ทำได้ ก็ยินดีด้วยครับผม
แต่ที่ไม่ยินดีอย่างยิ่ง คือ(จากการอ่านกระทู้ที่ผ่านมา)
ท่านไม่เข้าใจ เรื่องบุญ บารมี วาสนา ที่เราๆท่านๆ ได้สร้างมาต่างกัน จะยกเอาท่านหรือใครเป็นมาตรฐานไม่ได้เลย ดูอย่างพระอานนท์พระเลขา พระพุทธเจ้ายังต้องรอให้ พระพุทธองค์ปรินิพพานก่อน ท่านถึงจะได้บรรลุอรหัตผล
วิธี หนทาง ระยะ เวลา ที่จะถึงจุดหมายปลายทางมันต่างกันจริงๆๆ
ถ้าท่านเข้าใจเรื่องนี้ได้ การที่ท่านทำไปนั้นแม้ถูกหรือผิดก็ตาม เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง
ด้วยความปราถนาดีครับ
ใครเคยนั่งมโนฯ ไปป่าหิมพานต์บ้างคะ
ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย เอื้องผึ้ง, 22 ธันวาคม 2012.
หน้า 4 ของ 5
-
-
และผมก็ไม่มีพื้นฐานมาก่อนได้ฝึกตอนบวชแล้วมันก็เห็นผลรวดเร็ว
คือขึ้นปฐมฌานใน7วัน ลองอ่านดูไม่ใช่มีแค่ผมคนเดียวที่ได้
ญาน ฌาน บุฟเพนิวาสานุสติแต่มีเป็นพันคนพระบางรูปถึงขั้นอภิญญามีญาน
หยั่งรู้แทบจะทุกเรื่อง และพอได้แล้วนะอินทรบุตรไปภาวนาเถอะ ค่อนข้างปัจจัตตัง แต่คนที่ถึงแล้วย่อมเห็นกันได้ เพราะสามารถ
เห็นพระอรหันต์ได้แล้วนั่นเอง คือมันเกินวิสัยที่จะนึกคิดเอาเองได้
http://palungjit.org/threads/เข้าฌาน-แล้วระลึกชาติ.363781/ -
พระโอวาทของพระพุทธเจ้าแต่ละครั้ง พระองค์ยังต้องคำนึง อุปนิสัย เวลา โอกาศ สถานที่ ประโชนย์แก่ผู้ฟังเป็นที่ตั้ง
(ซึ่งเราๆท่านๆ ยังพอจะหาข้อมูลอ้างอิงได้)
ส่วนการอ้างอิงคำพูดครูบาอาจารย์นั้นมีความเสี่ยงสูง เพราะไม่รู้ปัจจัยแวดล้อมในตอนนั้นครับ
พอละ จะฟังเรื่องหิมพานต์ต่อ(ถ้ามี) -
สำหรับคุณ Tamjugg
ประเด็นปัญหาไม่ได้อยู่ที่คุณจบ ฌาน บุฟเพนิวาสานุสติ อภิญญา หรืออะไรก็ตาม ได้เร็ว หรือช้า ปัญหาคือคุณไปเกะกะระรานเขา
เราอยู่ในโลกมนุษย์เป็นชุมทาง ของ นรก สวรรค์ นิพพาน(ต่างที่มา ต่างที่ไป) เพราะฉะนั้น
อุปนิสัย วาสนา บารมี บุญกรรม ของคน วิธี หนทาง ระยะ เวลา ที่จะถึงจุดหมายปลายทางมัน จึงต่างกันอย่างมากมายมหาศาล (ซึ่งคุณอ้างว่า ได้บุฟเพนิวาสา... ซึ่งก็น่าจะเข้าใจดีกว่าทุกคน)
ถ้าคุณเข้าใจตรงนี้ เมื่อใหร่ คุณก็พร้อมที่จะขอโทษคนที่คุณไประรานเขาด้วยใจจริง
ด้วยความปราถนาครั้งที่สองครับ -
หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของปัญญาญานและอาสวะญานคือที่สุดซึ่งมีลำดับขั้นกันไปตั้งแต่พุทธกาลแล้วสำหรับอภิญญาต่างๆ
