ใครเชี่ยวชาญเรื่องพญานาคช่วยมาตอบด้วยค่ะ

คืออยากทราบว่า พญานาคที่เป็นสีนากทั้งองค์ ปากมีลักษณะสั้น ส่วนลิ้นก็เป็นสีนากเช่นกัน อยากทราบว่า เป็นพญานาคในยุคประมาณไหนคะ
แล้วนาคที่เป็นสีนาก มีความหมายว่าอย่างไร
ขอบพระคุณค่ะ

 

พยานาคมีควบคู่มาพร้อมสมัยพุทธกาลนั้นหละ
สีเป็นสิ่งที่บอก ความเด่นชัดทางด้านที่
ตนสะสมบารมีมาเฉยๆ...แต่ถ้าอยากจะทราบว่า
อยู่มานานแค่ไหน ต้องดูเป็นกรณีๆไป....
ง่ายสุดคือไปเปรียบเทียบกับ สีออร่าเอาก็ได้
เช่น ดำเป็นทหาร เขียวดูแลศาสนา
ทองตระกูลสูง ทองขาวรักษาโรค
แดงก็เด่นฤิทธิ แดงด้วยเขียวด้วย ก็เด่นฤิทธิและดูแลศาสนา
น้ำเงินก็สมาธิ(ติดตบะ ฌาน ญาน) ม่วงกำลังจิต
ถ้า แดงอ่อนลง น้ำเงินอ่อนลง ม่วงอ่อนลง
แสดงว่า มีเมตตาร่วมด้วย
ปรากฏเป็นคล้ายคนได้ คล้ายงูก็ได้
และแต่งตัวตามสีที่สะสมมา
หรือจะปรากฏแบบมีรูปร่าง แต่ไม่มีสีก็ได้
ขึ้นอยู่กับว่า จะปรากฏ ณ สถานที่เวลาใด...

ส่วนปากนะไม่ยาวอยู่แล้ว ลิ้นก็สีใกล้กันนั่นหละ
เพียงแต่ที่เด่นชัดสุดหน่อย
ถ้าเป็นยุคที่อยู่ตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
หน้าตาจะดูมีเหลี่ยมไม่ค่อยดู
ยาวขึ้นเหมือนสมัยเราๆ....
พวกสิ่งที่ทำให้เราเห็น
เป็นสัญญาที่สร้างให้เราเรียกได้ถูกแค่นั้น
แต่สีนะ มันแสดงออกมาเองตามที่ได้สะสมมา...

 

ขึ้นอยู่กับ ภูมิประเทศ ที่อาศัยอยู่ เช่นเดียวกับจมูกของจระเข้ เช่น จระเข้น้ำจืดปากทู่ จระเข้น้ำเค็มปากแหลม จร้า ดีไซน์ขึ้นมา เพื่อการหาอาหารและคล้ายกับจมูกฝรั่งกับคนไทยไงคะ

สีก็เหมือนกับฝรั่งผิวขาว ไทยสีแทน

ส่วนยุคสมัยไหน ต้องถามพยานาคที่มีอายุหลักร้อยปีขึ้นไปซึ่งท่านจำศีลกันทั้งนั้น ไม่มายุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก รวมทั้งถูกอาราธนาไปทำงาน น้ำท่วมกันอยู่ในขณะนี้

อยากทราบว่า ท่านจขกท. ทำไมเกิดความสงสัย ในหัวข้อซึ่ง ไม่ธรรมดาเลยคะ

รบกวนตอบด้วยนะคะ

 

สีของพยานาคที่ท่านนพฯ กล่าวเกิดจากการสะสมของพลังงานในร่างกาย หากใช้กล้องอินฟราเรด สามารถถ่ายภาพออกมาได้แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาวะการสะสมพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในร่างกาย

เช่นเดียวกับมนุษย์ หากใช้กล้องอินฟราเรดถ่ายภาพออกมา สีที่ได้ก็จะแตกต่างกัน

พยานาคสีนากที่จขกท.ถาม เป็นสายพันธุ์ เฉกเช่นเดียวกับคำถามที่ว่า ทำไมฝรั่งตาสีน้ำข้าว ตัวสีเผือก จึงมิใช่เรื่องแปลกอะไรเลย

