอยาก กลับมาสร้างบารมีใหม่ เพื่อเป็นการแก้ตัวอีกสักครั้ง [/FONT]



    http://www.khaosukim.org/history_luangbu/21_patimok.html
     
  8. tst

    tst เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +508
    ขอกลับมาสร้างบารมีต่อ

    หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านจึงได้อธิษฐานไว้ในใจว่า "ถ้า ข้าพเจ้ามีบุญบารมีเหมือนอย่างที่หลวงปู่มั่น ภูริทตตเถร ได้เคยปรารภมาแล้ว ก็ขอให้บรรดาเทพเจ้าเหล่านี้จงได้ยินยอมตามที่ข้าพเจ้าจะขอต่อไปด้วยเถิด" แต่ถ้าหากว่า ไม่มีบุญบารมีซึ่งจะสร้างความดีและบารมี หรือพอที่จะทำ ประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนาได้แล้ว ก็ขอให้เทพเจ้า เหล่านี้อย่าได้ยินยอมตามที่ข้าพเจ้าขอเลย" ท่านอธิษฐานเสร็จก็ได้หันหน้า ประนมมือไปทางเทพเจ้าเหล่านั้น แล้วกล่าวว่า "พวกท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าเกิดมาในชาตินี้ เกิดในพาเหียรลัทธิ คือลัทธินอกพระพุทธศาสนา ซึ่งสอนว่าตายแล้วสูญ ข้าพเจ้าจึงเสียใจมาก ถ้าข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่ทีแรก ข้าพเจ้าจะสร้างความดีให้เต็มที่ ฉะนั้นจึงขอให้กลับลงไปสร้างบารมีโพธิสมภาร เพื่อเป็นการแก้ตัวอีกสักครั้งหนึ่งเถิด" พอท่านได้กล่าวจบลงเท่านั้น เทพเจ้าทั้งหมดก็ได้ยกมือขึ้นพร้อมกับกล่าวคำว่า "สาธุ" พร้อมกัน ด้วยเสียงอันดัง กระหึ่มไปหมด เทพเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นก็ยังได้สั่งอีกว่า "ท่าน จะกลับลงไปได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อท่านกลับลงไป แล้วจงพยายามสร้างความดีให้เต็มที่ เพราะเวลามีจำกัดเท่านั้น"
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]" ในโอกาสนี้โลกมนุษย์ของเรายังนับว่าโชคดีอยู่มาก ที่ยังมีธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีพระพุทธศาสนา ถ้าเราเกิดในสูญญกัป คือกัปที่สูญสิ้นพระศาสนาแล้ว โลกมนุษย์จะลำบากมากที่สุด" และอีกอย่างหนึ่งพระพุทธเจ้าจะมาตรัสูร้ในโลกมนุษย์ แต่ละพระองค์นั้นเป็นของยากมากลำบากมาก กว่าพระ องค์จะสร้างบารมีให้เต็มบริบูรณ์ได้ก็กินเวลาที่ยืดยาวหลายอสงไขย.." [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]เทพเจ้าเหล่านั้นก็ยังได้ชี้ให้หลวงปู่ดูดาวต่างๆ พร้อมกับอธิบายให้ฟังอีกว่า "ดูซิสถานที่ ที่มนุษย์และสัตว์จะต้องเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีมากมาย ดังที่เรามองเห็นอยู่บนท้องฟัา ดวงดาวแต่ละดวงทั้งหมดที่มีอูย่จำนวนถึง "..แสน โกฏิดวง " "หรือแสนโกฏิจักรวาล" แต่ละดวงก็เป็นแต่ละจักรวาล แต่ละจักรวาลนั้นถ้าว่าโดยส่วนใหญ่แล้ว แยกออกเป็นสองประเภท คือประเภทที่มีแสงสว่างในตัวเองและประเภทที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง" [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]เราจะสังเกตได้ดังนี้ ถ้าดวงใดมีแสงกะพริบ ...วาบ ..วาบ... และมีแสงวิ่งรอบตัวนั้นเป็นจักรวาลของดวงอาทิตย์ สำหรับไห้แสงสว่างและความอบอุ่นแกโลกอื่น ซึ่งเป็นจักรวาลที่ไม่มี สิ่งที่มีชีวิตอยู่ ถ้าดวงใดมีลักษณะนิ่งๆ ไม่มีการกะพริบตัว ดาวดวงนั้นมีวิญญาณของมนุษย์และสัตว์อยู่ เป็นจักรวาล ที่มีสิ่งที่มีชีวิตอยู่ แต่ว่ายังแยกออกเป็นสามประเภท คือ[/FONT]