คุณไปปราถนากับคนที่ไม่รู้ญานฌานแต่ไปสอนคนอื่นเถอะ เพราะผมมีพระเถระถึงวิชา3มาแนะนำแล้วคับขอบคุณมาก จบนะ... -
ได้ฟังเรื่องท่านเล่าก็หายห่วงครับ แบ๊คอัพดีก็ว่ากันไป
เรื่องที่ผมห่วงนั้นอยู่ที่
1.จะไม่ได้ฟังเรื่องป่าหิมพานต์มากกว่าครับ 55(สมัครมาปีกว่า เพิ่งมีเรื่องน่าสนใจ)
2.ห่วงคนที่มีบุญ วาสนา บารมี กับคนสอนญาณ(ที่ท่านว่า) กลัวท่านจะไปตัดทางเขา
เรื่องคนสอนญาณนั้นผมไม่ห่วงเลยครับ ไม่ว่าใครที่ไหนเพราะถ้าเค้าสอนของจริง หลักฐาน วิธีการ ผลปฏิบัติ มันสามารถอ้างอิงได้
ครับ -
1.อ่อเรื่องหิมพานต์ไปดูได้เองคับถ้าเข้าฌานจนเป็นวสีแล้ว ใช้กำลังฌานเป็นบาทฐานไปดูได้เอง แต่คุณธรรมาชาติมาบอกว่าการละโลภโกรธหลงและนิวรณ์เป็นมิจฉาทิฐิและอินทรบุตรมาโมทนาด้วย เรื่องเลยยาวและเถียงไม่เลิก
ส่วนเรื่องป่าหิมพานต์ผมยังไม่เคยไปดู แต่มีพระท่านไปมาแล้วบอกมีมักรีผลอะไรนั่นที่มีผลไม้เป็นรูปผู้หญิง พวกฤาษีทรงอภิญญาแล้วชอบไปดูปีนึงจะออกผลหนึ่งครั้งมั้ง แต่อย่างว่ามันอยู่อีกโลกทับซ้อนกันเห็นได้ยาก นอกจากฝึกสมาธิญานฌานแก่กล้าแล้ว
2.อินทรบุตรบอกว่าวิธีนี้ได้ฌานสอนฌานคนอื่นนี่สิ ผลการปฏิบัติกับตนเองเป็นยังไงยังไม่ชัดเจนเลยไปสอนคนอื่นแล้ว -
อ่านเรื่องป่าหิมพานต์ของท่าน ธรรม-ชาติ เพลินลืมดูประเด็น มิจฉาสัมมา
เอาอย่างไรดีละท่าน ที่วาสนา บารมี แต่ละท่านไม่เท่ากัน ไม่ได้สร้างมาร่วมกัน
เอาอย่างไรดีละท่าน เมื่อจริตของผู้สอนก็มีหลายจริต
เอาอย่างไรดีละท่าน เมื่อจริตของผู้ฝึกปฏิบัติมีหลายจริต
เอาอย่างไรดีละท่าน เมื่อทางไปสู่ ฌาณ มีหลายวิธี รู้ได้โดยอาการที่ถึง ว่าถ้าถึงจุดนี้แล้วจะมีลักษณะอย่างนี้
เอาอย่างไรดีละท่าน เมื่อเส้นแบ่งมิจฉา/สัมมาอยู่ที่ อะไรก็ตามไม่ใช่อยู่ในแนวทางหลุดพ้น ก็เป็นมิจฉาทั้งนั้น(ผมว่าเอง)
เอาอย่างไรดีละท่าน คิดว่าน่าทางใครทางมันดีกว่า (ระยะทางพิสูจน์ม้ากาลเวลาพิสูจน์คน)หรือท่านTamjuggว่าอย่างไร -
2. ผมตอบคำถามคนที่ไม่ใช่คุณ คุณก็ดันเอาตัวเองไปอ่านคำตอบ เอาตัวเองไปเป็นบรรทัดฐาน
ของที่มันไม่ใช่ของคุณ ของที่คุณยังไม่พร้อมจะรับ คุณอ่านให้ตายยังไงคุณก็ไม่เข้าใจหรอก มันยังไม่ถึงเวลาของคุณ
ถ้าคนที่มีการคิดทางโลกแบบปกติ เป็นระบบ มีการศึกษาที่ดีพอนะ
