ทุกครั้ง เวลาที่ผมตื่นนอน ช่วงเวลา 15.00 - 17.00 ผมมีรุ้สึกเศร้าๆ คิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อ และ แม่ รู้สึกว่าผมมาทำอะไรที่เมืองหลวงง รู้สึกหว่าเหว่ อ้างว้าง ยังไงไม่รู้ .........หรือว่า ผมคิดมากไปเองครับ ......
ใครเคยเป็นเหมือนผมบ้าง ตื่นขึ้นมา เหมือนจะร้องไห้ คิดถึงบ้าน
ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Lyxiaoyao, 7 มิถุนายน 2013.
หน้า 1 ของ 2
-
ความเหงา ความอ้างว้างหว้าเหว่ เกิดขึ้นได้เป็นบางเวลา เป็นธรรมดาของคนเราแหละครับ อย่าคิดมาก ยิ่งไกลบ้านก็ยิ่งคิดถึงเป็นธรรมดา สามารถเกิดได้กับทุกคนครับ
-
อยู่กับปัจจุบันดีกว่าครับ
-
เป็นธรรมดาของสัตว์ ที่ยังมีรัก มีโลภ โกรธ และ หลง
เมื่อพรัดพรากจากของรัก ของชอบใจ ก็มีความเศร้า โหยหา เสียใจ เป็นธรรดา
จากบ้าน จากช่อง สิ่งที่เคยอยู่ หมู่ที่เคยรัก ก็เป็นธรรมดาอย่างนี้ละครับ
มองเป็นธรรดา ได้เร็วยอมรับความเป็นจริงได้เร็วความสุขก็จะมีเกิดแก่ทุกคน ทุกท่านครับ -
เคยเป็นมาก่อนครับ แต่ก็พิจารณาว่า คิดถึงแล้วกลับไปยังไม่ได้ ก็ยิ่งทุกข์ทุรนทุรายเข้าไปอีก แล้วจะมีประโยชน์อะไรในการคิดถึงนั้น...
จึงหันมาใส่ใจกับการทำความรู้สึกใหม่ว่า ที่ที่เราอยู่ปัจจุบันคือบ้านของเรา ทำความบริบูรณ์ไม่พร่องด้วยตัณหาให้เกิดขึ้น..คือไม่คิดถึงอดีตแสนสบายเมื่ออยู่ท่ามกลางพ่อแม่พี่น้อง ทราบชัดว่าเราโตพอที่จะรับผิดชอบตนเองได้ ไม่ต้องพึ่งใครๆราวคุณหนูที่ทำอะไรๆไม่เป็น..ไม่หวาดสะดุ้งหมดความมั่นใจว่าตนจะไปไม่รอด แล้วคิดแต่จะกลับไปพึ่งพ่อแม่ญาติ แต่สร้างความมั่นใจเข้มแข็งว่า ตนจะรอดได้ด้วยความเพียรของตนในอาชีพการงาน หากแม้จะพลาดพลั้งหมดตัวเพราะโอกาสหรือ ปัจจัยเเวดล้อมอื่นๆที่เราไม่อาจเข้าไปจัดการได้ ก็จะไม่กลับบ้านเพื่อพึ่งพาใครๆหรือไปเป็น"ภาระ"ของใครแต่จะขวนขวายดิ้นรนเอาตัวรอดให้ยืนได้เอง จึงคิดจะกลับบ้าน...เพราะตน"มี" และเพียงพอที่จะแบ่งปันคนที่บ้านได้..ส่วนพ่อแม่ที่เราห่วงใย เวลานี้ทำได้ด้วยการติดต่อทางโทรศัพท์ก็ทำได้ตามโอกาส..การติดข้องแม้ในถิ่นที่อยู่ิอาศัยหรืออื่นใดย่อมนำทุกข์ทั้งหลายมาให้ทั้งนั้น..