    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ประเภทที่หนึ่ง[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]เต็มไปด้วยความทุกข์ เช่น "..นรก.." เป็นต้น[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ประเภทที่สอง[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]เป็นจักรวาลที่เต็มไปด้วยความสุข เช่น "..โลกทิพย์[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]หรือ สวรรค์.."[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ประเภทที่สาม [/FONT]​
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]เป็นจักรวาลที่มีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันอยู่เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวสมหวังเดี๋ยวผิดหวังวันนี้มีความสุขความเจริญ แต่พรุ่งนี้อาจจะได้รับความทุกข์ได้รับความดือดร้อน หรือวันนี้อาจจะแย่เต็มที แต่วันพรุ่งนี้อาจจะดี จนเด่น อะไรทำนองนี้ประเภทดังกล่าวมานี้ได้แก่ "..โลกมนุษย์.." และ "..พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะต้องมาเกิดในโลกมนุษย์นี้ เพราะโลก มนุษย์มีสิ่งเปรียบเทียบทั้งทางดีและทางชั่วมีทั้งสุขมีทั้งทุกข์ปะปนกันอยู่ "ส่วนนรกและสวรรค์นั้นไม่มีสิ่งเปรียบเทียบเช่น เมีองนรกนั้นก็มีแต่ทุกข์อย่างเดียวส่วนเมีองสวรรค์นั้นก็มีแต่สุขอย่างเดียว [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ฉนั้นการมาตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จึงมาตรัสรู้ได้ในโลกมนุษย์แห่งนี้แห่งเดียวเท่านั้น ท่านเรียกว่า ''มงคลจักรวาล..่' คือจักรวาลที่เป็นมงคล.. .? หลังจากนั้น เทพเจ้าทั้งสองที่ได้มารับท่านไปในครั้งแรกนั้น ก็ได้นำท่านกลับ มายังโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง และได้นำเข้าไปยังกุฏิหลังเดิม พอ เข้าไปถึงกุฏิก็มองเห็นร่างของท่านนอนอ้าปากตาเหลือกอยู่อย่างเดิม และเทพเจ้าทั้งสองนั้นก็ยังได้กล่าวสอนท่านอีกครั้งหนึ่งเสร็จแล้วเขาจึงได้ให้หลับตา พอท่านหลับตาปุ๊บก็มีความรู้สึกว่าได้เข้าไปอยู่ในร่างเดิมอีกครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากร่างกายนั้นปราศจากวิญญาณนานถึง ๑๕ ชั่วโมงแล้ว จึงรู้สึกว่าร่างนั้นแข็งเหมือนท่อนไม้ ท่านต้องใช้ความพยายามค่อยๆ ขยับตัวทีละน้อยๆ จนกระทั่งขยับมือได้ก่อน แล้วก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นมาบีบปากที่อ้าค้างอยู่นั้นให้หุบลง พอหลังจากนั้นก็ยกมือขึ้นมานวดกระบอกตา จนตาเริ่มกระพริบได้ ก็ลุกขึ้นนั่ง และค่อยๆ กระเถิบไปที่โอ่งน้ำล้างเท้าหน้ากุฏิ ตักเอาน้ำขึ้นมาฉัน เพราะมี ความกระหายน้ำมาก เมี่อท่านได้ฉันน้ำเข้าไปกะประมาณ ๑ ลิตร ก็รู้สึกว่าค่อยสดชื่นขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังไม่คล่องตัวและเกิดอาการหิวขึ้นมา จึงได้ขยับไปตากแดด แล้วก็นวดเฟ้นตามแขนขา ตามข้อต่างๆ ของร่างกายสักพักหนึ่งก็เริ่มยืดแขน ขา และอวัยวะส่วนอื่นๆ ก็เริ่มใช้การได้ดีขึ้น แล้วก็ได้ลุกเดินไปศาลา