เขาจะคิดได้ว่า การวัดผลในกรณีนี้ มันผิด
ถ้าจะวัดผลว่าตอบได้จริงหรือเปล่า ชัดหรือเปล่า ต้องไปถามคนที่เขาได้รับคำตอบไป ว่าชัดไหม เข้าใจไหม
ถ้าสงสัยอะไรเรื่องผม ก็ไปเรียนถามพระอาจารย์ของคุณ ให้ท่านตรวจสอบดู ว่าจิตผมเป็นเช่นไร ตัวคุณเองนั้น ปัจจุบันนี้ไม่สามารถทำในข้อนี้ได้ครับ -
ในเมื่อพูดกันดีๆ ไม่รู้เรื่อง (ว่าจะฟังป่าหิมพานต์)
สำหรับคุณ อินทรบุตร
ถ้าจะอัดกัน ก็อัดกันในตรงๆ ในหัวข้อ ว่ากันเป็นฉากๆ ผิดถูกก็ว่ากันไป แต่นี้มันเกี่ยวอะไรกับท่านเจ้าคุณนร มิทราบ ถ้าอยู่ในหัวข้อพอทำเนา
กระทู้#62 ที่ท่านยกมาอ้าง
"ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้นั้นไม่จริง" (เจ้าคุณนรฯ) หมายความว่ายังไง
ที่พระพุทธเจ้าประกาศว่าทรงธรรมปาวๆ เป็นของไม่จริงหรือ หรือว่าจริงแต่พระปัจเจกที่ไม่ประกาศธรรม หรือว่าจะจริงเฉพาะคนใบ้ที่ไม่พูด -
สำหรับคุณ Tamjugg อาจจะหนักหน่อย ปลงอุเบกขาแบบท่านว่า ก่อนอ่านละกัน
มันเรื่องอะไรของ พระพุทธเจ้า ที่ท่านTamjuggยกมาอ้างในเมื่อท่านก็ยอมรับว่า
กระทู้ #68 1.อ่อเรื่องหิมพานต์ไปดูได้เองคับถ้าเข้าฌานจนเป็นวสีแล้ว ใช้กำลังฌานเป็นบาทฐานไปดูได้เอง
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับญาณทรรศนะหรือ
กระทู้#2
คนธรรมดาที่เต็มไปด้วยกิเลสไม่เห็นหรอกคุณมันบังหมด มันอยู่อีกโลกหนึ่งทับซ้อนกัน ต้องฝึกวิปัสนากรรมฐาน ปลงโลภะ โทสะ โมหะ นิวรณ์ทั้งหลายในตนชำระจิตให้สะอาดเป็นอุเบกขาจิงๆ ญานทรรศนะเปิด ถึงจะพอเห็นได้ ป่าหิมพานต์ เมืองลับแล โลกวิญญาน หรือมากกว่านั้น
ทำไมท่านไม่ขอบคุณท่านธรรม-ชาติ ที่ชี้ข้อผิดพลาดให้ทราบ
ในกระทู้ # 5
ดังนั้นท่านทั้งหลายไม่ต้องใส่ใจว่าจะต้อง ปลงโลภะ โทสะ โมหะ นิวรณ์ทั้งหลาย รวมทั้ง ญานทรรศนะเปิด อะไรต่าง ๆให้มันเป็นการวุ่นวายใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะไอ้ความคิดเอาเอง เออเอาเองแบบนั้น มันก็คือนิวรณ์ที่ไม่ใช่สัมมาทิฐินั่นแหละ
แล้วที่ประโยคที่ท่านธรรม-ชาติว่าไว้ เพราะไอ้ความคิดเอาเอง เออเอาเองแบบนั้น มันก็คือนิวรณ์ที่ไม่ใช่สัมมาทิฐินั่นแหละ
ท่านไม่เห็นหรือTamjuggกลับเข้าใจว่า
กระทู้ #68 แต่คุณธรรมาชาติมาบอกว่าการละโลภโกรธหลงและนิวรณ์เป็นมิจฉาทิฐิและอินทรบุตรมาโมทนาด้วย เรื่องเลยยาวและเถียงไม่เลิก
