เวลาผมนั่งสมาธิ ผมมักชอบฟุ้งซ่าน คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปทั่ว บางทีพยายามไม่คิดแล้วมากำหนดลมหายใจ สมองหรือว่าจิตมันก็พาคิดถึงเรื่องอื่น บางทีก็นึกถึงหน้าของคนที่คุยด้วยภายในวันนั้น( วันที่ทำสมาธิ) ผมจะทำยังไงดีครับเพื่อให้มีสมาธิมากกว่านี้ ขอถามท่านผู้รู้หน่อยครับ ขอบคุณมากครับ
ป.ล. อยากถามว่า ถ้าสมมติเรานั่งสมาธิอยู่ แล้วจู่ๆก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา แล้วเราก็ตกใจ อย่างนี้ถือว่าเราไม่มีสมาธิใช่รึเปล่าครับ คือว่าผมตกใจกับเสียงที่มันดังขึ้นมาน่ะครับ
ไม่มีสมาธิเลยครับ
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Montesquieu, 18 มกราคม 2008.
-
-
ดีแล้วครับ...
ที่รู้ว่าตัวเองคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้
เพราะตัวรู้ว่าเราฟุ้งซ่านนั่นละ
จะทำให้เรามาเริ่มดูลมหายใจและคำภาวนาใหม่
รู้ตัวเมื่อไหร่...
ก็กลับมาดูลมหายใจและคำภาวนาใหม่
ทุกครั้งที่รู้ตัว..
ถ้าเป็นผู้ฝึกใหม่...
ทำแค่นี้ให้ได้ถือว่าดีมากๆ แล้วครับ..
โมทนาด้วยนะ.. -
จิตในจิต
(*) ตอนแรกๆ ก็เป็นอย่างงี้เป็นธรรมดา จิตคิดออกนอกตลอด ดึงเข้ามาซักพักก็ออกไปอีก พยายามดึงจิตเข้ามาในกรอบคือจิตในจิตนั่นเอง ถ้าฟุ้งซ่านอยู่ก็ปล่อยให้ฟุ้งซ่านไป แล้วค่อยดึงจิตเข้ามาภายในจิตอีก ทำไปเรื่อยๆ แล้วจิตก็จะนิ่งในที่สุด
(rose) สาธุ!!!! -
ใจเย็นๆครับ ค่อยๆไป
ผมก็เป็นเหมือนกัน ค่อยๆฝึกกันไปนะครับ -
ใจเย็นๆ เวลานั่งให้แผ่เมตตาด้วย จะก่อน และมาทำหลังด้วยก็ดีมาก
*** นั่งในที่ลับๆ หน่อยแล้วล็อกกลอน จะทำให้ไม่ตกใจเพราะเรามั่นใจแล้วว่าข้างในไม่มีอะไร และไม่ต้องระวังสายตาใคร เสียงดังก็คงจะข้างนอกแหละ ... แต่จะให้ดีมีสองวิธี คือ ทรงกำลังใจให้สูงๆ แล้วอธิษฐานถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา แล้วพิจารณาตัดขันท์ห้า ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา....เพื่อให้ไม่กลัวตายครับ 2. ดำรงสติให้รู้ตัว รู้อิริยาบท ท่านั่ง สภาวะเนื้อตัวร่างกายเรา รู้ลมหายใจไว้เสมอๆ โดยไม่เพ่งไปที่ใดโดยเฉพาะเพ่งลมหายใจจนแน่นเกินไปและภาวนาไปด้วย... พอจิตรู้รอบพอสมควรก็จะไม่ตกใจง่ายครับ
*** แต่จะให้ไม่ตกใจ หรือเอะใจเลยนั้น มันไม่ได้หรอกนาย เพราะได้ขนาดนั้นก็จิตต้องเข้าถึงปฐมฌานอย่างหยาบแล้วครับ อุปจารสมาธิเสียงดังเข้ามา ยังกระทบจิตนิดๆครับ -
555
