ให้จำไว้ว่าไม่ว่ากายหรือจิตก็ไม่ใช่ของเรา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย kengkenny, 7 กรกฎาคม 2009.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    อัสมิมานะและอธิมุตตินั้น ยังไกลเกินกว่าแค่คิดก็เข้าใจได้
    เอาแค่รู้แล้วละให้ได้ก่อนดีกว่ามั้ยครับ?

    เมื่อประสบปัญหารู้แล้วละไม่ได้ ลองให้จิตมารู้อยู่ที่ลมหายใจสิครับ
    เพราะลมหายใจเป็นสิ่งที่ไม่ต้องคิดก็รู้ได้
    เมื่อรู้แนบแน่นอารมณ์อื่นย่อมดับหายไป

    แค่รู้จิตรู้ใจตนเองให้กระจ่างก่อนเถอะครับ
    แค่เรื่องจิตเรื่องเดียว ยังรู้ไม่ถูกต้องจะรู้อะไรเกินกว่าจิตกับอารมณ์ครับ

    ถ้าอยากศึกษาพระสูตรจริงๆแล้ว แค่พระสูตรชั้นต้นๆ ก็เหลือเฟือแล้ว

    ;aa24
     
  2. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ครับท่านไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ ผมทำได้แค่ไหนก็แค่นั้นแหละครับ มากไปเขาก็จะหาว่าอวด...แต่จริงๆผมไม่มีให้อวดเลยเพราะผมไม่มีอะไรดีจะมาอวดเขาเลย ขอบพระคุณท่านในความหวังดีครับ หวังว่าปัจจุบันชาตินี้ผมน่าจะพอมองเห็นธรรมกับเขาบ้าง เฮ้อ!
     
  3. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ขำตัวเองจัง 555 นี่ก็อีกอันหนึ่ง จริงไหมครับท่านผู้ชม
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ยังดื่มอยู่อีกหรือครับ ควรละได้แล้ว
    ไม่ว่าเหล้าหรือเบียร์ไม่น่าเข้าใกล้ทั้งนั้น
    ทำให้มีโอกาสในการขาดสติได้มากขึ้น

    คนที่ดื่มเพียงเล็กน้อย ไม่ถึงกับมึนเมา
    แต่ก็ทำให้เป็นคนช่างคิด มีความคิดบรรเจิดเลยเถิด
    ฉะนั้นถ้าเพลาๆลงได้ก็จะดีนะครับ ยิ่งเลิกได้ยิ่งดีครับ

    คนที่ยังดื่มอยู่มักเข้าสมาธิไม่สำเร็จหรอกครับ
    จิตมักฟุ้งซ่าน ทำให้สงบนิ่งตั้งมั่นได้ยากครับ


    มีดีในตนที่จะอวด ดีกว่าอวดสิ่งที่ไม่มีในตนครับ

    ;aa24
     
  5. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    มันไกลตรงไหน ผมไม่เข้าใจเลย แค่คำสองคำเนี่ยนะ ไกลจาก ศีล สมาธิ ปัญญามากเลยเหรอ
     
  6. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ท่านรู้สึกยังไงครับเวลาที่ทราบว่าผู้อื่นด้อยกว่าตนจิตของท่านนั่นแหละครับ ทีนี้ตอบผมได้หรือยังว่า คำสองคำนั้นมีความหมายว่าอะไร
     
  7. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    จริงๆแล้วผมไม่ได้ดื่มและก็ไม่สูบหรอกครับผมเคยผ่านมามากแล้วครับ แค่ผมอยากรู้ความรู้สึกของท่านเมื่อยามที่ท่านเห็นผู้อื่นด้อยกว่าตนเท่านั้น ท่านอาจรู้สึกดีที่ท่านมีความรู้มากกว่าเขา แต่ว่าความจริงแล้วมันคืออะไร ดังนั้นผมมาที่นี่ไม่ได้หวังจะชนะใครและแพ้ใครในเรื่องธรรมะ ผมแค่อยากทราบใจท่านก็แค่นั้นแหละครับ ท่านย่อมทราบดีด้วยตัวท่านเองว่าท่านทำมาทั้งหมดนั้นเพื่ออะไร อันนี้ผมก็คิดไปเองอีกนั่นแหละความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ ผมจึงมองว่าแท้ที่จริงแล้ว อัสมิมานะนั้นทำให้คนเราเสื่อม จากธรรมทั้งหลาย และเมื่อเสื่อมแล้วไม่เข้าใจแล้วก็เกิดการแบ่งแยกเป็นอธิมุตติ อันนี้ต้องศึกษาต่อเอาเองนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2009
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    มีประโยชน์อะไรในการทดสอบแบบนี้ รู้ไม่ได้หรอกครับ
    เป็นการประเมินผลแบบคิดเองเออเอง แบบคนในนี้ชอบทำกัน
    และก็ไม่ได้ช่วยให้ใครมีความรู้สึกทีดีขึ้นอีกด้วย

