ใครปิดหูปิดตา ประชาพิจารณ์ บัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย Hades, 19 พฤษภาคม 2007.

  1. Hades

    Hades เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +199
    สวัสดีค่ะ ทุกท่าน ดิฉัน อยู่จ.นครสวรรค์ วันนี้มีเรื่องด่วนที่ทุกท่าน ควรได้รับทราบมาบอกกันนะคะ เรื่องเกี่ยวกับการบัญญัติพระพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาประจำชาติ
    มีเหตุการณ์ที่เหล่าผู้สนับสนุนในเรื่องนี้ที่ นครสวรรค์ ได้ไปพบเจอมาในการไปช่วยโหวตและพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในการสัญจรของ สสร. ขอนำมาเล่าให้ฟังนะคะ

    ที่นครสวรรค์ได้มีการจัด สสร.สัญจรมานะคะ ตั้งแต่ในเมืองฯ จนถึงอำเภอต่างๆทั่วนครสวรรค์ แต่กลับมีผู้รับรู้ข่าวสารว่าจะมีการสัญจรมาเพียงไม่กี่คน..คือไม่มีการประช าสัมพันธ์กันล่วงหน้าให้ได้ทราบทุกคน..
    ครั้งแรกที่จัดที่อำเภอเมืองฯ กลับมีคนไปฟังเพียงแค่ ร้อยกว่าคนเท่านั้น ทั้งๆที่ในเมืองมีคนเป็นหมื่นเป็นแสนคน กลับได้รับข่าวสารเพียงหยิบมือเดียว และเมื่อมีผู้ต้องการเข้าไปฟังการพูดของสสร. ในครั้งนี้ก็ต้องมีมากมายหลายขั้นตอนคือต้องลงทะเบียนจึงจะเข้าไปแล้วแสดงคว ามคิดเห็นได้ ซึ่งบางท่านที่นี่ไปถึงทีหลังก็กลับถูกกีดกันไม่ให้เข้าไป ก่อนการพูดในหัวข้อนี้ทาง สสร. มีการนำวีดีทัศน์ที่สนับสนุนการไม่นำศาสนาพุทธเข้าในรัฐธรรมนูญซึ่งพูดโดย ท่านเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ให้ฟังก่อน โดยไม่เปิดโอกาสให้ฝั่งที่สนันสนุนการนำพระพุทธศาสนาเข้าในรัฐธรรมนูญได้อภิ ปรายเลย จึงทำให้ฝ่านที่ไม่สนับสนุนชนะที่ 55 เสียงต่อ 45 เสียง ซึ่งภายหลังมีการสรุปเป็นเอกสารในการพูดครั้งนี้ว่า ชนะที่คะแนน 60 ต่อ 40 ซึ่งบิดเบือนไปจากความเป็นจริง..

    ครั้งต่อมาที่กลุ่มสนับสนุนให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ได้ไปเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นเป็นการสรุปในหัวข้อต่างๆใน 4 จังหวัดภาคเหนือที่ได้ไปสัญจรมา เหตุการณ์ก็เหมือนๆเดิมคือ ผู้ที่ไปเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้มีน้อย และผู้ที่ไปที่หลังกลับได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ว่าภายในไม่มีการโหวตเสียง มีแค่การพูดอภิปรายเท่านั้น ทั้งที่จริงมีการโหวต และยังกีดกันไม่ให้เข้าฟัง
    โดยพูดวกไปวนมา... ภายในผู้ที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
    ผู้ที่ไม่สนับสนุนได้รับโอกาสที่จะพูดได้นาน แต่เมื่อผู้ที่สนับสนุนจะพูด ทาง สสร. กลับพูดบอกว่า "พรุ่งนี้คุณจะพูดจบไหมเนี่ย " ทั้งๆที่พูดได้ไปเพียงนิดเดียว และมักให้พูดได้แค่คนละนิดๆหน่อยๆ และพูดได้ไม่เต็มที่เท่าผู้ที่ไม่สนับสนุน
    ท่านหนึ่งซึ่งได้ไปเข้าร่วมฟังในครั้งนี้บอกว่า ผู้ไม่สนับสนุนซึ่งขึ้นพูดอภิปราย มีลักษณะที่ไม่น่าใช่ชาวพุทธคือ หน้าออกไปทางแขกและที่สำคัญในขณะพูดอภิปรายยังพูดถึงศีล 5 ของชาวพุทธเราถูกๆผิดๆ

