เพราะมีอนิจจัง จึงมีอนัตตา..
;);)
ไม่รู้จักกัน
ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย อนัตตา, 4 มกราคม 2019.
หน้า 42 ของ 162
-
-
นำมาฝากค่ะ...
"... กุศลธรรมทั้งปวงตั้งอยู่ใน "ศีล" แล้วไม่มีการเสื่อม กุศลธรรมทั้งหลายมี "สมาธิ" เป็นตัวหน้า "สติ" เป็นลักษณะเลือกเฟ้นธรรมทั้งหลาย "ศรัทธา" หยั่งลงสู่ไตรลักษณ์แล้วไม่มีเสื่อม "ปัญญา" พิจารณาตามไตรลักษณ์ ตัดกระแสของกิเลสของกิเลสอาสวะทั้งหลายให้สิ้นไปได้
จิตบริสุทธิ์ด้วยศีล ด้วยสมาธิความเป็นหนึ่ง มีปัญญาเกิดขึ้นพร้อม ต่อนั้นจะเกิดมโนภาพ จิตจะมีอำนาจใช้พลิกแพลงไปต่างๆ เกิดความฉลาดรอบรู้อริยธรรม คำว่า "มโนภาพ" จิตมีฤทธิ์ ต่อนั้น ค้นคว้าธรรมะมีหลักฐาน แต่เดินมรรคให้ถูก ปัญญาเห็นชอบ เป็นต้นนั้น เห็นร่างกายแปรปรวนไปต่างๆ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในกิเลสทั้งหลาย เพราะผ่านความเบื่อหน่ายมาแล้ว ขึ้นวิปัสสนา "อัพยากฤต" รวมดีแล้ว ถึงวิโมกข์วิมุตติความหลุดพ้นกิเลส จิตเสวยสุขเรื่อยๆ ไปจนกว่าเข้านิพพาน ..."
โอวาทธรรม
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
( โดยคุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ )
สำนักชีบ้านห้วยทราย อ.คำชะอี จ.มุกดาหารไฟล์ที่แนบมา:
-
-
แล้วถ้า ถามว่า ความรัก ความห่วงใย คิอ กิเลสข้อไหน ละอย่างไร
-
ตอบยากนะ
แค่รักคนในครอบครัวก็เกิดความห่วงใยแล้ว
เราใช้ความจริงที่เป็นสัจจะเข้าไปตัด
เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั่นแหละ
ทุกคนที่เกิดมาล้วนต้องตาย ล้วนต้องได้พานพบกับความพลัดพรากเป็นธรรมดา ลงที่ธรรมดา
ความรักมีหลายรูปแบย มีเหตุเกิดที่แตกต่างกันไป -
อดีตชาติของ "หลวงพ่อลี" วัดอโศการาม คือ "พระเจ้าอโศกมหาราช" ในสมัยพุทธกาล
ครั้งหนึ่ง... หลวงพ่อลีกำลังบำเพ็ญเพียรนั่งสมาธิที่วัดเขาพระงาม ขณะนั่งสมาธิอยู่นั้น ท่านได้ยินเสียงคล้ายฝนตก ครู่หนึ่งก็ได้เห็นรูป "พระเจ้าอโศกมหาราช" ตกลงมาใกล้ๆ เป็นแก้วเจียระไนสี่เหลี่ยมสีดำอมชมพู ต่อมาแก้วเจียระไนนี้ได้รับการบรรจุไว้อย่างมิดชิดที่วิหารหลวงพ่อเศียร วัดอโศการาม
และอีกเรื่องที่มีหลักฐานอ้างอิงอันสำคัญจาก "หลวงปู่สิม พุทธาจาโร"
เมื่อครั้งที่ท่านเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดีย ท่านเห็นสถูปที่พระเจ้าอโศกรามหาราชสร้างไว้อย่างยิ่งใหญ่ที่พุทธคยา ท่านก็เกิดความสนใจใคร่อยากทราบว่า...
"พระเจ้าอโศกฯ ผู้สร้างคุณประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนาอันยิ่งใหญ่ ไปเกิดเสวยผลสุขทุกข์อยู่ ณ ที่ไหนหนอ?"
