ไม่มาเกิดไม่มาตายเรียกว่าชาติสุดท้าย หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 29 เมษายน 2011.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ไม่มาเกิดไม่มาตายเรียกว่าชาติสุดท้าย หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ แห่ง วัดป่านิโครธาราม บ้านหนองบัวบาน

    หมายเหตุ - ในโอกาสวันถวายเพลิงสรีระสังขาร หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา คณะศิษย์วัดภูสังโฆ ได้จัดทำหนังสือ ไม่มาเกิดมาตายเรียกว่า “ชาติสุดท้าย” แจกเป็นที่ระลึก ก่อนหน้านี้คณะผู้จัดทำได้เคยจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้แล้วนำถวายหลวงตามหาบัวครั้งยังดำรงขันธ์อยู่มาก่อนแล้ว เนื่องจากการพิมพ์ครั้งล่าสุดนี้หนังสือมีจำนวนจำกัด

    ทางกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์จึงได้ขออนุญาต พระอาจารย์วันชัย วิจิตโต เจ้าอาวาสวัดภูสังโฆ นำรายละเอียดของหนังสือมาเผยแผ่ซึ่งท่านได้แจ้งว่า ให้พิจารณาว่าจะเป็นประโยชน์หรือไม่ ทางกองบรรณาธิการจึงจะนำเสนอต้นฉบับตามเดิม โดยเพิ่มเนื้อหาที่เป็นเทศนาของพ่อแม่ครูอาจารย์แต่ละรูปเข้ามาอีกส่วนหนึ่ง แล้วนำเสนอต่อเนื่องไปคราวละสัปดาห์จนกว่าจะสิ้นความหลักในหนังสือ มีรายละเอียดดังนี้

    *************************
    ครูบาอาจารย์ใหญ่มั่นท่านพูดเป็นปัญหาว่า “กล้วย 4 หวี สำรับอาหาร 4 สำรับ สามเณรนั่งเฝ้า พระเจ้านั่งฉัน” ท่านว่าอย่างนี้...

    ...พระผู้ที่ท่านผ่านการอบรมธรรมปฏิบัติมาแล้ว คำพูดของท่านแต่ละคำพูดไม่มากมาย แต่ถ้าเรานำมาตีความหมายแล้วจะมากไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้งและน่าฟังมาก เราอย่าประมาทในคำพูดแต่ละคำของครูบาอาจารย์ จะทำให้พลาดจากของดีที่ท่านให้ไว้ และเป็นสำนวนโวหารที่เราจะไม่ค่อยได้ฟังพร่ำเพรื่อจนเกินไป แต่ถ้าเราได้ฟังแล้ว ขอให้จดจำในข้ออรรถ ข้อธรรมะที่ท่านให้ไว้แล้วนำไปตีความหมายให้ละเอียดลงไปว่า กล้วย 4 หวี ได้แก่ ธาตุ 4 เณรน้อยนั่งเฝ้า ได้แก่คนที่โง่เขลาเบาปัญญา ไม่รู้เท่าทันตามหลักของธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม นั่งเฝ้าตัวเองอยู่ ไม่รู้ว่าในตัวของตนนั้นมีอะไรบ้าง กินแล้วก็นอน เลี้ยงร่างกายให้อ้วนท้วนสมบูรณ์ไม่ได้ทำอะไรที่ดีให้เกิดขึ้นแก่ตัวเองเลย อันนี้แหละชื่อว่าโง่เขลาเบาปัญญา ได้แต่นั่งเฝ้าตัวเองอยู่

    สามเณรนั่งเฝ้าสำรับที่มีอยู่แล้วโดยไม่ฉัน ก็หมายถึงบุคคลที่ไม่รู้ธาตุ 4 ตามความเป็นจริงว่า ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นอย่างไร ไม่ยอมกำหนดรู้แบบชนิดที่ให้เกิดปัญญา

    พระเจ้านั่งฉัน หมายความว่าพระอริยเจ้าทั้งหลายที่รู้หลักความจริงอันประเสริฐ

    [​IMG]

