เอาบุญมาฝาก เมื่อวานไปทำบุญที่วัดพิชัยญาติการาม มาครับ
และขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ สาธุ
ไม่เคยฝึกมโนมยิทธิ แต่สิ่งที่ตัวเองสื่อได้ คล้ายๆจะมาทางด้านนี้
ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย Me, myself, 3 มีนาคม 2009.
หน้า 271 ของ 547
-
ก่อนอื่นขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านทุกบุญด้วยค่ะ และขอบคุณ คุณอ้อยที่ส่งหนังสือทางหลุดพ้น ได้รับแล้วค่ะ. วันนี้ได้โทรถามน้องเรื่องให้โอนเงินที่ฝากไว้ไปทำบุญ ซึ่งน้องได้โอนให้เรียบร้อยแล้ววันนี้ คือ ร่วมบุญปิดทองประดับเพชร พระพุทธปฏิมากรณ์ ๔๙ นิ้ว ในกระทู้ของคุณเปี๊ยก ๓๐๑ บาท และโอนเงินไปสบทบช่วย ด.ญ. ชลิษา ปลูกถ่ายตับ ๓๐๐ บาท ขอทุกท่านได้ร่วมโมทนาบุญนี้ด้วยกันเทอญ
-
อนุโมทนาบุญ กับคุณ วิณวิญ , คุณ akp07 , แม่หมูอ้วน ด้วยค่ะ สาธุ สาูธุ สาธุ
-
เมื่อวานไปถวายสังฆทานชุดยาและพระบรมสารีริกธาตุแบบซองจำนวนหนึ่ง
และได้โอนเงินไปร่วมทำบุญช่วยผู้ประสบภัยชาว เฮติ 200 บาท
ร่วมโอนไปทำบุญทอดผ้าป่าสามัคคี 13 วัด
ในวันที่ 23 มกราคมนี้
> จะมีการทอดผ้าป่าสามัคคี
> 13 วัด >
> (เป็นพระสายวัดป่า
> อาทิ
> หลวงปู่ท่อน,หลวงปู่คำบ่อ
> ,หลวงพ่ออินทร์ถวาย)>
> ที่ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์
> รามอินทรา
และได้ร่วมทำบุญถวายพระหลวงพ่อชินสีห์
โดยจะนำพระไปประดิษฐานที่วัดเขาคีรีวงศ์ จ.กาญจนบุรี จำนวน 200 บาทค่ะ
ร่วมโมทนาบุญด้วยกันนะคะ -
-
-
อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ:cool:
-
ไม่ได้เข้ามาซะนาน เอาบุญมาฝากค่ะ
ไปถวายภัตตาหารเช้า ถวายปัจจัย 200 บาท
บริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่เฮติ 500 บาท
มาโมทนาบุญด้วยกันค่ะ -
อนุโมทนาครับ
ธรรมะไม่กลับมา โลกาวินาส -
เอาบุญมาฝากครับ วันนี้ไปทำบุญไหว้พระที่ วัดหน้าพระเมรุ วัดท่าการ้อง วัดใหญ่ชัยมงคล ทำบุญตามตู้บริจาค ทำบุญผ้าป่า ซื้อโลงศพ กระเบื้องปูพื้น ขอเชิญอนุโมทนาร่วมกันครับ
-
ขออนุโมทนานะครับ แสดงว่าสร้างสมมาดีแล้วในชาติก่อน ชาตนี้จึงสบาย
-
สวัสดีครับ ^^
เอาบุญมาฝากครับ วันนี้โอนเงินทำบุญค่าเว็บ Hosting เว็บพลังจิตแห่งนี้ 501 บาทครับ อนุโมทนาบุญร่วมกันนะครับ ^^ -
ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยนะค่ะ
เอาบุญมาฝากค่ะ
วันนี้ได้โอนเงิน 250 บาท เพื่อร่วมบริจาค Upgrade Ram
เว็บพลังจิต มาโมทนาบุญร่วมกันค่ะ<!-- google_ad_section_end --> -
สวัสดีค่ะ กัลยาณมิตรทุกท่าน ก่อนอื่นขอน้อมรับอนุโมทนาบุญกับทุกๆบุญในกระทู้ของเรานี้ ทุกๆบุญนะคะ และขอให้ทุกๆท่านจงเปี่ยมไปด้วยพลังบุญ และเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน
และขออนุญาตใช้พื้นที่ในการนำฝากพระธรรม แด่ทุกๆท่านในกระทู้ของพวกเราสมาชิกพี่น้องและทุกท่านที่แวะเข้ามาเยี่ยมเยือนทุกๆท่านค่ะ
อานิสงส์ของการสวดมนต์
เทศนาโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี
ดังปรากฏในงานของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดีจางวางมหาดเล็กในรัชกาลที่ 4 <O:p</O:p
ที่ได้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จโตมาเทศน์ที่บ้าน<O:p</O:p
ครั้นพลบค่ำท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตพร้อมลูกศิษย์ได้เดินทางจากวัดระฆังมายังบ้านของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดีซึ่งในขณะนั้นมีอุบาสก อุบาสิกา นั่งพับเพียบเรียบร้อยกันเป็น จำนวนมาก ด้วยต้องการสดับรับฟังการเทศน์ของท่านเจ้าประคุณ ณ ที่เรือนของท่านเจ้าพระยา เจ้าประคุณสมเด็จโตได้ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวบูชาพระรัตนตรัย เมื่อจบแล้วท่านจึงเทศน์“เรื่อง อานิสงส์ของการสวดมนต์”<O:p</O:p