เพื่อจะฉันจังหัน เพราะรู้สึกว่ามีความหิวมากได้ฉันจังหัน เสร็จเรียบร้อยได้เวลาเที่ยงพอดี รวมเวลาที่โด้สลบไปทั้งหมด ๑๕ ชั่วโมงเศษ[/FONT][/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ในช่วงนี้ข้าพเจ้าจึงได้มีโอกาสกราบเรียนถามหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย เพิ่มเติมนอกเหนือจากการมรณภาพไปของท่านอีกหลายเรื่อง ท่านก็ได้เมตตาอธิบายให้ฟังจนเป็นที่พอใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นประโยชน์ และน่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง จึงได้นำมาลงโดยย่นย่อดังต่อไปนี้ ข้าพเจ้ากราบเรียนถามท่านต่อไปว่า "..ตอนที่ท่าน ได้ไปเห็นความเป็นอูย่ของเทพเจ้าหรือชาวโลกทิพย์แล้ว หลวงปู่ว่าเป็นไปได้ไหม ที่มีตำราหรือตำนานบางเล่ม และ มีคูรบาอาจารย์บางองค์เล่าเรื่องอสูรกับเทวดารบกัน แย่งลูกชิงเมียกันบ้าง ในทำนองเล่าตามเรื่องของพุทธหรือพราหมณ์ก็ไม่ทราบ แต่กระผมตีความหมายเอาเองว่าท่านเล่าเรื่องเทวดาพุทธ เพราะเคยเห็นในตำนานทางพุทธ ่ อันนี้ขอยกไว้เพราะเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ที่สงสัยนั้นสงสัยว่า "ทำไมเมืองสวรรค์แท้ ๆ ถึงต้องรบราฆ่าฟันกัน" ในตำนานบอกว่ารบเพื่อแย่งที่อยู่อาศัย และแย่งลูกชิงเมียกัน ถ้าสวรรค์เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกจากโลกมนุษย์ เพราะการแย่งดีชิงเด่นกัน เป็นเรื่องของพวกมนุษย์ที่มีกิเลสหนาปัญญาหยาบ แต่ถ้าจะว่าอีกอย่างหนึ่งโลกมนุษย์เรายังมีอะไรแปลก ๆ น่าคิดกว่าเมืองสวรรค์อีกก็มี เช่น "สวรรค์เขามีช้างมีม้าเป็นต้น เป็นพาหนะ แต่ เมืองมนุษย์เรามีถึงจรวดหรือเครื่องบิน ฉะนั้นกระผมรู้สึกฉงนใจ เรื่องนี้กระผมเห็นว่ามีความสำคัฌต่อพระศาสนาเป็นอย่างมาก ถ้าหากเป็นอย่างที่กระผมกราบเรียนมานั้นจริง ๆ คนสมัยใหม่นี้คงไม่มีไครอยากไปสวรรค์กัน เพราะ ยังมองไม่ออกว่าเมื่อไปถึงแล้วจะมีความสุขสบายได้อย่างไร เวลานี้ชาวโลกทั้งหลายเขาเบื่อสงครามจนเอือมกันแล้ว แต่พอถึงเมืองสวรรค์ก็ยังมีการทำสงครามกันอีก.." [/FONT][/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ฉะนั้นกระผมจึงขอประทานกรุณาจากหลวงปู่ได้เมตตาช่วยคลีคลายปัญหาดังที่ได้กราบเรียนมานี้ ให้ชาวโลกเขาเห็นจริงตามหลักทางพระพุทธศาสนา ก็จะเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกอย่างมาก และจะเป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่ง... พอข้าพเจ้าได้กราบเรียนจบลง หลวงปู่ก็นั่ง พิจารณาเหตุผลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบว่า[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]" การที่เรารู้ว่าอะไรเป็นสวรรค์ของพุทธหรือไม่ใช่ของพุทธนั้น เราต้องศึกษาให้เข้าใจเสียก่อนว่า พุทธของเรานั้นมีความหมายอย่างไร และของพราหมณ์มีความหมายอย่างไร ถ้าจะว่าตามหลักทางพระพุทธศาสนา พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ตรัสไว้ว่าสวรรค์นั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจบุญ ไม่มีใครสร้างสรรค์ แต่เกิดขึ้นเองด้วยอำนาจผลแห่งความดีที่ทำไว้ ท่านจึงเรียกว่า " โลกทิพย์.." บุญเป็นสิ่งที่ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ และใครก็ลักขโมยไม่ได้ อุปมาเหมือนความรู้ของเราที่มีอยู่ในใจ ก็ไม่มีใครสามารถแย่งชิงเอาไปได้ ฉันใดเรื่องบุญ กุศลก็เหมือนกันฉันนั้น ถ้าหากว่าแย่งเอาไปได้จริง ๆ ก็คงไม่มีใครอยากทำบุญ เพราะถ้าเราเห็นใครทำบุญมาก ๆ ถ้าเผลอเมื่อไรก็มีหวังถูกขโมยเมื่อนั้น แต่แล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อสรุปแล้วก็ได้ความว่า "สวรรค์ของพุทธที่แท้จริงไม่มีอิจฉาตาร้อนซึ่งกันและกัน" เมื่อไม่มีการอิจฉา การแย่งดีชิงเด่นก็ไม่มี การเบียดเบียนซึ่งกันและกันก็ไม่มี"[/FONT][/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]และอีกอย่างหนึ่ง ที่คุณว่าสวรรค์มีช้าง มีม้า มีรถ มีเกวียนเหล่านี้เป็นต้น เป็นยานพาหนะ ส่วนมนุษย์ของเรามีถึงจรวดและเครี่องบิน เมี่อผมฟังดูก็รู้สึกว่าน่าฟัง ความจริงเรี่อง สวรรค์ที่คุณเล่ามาทั้งหมดนั้น ผมเคยเห็นอยู่ในคำภีร์พราหมณ์ ตั้งแต่สมัยผมเป็นเด็ก คุณหลวงเสนา ซึ่งเป็นตาของผมท่านเคย เล่าสู่ฟัง ผมจำได้ตั้งแต่สมัยกระโน้น ผมยังนับถีอศาสนา พราหมณ์อย่างเคร่งครัด[/FONT][/FONT][/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ต่อมาพอผมได้ฟังธรรมทางพระพุทธศาสนา และได้เกิดศรัทธาปสาทะขึ้น จึงได้หันมานับถือพระพทธศาสนา แต่พอมาค้นคว้าตำราของพุทธศาสนาเข้า ก็เจอเรื่องอสูรกับเทวดา เข้าอีก ผมจึงแปลกใจไม่รู้เข้ามาปะปนอยู่ในทางพระพุทธศาสนาตั้งแต่เมื่อไร และอีกประการหนึ่งเรื่องเทวดา หรือเทพเจ้าของพุทธ ผมเชื่อว่าไม่ต้องขี่อะไรเป็นพาหนะ เพราะเทพเจ้า ทั้งหลายเหล่านั้นล้วนแต่ได้กายทิพย์ด้วยกันทั้งนั้น กายทิพย์เป็นกายที่ละเอียด พอนึกได้ว่าจะไปไหนก็ไปถึงเลย ไม่ต้องขี่ยานพาหนะให้ลำบาก เปรียบเสมือนความคิดของเรา เวลาจะ ไปไหนมาไหน ไม่เห็นว่าความคิดของเราขี่อะไรเลย และก็ไม่ จำเป็นในเรี่องยานพาหนะที่จะให้ความคิดเราด้วยฉันนั้น ในเมี่อเราจะไปไหนก็ได้ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เรื่องยานพาหนะ สมมติว่าใครสัปตนสร้างยานพาหนะให้ความคิดของตัวเองขี่ เพื่อไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ เข้า คนคนนั้นก็แย่เต็มที่[/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ข้าพเจ้ากราบเรียนถามหลวงปู่ต่อไปว่า"ตอนที่หลวงปู่ไปถึงโลกทิพย์นั้นแล้ว มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง" ท่านตอบว่า ก็เป็นเหมือนกับทีเล่ามาแล้วนั่นเอง พอไปถึงเข้าก็ปรากฏ ว่ามีอะไรหลายอย่างที่แปลกจากโลกมนุษย์ เป็นต้นว่าปราสาท ราชวังและสถานที่รื่นรมย์ล้วนแต่มีความสวยสดงดงาม ทั้งเป็นสิ่งที่น่าเพลิดเพลินทั้งนั้น" "ผมก็ยังถามเขาว่าใครเป็นคนสร้าง เขาก็บอกว่าไม่มีใครสร้าง เพราะที่นี่ของเป็นของเรา จึงเรียกว่า โลกทิพย์'' พอได้ยินคำว่าโลกทิพย์ผมจึงเอะใจ เลยถามเขาว่า นี่ข้าพเจ้าตายแล้วใช่ไหม" "..ใช่ เวลานี้ท่านตายแล้ว " ถ้าตายอย่างนี้ก็ไม่เห็นน่ากลัวอะไร ก็เหมือนกับเรายังเป็นมนุษย์อยู่นี่เอง จะไปไหนมาไหนก็ปรากฏว่า ร่างกายเรานี่ไปด้วยทั้งดุ้นทั้งก้อน เหมือนกับเมื่อยังมีชีวิตอยู่นี่เอง เขาจึงเล่าต่อไปอีกว่า .กายคนเรานั้นถ้าว่าโดยส่วนใหญ่แล้วมีสามชั้นด้วยกัน[/FONT][/FONT][/FONT][/FONT][/FONT]