    เมื่อถึงการโหวต ผู้ไม่สนับสนุนยกมือกันหลอมแหลม แต่ผู้ที่สนับสนุนยกมือกันเยอะกว่า
    แต่ทาง สสร. กับพูดเบี่ยงว่า ไม่ต้องนับหรอกยังไงไม่เห็นด้วยก็ชนะ ทั้งๆที่ยังไม่ได้นับ ก็บอกว่า
    ไม่เห็นด้วย 60 เห็นด้วย 40 ซึ่งมีพิรุธอย่างเห็นได้ชัด
    ที่นครสวรรค์ มีพื้นที่หนึ่งที่โหวตชนะคือ ที่ลาดยาว เพราะอำเภอนั้นได้ทราบข่าวและเตรียมตัวเร็ว.. และมีการเชิญสื่อมวลชนไปด้วย จึงทำให้ทาง สสร. ไม่กล้า ผู้สนับสนุนชนะด้วยคะแนนเสียง 90


    จะเห็นได้ว่าการสัญจรครั้งนี้มีความไม่เป็นธรรมอยู่มาก ไม่ทราบว่าที่จังหวัดอื่นๆ ประสบปัญหาเช่นนี้หรือไม่คะ เพราะเท่าที่ทราบมาจากคนรู้จัก เมื่อวานที่เชียงใหม่ก็โดนแบบนี้เช่นเดียวกัน

    ตอนนี้คิดว่าเราชาวพุทธไม่ควรนั่งดูดายต่อไปนะคะ เพื่อพระพุทธศาสนาของเรา ก็ช่วยเผยแพร่ข่าวสารนี้ให้ทราบโดยทั่วกันนะคะ จะได้ช่วยกันหาทางแก้ไข ขอบคุณมากค่ะ...

    อย่ามองว่าเรื่องนี้เป็นอะไรที่ไม่ควรสนับสนุนนะคะ บางอย่างที่เราคิดว่าก็รู้ๆกันอยู่ไม่เห็นต้องทำให้เป็นกิจลักษณะเลย ...อย่ามองข้ามเรื่องเพียงเล็กน้อยนี้นะคะ อย่าให้พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นส่งที่จะสร้างสันติสุขให้แก่โลกต้องเสื่อมในยุค ของเราเลยนะคะ มาช่วยกันสร้างโลกให้น่าอยู่ด้วยกันนะคะ

    ที่มา
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y5422766/Y5422766.html
     
  2. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,516
    ค่าพลัง:
    +27,187
    ถ้าเป็นกิจลักษณะก็จะทำให้คนมีโอกาสรอดตายกันเยอะขึ้นด้วยจ้ะ
     
  3. lepus

    lepus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,881
    นีคือเรืองราวที่เกิดจริง
    ประจาน-ประชาพิจารณ์ ฯ : ความไร้เดียงสาของนักวิชาการ หรือ วิชามารของนักวิชาเกิน

    กระบวนการสร้างรัฐธรรมนูญในบ้านเมืองเรากำลังดำเนินมาถึงขั้นตอนการรับฟังความเห็นภาคประชาชน หรือ การทำประชาพิจารณ์ ซึ่งกำลังมีการดำเนินการกันทั่วประเทศอยู่ในขณะนี้
    การทำประชาพิจารณ์ก็เหมือนกับการทำการวิจัยทางวิชาการอื่น ๆ โดยทั่วไป กล่าวคือการรับฟังความเห็นของประชาชนย่อมไม่สามารถรับฟังได้ทุกคนที่เป็นคนไทย ดังนั้นการรับฟังความเห็นจึงทำได้เพียงบางคนเท่านั้นโดยการสุ่มตัวอย่าง อันนี้เป็นหลักการทางสถิติที่ยอมรับโดยทั่วไป
    การสุ่มตัวอย่างหากกระทำโดยไม่มีหลักเกณฑ์ ตัวอย่างนั้นย่อมไม่สามารถเป็นตัวแทนที่ดีของประชากรได้ ผลที่ตามมาคือ งานวิจัยนั้นหมดความน่าเชื่อถือ เสียเวลา เสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์ ในทางตรงกันข้าม หากนักวิจัยต้องการผลการวิจัยให้เป็นไปในทางใดทางหนึ่งที่ตนเองต้องการ ก็สามารถทำได้ โดยวางแผนกำหนดได้ตั้งแต่ขั้นตอนการสุ่มตัวอย่างเลยทีเดียว ภาษานักวิจัยเรียกว่า
     