ท่าน Lyxiaoyao พิจารณาให้เห็นตามจริงเถิดว่าที่ท่านคิดถึงบ้าน อยากกลับบ้านนั้นมาด้วย"ความพร่อง"ในสิ่งใด..เมื่อทราบชัดแล้วย่อมแก้ไขได้ถูกจุด เป็นกำลังใจให้ครับ... -
แล้วมาทำอะไรล่ะ
-
ก็ตามลายเซ็นต์ที่คุณเขียนไว้ด้านล่างนั่นละค่ะถูกต้องแล้ว จะทุกข์ หรือจะสุข ขึ้นอยู่ที่ใจเราเลือก
เรื่องของความสุขและความทุกข์ หลวงพ่อพุทธทาสท่านกล่าวว่า สุขหาได้ในทุกข์ เราต้องรู้จักหาสุขจากทุกข์ เพราะในทุกข์มีสุขเสมอ สุขกับทุกข์ไม่ได้แยกจากกันอย่างเด็ดขาด เหมือนกับความร้อนกับความหนาว ในความร้อนก็มีความหนาวอยู่ ในความหนาวก็มีความร้อนอยู่ ฉันใดก็ฉันนั้น ในทุกข์ก็มีสุขอยู่ เราต้องมองให้เห็น จะเห็นได้ก็ต้องอาศัยสติ ปัญญา และสมาธิ
ในสมัยพุทธกาล มีภิกษุรูปหนึ่งชื่อพระปุณณะขอลาพระพุทธเจ้าไปอยู่ถิ่นกันดารที่ชื่อ สุนาปรันตะชนบท พระพุทธองค์ตรัสว่า คนสุนาปรันตะเป็นคนดุร้าย ถ้าเขาด่าว่าเธอจะทำอย่างไร พระปุณณะตอบว่าด่ายังดีกว่าทำร้ายด้วยมือ พระองค์ตรัสถามว่า ถ้าเขาทำร้ายด้วยมือจะทำอย่างไร พระปุณณะตอบว่ายังดีกว่าใช้ก้อนดินก้อนหินทำร้าย ครั้นตรัสถามว่าถ้าใช้ก้อนดินก้อนหินทำร้ายจะทำอย่างไร พระปุณณะตอบว่า ยังดีกว่าใช้ท่อนไม้ทำร้าย ตรัสถามต่อว่าถ้าเขาทำร้ายด้วยท่อนไม้จะทำอย่างไร พระปุณณะตอบว่า ยังดีกว่าฟันแทงด้วยอาวุธ พระพุทธองค์ตรัสถามต่อว่าถ้าเขาฟันแทงด้วยอาวุธจะทำอย่างไร พระปุณณะตอบว่ายังดีกว่าฆ่าด้วยอาวุธ พระพุทธองค์ตรัสถามต่อว่าถ้าเขาฆ่าด้วยอาวุธจะทำอย่างไร คำตอบของพระปุณณะก็คือ พระบางรูปรังเกียจชีวิต อุตส่าห์หาอาวุธมาฆ่าตัวเอง แต่นี่ดีไม่ต้องหาอาวุธ มีคนมาฆ่าให้เอง
นี่เรียกว่ารู้จักมองร้ายให้กลายเป็นดี หาโชคได้จากเคราะห์ ในเคราะห์นั้นมีโชค อย่างน้อยก็เป็นโชคเมื่อเทียบกับอย่างอื่นที่แย่กว่า โชคดีกับโชคร้ายนี่เป็นเรื่องของการเปรียบเทียบ เหมือนกับความสั้นกับความยาว ไม้บรรทัดยาวกว่าดินสอแต่มันสั้นไปถนัดใจเลยเมื่อเทียบกับไม้เมตร ไม้เมตรก็สั้นเมื่อเทียบกับเสาไฟฟ้า เราเรียกอันนี้ว่าสั้นเพราะไปเทียบกับอันที่ยาว เราเรียกว่านี้ยาวก็เพราะไปเทียบกับอันที่สั้น ฉันใดก็ฉันนั้น เราเรียกนี้ว่าโชคดีก็เพราะไปเทียบกับอีกอันที่แย่กว่า เราเรียกนี้ว่าโชคร้ายก็เพราะเอาไปเทียบกับอีกอันที่มันดีกว่า มันเป็นเรื่องของการเปรียบเทียบ มันเป็นเรื่องสมมติก็ว่าได้ เป็นเรื่องสัมพัทธ์ขึ้นอยู่ว่าเราจะเอาไปเปรียบเทียบกับอะไร เวลาเราประสบกับภาวะบางอย่าง ถ้าเอาไปเปรียบกับสิ่งดีกว่า เราก็เรียกว่าทุกข์ แต่ถ้าไปเปรียบกับสิ่งที่แย่มาก ๆ เราก็เรียกนั้นว่าสุข