หากแต่คำถามที่ว่า สายพันธุ์สีนากนี้ เกิดในช่วงใด ต้องถามไปทาง สายจำปาศักดิ์ หรือสายที่ท่านนพฯ เอ่ยถึง เพราะปัจจุบัน ไม่ปรากฏสายพันธุ์นี้ ในเมืองไทยเลย

 

ขอบคุณมากๆค่ะ ได้ความรู้เยอะเลย

 

ขอบคุณมากๆเลยค่ะสำหรับคำตอบ ได้ความรู้มากๆ

 

อ่อค่ะ คือ ประมาณที่แล้ว ช่วงนั้นมีโทสะมากเป็นประมาณ 2-3 วันติดกัน แล้วทีนี้คืนหนึ่งก็ฝันว่าตัวเองเป็นพญานาคสีนากนี่แหละค่ะ กำลังอาละวาด ก็อ้าปากตลอด เห็นลิ้นตัวเองด้วย555 (น่าจะเป็นอดีตของตัวเอง) ในความฝันรู้ตัวว่าตัวเองเป็น ณ ขณะนั้นๆ ลักษณะตามที่ถามไปน่ะคะ ก็เลยแค่อยากรู้ว่านาคสีนากนี่เป็นนาคแบบโบราณดึกดำบรรพ์หรือเปล่า

 

พยานาคมีโทสะมากหรือคะ
อันนี้ อัสดงไม่เคยได้ยินค่ะ

 

ไม่ทราบเช่นกันค่ะ... แต่ก็เคยมีคนบอกว่าจะมากในด้านโทสะ และ ราคะ สองอย่างนี้

 

พญานาคนี่เป็น เผ่าพันธุ์ที่ซับซ้อนและพิศวง มากๆ มีหลายสีมาก จริงๆ อยากรู้จังว่าเผ่าพันธุ์อื่น จะมีสีผิวหลากหลายแบบนี้มั๊ย...

 

ใช่ค่ะ เราว่ามีเยอะมากๆเลย หลายวรรณะ น่าจะเกิดจากการสะสมบุญบารมี เป็นไปตามจิตด้วย ที่เคยฝันเห็นก็มี สีดำ สีเขียวเศียรทอง สีแดง สีขาว ซึ่งสีขาวนี้เป็นขาวทั้งองค์ออกด้านๆ ปากสั้นๆเป็นเหลี่ยมๆไม่มีหงอน มีหลวงพ่อที่รู้จัก ท่านว่าเคยไปธุดงค์แถวๆสระบุรี ไปในถ้ำ เจอพญานาคเป็นเกล็ดสีน้ำเงินเลื่อมๆ แต่ที่เราอยากเห็นอีกสี คือ สีเงินยวง เห็นว่ามีสีนี้ด้วย น่าจะสวยน่าดู

 

ผมเคยเห็นแต่สีเขียวคราม (สีเขียวอมน้ำเงิน) อะ เห็นในสระ แต่ส่วนหัวเห็นไม่ค่อยถนัดอะนะ เลยไม่เห็นว่าปากเป็นยังไง แต่เห็นหงอนโผล่มาเหนือน้ำอะ ในฝันอะนะครับ

 

ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันประสบการณ์ค่ะ เขียวครามก็น่าจะสวยมากๆเลยนะคะ

 

สี

สีนี้ใช่มั้ยคะ

 

คล้ายเหมราชเลยค่ะท่านมณี

 

กลุ่มพลังงานนี้จะถูกอัดแน่นมวลสารในเพชรพยานาคซึ่งก็คือสิ่งที่มนุษย์ตามหา
ส่วนพยานาคต้องเอาไปซ่อนก่อนเปลี่ยนภพภูมิค่ะ