เจอปัญหาคล้ายๆกันครับ ถ้ามันฟุ้งจริงๆแนะนำให้ลองพิจารณา
คือ คิดว่าร่างกายใน เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ของเรา ดูนะครับ
สลับกับการนั้งดูลมหายใจ จะช่วยได้มาก
ผมชอบภาวนาแบบ นึกภาพพระที่ตัวเองชอบนะครับ
นึกไปเลยโดยไม่ต้องสนใจลมหายใจ ผมทำแบบนี้ถ้าถูกใจก็
ลองประยุกต์ดูนะ อาจจะนึกภาพพระไปดูลมหายใจไปก็ได้ครับ
การทำสมาธิให้สงบเป็นของยากครับ น้อยคนจะทำได้
ขอให้ทราบว่า ไม่สงบน่ะ เป็นเรื่องธรรมดาของจิตครับ
เป็นธรรมชาติของจิตไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร เพราะจิตมี
สภาพเหมือนลิง ไว ซน จับได้ยาก ฉะนั้นอย่าท้อใจ
แต่ลิงทุกตัวมีจุดอ่อนแน่นอน มีของที่แพ้ทางกันอยู่
เพียงแต่เราอาจจะยังหาไม่เจอหรือยังไม่รู้วิธีที่จะจับ
ขอเป็นกำลังใจให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมอย่างรวดเร็วครับ -
ปล.ตกใจเสียงโทรศัพท์ ถือว่าจิตมีสมาธิระดับนึงนะครับ
ไม่ใช่ไม่มีสมาธิ ถ้าไม่มีสมาธิ ไม่ตกใจหรอกครับ ยืนยันและเอาใจช่วย -
เอาใจช่วยนะค่ะขอให้ทำได้เร็วดังที่ตั้งใจนะค่ะ
-
ถ้าการนั่งสมาธิ เจริญอานาปานสติ ภาวนาพุทโธ พุทโธ แล้ว จิตยังไม่นิ่ง จิตยังไม่สงบ ยังแปรปรวนอยู่ ให้ลองเปลี่ยนเป็นการออกท่วงท่าแทนครับ เช่น
การเดินจงกรมสัก 2 -3 ชั่วโมง ถ้าไม่สำเร็จก็ลองเปลี่ยนเป็นการเล่นโยคะ การอ่านหนังสือธรรม หรือการออกกำลังกาย แต่ที่สำคัญก็คือ ให้จิตตั้งมั่นอยู่ในการทำกิจอันนั้น เป็นเวลาอย่างน้อย 2 - 3 ชั่วโมง โดยไม่วอกแวกออกไปทำกิจอย่างอื่นเลย
เหมือนที่เซนสอนไว้ เวลาล้างจาน จงล้างจาน และล้างจาน
อนุโมทนาครับ -
อย่าไปคิดว่าพยายามจะไม่ให้คิดเพราะ คิดว่าไม่อยากคิดก็คือความคิดน่ะครับ การวางอารมณ์ที่ถูกคือ แค่ให้เราเลื่อนสติไปอยู่กับกรรมฐานเฉยๆ ดูไปเรื่อยๆ ความคิดอะไรเกิดขึ้นก็ปล่อยผ่านไป ไม่ต้องคิดจะไปดับ เพียงแค่เราจดจ่ออยู่กับกรรมฐานที่เราชื่นชอบไปเรื่อยๆ ความคิดต่างๆจะค่อยๆเบาบางและจิตก็จะเกิดเป็นสมาธิขึ้นมาเองครับ
-
อย่าเพิ่งท้อ คนที่ผึกจนชำนาญก็ต้องเคยผ่านแบบน้องนี้มาแล้วทุกคน
รับรองได้ถ้าเพียรพยายามสักพักต้องได้ผลเป็นที่พอใจ
เห็นด้วยกับคุณ เกษร และคนอื่น ๆ เขียนได้ชอบแล้วถูกแล้ว
ปล มีอีกวิธี สำหรับคนที่ชอบคิดออกนอก