ทุกข์นั้นเราหนีไม่ได้ เพราะมันอยู่ที่ใจเรา หนีไปไหนก็ยังทุกข์ ตราบใดที่ยังไม่แก้ทุกข์ที่ใจของตัว ทุกข์นั้นอยู่ที่ใจ ทางแก้ก็อยู่ที่ใจนั้นเอง หลวงพ่อพุทธทาสเคยกล่าวไว้ว่า ในเตาหลอมเหลวนั้นมีความเย็นสนิทอยู่ พูดอีกอย่างคือในวัฏสงสารมีนิพพาน ในใจที่เร่าร้อนนั้นมีความสงบเย็นแฝงอยู่ กุญแจที่ไขไปสู่ความสงบเย็นก็อยู่ที่ใจ ลองพิจารณาให้ดี เวลาเป็นทุกข์มันทุกข์เพราะอะไร ถ้าพิจารณาเป็นก็จะเห็นว่าทุกข์นั้นเป็นเพราะติดยึด เพราะฟุ้งซ่านปรุงแต่ง เพราะหลงลืมขาดสติ พอเห็นตรงนี้ก็เปลี่ยนจากความติดยึดเป็นความปล่อยวาง จากความฟุ้งซ่านมาเป็นความสงบระงับ เปลี่ยนจากความหลงลืมมาเป็นความรู้ตัวทั่วพร้อมเปี่ยมสติ ถ้าทำได้อย่างนี้ความไม่ทุกข์ก็เกิดขึ้น สุขก็ตามมา สุขเกิดขึ้นได้แม้รอบตัวจะเป็นทุกข์ แม้กายจะเป็นทุกข์ สุขเกิดจากการพิจารณาทุกข์ในใจจนเห็นกุญแจแห่งความคลายทุกข์ มันอยู่ตรงที่เดียวกันนั้นแหละ จะไปดูที่อื่นก็ไม่มีทางเลือกต้องมาดูที่ใจอันเป็นที่เกิดแห่งทุกข์ อย่าคิดหาสุขจากที่อื่น อบายมุขก็ไม่ใช่คำตอบ ทรัพย์สินเงินทองก็ไม่ใช่คำตอบ บางคนทุกข์ก็ไปหาอะไรมากิน คิดว่าจะดับทุกข์ได้ มันช่วยได้แค่ชั่วคราว แตในที่สุดเราก็ต้องกลับมาดูที่ใจ มาดูความทุกข์กลางใจนี้แหละ มองจนเห็นว่าความไม่ทุกข์มันก็อยู่ที่ใจที่กำลังทุกข์นี้เอง ฉะนั้นต้องหาสาเหตุแห่งปัญหาให้เจอเสียก่อนแล้วจึงคิดแก้ปัญหานั้น ๆ
-
มองไปที่เป้าหมายในชีวิตสิครับ
ถ้ายังไม่มีก็หาซะ
อย่ามัวฟุ้งซ่านไร้สาระ -
คุณคงเหงา ไม่มีเพื่อน เลยมีความรู้สึกเช่นนี้ โรคแบบนี้เรียกว่า Home sick โรคคิดถึงบ้าน พวกทหารฝรั่งจีไอที่ไปรบต่างประเทศ เป็นโรคนี้กันมาก
บางคนคิดถึงแฟน คิดถึงลูกที่ห่างกัน บางคนเหงา อ้างว้าง วังเวงใจ
เป็นเรื่องปกติสำหรับคนห่างบ้าน ห่างคนรัก ห่างครอบครัว ถ้าคุณยังโสด ลองมองหาเพื่อนต่างเพศไว้เป็นคู่ใจ คุณอาจะหายเหงาก็ได้ เป็นเรื่องธรรมชาติครับ -
หากความรู้สึกนี้มีเกิดขึ้นมาได้..ก็ย่อมดับลงได้เช่นกัน ทุกคนย่อมมีเวลาที่ดีที่ทำให้เราคิดถึงอดีต ถ้าคิดถึงบ้านคิดถึงคุณพ่อคุณแม่ ก็กลับไปท่านได้นี่นา ความรู้สึกแบบนี้จะเกิดขึ้นบ่อยแม้ว่าทุกครั้งเราจะสามารถดับมันลงได้ ลองถามตัวเองดูก่อนก็ดีค่ะว่า..
..วันนี้เราได้ใช้ชีวิตดีพอแล้วหรือยัง บรรลุสู่จุดมุ่งหมายที่เราตั้งใจไว้แล้วหรือไม่ ในแต่ละวัน ชีวิตมันเป็นไปอย่างที่ใจต้องการให้เป็นหรือเปล่า และสำคัญที่สุด อะไรกันแน่ที่มีค่ามากที่สุดและเราได้ให้เวลากับสิ่งนั้นบ้างไหม...