  4. tawatd

    tawatd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    506
    ค่าพลัง:
    +2,019
    ไม่ยอมรับ สสร.ชุดนี้
     
  5. หนูแว่น

    หนูแว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    1,188
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ถ้ามีการอคติเกิดขึ้นจริงก็ไม่มีประโยชน์ที่จะประชาพิจารณ์อีกต่อไป
     
  6. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,272
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,095
    มันต้องมีการวางแผนมาก่อนเรียกได้ว่า ต้องการทำลายศาสนาพุทธแน่นอนครับ
     
  7. putipongb

    putipongb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    594
    ค่าพลัง:
    +3,843
    วิชามารของสสร
     
  8. Hades

    Hades เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +199
    วันนี้มาต่อ ตอนที่ 2 กันเลยค่ะ "จิตสำนึกของชาวพุทธหายไปไหน"

    สวัสดีค่ะ ดิฉันอยู่ จ.เชียงใหม่

    เรื่องนี้อาจจะยาวไปหน่อยนะคะ แต่ขอให้ชาวพุทธได้อ่าน เพราะนี่เป็นเรื่องที่ไม่โปร่งใส ของการทำประชาพิจารณ์เพื่อบัญญัติพระพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาประจำชาติ ของคณะกรรมาธิการ วิสามัญ ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ และภาพเหนือ ค่ะ

    จากการที่มีการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชนประจำจังหวัดเชียงใหม่ จากเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากล ในการแจ้งข่าวสารให้ประชาชนในพื้นที่เขต จ.เชียงใหม่ ที่ได้จัดขึ้นในวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมาแล้วนั้น เหตุการณ์เดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับ อำเภอสันป่าตองเช่นกันค่ะ

    เมื่อการลงประชามติที่อำเภอสันป่าตองผ่านไปได้เพียงวันเดียว เพื่อนพี่น้องชาวพุทธของเราได้แจ้งให้ทราบว่า ในวันที่ 17 พฤษภาคม คณะกรรมาธิการจะมีการประมวลผลการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชนประจำจังหวัดภาคเหนือ 4 จังหวัด คือ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง ซึ่งพี่น้องชาวพุทธเราส่วนหนึ่งบอกดิฉันว่า เขาจะจัดกันที่ มหาวิทยาลัยพายัพ แต่ต่อมาสักพัก พี่น้องชาวพุทธอีกท่าน ที่ได้ติดตามสังเกตการณ์การทำประชาพิจารณ์นับแต่ทราบข่าว ก็มาบอกดิฉันว่า เขาจัดวันที่ 17 พฤษภาคม จริง แต่จัดที่ โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จากข้อมูลทั้ง 2 แหล่งจึงทำให้ดิฉันและเพื่อนพี่น้องชาวพุทธ ในจังหวัดเชียงใหม่ เกิดความสับสนใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะจัดที่ไหนกันแน่

    พี่น้องชาวพุทธท่านหนึ่งจึงได้ลอง สืบค้นผ่านเวปไซต์ของรัฐสภา ( http :// www.parliament.go.th/ ) ในส่วนสภาร่างรัฐธรรมนูญและเวปไซต์ของหนังสือพิมพ์แนวหน้า ( http:// www.naewna.com/ ) ในส่วนข้อมูลจากสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อสืบหากำหนดการและสถานที่ของการประชุมของคณะกรรมาธิการฯ พบว่า จังหวัดเชียงใหม่ จะมีการสัมมนาจริง ในวันที่ 17 พฤษภาคม นี้ ซึ่งใน เวปไซต์ทั้ง 2 แจ้งตรงกันว่า จะจัดขึ้น ณ มหาวิทยาลัยพายัพ จังหวัดเชียงใหม่

    ในเช้าของวันที่ 17 พฤษภาคมนั้นเอง ดิฉันจึงลองโทรศัพท์เพื่อสืบค้นความจริงว่าจัดที่แห่งไหนกันแน่ โดยได้โทรศัพท์ไปยัง มหาวิทยาลัยพายัพ สอบถามเจ้าหน้าที่ว่า วันนี้ที่มหาวิทยาลัยมีการใช้ห้องประชุมหรือไม่ เจ้าหน้าที่ตอบมาว่า มี แต่เป็นการประชุมภายในของมหาวิทยาลัยเองไม่ใช่จากภายนอก