    เมื่อภาวนาได้ที่แล้วก็ยกธาตุ 4 เปรียบด้วยกล้วย 4 หวี มาพิจารณาตามหลักแห่งความจริง จนท่านเหล่านั้นสำเร็จคุณเบื้องสูง คือ พระอรหันต์ ก็เพราะพระอริยเจ้าท่านเป็นผู้ฉลาดในอรรถและพยัญชนะจึงไม่นั่งเฝ้าอยู่เฉยๆ ธาตุ 4 ก็อยู่ที่ตัวของเรา ขันธ์ 5 ก็อยู่ที่ตัวของเรา มันไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย แต่คนที่ไม่รู้อะไรเป็นอะไร ก็เลยต้องนั่งเฝ้าอยู่เฉยๆ เหมือนลิงนั่งเฝ้าเม็ดทองคำ ไม่รู้ค่าของทองคำว่าเป็นของดี คนที่โง่เขลา เบาปัญญาก็ได้แต่นั่งเฝ้ารูปธรรมนามธรรมที่มันอยู่ในตัวของเรานี่แหละ แต่พระอริยเจ้าหมายถึงผู้ฉลาด มีพระพุทธเจ้า เป็นต้น ท่านฉลาด ท่านไม่ได้นั่งเฝ้าอยู่อย่างธรรมดา

    ท่านหยิบยกเอาธาตุ 4 ขันธ์ 5 มาสับมาโขกให้ละเอียดจนท่านรู้แจ้งเห็นจริงในอัตภาพร่างกายของท่านเองและอัตภาพร่างกายของบุคคลอื่น คือมีอยู่ในตัวของท่านแล้วท่านไม่ได้นั่งหลับหูหลับตาอยู่เฉยๆ นั่งฉันเลยทีเดียว

    นั่งฉัน คือ นั่งพิจารณาอัตภาพร่างกายให้เห็นตามความเป็นจริงว่า อัตภาพ คือ ธาตุ 4 ขันธ์ 5 เกิดมาแล้วมันเป็นไปอย่างไร ชาติปิ ทุกขา กายของเราเกิดมาแล้วก็เป็นทุกข์ ที่เห็นได้ชัดแจ้งก็คือความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เบื้องต้นเกิดขึ้นมาแล้วก็เป็นเด็กทารก แทนที่จะคงเป็นเด็กอย่างนั้นร่ำไปก็หาไม่ จำต้องเปลี่ยนจากเด็กอ่อนขึ้นมาเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว ในขณะที่เจริญวัยขึ้นตามลำดับนั้น ความคิดมันสมองก็เปลี่ยนแปลงไปตามวัยของคน เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนถึงแก่เฒ่าชรากาลนานๆ เข้า ทนอยู่ไม่ได้ก็ดับไป เป็นอยู่อย่างนี้ทุกรูปทุกนาม ไม่มีข้อยกเว้น พวกท่านทั้งหลายอย่าได้นั่งเฝ้าร่างกายอยู่เฉยๆ มันไม่เกิดปัญญา
    ปัญญามันเกิดจากการภาวนา คือ การอบรมจิต เพื่อจะทำลายกิเลสจริงๆ จังๆ นั้นจะต้องดำเนินตามหลักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงสั่งสอนพวกเราเอาไว้ เพื่อให้ดำเนินตาม ไม่มีหลักอันใดจะวิเศษเหมาะสมยิ่งไปกว่าหลักโอวาทของพระพุทธเจ้าที่สั่งสอนไว้แล้ว ไม่ว่าพระ ไม่ว่าฆราวาส ท่านสอนให้รู้บ้างแล้ว ลงมือประพฤติปฏิบัติตามทันที และอุบายวิธีที่พระองค์สอนไว้นั้นล้วนแต่เป็นอุบายวิธี เพื่อที่จะถอดถอนกิเลสให้หลุดหายไปทั้งนั้น แต่เราไม่ค่อยจะศึกษาสำเหนียกกันเท่านั้นเอง

    ยกอัตภาพร่างกายของเราขึ้นมาบ้างสิ อย่ากอดขี้กอดเยี่ยวเอาไว้เฉยๆ การปฏิบัติธรรมอยู่ในที่สงบๆ

    พระพุทธเจ้าท่านทรงสรรเสริญไว้หลายแห่ง เช่น ท่านตรัสไว้ในโอวาทปาติโมกข์ว่า ปนฺตนฺ จ สยนาสนํ คือ ยินดีในเสนาสนะที่สงัด ทีแรกต้องให้กายของเรานี้สงบราบคาบจากการคลุกคลีด้วยหมู่คณะเสียก่อน ที่ท่านกล่าวว่า กายวิเวกคือความสงัดของกาย เมื่อกายมันสงบลงไปแล้ว จิตใจซึ่งเป็นนามธรรมเป็นของละเอียด มันก็จะพลอยสงบไปในที่สุด