ถ้าทางที่ถูกท่านควรขอบคุณท่านธรรม-ชาติที่ชี้แนะ กลับมาชวนพระพุทธเจ้ามาทะเลากับท่านธรรม-ชาติ
กระทู้#6
นายธรรมชาติ นายจะเก่งกว่าพุทธเจ้าแล้วไหม พุทธเจ้าบอกให้ละ โลภะ โทสะ โมหะ............ฯลฯ
ท่านTamjuggทำถูกดีแล้วหรือ....
(ว่ากันตามเนื้อผ้าละครับ) -
2. ของพูดได้ทีว่านั้นคือ การประกาศอวดอตริมนุสธรรมในตน โดยไม่มีการพิจารณาประโยชน์ของผู้ฟังก่อนแสดง เป็นเพียงการสนองปมในจิตใจตนเอง ที่อยากจะให้ผู้อื่นได้รู้ ได้ทราบ ได้ชม แต่ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ กับผู้ใด อันนี้จึงเรียก "ของพูดได้" -
ตอบประเด็น#73 ของท่านอินทรบุตร
ผมลองเอาคำพูดท่านเจ้าคุณนร ไปค้นดูยังไม่ชัดเจนที่ไปที่มาครับ
สมมุติว่าท่านอินทรบุตรมาฟ้องปรับผิดท่าน Tamjugg ว่าอวดอุตริมนุษยธรรม ผมคิดเห็นต่อเรื่องนี้ว่า
1.ห้อง อภิญญา XP มีไว้เพื่ออะไร http://palungjit.org/threads/ห้อง-อภิญญา-xp-มีไว้เพื่ออะไร-และ-ควรอ่านก่อนจะตั้งกระทู้ใหม่.57437/
2.ผู้พูดก็ไม่ใช่พระ
3.อุตริมนุษมนุสธรรม ที่ท่านว่าส่วนมากก็เป็นฌานที่มีก่อนสมัยพระพุทธเจ้า
4.ความสำคัญไม่ถูกต้องก็อาจมีได้
5.ผู้กล่าวก็มีสิทธิ์ที่จะพูดได้(ตามข้อ1.)
6.คิดว่าผู้ฟังในห้องนี้มีวิจารณญาณในระดับหนึ่งทุกคน
ครับ -
เพราะเรื่องราวประหลาดทั้งหลายนั้น มีจริง และทราบได้โดยปัจจัตตัง โดยตัวผมเอง ก็ไม่ได้เดินทางมาแบบไม่รู้เห็นอะไรในเรื่องทำรองนี้เช่นกัน
แต่ผมยกประเด็นของการแสดงในลักษณะที่สนองกิเลสตัวเอง ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ผู้อื่น ระรานผู้อื่น เป็นสิ่งแสดงถึงการเข้าไม่ถึงสภาวะจิตของผู้เห็นธรรมะแก่นแท้ ตรงนี้ต่างหาก คือสิ่งที่เรียกว่า "ไม่จริง"
ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นประเด็นเดียวกันกับที่ท่านเตือน Tamjugg นั่นแหละครับ เพียงแต่ผมอาราธนาคำของท่านเจ้าคุณนรฯ มากล่าวเพิ่มเท่านั้นเอง
ขออโหสิกรรมต่อท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ -
หมวดอิทธิวิธี
หมวดเจโตปริยญาณ
ภิกษุนั้น ครั้นจิตตั้งมั่น บริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยน ควรแก่การงาน ตั้งอยู่อย่างไม่หวั่นไหวเช่นนี้แล้ว เธอชักนำจิตไปเพื่อ ญาณกำหนดรู้ใจผู้อื่น. เธอย่อมกำหนดรู้ใจสัตว์เหล่าอื่น บุคคลเหล่าอื่น ด้วยใจของตน.