    สู้รู้ในสิ่งที่ควรรู้ ไม่ดีกว่าหรือครับว่า ทำยังไงจิตจะตั้งมั่นได้อย่างรวดเร็ว
    เมื่อมีอารมณ์มากระทบ ไม่ใช่มัวแต่คิดว่าวางเฉย ทั้งๆมี่จิตใจยังขุ่นมัวอยู่
    ก็หลอกตัวเองไปเรื่อยๆ ก็เหมือนพวกติดเหล้าติดยาว่าสักวันคงเลิกได้

    ไม่ได้เป็นของสนุกเลยกับการเที่ยวหลอกคนอื่นว่า ตัวเองยังดื่มอยู่
    เลิกเอาแบบทดสอบอย่างนี้มาใช้ได้แล้วครับ
    เป็นการประจานตัวเองต่างหากว่าชอบโกหก

    การถกธรรมเพื่อแพ้หรือชนะแล้วได้อะไร
    ใกล้มรรคผลนิพพานก็ไม่ใช่ ได้คำสรรเสริญเยินยอหรือ เอาไปทำอะไร

    ถ้าเพื่อเข้าใกล้สัจจธรรมสิ นั่นแหละเป็นเรื่องที่ควรค่า
    สำหรับผู้ที่รู้จักรับเอาของดีไป เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขของตนเองครับ

    ผมคงไม่ว่างงานที่จะทำอะไรแบบขอๆไปทีเท่านั้น

    ปล.โดยปรกติแล้วไม่ชอบที่จะมองว่าใครด้อยกว่าหรือใครดีกว่า
    เป็นคนไม่ชอบเปรียบเทียบ แต่ชอบมองว่า เขารู้หรือไม่รู้ต่างหาก

    ;aa24
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ไปเสิรชเอาเองสิ มีเยอะแยะไป เพิ่งรู้ว่าชอบโกหก บาย...

    ;aa24
     
  10. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ก็นั่นนะสิครับ แล้วผมอยากได้รายละเอียดของคำสองคำนั้นจะให้ผมได้ไหมครับ คำว่า อัสมิมานะ กับ อธิมุตติ ไม่ใช่ อธิวิมุตติครับ เอาแบบละเอียดเลยยิ่งดีครับ รับรองว่ามีแน่ๆเคยอ่านเจอแต่ไม่เข้าใจครับ
     
  11. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    แต่ถึงยังไงท่านก็ไม่ทราบเจตนาอยู่ดีนั่นแหละ ผมอาจจะโกหกในสิ่งที่ผมเป็นแต่ผมไม่เคยโกหกในสิ่งที่ผมไม่ได้เป็น และที่สำคัญความผิดระหว่างการเห็นผิดนั้นต่างกันลิบลับเลย แม้ใครจะมองว่าเป็นคนชอบโกหกแต่ก็เป็นสิ่งที่มีในตนเท่านั้น ผมก็บายเหมือนกันนึกว่าจะเข้าใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2009
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
  13. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    แถมไวรัสด้วยเหรอ หวังว่าคงไม่ได้เจตนาใช่ไหมครับ
     
  14. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    [๗๐๕] คำว่า พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ภิกษุพึงกำจัดบาปธรรมทั้งปวง คือ กิเลส
    ที่เป็นรากเง่าแห่งส่วนธรรมเครื่องเนิ่นช้า และอัสมิมานะ ด้วยปัญญา ความว่า ธรรมเครื่องเนิ่นช้านั่นแหละ ชื่อว่าส่วนแห่งธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า ได้แก่ ส่วนแห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้า คือ
    ตัณหา และส่วนแห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้า คือ ทิฏฐิ.
    รากเง่าของธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือตัณหาเป็นไฉน? อวิชชา อโยนิโสมนสิการ อัสมิมานะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ นี้เป็นรากเง่าแห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือตัณหา.
    รากเง่าแห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือทิฏฐิเป็นไฉน? อวิชชา อโยนิโสมนสิการ อัสมิมานะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ นี้เป็นรากเง่าแห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้าคือทิฏฐิ.
    คำว่า ภควา เป็นพระนามเครื่องกล่าวด้วยความเคารพ. อีกอย่างหนึ่ง คำว่า ภควา
    ความว่า ชื่อว่า ภควา เพราะอรรถว่า ผู้ทำลายราคะ ทำลายโทสะ ทำลายโมหะ ทำลายมานะ
    ทำลายทิฏฐิ ทำลายเสี้ยนหนาม ทำลายกิเลส และเพราะอรรถว่า ทรงจำแนก ทรงจำแนก
    พิเศษ ทรงจำแนกเฉพาะซึ่งธรรมรตนะ เพราะอรรถว่า ทรงทำซึ่งที่สุดแห่งภพทั้งหลาย เพราะ
    อรรถว่า มีพระกายอันอบรมแล้ว มีศีลอันอบรมแล้ว มีจิตอันอบรมแล้ว มีปัญญาอันอบรมแล้ว.
    อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงซ่องเสพเสนาสนะอันเป็นป่าละเมาะ ป่าทึบอันสงัด มีเสียงน้อย
    ปราศจากเสียงกึกก้อง ปราศจากชนผู้สัญจรไปมา เป็นที่ควรทำกรรมลับของมนุษย์ สมควรแก่
    วิเวก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งจีวร บิณฑบาต
    เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาค
    ทรงมีส่วนแห่งอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อันมีอรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส เพราะฉะนั้น จึง
    ชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งฌาน ๔ อัปปมัญญา ๔ อรูปสมาบัติ ๔
    เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งวิโมกข์ ๘ อภิภายนะ ๘
    (ฌานเป็นที่ตั้งแห่งความครอบงำอารมณ์) อนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ (รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔
    สัญญาเวทยิตนิโรธ ๑) เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่ง
    สัญญาภาวนา ๑๐ กสิณสมาบัติ ๑๐ อานาปาณสติสมาธิ อสุภสมาบัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
    ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงมีส่วนแห่งสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์
    ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มี
    พระภาคทรงมีส่วนแห่งตถาคตพละ ๑๐ เวสารัชชธรรม ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ พุทธธรรม ๖
    เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. พระนามว่า ภควา นี้ พระมารดา พระบิดา พระภาดา
    พระภคินี มิตร อำมาตย์ พระญาติสาโลหิต สมณพราหมณ์ เทวดา มิได้เฉลิมให้ พระนาม
    ว่า ภควา นี้ เป็นวิโมกขันติกนาม (พระนามมีในอรหัตผลในลำดับแห่งอรหัตมรรค) เป็น
    สัจฉิกาบัญญัติ พร้อมด้วยการทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ณ ควงแห่งโพธิพฤกษ์ ของพระผู้มี
    พระภาคทั้งหลายผู้ตรัสรู้แล้ว.
    คำว่า พึงกำจัดบาปธรรมทั้งปวง .... อัสมิมานะ ด้วยปัญญา ความว่า ปัญญา เรียกว่า
    มันตา ได้แก่ความรู้ ความรู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความเลือกเฟ้นธรรม ความเห็นชอบ.
    คำว่า อัสมิมานะ คือ อัสมิมานะ อัสมิฉันทะ อัสมิอนุสัย ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร
    วิญญาณ.
    คำว่า พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ภิกษุพึงกำจัดบาปธรรมทั้งปวง คือกิเลสที่เป็นราก
    เง่าแห่งส่วนธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า และอัสมิมานะ ด้วยปัญญา ความว่า ภิกษุพึงกำจัด สะกัด ดับ สงบ ปราบปราม ระงับ ซึ่งบาปธรรมทั้งปวง คือ กิเลสที่เป็นรากเง่าแห่งส่วนธรรม
    เครื่องเนิ่นช้าและอัสมิมานะ ด้วยปัญญา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
    ภิกษุพึงกำจัดบาปธรรมทั้งปวง คือ กิเลสที่เป็นรากเง่าแห่งส่วนธรรมเครื่องเนิ่นช้าและอัสมิมานะด้วยปัญญา.
     
  15. center-in-center

    center-in-center เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,716
    ดีจังเลยงับ มีคนหาความหมายของคำสองคำนี้ ให้คุณ kengkeny แล้ว
    สาธุ
    "กัลยาณมิตรที่ดีควรเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน มีพรหมวิหารธรรมต่อกัน"
    หง่าวววววววว..................ว
     
  16. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ครับเกือบตรงครับแต่ไม่ใช่ ครับในความหมายนั้น ที่ผมหมายถึงก็คือ
    พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๘
    สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ธาตุสังยุตต์ ทุติยวรรค
    จังกมสูตร


