เมื่อคิดละกิเลส ก็ด้วย "อุปทาน" เอาว่ากิเลสเป็นสิ่งที่ต้องละ เป็นสิ่งไม่ดี
เมื่อคิดตัดอะไร ก็ด้วย "อุปทาน" เอาว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ต้องตัด เป็นสิ่งไม่ดี
เมื่อคิดทำจิตให้เป็นอะไร ก็ด้วย "อุปทาน" เอาว่าจิตเป็นสิ่งที่ต้องทำ เป็นสิ่งไม่ดี
เมื่อยามอับแสงมองอย่างไรก็ไม่เห็น ทำอย่างไรก็ผิดหมด ยิ่งทำ ยิ่งผิด
เมื่อแสงสว่างแล้ว จึงทราบว่าไม่จำเป็นต้องทำ มันเป็นธรรมอยู่เองแล้ว
ไม่ต้องตัดอะไร ไม่ต้องละกิเลส ไม่ต้องทำจิตให้เป็นอะไร ก็มันไม่เที่ยงอยู่แล้ว
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 7 มิถุนายน 2011.
หน้า 1 ของ 2
-
ท่านศึกษามาจากใหน
หรือท่านคิดเอง ? -
ขอนไม้ไม่ได้อยู่นิ่ง
และขอนไม้ก็ไม่ได้ว่ายน้ำ
แต่ขอนไม้ก็สามารถลอยน้ำไปได้ -
ธรรมชาติของจิตย่อมผุดผ่อง แต่เศร้าหมองด้วยอุปกิเลสจรมา
(เอกนิบาต ๒๐/๙)
หรือ
[FONT=Tahoma,MS Sans Serif]"จิตนั้นประภัสสร แต่หมองหม่นเพราะอุปกิเลสที่จรมา"[/FONT]
(ธรรมชาติของจิตนั้น บริสุทธิ์ ผุดผ่อง แต่เศร้าหมองเพราะเหล่ากิเลสที่เกาะกุมนั่นเอง จึงสามารถที่จะกำจัดกิเลสให้ใสสะอาดได้)
แสวงหาที่ไม่ฉลาดในธรรม ย่อมไม่เห็นแจ้งนิพพานที่อยู่ใกล้(ใน)ตัว
(ปัคคัยหสูตร ๑๘/๑๔๒)
หรือ
[FONT=Tahoma,MS Sans Serif]ดังคําของท่านหลวงปู่ดูลย์ อตุโลที่กล่าวไว้ว่า[/FONT]
[FONT=Tahoma,MS Sans Serif]จิตคือพุทธะ[/FONT]
[FONT=Tahoma,MS Sans Serif] ซึ่งหมายความว่า[/FONT]
[FONT=Tahoma,MS Sans Serif]จิตเอง หรือจิตเดิมแท้ๆ ก่อนจะพอกพูนด้วยกิเลส นั่นละที่คือสภาพจิตพุทธะ หรือนิพพาน[/FONT]
หรือ
[FONT=Tahoma,MS Sans Serif]ดังที่หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ได้กล่าวไว้[/FONT]
จิตของคนเราเป็นของใสสะอาดมาแต่เดิม เหตุนั้นขัดเกลากิเลสออกหมดมันจึงเห็นความใสสะอาด จึงเรียก ปภสฺสรมิท จิตฺต
-
ใจนี้ไม่ได้ทุกข์ แต่ใจนี้แหละไปเอาความทุกข์มาเป็นตัวตนของตน
ก็ใจนั่นแหละไปยึดเอาความทุกข์มาเป็นของตน หล่อเลี้ยงอารมณ์นั้นเรื่อยไป
ชาติแห่งทุกข์ก็เกิด, ภพแห่งความทุกข์จึงมี ดังนี้ รูปนามแห่งความทุกข์จึงปรากฏ
ก็ใจนั่นแหละที่ไปเอาทุกข์มา แต่ดั้งเดิมแล้วใจนี้ก็ "ว่างแล้วจากทุกข์" มาก่อนทั้งสิ้น -
แล้วอะไรเล่าที่มันเป็นทุกข์
มิใช่ใจดอกหรือท่าน -
-
เวลาพระอรหันต์ป่วย ก็มีทุกข์ แต่ท่านไม่เอามาใส่ใจ ทุกข์นั้นจึงเป็นเพียงทุกข์ทางกายเท่านั้น ไม่ใช่ทุกข์ของใจ
-
-
คำตอบมันมีอยุ่ในตัวอยู่แล้ว เพียงแค่ไม่คิดเท่านั้นเหรอคับ
-
ทุกข์นั้นเป็นสมบัติสัปปะรังเค.....ใจเกเร ไปยึดเอามาดองไว้.......หวงแหนเสียจนเน่าใน............คับตูดตาย ไม่ยอมถ่ายออกมา...