จิตของผู้มีราคะว่า มีราคะ ไม่มีราคะว่า ไม่มีราคะ มีโทสะว่า มีโทสะ ไม่มีโทสะว่า ไม่มีโทสะ มีโมหะว่า มีโมหะ ไม่มีโมหะว่า ไม่มีโมหะ หดหู่ว่าหดหู่ ฟุ้งซ่านว่าฟุ้งซ่าน มีจิตเป็นมหรคตะ(จิตใหญ่)ว่าเป็นจิตมหรคตะ ไม่มีจิตเป็นมหรคตะว่า ไม่เป็น มหรคตะ มีจิตอื่นยิ่งกว่าว่า มีจิตอื่นยิ่งกว่า ไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่าว่า ไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า มีจิตตั้งมั่นว่ามีจิตตั้งมั่น ไม่มีจิตตั้งมั่นว่าไม่มีจิตตั้งมั่น มีจิตหลุดพ้นว่า มีจิตหลุดพ้น ไม่มีจิตหลุดพ้นว่า ไม่มีจิตหลุดพ้น แต่ละอย่างรู้ได้ชัดเจน
เปรียบเหมือนชายหนุ่มหญิงสาว รักการแต่งตัว เมื่อส่องดูเงาแห่งหน้าของตนในกระจกเงาอันหมดจอผ่องใส หรือในน้ำอันใส ถ้ามีไฝฝ้า ก็รู้ว่ามีไฝฝ้า ถ้าไม่มีไฝฝ้า ก็รู้ว่าไม่มีไฝฝ้า, ฉันนั้นเหมือนกัน. แม้นี้ ก็เป็นปัญญาของเธอประการหนึ่ง.
หมวดปุพเพนิวาสานุสสติญาณ*
ภิกษุนั้น ครั้นจิตตั้งมั่น บริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยน ควรแก่การงาน ตั้งอยู่อย่างไม่หวั่นไหวเช่นนี้แล้ว เธอชักนำจิตไปเพื่อ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ.
เธอย่อมระลึกถึงขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยในภพก่อนได้หลายประการ คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติ สามชาติ สี่ชาติ ห้าชาติบ้าง, สิบชาติ ยี่สิบชาติ สามสิบชาติ สี่สิบชาติ ห้าสิบชาติบ้าง, ร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติบ้าง.