    เมื่อจิตใจมันได้ที่หรือที่ท่านเรียกว่าจิตเป็นสมาธิเมื่อไร เราจะยกจิตที่ละเอียดนี้พิจารณาข้ออรรถข้อธรรมได้อย่างมีความสุขที่สุดในโลก แต่ถ้าการอยู่ในสถานที่ที่สงบหรืออยู่ในป่า ถ้าจิตของเราไปคิดแต่เรื่องโลกๆ เรื่องไม่เป็นเรื่องซึ่งมีอยู่มากมาย มีแต่เรื่องวุ่นวายใจ ก็เท่ากับว่าไม่ได้อยู่ในที่อันสงัด อยู่ในป่าก็เหมือนอยู่บ้าน ไม่มีประโยชน์ขึ้นมาเลย แย่กว่าคนที่เขาอยู่ในบ้านเสียอีกก็มี อันนี้แหละเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่พวกเราควรนำไปคิดไปพิจารณาตัวเองให้มากๆ เราจะรู้ว่าอะไรมาเกี่ยวข้องอยู่กับจิตของเราบ้าง

    หลักสำคัญก็คงจะมีกายนี้แหละสำคัญมาก กายก็คือขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้อยู่กับตัวเรา คือ จิต ตกลงว่าขันธ์ 5 กับจิตนี้อยู่ร่วมกัน แยกกันไม่ออก แต่ถ้าคนไม่รู้ไม่เข้าใจก็แยกแยะออกเป็นส่วนว่า ส่วนไหนเป็นรูป ส่วนไหนเป็นเวทนา และส่วนไหนเป็นสัญญา สังขาร วิญญาณ ยุ่งเหยิงกันไปหมด นอกจากปล่อยให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเกี่ยวพันกันกับใจให้มันผ่านไปตามธรรมชาติของมัน เราต้องพิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริงในขันธ์ทั้ง 5 คือ
    รูป ได้แก่ สิ่งที่เรามองเห็นด้วยตาเนื้อ คือ ปรากฏว่าเป็นรูปอยู่ที่ตา ถ้าตาบอดก็ไม่เห็นรูป แต่เราจะเห็นหรือไม่เห็นรูปมันก็คงเป็นรูปอยู่อย่างนั้น เราในฐานะเป็นศิษย์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเป็นนักปฏิบัติธรรม ต้องให้เป็นผู้รู้จักรูปในขันธ์ทั้ง 5 ให้ละเอียดพอสมควร จึงได้ชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติที่แท้จริง รูปนี่แหละเป็นนิมิตหมายอันหนึ่งที่เราจะต้องนำมาสับมาโขกให้ละเอียดว่ามันเป็นอย่างไร
    ปรากฏขึ้นมาแล้ว รูปคงอยู่เป็นรูปตลอดไปไหม

    สิ่งที่มีวิญญาณเมื่อปรากฏขึ้นมาแล้วเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นไหม
    คงทนอยู่ได้ไหม
    ทำไมเราไปติดอยู่ในรูปที่ไม่มั่นคงอย่างนั้น
    เราเป็นคนโง่หรือเปล่า

    รูปสวย รูปขี้เหร่ อัปลักษณ์อย่างไร มันก็ไม่อยู่กับเราตลอดไป เราไปติดมันทำไม มันไม่ได้ให้อะไรเลย ถ้าติดในรูปมันก็หยิบยื่นแต่ภพแต่ชาติให้เราเท่านั้นเอง

    ส่วนขันธ์ข้อที่ 2 คือ เวทนา อันเวทนานี้ก็เป็นข้าศึกแก่เรามันไม่มีอะไร ประเดี๋ยวก็ทุกข์ เรียกว่า ทุกขเวทนา ประเดี๋ยวก็สุข เรียกว่า สุขเวทนา มันเป็นมันเกิดขึ้นภายในจิต โดยลำพัง โดยร้องเรียกหามันบ้าง เราต้องพิจารณาดูเวทนา คือการเสวยอารมณ์ให้ละเอียด อารมณ์สุขก็อย่าดีใจตามมัน ถ้าเกิดอารมณ์ที่เป็นทุกข์ก็อย่าทุกข์ใจไปกับมัน ทำใจให้เป็นกลางๆ จนจิตของเราเป็นอุเบกขาเวทนา คือวางเฉยในอารมณ์ที่เป็นสุขและเป็นทุกข์

    [​IMG]

    สัญญา ข้อนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญมากทีเดียว เมื่อทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ก็สำคัญ แต่ทุกข์ไม่ได้เกิดอยู่ทุกเวลา ส่วนสัญญาเป็นผู้สำคัญมาก ละเอียดมาก
    สังขาร เป็นผู้ยื่นให้สัญญา จนไม่มีที่สิ้นสุด และหัวข้อที่จะยุติได้ยาก
    วิญญาณ ก็สำหรับรับทราบ สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้สัญญานี้เอง เป็นเครื่องปิดบังใจให้หลงใหลไปตามสัญญา ฉะนั้นจึงต้องบังคับจิต บังคับใจของตัวเอง