    ทราบคำตอบเช่นนั้น ดิฉันจึงรีบเดินทางไปยัง โรงแรมโลตัสปางสวนแก้วทันที เมื่อไปถึง ที่โรงแรมได้ตรงไปดู ที่บอร์ดหน้าประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นปกติของโรงแรมชื่อดังชั้นนำจะติดป้ายที่บอร์ดว่า ในวันนั้นๆ จะมีการใช้ห้องประชุม เพื่อประชุมเรื่องอะไรบ้าง ดิฉันพยายามตรวจดูว่า ณ ห้องใดเป็นห้องสำหรับประชุมเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ปรากฏอยู่ที่บอร์ดประชาสัมพันธ์ จึงไปถามพนักงานต้อนรับว่า วันนี้ที่โรงแรมมีการประชุมเรื่องร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ พนักงานเธอบอกว่า มีค่ะ และบอกต่อว่าห้องบ้านแสนตอง ชั้น6 ดิฉันจึงรีบเดินไปยังห้องประชุม ปรากฏว่าระหว่างเดินไปนั้น มีป้ายบอกระหว่างทางเชื่อมของอาคารเป็นระยะๆว่า “ประชุม กลุ่มงานคณะกรรมาธิการพาณิชย์ เชิญ..ห้องบ้านแสนตอง”


    ทำให้ดิฉันงงมากๆ ค่ะ จึงคิดว่า ตกลงเจ้าหน้าที่บอกผิด หรือ เราสายตาไม่ดี อ่านผิด พอเดินไปสักพักจึงได้เห็นว่ามีป้ายขนาดใหญ่ เป็นข้อความว่า ประชุมร่างรัฐธรรมนูญ จึงทำให้ดิฉันมีความมั่นใจขึ้น ยิ่งเมื่อไปถึงหน้าห้องประชุมก็พบว่า มีเจ้าหน้าที่ที่รับลงทะเบียน ซึ่งเป็นชุดเดียวกับที่รับลงทะเบียนที่อำเภอสันป่าตอง จึงทำให้มั่นใจ จัดที่นี่จริง เราจึงได้ไปติดต่อเพื่อลงทะเบียน แต่กระนั้น ดิฉันสังเกตว่า ที่หน้าห้องประชุม ป้ายบอกการประชุมยังคงเป็นเช่นเดิม แต่ช่วงบ่ายเมื่อประชุมเสร็จ ป้ายหน้าห้องก็เปลี่ยนเป็น “ ประชุม “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” เชิญ..ห้องบ้านแสนตอง ” โดยมีการปิดทับข้อความดังกล่าวในตอนเช้า ซึ่งตามปกติ โรงแรมชั้นนำระดับนี้ ระบบการปิดป้ายบอกห้องประชุม จะเป็นการทำวันต่อวัน และเป็นจุดสำคัญที่ไม่น่าจะมีการผิดพลาดได้


    จากเหตุการณ์นี้เป็นที่น่าสังเกตว่า ข้อมูลที่ได้ทำการประกาศให้สาธารณชนทราบโดยทั่วกัน ผ่านเวปไซต์ของรัฐสภา และผ่านสื่อมวลชนที่ได้รับจากรัฐสภา กลับไม่ตรงกับที่คณะกรรมาธิการฯในส่วนจังหวัดได้ดำเนินการ

    คณะกรรมาธิการทำประหนึ่งว่า เป็นขอมดำดิน ที่หาความแน่ชัดไม่ได้ว่า แท้จริงแล้วจะจัดการประชุมที่แห่งใดแน่ ประกาศในเวปไซต์ว่าจัดที่หนึ่ง แต่เอาเข้าจริงกลับจัดอีกที่หนึ่ง จากข้อนี้ทำให้พี่น้องชาวพุทธสันสนกันมาก


    เมื่อได้ลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่ ท่านก็ถามดิฉันว่า “คุณมีรายชื่อในบัญชีที่ถูกเชิญมาหรือไม่ ถ้ามีรายชื่อในบัญชีที่ถูกเชิญมานี้ คุณจึงมีสิทธิ์ร่วมอภิปราย” และเจ้าหน้าที่ท่านนั้น กล่าวต่อว่า “ให้คุณลงชื่อต่อจาก บัญชีที่ถูกเชิญมานี้นะว่า เป็นผู้สังเกตการณ์” ข้อความนี้ทำให้ดิฉันเกิดความสงสัยว่า ประชาชนทั่วไป ไม่มีสิทธิ์ที่จะอภิปรายเลยหรือ