ให้พิจารณากายตนเองเอาจิตไล่คิดไปตามร่างกายส่วนต่าง ๆ ทั้งภายนอกภายใน สักพักจิตจะสงบเอง หรือพิจารณาข้อธรรม ต่าง ๆ เอาจากตำรานี่แหละที่เคยอ่านเคยเรียนมา ยังไม่ใช่ของแท้จากใจเราเองก็ดีกว่าส่งจิตออกนอก สักพักจิตก็นิ่ง -
สมาธิแบบว่างเปล่าทำให้ท่านปล่อยวางและผ่อนคลาย
สมาธิแบบเจริญสติทำให้ท่านเกิดปัญญา -
สำหรับผู้ฝึกใหม่ ลองอ่านที่คุณศิษย์น้อยแนะนำในความเห็นแรกได้ครับ ทำตามแบบนั้นได้ ส่วนผู้ฝึกมานานแล้วก็ทำตามได้เช่นกัน ทำตามวิธีการนี้ สมาธิที่ได้จะเป็น สัมมาสมาธิ
เพราะการที่เราฟุ้งซ่านแล้ว เราไปกดข่ม ไปบังคับ ไม่อยากไม่ยอมให้มันฟุ้งซ่านพุดง่ายๆว่าอยากสงบ ถ้าฝึกไปนานๆ จะชำนาญเรื่องการกดข่ม สมาธิที่ได้เป็นมิจฉาสมาธิ -
ผมก็เคยมีอาการเช่นนี้ ในบางครั้งในเวลาใช้อานาปนสติ กำหนดจิตไว้ที่ลมหายใจครับ แต่อุบายในการแก้ของผม ผมจะเพ่งกสิณสีแดง ครับ โดยตัดแผ่นกระดาษสีแดง เป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 8-9 นิ้ว ครับ แล้วแปะไว้ที่ฝาผนัง หรือแปะลงบนกระดาษสีพื้น ขาว หรือสีอ่อน ๆ ก่อนนั่งก็ อาราธนาพระกรรมฐาน ก่อน แล้วลืมตาขึ้นมองแผ่นกสิณ ประมาณ 3 นาทีแล้วหลับตาลง เพ่งวงกสิณที่เห็นในนิมิต ต่อไป พร้อมกับภาวนาว่า โลหิตกสิณัง ไปเรื่อยๆ ถ้าเราเคยฝึกแนวอานาปณสติ สักพัก จิต จะกลับไปจับที่ลมหายใจ ผมก็จะกำหนดลมหายใจต่อไปเลยครับ แล้วจิตที่ฟุ้ง ก็จะหายไป เพราะขั้นที่จิตฟุ้งนั้นจะเลยผ่านไปแล้ว เพราะเรามีอุปกรณ์คือแผ่นกสิณเป็นอุบาย ไม่ให้จิตฟุ้งไปข้างนอกครับ ลองทำดูนะครับเพื่อน ๆ ......สาธุ
-
ถ้าอยากให้การภาวนาก้าวหน้าให้ลองสังเกตความฟุ้งซ่าน โดยให้ทำกรรมฐานขึ้นมาสักอย่าง อะไรก็ได้ที่ถนัดๆ ทำแล้วสบายๆ โดยเมื่อความฟุ้งซ่านเกิดขึ้น ก็ให้รู้ทันความฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นนั้นแล้วก็อยู่กับกรรมฐานของเราต่อไป เมื่อความฟุ้งซ่านหรือความคิดต่างๆที่แปลกปลอมขึ้นมาในจิตใจก็ให้รู้ทันแล้วกลับมาทำกรรมฐานของเรา แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ -
สิ่งที่ผมบอกไปตั้งแต่ขั้นต้นนั้น ถูกต้องครับ เป็นเพียงการหาอุบายให้จิตสงบ เพราะท่านเจ้าของกระทู้ มีปัญหาเรื่อง จิตฟุ้ง ไม่สงบในขณะนั่งสมาธิ แม้จะพยายามข่มโดยใช้กรรมฐานกองเดิม ๆ ก็ไม่สามารถข่มได้ ผมจึงได้แนะนำให้หาอุบายของกสิณมาเป็นตัวช่วย และเมื่อจิตสงบแล้วให้กลับมากำหนดที่ลมหายใจตามเดิม