    การที่พวกเราทั้งหลายรู้เท่าไม่ทันสิ่งเหล่านี้เพราะว่าไม่ได้กำหนดในสิ่งทั้ง 5 นี้ จึงไม่รู้ว่าการเกิดดับของคนเรานั้นมีปรากฏอยู่ตลอดเวลา แต่เป็นของที่ละเอียดมาก ยากที่จะกำหนดจิตให้ดิ่งลงไปได้ การสู้รบตบมือกับกิเลสนั้น เป็นสิ่งที่ละเอียดและทำได้ยาก แต่ถ้าไม่มีการต่อสู้กิเลสที่มันย่ำยีตัวเราอยู่นั้น ก็เท่ากับว่าพวกเราไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง ถึงแม้พวกเราจะบวชเข้ามาอยู่ใกล้พระพุทธองค์ ก็จะไม่มีความหมาย นักบวชที่แท้จริงนั้น ต้องเป็นผู้ต่อสู้หรือปราบปรามกับกิเลส ถ้าเราไม่มีการต่อสู้กับมัน ปล่อยให้มันย่ำยีเราแต่ฝ่ายเดียวนั้น ตัวเราเองจะย่ำแย่ลงไปทุกที ผลสุดท้ายเราก็เป็นผู้แพ้ ยอมเป็นทาสรับใช้ของกิเลส ใช้การไม่ได้

    สำหรับการสู้รบตบตีกับกิเลส จิตใจเราจะรู้สึกว่า มีความทุกข์ยากลำบาก เป็นกำลังอยู่มากทีเดียว แต่ขอให้พวกเราทำต่อและยอมรับความทุกข์ยากลำบากลำบนอันนั้น ยิ้มรับกับความลำบาก เพราะความเพียรพยายามของเรา เมื่อเรามีความท้อถอย อิดหนาระอาใจต่อความเพียรของตนนั้นให้พึงระลึกถึงพระพุทธองค์ ผู้เป็นบรมครูของพวกเรา พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆจาติ นานาโหนฺ ตมฺปิ วตฺถุโต คือให้ยึด พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นอารมณ์ โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าของพวกเรา ก่อนที่พระองค์จะทำลายรังของกิเลสลงได้อย่างราบคาบ พระองค์ก็ใช้อาวุธหลายอย่างหลายชนิดเข้าประหัตประหาร จนกิเลสยอมจำนนต่อหลักฐาน ยอมให้พระองค์โขกสับได้อย่างสบาย

    ขันติพระองค์ก็นำมาใช้ เช่น พระองค์บำเพ็ญทุกรกิริยา คือ การกระทำที่บุคคลทั้งหลายในโลกทำได้ยากยิ่ง เพราะต้องใช้ความอดทนอย่างใหญ่หลวง จนเอาชนะกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้ พวกท่านทั้งหลายเมื่อเข้ามาอยู่ป่าแล้ว ก็ได้ชื่อว่าทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่นิยมอยู่บ้าน คลุกคลีด้วยหมู่ เพราะการคลุกคลีด้วยหมู่จิตใจของเราก็จะไหลไปสู่อารมณ์ต่างๆ ได้ง่าย โอกาสที่จะทำให้จิตเป็นสมาธิ หรือทำให้จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งนั้นยากเหลือเกิน
    พระพุทธองค์เมื่อพระองค์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา พวกท่านปัญจวัคคีย์ 5 รูปไปเฝ้าปฏิบัติพระองค์อย่างใกล้ชิดด้วยตั้งใจว่าเมื่อพระองค์บรรลุธรรมแล้วจักบอกแก่เราก่อน เมื่อเรามาสันนิษฐานดูแล้วจะเห็นได้ว่าการคลุกคลี หรือการอยู่ร่วมกันหลายคนนั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อการทำสมาธิ พระองค์ก็เลยต้องทำวิธีใดวิธีหนึ่งให้พวกปัญจวัคคีย์เกิดความเบื่อหน่ายแล้วจะได้หลีกหนีไปอยู่เสียที่อื่น พระองค์ต้องกลับมาเสวยพระกระยาหารอีก ทำให้ท่านเหล่านั้นไม่เชื่อมั่นในการกระทำความเพียรเลยต้องหลีกหนีไปอยู่อิสิปตนมฤคทายวัน