ท่านประสงค์สิ่งนี้เหมือนกันใช่มั้ยคะ ทางฤทธิ์

อัสดงทราบว่า ท่านชอบ มโนมยิทธิค่ะ

 

ไม่เคยรู้จักเพชรพยานาค แต่บอกไม่ได้
อัสดง งง ค่ะ
แต่ไม่เป็นไรค่ะ
ท่านคงมีความจำเป็นส่วนตัวที่บอกไม่ได้
อัสดงเข้าใจค่ะ

 

เหตุเกิดจากฝันนี่เอง
ดีนะไม่ฝันว่าเป็นยักษ์
รับรองมีฮา ๕๕๕

 

หากอัสดงเข้าใจถูกต้อง เจดีย์ทองคือเจดีย์บุ่นเชียง ใช่อันเดียวกันมั้ยคะ
รบกวนผู้รู้ด้วยนะคะ
ท่านนพ พอจะทราบมั้ยคะ

 

เจดีย์สีทอง เป็นนิมิตที่ชีวัด เส้นทางเดินของจิตเฉยๆ
คือถ้าเราไปจับว่า นิมิตที่เห็นคืออะไร เราจะไม่เข้าใจ
แต่เราจะไปค้นว่า สิ่งที่เห็นคืออะไร ซึ่งไม่ใช่ประเด็น
สำคัญสำหรับการเห็น เพราะประเด็นของการเห็นได้
มันคือ วัตถุประสงค์ในการเห็น
ว่ามันบอกอะไรเราถึงเห็นอย่างนั้น

Exe. เช่นคนเห็นสามเหลี่ยมไม่ว่าจะคลอบอะไรอยู่
หรือ เห็นดวงตาแห่งรา
เป็นลักษณะจิต ที่จะเล่นกับพลังงานภายนอกได้
ไม่ว่าพลังงานร้อนหรือเย็น หรือพลังงานจักรยาน
ที่มาจากจัก กง จักกะ หรือพวกหยิน หยาง
แล้วแต่จะเรียก เอาว่ารวมเป็นพลังงานภายนอกฯลฯ

ส่วนสีทอง การเห็นภูเขาทอง ประกายสีระยิบระยับสีทอง
เส้นสายสีทอง พยานาคสีทอง(จำนวนเศียรคล้ายๆ
เป็นการบอกระดับต้นตะกูลเฉยๆ). ยกเว้นการเห็นคะระรี่นะ ๕๕
นั้นก็บอกว่า จิตเราก็เดินไปพลังงานภายนอกได้อีกอย่างหนึ่ง

เราเรียกว่า ธาตุทอง(จริงๆมันเรียกได้เหมือน พลังงานร้อนเย็น
นั้นหละ เพียงแต่ว่า จะต้องพอมีคุณสัมบัติอะไรบางอย่าง
เช่น มีฐานจากกสิณอย่างน้อย ๕ กองมาบ้าง
และท่านๆอนุญาตให้ใช้งานได้
ธาตุทองก็เป็นพลังงานภายนอกอย่างหนึ่ง
แต่ที่เด่นก็คือ ในเรื่องการรักษาโรคในเชิงของการปรับพลังงาน
ธาตุในร่างกายคนเป็นหลัก. ส่วนเรื่องการอฐิษฐาน เรื่อง
ความเจริญรุ่งเรื่องไม่ว่าด้านไหนๆ พวกนี้เป็นเรื่องรอง
เหมาะสำหรับบุคคลบางกลุ่มเท่านั้น...