ซึ่งก็จะสามารถทำให้แก้ปัญญาเกิดขึ้นมาได้หลังจากกลับมาที่กรรมฐานกองที่ตนได้ลงมือปฏิบัติไว้แต่ต้น และถูกแก่จริตของตน ถ้าไม่หาอุบายและไม่สามารถข่มจิตในกรรมฐานกองเดิม ๆ ก็ยิ่งแต่จะเสียเวลาไปกันใหญ่ ผมได้เล่าแล้วว่าเป็นแค่เพียงบางครั้งเท่านั้นที่จิตฟุ้ง ผมไม่ได้แนะนำให้ใช้อุบายนั้นไปตลอด เพียงแต่แค่ข่มให้จิตหยุดฟุ้งและให้กลับไปที่กรรมฐานกองเดิม ..... สาธุ -
ความคิดของผมนะครับ อย่างที่คุณ Chaina.. ข้อความที่ 17 เขียน ผมเคยทำ ได้ผลเหมือนกันคือป้องกันจิตฟุ้งซ่าน บ่อยครั้งและส่วนใหญ่ด้วยนะครับที่กำหนดแต่คำบริกรรมแล้วยังฟุ้ง ครูบาอาจารย์ท่านจึงให้ทั้งกำหนดคำบริกรรมและกำหนดรู้อะไรอีกอย่างเพิ่ม กลายเป็นใช้สองอย่างช่วยกัน เช่นกำหนดลมหายใจเข้าพุทธ หายใจออกโท ขณะเดียวกันก็เอาจิตกำหนดรู้ที่ลมคือเอาจิตจับลมที่เข้าออก รับรองได้ไม่ถึงนาทีจิตรวม
บางทีใช้คำบริกรรมกับกสิณกองใดกองหนึ่งอย่างที่คุณ Chaina...ก็ใช่ ไม่ผิดหรอกครับ ผมเคยใช้คำบริกรรมพุทโธร่มกับกสิณไฟ จิตก็สงบกันฟุ่งได้เหมือนกัน
ส่วนของคุณบัวใต้น้ำที่พยายามตามรู้จิตก็ใช้ได้อยู่ แต่เท่าที่ผมเคยทำบ้างเหมือนกัน ไม่ค่อยคุ้น และจิตรวมช้ากว่าแบบจับกับวัตถุที่มีเป้าหมาย เพราะอย่าลืมจิตเราไวมาก ถ้าไม่รู้ทัน มันไปเรื่อย แต่บางคนถนัดแบบไหนก็เอาแบบนั้น แต่อย่าไปวาแบนั้นแบบนี้ถูกผิด คนทำ ๆ แล้วสังเกตดูเองจะรู้เองว่าแบบไหนได้ผลไม่ได้ผลกับเรา อะไรที่ทำแล้วได้ผลกับเราเราก็เลือกแบบนั้น
วิธีเอาจิตดูหรือตามจิตไว้ให้ได้ตลอดจะมีประโยชน์มากสำหรับชีวิตประจำวัน จิตจะไม่ฟุ้ง ทำอะไรมีสติ ทำงานได้ดี และเมื่อถึงเวลานั่งสมาธิจิตจะรวมได้เร็ว
แต่อยากให้ทราบว่ากรรมฐานมีหลัก ๆ 40 กอง รายละเอียดปีกย่อยครูบาอาจารย์ท่านว่ามีอีกหลายร้อย จะวิธีใดก็ตามเมื่อถึงตรงที่จิตรวมดิ่งแล้ว จากทุกวิธีจะเข้าร่องเดียวกันหมด คือมาจากหลายวิธีเหมือนน้ำที่ไหลมาจากคลองเล็ก ๆ 40 หรือมากกว่า 40 คลอง พอลงสู่แม่น้ำหลักก็จะเข้าร่องเดียวกันตรงตำแหน่งที่จิตรวม
ต่อจากนั้นก็ความสามารถใครความสามารถมันจะแช่ในฌานเฉย ๆ ให้มันขยับก้าวขึ้นไปเรื่อย ๆ หรือ จะวิปัสนาก็แล้วแต่ -
ปกติเวลานั่งสมาธิควรจะตัดกังวล ปิดโทรฯนะครับ แต่ถ้ามีเสียงดังขึ้น เราตกใจก็ประครองไว้ อย่าลืมตาโดยทันทีครับ ทำไปเรื่อยๆแล้วจะชินเองครับ -
คำตอบ ก็ตอบกันไป แล้วมากมาย.................................