    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]กายธาตุ หมายถึงกายที่หยาบๆ ที่พวกเรามอง[/FONT][/FONT][/FONT]​
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]เห็นด้วยตาเนื้อ กายประเภทนี้สมควรแก่โลกมนุษย์[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]กายทิพย์ หมายถึงกายที่ละเอียดต้องเห็นด้วยตา[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ทิพย์ กายประเภทนี้สมควรแก่ "โลกทิพย์"[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]กายธรรม หรือ ธรรมกาย ได้แก่กายของพระ[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]อรหันต์ ผู้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสที่สมควรแก่ "นิพพาน"[/FONT]​
    [/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif][FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]พอผมฟังเขาเล่าให้ฟังดังนี้จึงรู้สึกซึ้งใจเลยเฉลียวคิดไปถึงอดีต ที่เราเคยเรียนธรรมะมา เพิ่งจะเข้าใจเรี่องกายสามประเภท ในตอนนี้[/FONT][/FONT]​


    ข้าพเจ้ากราบเรียนถามหลวงปู่ต่อไป "แล้วจะเป็นไปได้ ไหมครับที่บางตำนานเขียนไว้ว่า เทพเจ้ารบกัน หรือทำสงครามกัน หลวงปู่ตอบว่า "เป็นไปไม่ได้ พอไปถึงที่นั่นแล้วจิตใจเปลี่ยนหมด มีแต่ความซาบซึ้งและอ่อนโยน แถมยัง มีอานิสงส์แห่งการทำความดีประจักษ์ชัดเจนจนไม่มีข้อสงสัย จะสามารถทำลงได้อย่างไร ผมเข้าใจว่าไม่มีทาง เพราะหิริและโอตตัปปะ มีประจำอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นทีท่านว่า หิริและโอตตัปปะ เป็นเทวธรรม คือเป็นธรรมของเทวดา หรือของเทพเจ้านั้นเป็นเรื่องจริง และถ้าใครมีธรรมสองอย่างนี้อยู่ในใจจนตลอดชีวิตแล้ว เมื่อตายแล้วมี หวังได้เป็นเทพเจ้าเสวยทิพย์สมบัติอยู่บนสรวงสวรรค์แน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย "

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ข้าพเจ้ากราบเรียนถามหลวงปู่ต่อไปว่า "เท่าที่หลวง ปู่ได้เที่ยวชมอูย่บนโลกทิพย์นั้น ได้สังเกตเห็นอะไรบ้างที่ ต่างจากโลกมนุษย์ของเรา" หลวงปู่ตอบว่า ''มีมากจนไม่ สามารถจะนำมาเล่าให้หมดทุกอย่างได้แต่ผมจะเล่าคร่าวๆ ให้ฟังในสิ่งที่จำได้ และเห็นชัด มีดังนี้. " [/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ในเบื้องต้นที่เราเหยียบย่างเข้าไป จะเห็นต้นไม้เป็น ระเบียบเรียบร้อยและสูงมากสม่ำเสมอกันจริงๆ แม้แต่หญ้า ที่เราเหยียบไปก็มีความสม่ำเสมอกันหมด ไม่มีสูงๆ ต่ำๆ ส่วน ข้างบนต้นไม้จะมีกิ่งก้านเข้าประสานกัน ทำให้เกิดความร่มรี่น และสวยงาม..[/FONT] ​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]พอไปถึงแต่ละบ้าน เจ้าของบ้านเขาออกมาต้อนรับ ด้วยไมตรีจิตอันดีงามจริงๆ เป็นให้เข้าไปในบ้านเขาด้วยความพอใจ พูดถึงการต้อนรับ จะไม่มีที่ไหนในเมืองมนุษย์เราเสมอเหมือน แต่ก็น่าแปลกใจว่า ทำไมเทพเจ้าที่มาต้อนรับเราจึงไม่ ปรากฏว่ามีลูกเล็กเด็กแดงอุ้มกันกระจองอแงเหมือนโลกมนุษย์เราเลย มีแต่คนโตๆ เท่านั้น และเวลาทำการปฏิสันถารกับผมนั้น ก็ไม่ปรากฏว่ามีอะไรมาต้อนรับ เช่น ข้าวปลาอาหาร น้ำร้อนน้ำเย็น เป็นต้น ส่วนการมาของเทพเจ้า และการไปของผม ซึ่งเขาพาไปชมในที่ต่างๆ ก็ดี ก็ไม่ปรากฏว่าม อะไรเป็นยาน พาหนะขี่ไปเลยแม้แต่อย่างเดียว พอตกลงใจว่าจะไปที่ไหนก็ปรากฏว่าถึงที่ทันที และเวลาเขาพาเที่ยวชมในสถานที่ต่างๆ อยู่นั้น เท่าที่ผมสังเกตดู แต่ละบ้านไม่ปรากฏว่ามีโรงครัวเลย แม้แต่หลังเดียว ตลอดทั้งห้องน้ำห้องส้วมก็ไม่มี เทพเจ้าที่มา ต้อนรับทั้งหมด ก็ไม่เห็นว่ามีท่าทีว่าจะปวดหนักปวดเบา แม้แต่จะเอาของมารับประทานก็ไม่มี ผมเองก็เหมือนกัน เพราะต่างก็มีความเอิบอิ่มและเพลิดเพลินอยู่อย่างนั้น ไม่เคยรู้สึกว่าหิว อะไร นีก็แสดงให้เห็นว่า โลกทิพย์เขาอยู่กันด้วยความอิ่ม คือ[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]"..อิ่มบุญกุศล "[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ผมสังเกตดูหลายอย่าง เช่น ภายในบ้านแต่ละหลังเท่าที่ ผมเห็นมาไม่ปรากฏว่ามีผ้าผ่อนท่อนสไบหรือเครี่องประดับประดาอาภรณ์ต่างๆ ตากเกะกะรุงรงไม่มีเลย ในห้องจะเห็นเป็นห้องโถงโล่งโปร่ง มีลวดลายวิจิตรพิสดารสวยสดงดงามมาก ผมยังไม่เคยเห็นที่ไหนในเมีองมนุษย์เราจะเปรียบปาน เครื่องประดับในที่นี้หมายถึงเครื่องประดับปราสาท ไม่ใช่ เครื่องประดับของเทพเจ้าอย่างที่เขียนเรื่องเทวดา ว่าเทวดาใส่ชฎาหัวแหลมๆ อันนีก็ไม่เห็นมีเหมีอนกัน ผมเสียดายที่ผมไม่ใช่นักวาดเขียน ถ้าผมเป็นนักวาดเขียน ผมจะวาดให้ดู ลักษณะของเทพเจ้าที่ผมเห็นมา แต่ก็น่าเสียใจอยู่อย่างหนึ่ง เท่าที่ผม สังเกตดูเทพเจ้ามีความยิ่งใหญ่ไม่สม่ำเสมอกัน ผมมองๆ ดูเทพ เจ้าบางองค์รู้สึกว่ามีความยิ่งใหญ่มาก มีบริษัทบริวาร ตลอด ถึงปราสาทที่อยู่อาศัยจะมีเครี่องประดับบารมีมากมายจนบอก ไม่ถูกว่ามีอะไรต่ออะไรบ้าง ตรงนี้แหละผมนึกน้อยใจตัวเอง เมื่อมองดูปราสาทของตัวเองแล้วสู้ของเขาไม่ได้ ยิ่งบางองค์ แล้วคล้ายๆ กับจะเป็นเทพเจ้าคนใช้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ถึงแม้ จะเป็นเทพเจ้าระดับคนใช้ก็ยังดีกว่าการเป็นพระราชาในเมืองมนุษย์เลยอีก แต่พระเจ้าจักรพรรดินั้นผมไม่เคยเห็น จึงไม่สามารถเอามาเทียบได้ ที่ผมว่าเทพเจ้าคนใช้ในโลกทิพย์ยังดีกว่าพระราชาในเมีองมนุษย์ หมายความว่าโลกทิพย์เขาไม่ได้ทำอะไร ต่างองค์ต่างก็อิ่มในบุญกุศลของตนอยู่ตลอดเวลา เรื่องอิจฉาตาร้อน และกลั่นแกล้ง พยาบาทอาฆาต จองเวรกัน รบราฆ่าฟันกัน เพี่อแย่งดีชิงเด่นกันเป็นต้น จะไม่มีอยู่ในโลก ทิพย์นั้นเลย...[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]สรุปแล้วเรื่องที่จะทำให้กันและกันเดือดร้อนนั้นไม่มี เพราะต่างองค์ต่างก็มีหิริและโอตตัปปะประจำใจอยู่ตลอดเวลา นี่ผมเอาผมไปเทียบดู เพราะในเวลานั้นจิตผมนิ่มนวลและอ่อนโยนจริงๆ และซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก ว่ามีความซาบซึ้งอย่างไร เรื่องอายชั่วกลัวบาปไม่ต้องพูดถึง เพราะเห็นผลชัดๆ ถึงขนาดนั้น จิตจึงยอมรับร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นผม จึงเข้าใจว่า เทพเจ้าที่อยู่ในโลกทิพย์คงเหมือนกันทุกองค์...