    เมื่อท่านปัญจวัคคีย์หนีจากท่านไปแล้ว พระองค์ก็ได้ทำความเพียรทางใจให้อุกฤษฏ์ยิ่งขึ้น จนสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยกาลไม่นาน อันนี้จะเห็นได้ว่าพระองค์ทำเป็นตัวอย่างไว้ให้เราดูแล้ว เราผู้เป็นศิษย์ของพระองค์ท่านก็ควรจะสำเหนียกและดำเนินตาม

    การทำความเพียรเพื่อทำลายกิเลสมันจะต้องลำบากทุกสิ่งทุกอย่าง การกินก็ลำบาก อดมื้อฉันมื้อก็ต้องยอมอด อดมันทำไม อดเพื่อปราบกิเลส กิเลสมันก่อตัวมานานแสนนาน หลายกัปหลายกัลป์มาแล้ว จนเราสาวหาตัว ต้นตอ โคตรเหง้า ของมันไม่พบ

    นี่แหละท่านจึงสอนให้อยู่ป่าหาที่สงัด แม้แต่ในครั้งพุทธกาล มีท่านพระเถระหลายท่านที่มุ่งหมายต่อแดนพ้นทุกข์ได้ออกปฏิบัติตนทรมานอยู่ในป่าในเขา และก็ได้บรรลุมรรคเป็นพระอริยบุคคลเป็นจำนวนมากนับไม่ถ้วน แต่เหตุในการบำเพ็ญของท่านเหล่านั้น ท่านทำกันจริงจัง หวังผลคือการหลุดพ้นจริงๆ ท่านสละเป็นสละตายมาแล้วทั้งนั้น ความทุกข์ยากลำบาก ทุกข์มากทุกข์น้อย ย่อมมีแก่ทุกคนในขณะปฏิบัติ

    โพสต์ทูเดย์ ธรรมะ-จิตใจ : ไม่มาเกิดไม่มาตายเรียกว่าชาติสุดท้าย หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ
     
  2. Santajitto

    Santajitto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2010
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +455
    ขอกราบอนุโมทนาในธรรม ...ครับ
    ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา
    สาธุ
     
  3. เย็นจิต

    เย็นจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +709
    ธรรมของพ่อแม่ครูอาจารย์ทุกพระองค์นี่ล้ำเลิศ ... กราบพ่อแม่ครูอาจารย์ด้วยเศียรเกล้า
     
  4. T00M

    T00M Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +90

    อนุโมทนา สาธุ กับเจ้าของกระทู้ด้วยนะคะ
     
  5. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    *
    [​IMG]

    เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่
    เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา
    และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่าน

    <IFRAME style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 600px; HEIGHT: 300px; OVERFLOW: hidden; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" src="http://www.facebook.com/plugins/likebox.php?href=http%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2Fpages%2FBuddhaSattha%2F158726110822792&width=600&connections=20&stream=true&header=false&height=300" frameBorder=0 allowTransparency scrolling=no></IFRAME>
    *<!-- google_ad_section_end -->
    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
    www.tangnipparn.com
    <O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา

    [​IMG]</O:p>
     
  6. pigba3

    pigba3 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2011
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +4
    ชาตินี้ชาติเดียวแต่ทุกหนทุกแห่งที่มาเกิดพร้อมๆๆก้นในทุกๆชาติ เพียงชาติเดียว โดยมีพระองค์เดียวพระองค์แรกเท่านั้นจะเป็นผู้ล่วงรู้สิ่งนี้ได้พระเจ้าข้าฯ
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    การทำความเพียรเพื่อทำลายกิเลสมันจะต้องลำบากทุกสิ่งทุกอย่าง การกินก็ลำบาก อดมื้อฉันมื้อก็ต้องยอมอด อดมันทำไม อดเพื่อปราบกิเลส กิเลสมันก่อตัวมานานแสนนาน หลายกัปหลายกัลป์มาแล้ว จนเราสาวหาตัว ต้นตอ โคตรเหง้า ของมันไม่พบ


    กราบอนุโมทนาครับผม


     
  8. คนรักชาติ

    คนรักชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +181
    [​IMG]
    ขอบุญบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยะทุกพระองค์ พระโพธิสัตย์ทุกพระองค์โดยมีบุญบารมีของหลวงปู่ดู่และหลวงปู่ทวดเป็นที่สุดช่วยดลบันดาลให้จิตข้าพเจ้าฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีของผู้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่โพส ฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีผู้โพสกระทู้ ฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีผู้อ่านกระทู้ และฝากกระแสจิตไว้กับบุญบารมีของผู้ตอบกระทู้ ข้าพเจ้าอยากมีส่วนร่วมกับบุญบารมีของพวกท่านทั้งบุญบารมีในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง สังฆังนิพพานัง ปัจจะโยโหตุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...