"พ่อและแม่ ทั้งญาติมิตรหรือสหาย ล้วนเป็นกันชาตินี้ชาิติเดียว ฉะนั้นขอจงหวงแหนโอกาสที่จะได้อยู่ด้วยกันและแสนมีค่านี้ เพราะในชาติหน้า ไม่ว่าเราจะรักหรือเราจะชังใคร เราก็อาจจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก"
อ่านแล้วเผื่อว่าจะเกิดแรงบันดาลใจ และอยากแก้ไขหาคำตอบกับชีวิตเหลืออยู่ให้ดีกว่าเดิมค่ะ...^^ -
โถ
วันหลังเราต้องตื่นให้เช้า กว่านี้นะ
นี่อะไรกัน นอนจนตะวัน ส่องเลยก้น แล้ว บ่ายสามบ่าย ห้าโมง
แล้วไปร่ำไปเรียน ทันเรอะ
ตื่นสายงี้ อยู่บ้าน โดนพ่อกะแม่ ด่า แน่ๆ เลย -
ไม่รู้เหมือนกันว่ามาทำอะไร
ถ้าเรียนอยู่ก็ทนเรียนให้จบ
แล้วกลับไปหางานแถวบ้านทำ
ตอนนี้ความเจริญค่อนข้างไปทั่ว
ไม่ต้องกลัวจะด้อยหรือล้าหลังกว่าเขา
บนเขาที่กันดานที่เห็นยังมีโซล่าเซล
จานดาวเทียมเลย ค่าครองชีพก็ถูกกว่า. -
ขอบคุณมากครับท่าน.........ตนเป็นที่พึงแห่งตนจริงๆ ครับ .......^___^ -
ผมจะกลับไปอยู่บ้านอีกไม่เกิน 5 ปี ข้างหน้า ตอนนี้ ทำงานเก็บเงิน จะไปทำธุรกิจส่วนตัวที่บ้าน จะอดทน อดสู้ .........ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับบ้าน ตจว. เพราะที่นั่นไม่วุ่นวาย มีแต่สี เขียว ๆ ให้สบายตา.......แค่คิดก็มีความสุขแล้ว มาถึง ณ ตอนนี้ ผมคิดว่า ชีวิต ไม่ได้มีไว้ให้ยอมแพ้..... -
เอาครับ ทนอดทนสู้ไปครับ (good)
เส้นไชยไม่มาต้องไปหามัน
รางวัลมีไว้ให้คนตั้งใจ
ขวากหนามทิ่มแทงก่อนผ่านพ้นไป
โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายดายฯ
โอกาศของผู้กล้า catt20 ศรัทราไม่ยอมแพ้.
(เหนื่อยก็หยุดพักบ้าง แต่อย่าลืมหาวิธีพักจิตรพักใจด้ยล่ะ) -
สงสัยหน้าแล้งต้องขออนุญาติเจ้าของไร่ที่บ้าน
หาคน wel lcome_pink ช่วยรดน้ำพรวนดินเพิ่ม หวังดีน๊ะครับ
กลัวดูแลไม่หวัดไม่ไหว (tm-love). -
อ้าวคิดว่าคุยหรือจาช่วยเพื่อน..ทำไร่...สวน..พวกพืช
ไม่ป่า..ฮื้ย..ไม้ผลัดเดียว.. dannce_ นึกว่าสวนกล้วย
ไหงเป็น..สวนมะพร้าว..มะปรางได้. -
ฮื่อ.. pig_cryy2 ..สงสารมะปรางค์เนอะขายไม่ออก
เผลอเก็บไม่ทัน..แห้งคาต้นเน่อครับ. -
จะแนะให้ไปโครงการประกันราคา
ไม่รู้จะทัน..ป่าว..ไม่หมดมอดรากิน
จาเหนื่อยไม่คุ้มหลังโค้งหลังงอ (cry) น๊ะ. -
..แอบ.ๆ....แอบ.ๆ.ทำสวน..ไปไร่ .ทำนาก็ดี
เหลือจากกินใช้..ขาย..แจกจ่าย..เสริมยามว่าง
เปิดของชำขาย..หรือก๋ยวเตี๋ยว.น่าอบอุ่นไม่ต้อง
เปืองแฟ๊บ..เสียน้ำมันไปให้เขาชม
..ต้องขนลุก..ขนพอง...เกล้า.แอบ..ๆ...แอบ..ๆ.
หน้า 1 ของ 2