ท่านยืนกำหนดจิตรำพึงถึงเท่านั้นแหละ จิตเกิดญาณความรู้มีภาพของท่านพ่อลี ปรากฏลอยเด่นเข้ามาในนิมิตนั้น ท่านจึงประจักษ์ใจว่าท่านพ่อลีเป็นพระเจ้าอโศกฯกลับชาติมาเกิดเป็นแน่แท้
คำอธิษฐาน "เสี่ยงทายบารมี" ณ ถ้ำพระสบาย จ.ลำปาง (^/\^)
พ.ศ.๒๔๙๙ "หลวงพ่อลี" ได้จัดสร้างเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในถ้ำพระสบาย เมื่อสร้างเจดีย์เสร็จ ท่านพ่อลีได้นิมนต์ "หลวงปู่ตื้อ, หลวงปู่จาม, หลวงปู่แว่น, พระอาจารย์น้อย" ไปทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์ โดยต่างองค์ก็ต่างสวดบทมนต์ตามถนัดตั้งแต่หัวค่ำจน ถึงตี ๔ จึงจบพิธี แต่ละองค์จะมีพานไว้ข้างหน้า หลวงปู่แว่นจึงอธิษฐานว่า...
"ถ้าพระธาตุเสด็จมาในพานของใครมาก แสดงว่าผู้นั้นได้ทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนามากตามปริมาณที่พระธาตุเสด็จมา"
ปรากฏว่าในพานของหลวงพ่อลีมีพระธาตุมากที่สุด!!! มติคณะสงฆ์ได้มอบหมายให้หลวงปู่ตื้อเป็นผู้วินิจฉัยถึงเหตุผล เพราะทุกองค์ยอมรับในความสามารถเข้าฌาณของหลวงปู่ตื้อว่ามีญาณทัศนะเป็นที่แน่นอน เมื่อหลวงปู่ตื้อเข้าสมาธิเล็งญาณดูในอดีตจึงแจ้งให้คณะสงฆ์ทราบร่วมกันว่า...
- ท่านพ่อลี... เป็นพระเจ้าอโศกมหาราช
- หลวงปู่จาม... เป็นกษัตริย์ชื่อเทวนัมปิยะ ประเทศศรีลังกา
- พระอาจารย์น้อย... เป็นเสนาอำมาตย์ของกษัตริย์ศรีลังกาองค์นั้น(เทวนัมปิยะ)
- หลวงปู่ตื้อ... เป็นโจรที่มีเมตตา ปล้นคนรวยเอาไปช่วยคนจน
- หลวงปู่แว่น... เป็นเจ้าเมืองลำปางในอดีต จึงมีความผูกพันกับจังหวัดลำปางมาก
ขอขอบคุณข้อมูล จากเพจ ท่านพ่อลี ธมฺมธโรไฟล์ที่แนบมา:
-
-
สิ่งของไม่มีราคา
ผู้ใดจะปรารถนาเล่า
นาคีนะจ๊ะ บ่แม่นนาคราชเด้อไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ใส่หน้ากากแป๊ะยิ้มแทนหน้ากากผ้าได้ป่าว
สวมหัวไปเล้ยยยยย...ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
หวัดดีครับ อย่าลืมแวะไปให้ธรรมมะในห้องสนทนานะ
-
ใครสนใจก็อ่านและน้อมตามไป ใครไม่สนใจก็ข้ามไป ตรงนี้เป็นเรื่องของสติปัญญา ของใครของมันนะ -
การ "ถอนตัว" ออกจาก "สมมติ" เพื่อให้จิตหลุดพ้น ไม่ "หลงในอาการ" ด้วย "สมถะ" และ "วิปัสสนา"
"สมถะ" ให้แยก "กายกับจิต" กาย เป็นที่อยู่ที่อาศัยของจิต ทำจิตให้อยู่กับลมหายใจ ให้เอาจิตมารวมอยู่ที่จิต แล้วเอา จิต ให้รู้จัก ลม ภาวนา พุทโธ พุทโธ ปล่อยวางข้างนอกให้หมด อย่าไปเกาะกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวงทั้งนั้น ให้ปล่อย ให้เป็น "อันเดียว" รวมจิตลงที่ "อันเดียว" มันไม่ ส่งจิต ไปทางอื่นแล้ว มัน จะรวม อยู่ที่นั่น เมื่อพบเช่นนี้ เราก็มี "อันเดียว" เท่านั้น เหลือแต่ "ความรู้" หรือ "ผู้รู้" อันเดียว ให้รวมจิตเข้ามาเป็น "หนึ่ง" หรือ "จิตหนึ่ง" นี้คือธุระหน้าที่ของเรา
"วิปัสสนา" เมื่อ "จิตหนึ่ง" เกิดแล้ว (จากสมถะ) กำหนดเอา "จิตหนึ่ง" มาเดิน "วิปัสสนาปัญญา" พิจารณาใน "ปัจจุบันธรรม" ให้ยึดหลัก " ทุกข์มันไม่ได้นอนเนื่องอยู่ในใจหรอก มันเกิดเมื่อมันรู้เดี๋ยวนี้ กิเลสไม่ได้นอนเนื่องอยู่ในใจเราเหมือนกัน มันเกิดเดี๋ยวนี้ เกิดในปัจจุบันธรรม"
ใน "ปัจจุบันธรรม" จะมี ผู้รู้, จิต, และ, อารมณ์ เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอยู่
"ผู้รู้"... เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสัมมาทิฐิ ผู้รู้ ออกมาจาก จิต ผู้รู้ กับ จิต เป็นตัวเดียวกัน
"จิต".... เป็นผู้ทำงานทั่วถึงทุกทิศ ทั้งภายในภายนอก เป็นผู้นึกคิด เป็นผู้ปรุงแต่ง
"อารมณ์".... อารมณ์เกิดมาทาง ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ กระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
** เมื่ออารมณ์มากระทบอายตนะ มันก็มาถึงจิตทันที **
เมื่อ "ผู้รู้" เห็นเช่นนี้ เกิดแล้วมันก็ดับ ดับแล้วมันก็เกิด มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น
เมื่อคิดแล้วก็ไม่รู้จะไปเอาอะไรกับมัน จิตก็จะปล่อยวางอยู่กับธรรมชาติ
สุข - ทุกข์ มันก็มีแต่การเกิด - ดับอยู่เท่านั้น ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติของมันเพราะมันไม่มีอะไร
อันนี้เป็น "อารมณ์" อันนี้มันเป็น "จิต" เมื่อรู้เท่าทันอารมณ์ ตามเป็น จริงแล้ว
"จิต" นั้นเลยเป็น "เสรี" (จิตหนึ่ง)
.