    เดชะบุญ ที่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อลงทะเบียนเสร็จ เจ้าหน้าที่ท่านนั้น ได้ยื่นบัตรติดหน้าอกให้ดิฉัน เป็นบัตรสำหรับผู้ร่วมอภิปราย เพราะคิดว่างานนี้เป็นงานใหญ่เป็นเรื่องพระศาสนา เราชาวพุทธต้องช่วยกัน ดั่งเช่นที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเมตตามั่นย้ำเป็นประจำทุกวันว่า เรื่องส่วนตัวให้วางอุเบกขา เรื่องพระศาสนาให้เอาอุเบกขาวางดิฉันจึงรีบโทรศัพท์ แจ้งไปยังพี่น้องชาวพุทธให้ทราบว่า ที่โรงแรมแห่งนี้ถูกต้องแล้ว ให้ช่วยกระจายข่าวกันออกไปด้วย


    ซึ่งในงานสัมมนาวันนี้ พี่น้องชาวพุทธของเรา ได้แจ้งให้ทางคณะสงฆ์ท่านได้ทราบด้วย เพราะท่านเองปรารถนาที่จะเดินทางมาปกป้องพระพุทธศาสนาด้วยตัวของท่านด้วยค่ะ

    แต่เมื่อเข้ามาในห้องประชุมแล้ว กลับไม่เห็นพระภิกษุแม้แต่รูปเดียว ทั้งๆที่ท่านแจ้งให้ทราบว่า ท่านเดินทางมากันแล้ว


    เมื่อประชุมเสร็จแล้ว พี่น้องชาวพุทธเราได้ไปกราบถามท่าน ท่านจึงเล่าให้ฟังว่า ท่านมากันแล้วหลายรูป แต่เจ้าหน้าที่ ไม่อนุญาตให้พระสงฆ์เข้าร่วม ท่านบอกว่า เปิ้นไล่ปิ๊ก ซึ่งแปลความว่า “ เขาไล่กลับ ”


    หลังจากที่ประชุมได้มีการกล่าวเปิดแล้ว จากนั้นได้มีการนำเสนอและสรุปผลรับฟังความคิดเห็น ตามด้วยนาย สมชัย ฤชุพันธ์ วิทยากรจากคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ นำเสนอประเด็นหลักของการร่างรัฐธรรมนูญ จากนั้น ช่วงเวลา 10:30 – 12.00 น. เขาได้ทำการแยกกลุ่มผู้เข้าประชุม แบ่งเป็น 3 กรอบ ในประเด็นว่าด้วยการบัญญัติ พระพุทธ-ศาสนาให้เป็นศาสนาประจำชาตินั้น อยู่ในกรอบที่ 1 สิทธิเสรีภาพ ว่าด้วย การมีส่วนร่วมของประชาชนและการกระจายอำนาจ ซึ่งพี่น้องชาวพุทธของเรา ส่วนใหญ่ได้มาร่วมกันที่ กรอบที่ 1 นี้ จากนั้นจึงมีการอภิปราย ในกรอบนี้ มีทั้งสิ้น 5 ประเด็น ส่วนประเด็นสำคัญที่สุด ที่ดิฉันและพี่น้องชาวพุทธรอคอยนั้น อยู่ท้ายสุด และปรากฏว่า ที่ประชุมมีการอภิปรายเป็นอย่างมากในประเด็น ที่ 1 ถึงประเด็นที่ 4 เจ้าหน้าที่จึงเลื่อนเรื่องการบรรจุพระพุทธศาสนา ให้เป็นศาสนาประจำชาติ ไปช่วงบ่าย