ลองแนวทางนี้ดู หรือแค่อ่านเล่น เพลินๆ สบายๆ ก็ได้ ไม่ต้องเคร่งเครียดหรือซีเรียส อะไร
หรือเอาอะไรกับผู้เขียน........นึกว่า.....สบาย ๆ ง่าย ๆ ก็แล้วกัน นึกเสียว่ามานั่งสนทนาธรรมกัน...
เรื่องความคิดนั้น คงห้ามอะไรมันไม่ได้ มันคงคิดของมันอย่างนั้นแหละ ปล่อยวาง ไม่เอา
อะไรกับความคิดต่างๆ นั้น ต่างคนต่างอยู่ (เหมือนมีสอง สามร่าง ในคนๆ เดียว ประเภท
TWO AND THREE IN ONE ) นั่งสมาธิก็นั่งไป เราก็นั่งสมาธิไป คิดอะไรก็ให้มันคิดไป
สำคัญว่าก่อนหรือตอนนั่ง ทำสมาธิ เราก็ต้องวางภาระ ความวิตกกังวล ภาระกิจ การงาน
เรื่องอะไรที่ต้องทำก็ทำให้เสร็จ อย่าให้คะค้าง ตอนจะทำสมาธิก็ต้องตัดหรือวางอะไร ต่อมิอะไร
ให้หมด (ปล่อยวางเครื่องพันธนาการต่างๆ) นึกว่าหรือทำเหมือนว่าเราอยู่คนเดียวในโลกใบนี้
(บางทีไปนั่งสมาธิที่วัดหรือสถานปฏิบัติธรรม คนเต็มศาลาเลย) อะไรจะเกิดก็ปล่อยมันเกิดไป ช่างมัน
(ให้วางอุเบกขา....วางเฉย นิ่ง อยู่กับกรรมฐาน ที่ใช้ วางใจเบาๆแนบติดกับกรรมฐานนั้น)
อิริยาบทต่างๆ ให้ผ่อนคลาย ไม่เกร็งส่วนใด ส่วนหนึ่งของร่างกาย หรืออยากจะมี อยากจะได้ อยากจะเป็น
อยากจะสงบ ให้นั่ง นิ่ง ๆ เฉย ๆ หยุดอยู่กับกรรมฐานที่ใช้ (ศีล ๕ ก็อย่าให้ขาดหรือบกพร่อง ทั้งในขณะนั่งสมาธิ
หรือนอกเวลา...ขณะทำสมาธิ) นั่งสมาธิบ่อยๆ...........กิจวัตรประจำวันก็พยายามเอาสมาธิจิต เข้าไปกำกับ ไม่ว่า
ทำงาน เรียนหรืออ่านหนังสือ ยืน เดิน นั่ง นอน (ไม่ใช่เลิกทำหรือนั่งสมาธิแล้ว เหมือนปล่อยผีออกป่าช้า สุดฤทธิ์
สุดเดชไปเลย...อย่างนี้เห็นทีจะลำบากสักหน่อย) ก็เป็น การเกลี่ยจิตให้เข้าที่หรือเตรียมพร้อมนั้นเอง เปรียบเหมือน
เราหุงข้าวแล้วอุ่น (เสียบปลั๊กไฟไว้) พอถึงเวลา หรือหิว ก็ตักกินได้เลย ไม่ต้องมานั่งหุงหาเอาใหม่ ถ้าจะให้ดีก็ต้องปลีก
วิเวกหรือหลีกเลี่ยงจากสิ่งอบายมุขต่างๆ หรือคนที่ฟุ้งซ่าน ทำให้ฟุ้งซ่าน เข้าทำนองกิเลสหนาหรือสะสมกิเลสนั้นแหละ
ก็พึงคบกัลยาณมิตรที่ดี สนทนาธรรมพูดคุยแต่สิ่งที่เป็นธรรมะหรือสิ่งที่เป็นประโยชน์ เอื้อต่อการปฏิบัติธรรม (สัปปายะ ๔)
คนเราเกิดมามีกรรมเป็นของๆตนทุกคน บุญมากหน่อยภาระต่างๆก็ลดน้อยถอยลงไปด้วย ก็ต้องทำบุญสุนทร์ทาน ไปด้วย