    ๕. จังกมสูตร
    [๓๖๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ เขต
    พระนครราชคฤห์ ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระสารีบุตรจงกรมอยู่ด้วยกันกับ
    ภิกษุหลายรูปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็จงกรม
    อยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ท่านพระมหากัสสปก็
    จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ท่านพระอนุรุทธก็
    จงกรมอยู่ ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ท่านพระปุณณ-
    มันตานีบุตรก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ท่าน
    พระอุบาลีก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ท่าน
    พระอานนท์ก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค แม้
    พระเทวทัตต์ก็จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูป ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ฯ
    [๓๖๖] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกร-
    ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเห็นสารีบุตรกำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือ
    ไม่ ฯ
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เห็น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนมีปัญญามาก พวกเธอเห็น
    มหาโมคคัลลานะกำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ
    ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนมีฤทธิ์มาก พวกเธอเห็นมหากัสสปกำลัง
    จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ
    ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นธุตวาท พวกเธอเห็นอนุรุทธ กำลังจงกรม
    อยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ
    ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นผู้มีทิพยจักษุ พวกเธอเห็นปุณณมันตานีบุตร
    กำลังจงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ
    ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นธรรมกถึก พวกเธอเห็นอุบาลีกำลังจงกรม
    อยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ
    ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นผู้ทรงวินัย พวกเธอเห็นอานนท์ กำลัง
    จงกรมอยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่ ฯ
    ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นพหูสูต พวกเธอเห็นเทวทัตต์กำลังจงกรม
    อยู่ด้วยกันกับภิกษุหลายรูปหรือไม่
    ภิ. เห็น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ภิกษุทั้งหมดนี้ ล้วนมีความปรารถนาลามก ฯ
    [๓๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน
    โดยธาตุเทียว คือสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับ
    สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี ย่อมคบค้ากัน ย่อม
    สมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี แม้ในอดีตกาล สัตว์ทั้งหลายก็ได้
    คบค้ากันแล้ว ได้สมาคมกันแล้ว โดยธาตุเทียว คือสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว
    ได้คบค้ากันแล้ว ได้สมาคมกันแล้ว กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว สัตว์จำพวก
    ที่มีอัธยาศัยดี ได้คบค้ากันแล้ว ได้สมาคมกันแล้ว กับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี
    แม้ในอนาคตกาล สัตว์ทั้งหลายก็จักคบค้ากัน จักสมาคมกัน โดยธาตุเทียว
    คือสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว จักคบค้ากัน จักสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มี
    อัธยาศัยเลว สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี จักคบค้ากัน จักสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่
    มีอัธยาศัยดี แม้ในปัจจุบันกาล สัตว์ทั้งหลายก็ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน โดย
    ธาตุเทียว คือสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับ
    สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยเลว สัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคม
    กันกับสัตว์จำพวกที่มีอัธยาศัยดี ฯ

    จบสูตรที่ ๕
    ด้วยอัธยาศัย (อธิมุตติ)

    ถึงอย่างไรก็ขอขอบพระคุณท่านมากครับ ผมไม่มีดีจะอวดหรอกครับเพราะสิ่งที่ผมเอามานั้นพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว ตรัสไว้หมดแล้ว เหลือแต่จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็เท่านั้น
    ขอบพระคุณครับในพรหมวิหารธรรมนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2009
  17. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    ตอนนี้ รู้แล้วคุณธรรมภูต เป็นคนที่มีน้ำใจดี และขออนุโมทนาในความเป็นอุเบกขา
    ขออโหสิกรรมที่เคยล่วงเกินค่ะ ตอนนี้รู้แล้วค่ะ
     
  18. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    เพราะเครื่องผมเปิด เวปพระไตรปิฏกไม่ได้ เลยต้องขอให้ท่านหาให้ครับ
     
  19. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    กองเชียร์เยอะดีนะครับ ถึงยังไงก็อนุโมทนาบุญครั้งนี้ด้วยนะครับ หวังว่าหลายๆๆๆท่านคงจะเข้าใจบ้างไม่มากก็น้อยนะครับแล้วแต่สมควรแก่ฐานะ ความหวังมันก็เป็นจิตดวงหนึ่งนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2009
  20. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    เราไม่ได้ทำตัวเป็นกองเชียร์ใคร
    และไม่ได้สนใจว่าจะออกมาจากใคร
    ดูว่าเป็นธรรมมะหรือเปล่าแค่นั้น
    คนเราต้องยอมโง่ และยอมแพ้เป็น ปลดอัตตาออกไปให้ได้
    อย่ายึดมั่นความคิดตนหากใครแสดงให้เห็นได้ดีกว่า ก็ยอมรับด้วยใจ ไม่มีทิฐิ
    ความจริงย่อมปรากฏให้เห็นไม่ช้าหรือเร็ว เจริญในธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...