    เริ่มอภิปรายช่วงบ่าย เนื่องจากมีเพียงกรอบที่1 กรอบเดียวที่ยังอภิปรายไม่จบ จึงมีการรวมอภิปรายทุกกรอบในประเด็นนี้ จากนั้นวิทยากร ได้เชิญ ผู้อภิปรายท่านแรกที่ไม่เห็นด้วย ท่านผู้นี้ได้ทำหน้าที่เป็นพิธีกรบนเวทีอภิปราย ณ อำเภอสันป่าตอง ท่านผู้นี้ได้กล่าวว่า ตนเองได้เดินสายไปทุกเวที และไม่เห็นด้วยกับการบรรจุพระพุทธศาสนา ว่าเป็นศาสนาประจำชาติ ท่านให้เหตุผลโดยสรุปว่า จะก่อให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมือง โดยวิทยากรจะพยายามพูดชี้นำ กับท่านโดยตลอด และถ้าหาก ผู้อภิปรายท่านใด ไม่เห็นด้วยกับการบรรจุพระพุทธศาสนาว่าเป็นศาสนาประจำชาติ วิทยากรบนเวทีก็อนุญาต ให้พูดเต็มที่ และมีลูกรับ ลูกชนกัน เหมือนยังกับลำตัด โยนลูกกันไป โยนลูกกันมา ให้โอกาสกับผู้ไม่เห็นด้วยอภิปรายเป็นเวลานานและหลายท่าน ส่วนในฝ่ายผู้ที่เห็นด้วยได้มีโอกาสอภิปรายเพียง 1 ท่านเท่านั้น และมีโอกาสพูดไม่ถึง 1 นาที ก็ถูกวิทยากรตัดบท


    และจากนั้น ได้มีผู้ร่วมอภิปรายท่านหนึ่ง เธอเดินทางมาจากจังหวัดลำปาง ได้กล่าวขึ้นว่า “ขอร้องเถอะ เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน อย่าได้พูดอีกเลย” ทันทีที่เธอผู้นี้กล่าวเช่นนี้ วิทยากร (คนละคนกับที่ อำเภอสันป่าตอง) ได้กล่าวขึ้นว่าขอห้ามไม่ให้พูดเรื่องนี้อีก และในระหว่างที่มีการอภิปรายนั้น พี่น้องชาวพุทธ ที่เข้าร่วมสังเกตการณ์ ได้เห็นเอกสารชุดหนึ่ง ที่ได้พิมพ์สรุป ผลการแสดงประชามติ พี่น้องชาวพุทธท่านนั้นจึงได้จดตัวเลขเหล่านั้นไว้ เมื่อได้อ่านข้อความพบข้อความที่น่าแปลกใจและน่าสงสัยค่ะคือ ผลการลงประชามติในรอบที่ 2 ของ อำเภอฝาง ระบุว่า มีผู้เข้าร่วม 230 คน มีผลดังนี้คือ เห็นด้วยให้บรรจุฯ N/A (N/A หมายถึง ไม่มีข้อมูล หรือ ไม่สามารถระบุได้) ไม่เห็นด้วย N/A บรรจุหรือไม่ก็ได้ N/A แล้วในเอกสารนั้น สรุปว่า ส่วนใหญ่ เห็นพ้องไม่เห็นด้วย ในที่ประชุมนั้นเขาสรุปได้อย่างไรว่าไม่เห็นด้วย ทั้งๆ ที่ไม่มี จำนวนการยกมือแสดงความคิดเห็น


    การทำประชาพิจารณ์ เพื่อร่างรัฐธรรมนูญ สามารถคาดเดาเอาได้ โดยไม่มีการ ยกมือแสดงความคิดเห็นอย่างนี้เลยหรือ ซึ่งในการประชุมที่ อำเภอ ฝางนั้น พี่น้องชาวพุทธเรา ยังไม่ได้รับทราบว่า ได้มีการประชุมเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ


    หลังสัมมนาเสร็จ พี่น้องชาวพุทธท่านหนึ่ง ได้ไปสอบถาม รองประธานกรรมาธิการฯ ซึ่งท่านได้พูดออกมาว่า ส่วนตัวท่านไม่เห็นด้วยที่จะให้บรรจุพระพุทธศาสนาว่าเป็นศาสนาประจำชาติ ท่านให้เหตุผลว่า หากบรรจุแล้ว จะทำให้สังคมแตกแยก เศรษฐกิจก็แย่



    และพี่น้องชาวพุทธเราท่านหนึ่งได้ไปสอบถามกับเจ้าหน้าที่ว่า คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ของจังหวัดเชียงใหม่ มีกี่ท่าน ได้รับคำตอบว่ามี 4 ท่าน เป็นพี่น้องอิสลาม 2 ท่าน คริสต์ 1 ท่าน และพุทธ 1 ท่าน