ไม่ใช่เอาแต่นั่งสมาธิอย่างเดียว เมื่อใดมีความฟุ้งซ่านจนรู้สึกว่าเอาไม่อยู่ ก็ต้องผ่อนคลาย ไปพักผ่อนบ้างเหมือนกัน
หรือจะพิจารณาทุกข์หรือความไม่สงบนั้น โดยหาเหตุแห่งทุกข์นั้นๆ พิจารณาจนมีความรู้สึกเบื่อหน่าย ๆ ซ้ำไปซ้ำมา
จนมันปล่อยหรือวาง หรือไม่เอาของมันเอง คือ ลงที่ อนิจจัง ทุกข์...ขัง อนัตตา พอรู้สึกสงบ ระงับ จะกลับมานั่งสมาธิ
ต่ออีกก็ได้ หรือจะพิจารณาเรื่องตาย...มรณานุสติกรรมฐาน จนคลายความยึดติดกับร่างกาย ขันธ์ ๕ เข้าทำนอง
ตัดตาย ตายเป็นตาย สู้ตายในการนั่งสมาธิ (ต้องให้มันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ) การนั่งสมาธินั้น ก็จะสงบ ระงับ
หรือเข้าสมาธิได้เร็ว ได้ดี อีกเหมือนกันและเป็นปัจจัยให้เข้าสู่สมาธิชั้นสูงได้ดีอีกด้วย
ที่ถามว่า จะทำยังไงดี เพื่อให้มีสมาธิมากกว่านี้...ก็อย่างที่เล่ามาก็พอจะช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อย ก็ขึ้นอยู่
กับตัวเราเอง ที่ต้องหมั่น คอยฝึกฝนตนเอง ไม่มีใครทำแทนกันได้หรือแบ่งปันให้กันและกัน........ก็ต้องทำจริง
ปฏิบัติจริงจึงจะเห็นผล การบรรลุมรรค ผล ไม่ใช่อยู่ที่การพูดการคุย แต่อยู่ที่ผลของการทำ การปฏิบัติ
อย่างน้อยชาตินี้ไม่ได้อะไรมากก็พอเป็นปัจจัยหนุนส่ง ข้ามภพข้ามชาติ ให้เราเข้าถึงมรรคผลนิพพานใน
ภายภาคหน้าไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง ส่วนเรื่องของเสียงโทรศัพท์นั้นตราบใดที่เข้าสมาธิไม่ลึกหรืออยู่ในฌานที่สูง
ขึ้นไปแล้ว ก็สะดุ้ง สะเด็น เหมือนกันหมด (คนที่ทำให้เกิดเสียงหรือทำให้เขาออกจากสมาธินั้น จะมีกรรม
ติดตัวข้ามภพข้ามชาติไปเหมือนกัน กรรมหนักพอดู เพราะฉะนั้นถ้าไปปฏิบัติธรรมที่ไหนให้ปิดโทรศัพท์เสีย
จึงจะเป็นการดี) ถ้าตกใจมากก็ต้องค่อยๆปรับตัว ปรับใจ ปรับกาย ผ่อนคลาย ปล่อยวางหรือจะสูดลมหายใจเข้าไป
ลึกๆ ช้าๆ หลายๆ ครั้ง พอรู้สึกว่าดีแล้วก็ ค่อยๆ แตะหรือวางใจเบาๆ กับกรรมฐานที่เราใช้ฝึก ทำสมาธิ เจริญภาวนา
ของเราต่อไป (นึกเสียว่าโลกใบนี้มีแต่ทุกข์ สุขที่แท้จริงมีซะที่ไหน)
เล่ามาซะยืดยาว เอวังก็มีประการฉะนี้
ขอโมทนา...สาธุการ -
ลองฝึกกสิณดูแล้วมันปวดตายังไงไม่รุคะ แล้วรุสึกตาสั่นๆ เลยไม่มีสมาธิอะคะ เลยคิดว่าจะฝึกแอบธรรมดาจะรู้สึกดีกว่าอะคะ หรือใครมีวิธีแก้ชี้แนะด้วยนะคะ