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
_/|\_ _/|\_ _/|\_ -
เหนื่อย แปลว่ายังมีชีวิต
เจ็บแปลว่ายังมีความรู้สึก
สะบักสะบอมกับความคิดและการใช้ชีวิต
หาเวลาพักบ้างสักนิดนะ
เจอพลังลบก็ใช้มันเป็นแรงขับเคลื่อน
เจอพลังบวกก็เก็บใช้มันฮีลตัวเราเอง
ให้ทุกอย่างที่ได้เจอ เกิดประโยชน์กับตัวเอง
#คิดในใจ
ก๊อปมาจากหน้าฟีดข่าว เฟสบุคค่ะ:D -
ยุคนี้มันยุคอภิญญาจริงๆ เปลี่ยนความคิดให้เป็นตัวหนังสือ.. -
-
หงบผู้ลวงโลกไม่ทุบหม้อแล้วหรองับ -
ผ่านไปเป็นวัน...ผ่านไปเป็นเดือน...ผ่านไปเป็นปี...ผ่านไปเป็นชาติ
กี่วันเดือนปี ผ่านทางชีวิตหลากหลาย ซอกซอนซ้ำๆ โค้งๆ ซ้ำๆ วกวน...
-
ทุบหม้อข้าวแล้วจ่ะ รอบุกอย่างเดียวนะจ๊ะ..
:D:D -
มันก็เป็นเช่นนั้นเอง ถ้าเรารู้จักว่านี่คือสังขาร มีเหตุมาจากอุปาทาน เราก็นิ่งเฉยเสีย เพราะอย่างไรเสีย มันก็มีเกิด มีดับ อยู่อย่างนั้น อยู่เหนือการควบคุมของใครๆ เป็นอนัตตา เหตุปัจจัยภายนอกย่อมหมุนเวียนอย่างนั้น นิ่งสงบจบที่ใจ...ไทยนี้รักสงบ
บางทีก็นึกขำว่าทำไมจึงดีใจที่มีจำนวนผู้ตายจากโควิดลดลง ทั้งๆ ที่ในแต่ละวันมีคนตายทุกวัน ตายจากอุบัติเหตุ จากฆาตกรรม จากโรคภัยอื่นๆ มากมาย ไม่เห็นมาคิดเลยว่าทำยังไงจะลดจำนวนคนตายจากสิ่งอื่นๆ เหล่านั้นบ้าง มันตลกดี... นึกแล้วก็ขำ
คนจะตาย ยังไงๆ ก็ต้องตาย ตายโหงหรือตายห่าก็ตาย ห้ามกันไม่ได้ โรคภัยไข้เจ็บก็มีประจำโลกอยู่แล้ว งงกับชาวพุทธ หลับใหลตามโลกนานเกินไปไหม คิดมากเยี่ยวเหลือง เดี๋ยวเราก็ตายแล้ว
หาคนที่อยู่ค้ำฟ้ามาให้ดูหน่อยซิ อมตะนิรันดร์กาล ยังไม่เคยเห็น หรือว่ามีอยู่แต่ไม่แสดงตน
ถ้าอยากให้เราคุยด้วย จงทักทายด้วยกิริยาของความเป็นมิตร ถ้ามาด้วยกิริยาของพาล เราไม่คุยด้วย ต่อให้เก่งสุดติ่งกระดิ่งแมว ก็ไม่คุยด้วย
หน้า 42 ของ 162