    และได้สอบถามไปอีกว่า จะมีการทำประชาพิจารณ์ ณ ที่แห่งไหนอีก ได้รับคำตอบว่า วันที่ 23 นี้ จะมีที่ จังหวัดลำพูน แต่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ลงประชามติในรอบที่ 2 พี่น้องชาวพุทธเราจึงถามว่า แล้วผลที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง คำตอบที่ได้รับน่าตกใจมากค่ะว่า “แพ้ตลอด”


    ขณะนี้ ภัยต่างๆได้คุกคามรุกรานทำลายพระพุทธศาสนา พระภิกษุผู้เป็นเนื้อนาบุญ ไม่ประทุษร้ายผู้ใด และไร้ซึ่งอาวุธ กลับถูกโจรร้ายใจทมิฬ ฟันคอกระทั่งมรณภาพบ้าง ถูกลอบวางระเบิดบ้าง เผาวัดบ้าง เราชาวพุทธยังทนกันได้อยู่อีกหรือ?


    และในขณะนี้ แม้แต่การทำประชาพิจารณ์ในหลายพื้นที่ ไม่ได้รับความเป็นธรรม เราชาวพุทธจะยังคงนิ่งดูดาย ไม่ช่วยกันคิดหาหนทางแก้ไขอยู่อีกหรือ จิตสำนึกของความเป็นชาวพุทธหายไปไหน?



    แล้วอย่างนี้ เราจะกล้าสู้หน้า บรรพบุรุษของเรา ที่ท่านได้หลั่งเลือดเนื้อ และยอมสละแม้กระทั่งชีวิต เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย เพื่อพิทักษ์พระพุทธศาสนาไว้ให้พวกเราได้อย่างไร? <!--MsgFile=1-->

    <!--MsgFile=0-->
    บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องร่วมแรงร่วมใจ คิดหาหนทางแก้ไข เอาอุเบกขาวาง แล้วช่วยกันสอดส่อง หาหนทางที่จะพิทักษ์พระพุทธศาสนาให้คงอยู่ สถิตสถาพร คู่โลกตราบนานเท่านาน


    ดั่งที่ได้ปรากฏ ณ จารึก ในศาลพระเจ้าตากสินมหาราช วัดอรุณราชวราราม ถึงพระราชปณิธานของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ได้ทรงตรากตรำพระวรกาย ในการกู้ชาติ ความว่า


    "อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก
    ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา
    ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา
    แด่พระศาสนา สมณะ พระพุทธโคดม
    ให้ยืนยง คงถ้วน ห้าพันปี
    สมณะพราหมณ์ชี ปฏิบัติ ให้พอสม
    เจริญสมถะ วิปัสสนา พ่อชื่นชม
    ถวายบังคม รอยบาท พระศาสดา
    คิดถึงพ่อ พ่ออยู่ คู่กับเจ้า
    ชาติของเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา
    พุทธศาสนา อยู่ยง คู่องค์กษัตรา
    พระศาสดา ฝากไว้ ให้คู่กัน"


    ขอฝากความหวังแห่งพระศาสนาไว้กับพุทธบริษัทสี่ทุกท่าน

    ชาวพุทธจังหวัดเชียงใหม่ไม่ขอดูดาย <!--MsgFile=2-->



    ที่มา
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y5434963/Y5434963.html
     
  9. คนเก่า

    คนเก่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,355
    ค่าพลัง:
    +15,053
    ดูเถอะ แม้เป็นหญิงยังเดือดร้อนพากเพียร ปกป้อง ชาติพระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์

    ขอคารวะหญิงไทยด้วยพระนิพนธ์ของเสด็จในกรมพระนริศฯ

    แปลก็ไกว ดาบก็แกว่ง แข็งหรือไม่
    ใช่อวดหยิ่ง หญิงไทย มิใช่ชั่ว
    ไหนไถถาก ตรากตรำ ไหนทำครัว
    ใช่ดีแต่ จะยั่ว ผัวเมื่อไร
    แรงเหมือนมด อดเหมือนกา กล้าเหมือนหญิง
    นี่จะจริง ดังว่า หรือหาไม่
    ศึกถลาง ปางจะจอด รอดเพราะใคร
    เพราะหญิงไทย ไล่ฆ่า พม่าแพ้
     

แชร์หน้านี้

Loading...