ที่นี้โดยทั่วไปแล้ว ถ้าเคยเห็นทั้ง ๒ ตัวอย่างที่ยกมาแล้วข้างบน
มันก็เพียงพอที่จะพัฒนาระดับการรักษาขึ้นไปได้เรื่อยๆ
ตามลำดับ ย้ำว่าขึ้นตามลำดับ
เช่น เคยใช้รักษาระดับ ๑ ไปซักพัก ต่อไปก็จะพัฒนาไป
ระดับ ๒ และใช้ ๒ ต่ออีกซักพักก็จะไป ๓ ได้ของมันเอง
และต้องใช้แบบ ที่เพื่อประโยชน์ทางธรรมและเพื่อผู้อื่นนะ
มันถึงจะมีการพัฒนานะ...
เพราะว่าไม่ว่า พลังงานร้อนเย็น หรือธาตุทอง ก็จะมี
ระดับการพัฒนาไปเรื่อยๆ ที่ไม่มีเขียนในตำราแน่นอน
ไอ้เรื่อง ดึง ดูด ส่ง ลด เพิ่ม เกี่ยวกับพลังงานพวกนี้มัน
ระดับเบสิก แค่ระดับสิวเสี้ยน กระโหลกกะลา
ซึ่งในการพัฒนาของพลังงานภายนอก ร้อนเย็นนั้น
มันจะต่อยอดในเรื่องการปรับ
แนวแกนพลังงานของร่างกายทั้งระบบให้สมดุลย์
มีเรื่อง การเพิ่มความหนาแน่นของพลังงาน
ไม่ว่าภายนอกและความมั่นคงในการเข้าถึง
พลังงานครูบาร์อาจารย์ ร่วมทั้งต้นกระแสพลังงาน
ในลักษณะเฉพาะทาง เช่น ขอยา ฯลฯ รวมทั้ง
การพลิกแกนพลังงานสำหรับดวงจิตที่ใกล้หมดอายุไข
(สอนโดยท่านที่มีหน้าที่ตัดสินดวงจิตว่า จะลงล่างหรือขึ้นบน
พูดได้แค่นี่หละ)
ให้พอสามารถที่จะอยู่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกได้อีกซักพัก
(นึกออกไหม คนปกติพลังงานจะขึ้นแนวดิ่ง
หากใครแนวพลังงานดันขนานกับพื้นโลก
ก็เตรียมงานศพไว้รอล่วงหน้าได้เลย เล่าให้ฟังเฉยๆนะ)

ส่วนธาตุทองก็ไปในทาง เขียนยันต์กลางอากาศ
การเรียกธาตุใช้ในการป้องกัน ฯลฯ

และลำดับต่อมา เมื่อมีทั้ง ๒ ตัวอย่างรวมกัน
มันก็จะมีการพัฒนาอย่างหนึ่งที่เราเรียกกันว่า
การย้ายเส้นเอ็น แต่เส้นเอ็นในที่นี้เป็นเส้นเอ็น
ในระบบธาตุ ที่มันเกิดการใช้ชีวิตประจำวันปกติ
ในร่างกายบุคคลนั้น เช่น นั่งหลังโก่งมากเส้นตาม
แนวแกนกระดูกสังหลังก็เอียง
หรือยกของหนักมากเส้นตามสะบักก็เคลือน
ในพื้นฐานของพลังงานภายนอกร้อนและเย็น
และพื้นฐานพลังงานภายนอก บวกกับพื้นฐาน
ทางสมาธิที่ได้จากกรรมฐานที่ขึ้นด้วยรูป
ก็จะเพียงพอให้จิตสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้นั่นเอง

ดังนั้นจึงไม่ใช่แปลกอะไร ที่จะมีนิมิต หรือ ฝันอะไร
ที่มันสืบเนื่อง บอกวัตถุประสงค์การเดินทางของจิตนั้นเอง
พอเข้าใจได้หรือยัง........

ปล.จำไว้ ไม่ว่าฝันหรือนิมิต อย่าไปให้ความสำคัญ
ในสิ่งที่เห็นในฝัน แต่ควรเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ในการฝัน
ซึ่งเราจะได้กำลังสติทางธรรม ที่ได้จากการเจริญสติ
ในชีวิตประจำวันเป็นตัวบอกเรา...
ที่พูดๆมาให้ฟังข้างบน ฟังดูเวอร์ๆ เหมือนโม้...
ไว้มีโอกาศเจอตัวกันเป็นๆจะเข้าใจได้
เหมือนบุคคลที่เคยเจอข้าพเจ้ามาก่อน
ตัวเป็นๆมาก่อนนั้นหละ....( ^_^)