[/FONT] ​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ข้าพเจ้าจึงกราบเรียนถามท่านต่อไปอีกว่า เรื่องสวรรค์และนรก เท่าที่กระผมเคยได้เล่าเรียนศึกษามา กระผมเข้าใจว่าเรียงกันเป็นชั้น ๆ เหมือนรังต่อ หรือ เหมือนตึกในทำนองนั้น[/FONT] [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]หลวงปู่ได้เมตตาตอบว่า "แต่ก่อนผมก็เข้าใจในทำนองนั้น เท่าทีผ่มเคยอ่านตามตำรา เหมือนว่านรกนั้นอยู่ใต้ดิน เพราะมีคำว่าธรณีสูบพระเทวทัตลงไปอเวจีมหานรก ที่จริง อันนั้นก็ควรยกให้เป็นเรี่องของตำราไป เพราะว่าผู้แต่งตำรา ท่านจะตีความหมายแค่ไหน เราไม่ทราบได้ บางทีเราอาจจะตี ความหมายของผู้แต่งผิดไป" จะอย่างไรก็ตาม ที่ผมพูดมาทั้งหมดในวันนี้ ไม่ประสงค์จะไปให้ยึดเรื่องตำรา เพราะตำรามีทั้งผิดมีทั้งถูกเป็นเรื่องธรรมดา ข้อสำคัญที่สุดคนที่อ่านตำราเป็นเขาไม่ไปยึดเรื่องตำรา เขาต้องพิจารณาด้วย ปัญญาว่าอะไรดีหรีอไม่ดี อะไรผิดอะไรถูก อะไรควรละ อะไรควรบำเพ็ญ จะ ควรเชื่อถีอได้แค่ไหนเพียงไรนั้นเป็นเรื่องของเรา จะต้องกลั่น กรองด้วยปัญญาเสียก่อน เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนั้นก็ขอให้ทุก ท่านทุกคนที่อ่านนี้จงพิจารณาดูว่า มีเหตุผลสมควรเชื่อถือได้หรีอไม่ ควรเชื่อหรีอไม่ควรเชื่อด้วยประการใดนั้น โปรด พิจารณาด้วยเหตุผลของแต่ละท่านแต่ละคนเอาเองก็แล้วกัน[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]หลวงปู่สมชายู ฐิตวิริโย ได้สรุปจบเรื่องการไปสู่โลก ทิพย์ของท่านลงด้วยความปลื้มปิติของทุกท่าน ที่ได้ฟังในวันนั้นเป็นอย่างยิ่ง[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ข้าพเจ้าได้ถือโอกาสพาท่านผู้อ่านไปเที่ยวโลกทิพย์เสียนาน เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้สนใจในเรื่อง นี้จึงได้นำมาลงไว้ในคราวเดียวกันเสียเลย บัดนี้ก็จะได้พาท่าน เข้าสู่เรื่องการออกบำเพ็ญกรรมฐานของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโยต่อไปใหม่[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ภายหลังจากที่ท่านได้หายจากการป่วย ได้ผ่านพ้นเหตุการณ์ในครั้งนั้นแล้ว ท่านก็ยังได้อยู่ประพฤติปฏิบัติกับหลวงปู่สีลา อิสสโร ต่อมาอีก เพราะว่าหลวงปู่สีลา อิสสโร นั้น มีข้อวัตรปฏิบัติเป็นที่น่าเลื่อมใสน่าเคารพกราบไหว้สักการะบูชาเป็นอย่างยิ่ง เป็นครูบาอาจารย์ที่หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ให้ความเคารพรองลงมาจากหลวงปู่มั่น ภูริทตตเถร เมี่อหลวงปู่สีลา อิสสโร ไม่สะดวกเรี่องอะไร หรือมีความประสงค์สิ่งใดแล้ว ถ้าสิ่งนั้นไม่เหลือวิสัย หลวงปู่สมชายู ฐิตวิริโย ท่านจะต้องจัดการสนองเจตนาทุกครั้งไป[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]มีอยู่คราวหนึ่งซึ่งเป็นฤดูหนาว ในปีนั้นจังหวัดสกลนครมีความหนาวเย็นมากกว่าทุกปี หลวงปู่ลลา อิสสโร ได้ ปรารภขึ้นมาว่า " ปีนี้บ้านเราอากาศหนาวมาก ถ้าไม่มีโรง ไฟบรรเทาความหนาวผมคงจะแย่.. เมื่อทราบความ ประสงค์ของครูบาอาจารย์แล้ว หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็ได้ ชักชวนหลวงปู่หาญ ชุติณธโร และพระภิกษุสามเณรอีกหลาย องค์ช่วยกันก่อสร้างโรงไฟเพื่อถวายครูบาอาจารย์ทันที มีอยู่ วันหนึ่งหลวงปู่สมชายได้ขึ้นไปตีตะปูเพี่อจะมุงหลังคาโรงไฟนั้น