ตลอดหลายสังวัฏฏกัปป์ หลายวิวัฏฏกัปป์ หลายสังวัฏฏกัปป์และวิวัฏฏกัปป์บ้าง, ว่าเมื่อเราอยู่ในภพโน้น มีชื่ออย่างนั้น มีโคตร มีวรรณะ มีอาหาร อย่างนั้นๆ เสวยสุขและทุกข์เช่นนั้นๆ มีอายุสุดลงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้เกิดในภพโน้น มีชื่อ โคตร วรรณะ อาหารอย่างนั้นๆ, ได้เสวยสุขและทุกข์เช่นนั้นๆ มีอายุสุดลงเท่านั้น, ครั้นจุติจากภพนั้นๆๆๆ แล้ว มาเกิดในภพนี้. เธอนั้น ระลึกถึงขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยในภพก่อน ได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการและลักษณะ ระลึกได้ชัดเจน ดังนี้
เปรียบเหมือนชายผู้หนึ่ง ออกจากบ้านตนไปบ้านคนอื่น แล้วออกจากบ้านนั้น ไปสู่บ้านอื่นอีก แล้วออกจากบ้านนั้นๆกลับมาสู่บ้านของตน เขาระลึกได้อย่างนี้ว่า เราออกจากบ้านตนไปสู่บ้านโน้น ที่บ้านโน้น เราได้ยืน ได้นั่ง ได้พูด ได้นิ่ง อย่างนี้ๆ, ครั้นออกจากบ้านนั้นแล้ว ได้ไปสู่บ้านโน้นอีก, แม้ที่บ้านโน้นนั้น เราได้ยืน ได้นั่ง ได้พูด ได้นิ่ง อย่างนั้นๆ, เราออกจากบ้านนั้นแล้ว กกลับมาสู่บ้านตนนั่นเทียว ฉันนั้นเหมือนกัน. แม้นี้ ก็เป็นปัญญาของเธอประการหนึ่ง.
หมวดจุตูปปาตญาณ*
ภิกษุนั้น ครั้นจิตตั้งมั่น บริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยน ควรแก่การงาน ตั้งอยู่อย่างไม่หวั่นไหวเช่นนี้แล้ว เธอชักนำจิตไปเพื่อ ญาณเครื่องรู้ซึ่งจุติและอุปะปาตะของสัตว์ทั้งหลาย.
เธอมีจักขุทิพย์ บริสุทธิ์กว่าจักขุของสามัญมนุษย์ ย่อมแลเห็นสัตว์ทั้งหลายจุติอยู่ บังเกิดอยู่, เลวทราม ประณีต มีวรรณะดี มีวรรณะทรามมีทุกข์ มีสุข.
เธอรู้แจ้งชัดหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ! สัตว์เหล่านี้หนอ ประกอบกายทุจริต
มโนทุจริต พูดติเตียนพระอริยเจ้าทั้งหลาย เป็นมิจฉาทิฏฐิ ประกอบการงานด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ, เบื้องหน้าแต่กายแตกตายไป ย่อมพากันเข้าสู่อบาย ทุคติวินิบาตนรก.
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ! ส่วนสัตว์เหล่านี้หนอ ประกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ประกอบการงานด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ, เบื้องหน้าแต่กายแตกตายไป ย่อมพากันเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์.
เธอมีจักขุทิพย์ บริสุทธิ์ล่วงจักขุสามัญมนุษย์ เห็นเหล่าสัตว์ผู้จุติอยู่ บังเกิดอยู่ เลว ประณีต มีวรรณะดี มีวรรณะทราม มีทุกข์ มีสุข. เธอรู้ชัดหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมได้ เห็นชัดแจ้ง ดังนี้,
เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนปราสาทที่ทางสามแพร่งกลางนคร เขาจะเห็นมนุษย์เข้าไปในเรือนบ้าง ออกมาจากเรือนบ้าง เที่ยวไปตามถนนด้วยรถบ้าง นั่งอยู่กลางทางสามแพร่งบ้าง, เขาเห็นชัดเจนอย่างนี้ว่า มนุษย์พวกนี้เข้าไปในเรือน พวกนี้ออกจากเรือน พวกนี้เที่ยวไปตามถนนด้วยรถบ้าง พวกนี้นั่งอยู่กลางทางสามแพร่ง ดังนี้ ฉันนั้นเหมือนกัน. แม้นี้ ก็เป็นปัญญาของเธอประการหนึ่ง.
หมวดอาสวักขยญาณ*
ภิกษุนั้น ครั้นจิตตั้งมั่น บริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยน ควรแก่การงาน ตั้งอยู่อย่างไม่หวั่นไหวเช่นนี้แล้ว เธอชักนำจิตไปเพื่อ อาสวักขยญาณ.