-
-
โมทนาสาธุค่ะ^^
กิเลสไม่ต้องตัด เพราะมันเป็นธรรมดา ธรรมชาติของสัตว์....
เช่นหิว ก็ต้องอยากกิน
ง่วง ก็ต้องอยากนอน
ปวด ก็ต้องอยากถ่าย
ความอยากทั้งหลายล้วนคือกิเลสเป็นธรรมดา.....
แค่อย่าปรุงแต่งต่อ ก็เท่านั้น
สบาย........สบาย^^ -
-
อย่าใช้สมองคิดครับ ให้ใช้จิตวิญญาณคิด (ใช้จิตใจคิด)
หากใช้สมองคุณจะไม่ได้คำตอบที่แท้จริง หากใช้จิตวิญญาณคุณจะพบคำตอบที่แท้จริง(ในชาตินี้)ของคุณที่คุณควรจะกระทำครับ
แต่ละภพแต่ละชาติเราเกิดมาไม่เหมือนกัน(หน้าที่หรือสิ่งที่เราถูกกำหนด) บางคนใฝ่ดี คิดดี แต่ไม่ได้คำตอบสักที นั้นเป็นเพราะยังไม่ใช่หน้าที่ที่เค้าควรจะทำ ยังมีสิ่งอื่นที่เค้าควรจะทำที่เหมาะสมกว่านั้น
ที่คุณอยากจะบวชหรือไม่บวชดี เป็นคนปกติหรือยังไงดี คิดไม่ตก นั่นเพราะคุณใช้แค่ความคิดเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถหาคำตอบที่แท้จริงได้ ใช้ใจส่วนที่ลึกที่สุดคิดดู จะพบคำตอบได้ง่ายกว่า ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นแบบใด การบวชดีกว่าอยู่แล้ว แต่หากตัวคุณยังไม่ถึงเวลาของการบวช ยังไง ๆ ก็บวชไม่ได้ หรือ บวชแล้วก็ไม่มีอะไรดีขึ้น หรือ หากคุณเป็นคนธรรมดาแล้วไม่ดี เส้นทางคุณต้องบวช ยังไงก็ต้องมีเหตุให้บวชเอง
สถานะการณ์ของคุณตอนนี้ คุณต้องใช้เวลาในการหาคำตอบ ไม่ต้องรีบนะครับ ใช้ใจคิดให้ดี ๆ จะพบเส้นทางเอง ทำใจให้สบาย ๆ ใช้ใจคิดนะครับ อย่าใช้สมองคิด เพราะใจ(จิตวิญญาณ)จะให้คำตอบที่ถูกต้องและเหมาะสมกว่าสมองครับ และอย่าเพิ่งไปกังวลว่าอะไรดีกว่าอะไร ให้เลือกในสิ่งที่จิตคุณบ่งบอกครับ ไม่มีใครบอกคุณได้ว่าอะไรดีกว่าอะไร จิตของคุณจะรู้คำตอบเองครับ -
สอบถามค่ะ
ก็เพราะใจมันวิ่งไปยึดเอาไว้ จึงเกิดทุกข์
พอมีทุกข์ที่เกิดจากการปรุงของกิเลศ ก็ จึงต้องดับด้วย ธรรม ตัดด้วยธรรม เพราะ ธรรมเป็นเครื่องมือสําคัญในการตัดซึ่งกิเลศ
เเล้วเเบบนี้ที่บอกว่าใจเราเที่ยงอยู่เเล้วไม่ต้องทําอะไรนั้น หมายความว่าเช่นไรเจ้าค่ะ
ตั้งเเต่เเรกเกิด กิเลศ มันก็ตามติดมาตามความต้องการ ในระดับหนึ่งอยู่เเล้ว พอนานวัน มันพอกพูนขึ้น พอกขึ้นสะสมจนเป็น กอง กิเลศลูกโต
เราก็จําต้อง ตัด หัก ขืน ดึง เอาความเที่ยงเเต่เดิมกลับมามิใช้หรือเจ้าค่ะ
หากไม่ต้องทํา ไม่ต้องตัด ไม่ต้องข่ม ปล่อยไปตามธรรมชาติ ของ จิตที่มี อวิชา เป็นตัวนํา
มันจะดีหรือค่ะ
มนุษเรามีกิเลศเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง กรรม มาเเต่เดิม
หากไม่ต้อง ตัด ไม่ต้องฝึกเพื่อตัด ปล่อยไปเรื่อย เเล้วส่วนที่มันพอกเพิ่มขึ้นมา เราจะทํายังไงกันล่ะค่ะ
ความเที่ยงนั้น เเม้เเต่จิตเดิมตั้งเเต่เรายังไม่ลงมาจุติกัน มันก็เอนซ้าย ขวา มาเเต่เดิมอยู่เเล้วนี่ค่ะ
หัวกระทู้ กับ ตอนจบ
ไม่ลงตัวค่ะ รบกวนขยายความเพื่อเป็น วิทยาทาน ด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ -
จิตเดิมนั้นประภัสสร แต่ต้องเร่าร้อนเพราะกิเลสจรมา เหมือนกับเราเดินทางไกลมาแล้วด้วยกิเลส วิธีกลับไปก็ต้องโดยสารกิเลสกลับไปเหมือนกัน ที่สำคัญคือเมื่อกลับไปถึงจุดเดิมหรือจุดหมายแล้ว ก็ต้องลง ไม่ใช่นั่งต่อยาว เราใช้กิเลสเป็นเพียงพาหนะหรืออุปกรณ์เท่านั้น ถ้าคุณไม่ทำอะไรเลยคุณจะไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรือกลับไปที่เดิมได้เลย จงละสิ่งที่ควรละ จงตัดสิ่งที่ควรตัด จงฆ่าสิ่งที่ควรฆ่า จงทำสิ่งที่ควรทำ แล้วสัจธรรมจะปรากฏขึ้นกับคุณ ถ้าคุณหยุดการเรียนรู้ คุณก็เหมือนอยู่กับที่
ปล. ถึงมันจะไม่เที่ยง ไม่ได้แปลว่า มันไม่มีซักกะหน่อยนี่ครับ ฉะนั้นผู้ฉลาดย่อมดับทุกข์ แห่งตนและผู้อื่นได้ เมื่อหิวก็ต้องหาอะไรกิน เมื่อเจ็บป่วยก็ต้องหาทางรักษา เมื่อปวดอุจจาระก็ต้องไปเข้าห้องน้ำไปถ่ายทุกข์ เหมือนกับคุณเคยมองเห็นอย่างชัดเจนอยู่ แล้วมีคนอื่นหรือตัวคุณเองนั่นแหล่ะเอาแว่นดำมาสวม(กิเลส) ทำให้ความสามารถในการมองเห็นน้อยลงไป ถ้าคุณอยากมองเห็นแบบชัดเจนเหมือนเดิม คุณก็ต้องหาทางเอาแว่นดำออกมาจากตาของคุณเสียก่อน สู้ๆนะครับทุกๆท่าน -
เรื่องที่กลับไปเอาความเที่ยงเดิมคืนมานั้น
ผมไม่ได้กล่าวเลยแม้แต่น้อย เป็นอุปทานของท่านล้วนๆ ครับ
ธรรมชาติมีมาแต่เดิมแล้ว และยังคงเป็นธรรมชาติเช่นเดิม
ถามว่า H2O ผสมกับดิน ความเป็น H2O ยังมีไหม?
ธรรมชาติเดิมแท้มันก็มีอยู่ อย่างไม่เที่ยง นั่นแหละ
ไม่ได้บอกให้ไปรักษาหรือดำรงคงมันไว้ ก็หาไม่
เมื่อใดที่ "สิ่งปรุงแต่ง" ถึงวาระ "อนิจจัง"
เมื่อนั้น อะไรละที่จะปิดบังสิ่งที่ "มีอยู่แต่เดิม"?
"หามีได้ไหม"?... -
จุดมุ่งหมายเดียวกัน เส้นทาง ต่างกัน เห็นต่าง คิดต่าง เชื่อต่าง ปฏิบัติต่าง ก็เป็นแค่ ระหว่าง ช่องว่าง
ตนต้องรู้แจ้งด้วยตนเท่านั้น จะตัด จะดับ จะไม่ตัด จะไม่ดับ ดับก่อนจึงจะรู้ รู้ก่อนจึงจะดับ เมื่อเข้าถึงในปัจจุบันของตน ตนจะรู้แจ้งซึ่งทางเองว่า ถูกแล้ว ดีแล้ว
หน้า 1 ของ 2