จะด้วยเหตใดไม่ทราบได้ไม้อันที่ท่านเหยียบอยู่บนนั้นได้หลุดออก จากกันโดยบังเอิญ จึงเป็นเหตุให้ท่านพลัดตกลงมาจากหลังคาโรงไฟทันที ร่างหล่นลงมากระแทกกับกองไม้ซึ่งกองระเกะระกะอยู่ข้างล่างนั้นเต็มที่ ถึงขนาดสลบหมดสติไป ขาข้างหนึ่ง กระดกหลดหมนได้รอบ พระเณรที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดเมื่อหายจากการตกตะลึงแล้ว ก็ได้ช่วยกันหามหลวงปู่สมชายออกมาทำการปฐมพยาบาลจนรู้สึกตัว[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]หลวงปู่หาญ ชุติณธโร ได้ไปหาเก็บใบยาสมุนโพรต่างๆ ซึ่งหาได้ง่ายตามป่านั้นมาทำเป็นยาลูกปะคบและทำเป็นยาย่างสลับกันไป ในวันหนึ่งหลวงปู่หาญได้ทำยาสมุนไพรแบบย่าง คือเอาใบยาต่างๆ ที่หามาได้ ปูลงบนเตียงเอาเสื่อปูทับแล้วช่วยกันหามหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย นอนทับเสื่อก่อไฟไว้ใต้เตียง โดยให้ความร้อนเผาใบยา ใบยานั้นก็จะระเหือดไอ ขึ้นสู่ตามตัวของหลวงปู่สมชาย เป็นการรักษาพยาบาลแบบโบราณและง่ายๆ แต่ได้ผลดีมาก ได้รักษาแบบปะคบและย่าง สลับกันอยู่หลายวันอาการก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]วันหนึ่งหลวงปู่หาญ ได้หามหลวงปู่สมชายขึ้นย่างบนเตียงเหมือนอย่างทุกวันที่เคยทำมาแล้ว หลวงปู่หาญก็ได้ออกไปช่วยพระเณรก่อสร้างโรงไฟต่อ เนื่องจากใบยาสมุนไพรนั้น ได้ถูกย่างมาหลายวันแล้วก็แห้งกรอบ พอถูกไฟในวันนี้เข้าก็เลยกลายเป็นเชื้อไฟอย่างดี ไฟที่หลวงปู่หาญได้ก่อไว้ใต้เตียงนั้นก็ได้ลุกไหม้ใบยาสมุนไพร และลุกไหม้เสื่อไหม้เตียงที่หลวง ปู่สมชายนอนย่างอยู่นั้น จนกระทั่งความร้อนถึงตัว จะลุกขึ้นหนีก็ลุกไม่ได้ เพราะขาที่หลุดยังไม่เข้าที่ ร้องเรียกพระเณรก็ไม่มีใครได้ยิน เพราะกำลังทำงานกัน ไฟก็ ลุกไหม้แรงขึ้นๆ จนร้อน ระบมไปทั่วแผ่นหลัง จึงได้ตัดสินใจดิ้นจนตกลงมาจากเตียง ความสูงของเตียงจากพื้นดินก็สูงพอสมควร คนที่กำลังเจ็บอยู่ แล้วก็ต้องมาเจ็บซ้ำเป็นรอบที่สองอีก จนกระทั่งพระเณรที่ทำงานอยู่ได้เวลาพัก หลวงปู่หาญจึงได้เดินมาดู ก็ได้เห็นไฟไหม้เตียงเรียบร้อยไปแล้ว ภายหลังจากรักษาพยาบาลหายเป็นปกติดีแล้ว ก็ยังได้บำเพ็ญศึกษาปฏิปทาข้อวัตรปฏิบัติต่อมาอีกนานพอสมควร แล้วจึงได้กราบลาเพื่อออกหาสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งใหม่ต่อไป และในครั้งนั้นหลวงปู่สีลา อิสสโร จึงแนะนำให้ไปพักบำเพ็ญที่ วัดบ้านกุดเรือ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโยก็ได้ปฏิบัติตามที่ครูบาอาจารย์ แนะนำ ได้พักปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดบ้านกุดเรีอนานพอสมควรแก่เวลาแล้วจึงโด้กราบลา หลวงปู่สีลา อิสสโร ออกเดินทางมุ่งหน้าตรงไปยัง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ที่สุดได้ เข้าไปพักบำเพ็ญอยู่ที่วัดพระงามศรีมงคล ซึ่งมีท่านพระอาจารย์อ่อนสี สุเมโธ เป็นเจ้าอาวาส เป็นวัดเก่าที่หลวงปู่มั่นภูริทตตเถร เป็นผู้สร้างไว้ ตลอดระยะเวลาการบำเพ็ญก็เป็นไปได้ดี มากพอสมควรต่อจากนั้นก็ได้ออกเดินทางมุ่งไปทางจังหวัดมุกดาหาร เพี่อแสวงหาสถานที่บำเพ็ญแห่งใหม่ต่อไป[/FONT]​




    [/FONT]
     

แชร์หน้านี้

Loading...