เธอย่อมรูชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์, นี้เหตุแห่งทุกข์, นี้ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, นี้แนวทางปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์. และเหล่านี้เป็นอาสวะทั้งหลาย, นี้เหตุแห่งอาสวะทั้งหลาย, นี้ความดับไม่เหลือแห่งอาสวะทั้งหลาย, นี้แนวปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งอาสวะทั้งหลาย. เมื่อเธอรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตก็พ้นจากกามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ.
ครั้นจิตพ้นวิเศษแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่า จิตพ้นแล้ว เธอรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ต้องทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก.
เปรียบเหมือนห้วงน้ำใส ที่ไหล่เขา ใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว คนมีจักษุยืนอยู่บนฝั่งในที่นั้น เขาจะเห็นหอยตัวกลมบ้าง หอยตัวแบนบ้าง ก้อนกรวดก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง อันหยุดอยู่ และว่ายไปในน้ำนั้น, เขาจะเห็นชัดจนรู้สึกว่า ห้วงน้ำนี้ ใสไม่ขุ่นเลย หอย ก้อนกรวด ก้อนหิน ปลาทั้งหลาย เหล่านี้ หยุดอยู่บ้าง เที่ยวไปบ้าง ในห้วงน้ำนั้น, ฉันนั้นเหมือนกัน. แม้นี้ ก็เป็นปัญญาของเธอประการหนึ่ง.
มานพ ! นี้แล อริปัญญาขันธ์นั้น ที่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงสรรเสริญ และทรงชักชวนมหาชนนี้สมาทาน ให้เข้าไปอยู่ ให้ตั้งไว้เฉพาะ.
ส่วนคนที่ยังไม่ได้ฌานยังหมุนฌานไม่ได้ แสดงความคิดเห็นก็ได้แต่พึงระวัง เพราะคนหมุนฌาน8เป็นร้อยรอบก็พูดได้ว่ายังอ่อนหัดห่างไกลยังไม่พอเลย -
รับทราบตาม #76 ซึ่งเรื่องทางธรรมนี้ก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร ว่าท่านหรือใครจะหมุนวันละกี่รอบ เรื่องวาสนา บารมี ต่างกัน ก็ว่ากันไป กรรมใครกรรมมันพอเข้าใจได้
ส่วนเรื่องทางโลก มีเรื่องของถูกผิด ควรไม่ควร ฯลฯ มาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งก็เป็นธรรมดา เมื่อผิด เมื่อพลาด ก็ว่าไปตามผิดตามผลาด เมื่อมีผู้แนะนำตักเตือน หรือรู้ตัวเองว่าพลาดไป ก็แก้ไขไปตามเรื่องหนักหรือเบาที่ทำไว้ก็เป็นวิสัยที่มีธรรมะสมควรทำมิใช่หรือ เพื่อจะได้ระมัดระวังในครั้งต่อไป
ท่านTamjuggคิดเห็นเรื่องนี้อย่างไร
ครับ -
-
-
นั้นสิท่าน คิดว่าคงไม่ได้ฟังเรื่องป่าหิมพานต์แล้ว
ลึกๆ ส่วนตัวผมเองก็กลัวว่า ญาน ฌาน ของท่านTamjugg จะไปสร้างเวรสร้างกรรมกับคนที่เค้าไม่รู้ไม่เห็นใน ฌาน ท่าน จะเป็นบาปเปล่าๆ
เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ภายหน้า ผมว่าท่านน่าจะเมตตาลดความเห็นลงบ้าง เพื่อเป็นประโยชน์กับท่านๆทั้งหลายในโลกนี้และโลกหน้า
หมดคำพูดเหมือนกันละ ด้วยความปราถนาดีครั้งที่3
ขอบคุณครับผม
หน้า 4 ของ 5