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตได้กล่าวว่า<O:p</O:p
ยังมีคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการสวดมนต์มีประโยชน์น้อย และเสียเวลามากหรือฟังไม่รู้เรื่องความจริงแล้วการสวดมนต์มีประโยชน์อย่างมากมาย เพราะการสวดมนต์เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ท่านมีคุณวิเศษอย่างไร พระธรรมคำสอนของพระองค์มีคุณอย่างไร และพระสงฆ์อรหันต์อริยะเจ้ามีคุณเช่นไร การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิแล้วใช้สติพิจารณาจนเกิดปัญญาและความรู้ความเข้าใจประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์นั่นคือจะทำให้ท่านเป็นผลจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์<O:p</O:p
ที่อาตมากล่าวเช่นนี้มีหลักฐานปรากฏในพระธรรมคำสอนที่กล่าวไว้ว่า โอกาสที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มี 5 โอกาสด้วยกันคือ
• เมื่อฟังธรรม
• เมื่อแสดงธรรม
• เมื่อสาธยายธรรม นั่นคือ การสวดมนต์
• เมื่อตรึกตรองธรรมหรือเพ่งธรรมอยู่ในขณะนั้น
• เมื่อเจริญวิปัสสนาญาณ<O:p</O:p
การสวดมนต์ในตอนเช้าและในตอนเย็นเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล
พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนาบรรดาพุทธบริษัททั้งหลายต่างพากันมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์โดยแบ่งเวลาเข้าเฝ้าเป็น2 เวลา นั่นคือตอนเช้าเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรมตอนเย็นเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรมการฟังธรรมเป็นการชำระล้างจิตใจที่เศร้าหมองให้หมดไปเพื่อสำเร็จสู่มรรคผลพระนิพพานการสวดมนต์นับเป็นการดีพร้อม ซึ่งประกอบไปด้วยองค์ ทั้ง 3 นั่น คือ<O:p</O:p
• กายมีอาการสงบเรียบร้อยและสำรวม<O:p</O:p
• ใจมีความเคารพนบนอบต่อคุณพระรัตนตรัย<O:p</O:p
• วาจาเป็นการกล่าวถ้อยคำสรรเสริญถึงพระคุณอันประเสริฐ ในพระคุณทั้ง 3 พร้อมเป็นการขอขมาในการผิดพลาดหากมีและกล่าวสักการะเทิดทูนสิ่งสูงยิ่งซึ่งเราเรียกได้ว่าเป็นการสร้างกุศลซึ่งเป็นมงคลอันสูงสุดที่เดียว<O:p</O:p
อาตมาภาพขอรับรองแก่ท่านทั้งหลายว่า<O:p</O:p
ถ้าหากบุคคลใดได้สวดมนต์เช้าและเย็นไม่ขาดแล้วบุคคลนั้นย่อมเข้าสู่แดนพระอรหันต์ อย่างแน่นอนการสวดมนต์นี้ควรสวดมนต์ให้มีเสียงดังพอสมควรย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่ จิตตนและประโยชน์แก่จิตอื่น<O:p</O:p
*ที่ว่าประโยชน์แก่จิตตนคือเสียงในการสวดมนต์จะกลบเสียงภายนอกไม่ให้เข้ามารบกวนจิตก็จะทำให้เกิดความสงบอยู่กับบทสวดมนต์นั้นๆ ทำให้เกิดสมาธิและปัญญาเข้ามาในจิตใจของผู้สวด<O:p</O:p
*ที่ว่าประโยชน์แก่จิตอื่นคือผู้ใดที่ได้ยินได้ฟังเสียงสวดมนต์จะพลอยได้เกิดความรู้เกิดปัญญามีจิตสงบลึกซึ้งตามไปด้วยผู้สวดก็เกิดกุศลไปด้วยโดยการให้ทานโดยทางเสียงเหล่าพรหมเทพที่ชอบฟังเสียงในการสวดมนต์มีอยู่จำนวนมาก<O:p</O:p
ก็จะมาชุมนุมฟังกันอย่างมากมายเมื่อมีเหล่าพรหมเทพเข้ามาล้อมรอบตัวของผู้สวดอยู่เช่นนั้นภัยอันตรายต่างๆ ที่ไหนก็ไม่สามารถกล้ำกลายผู้สวดมนต์ได้ตลอดจนอาณาเขตและบริเวณบ้านของผู้ที่สวดมนต์ย่อมมีเกราะแห่งพรหมเทพและเทวดาทั้งหลายคุ้มครองภัยอันตรายได้อย่างดีเยี่ยม<O:p</O:p
ดูก่อน..ท่านเจ้าพระยาและอุบาสก อุบาสิกาในที่นี้การสวดมนต์เป็นการระลึกถึงพระพุทธคุณพระธรรมคุณ พระสังฆคุณเมื่อจิตมีที่พึ่งคือคุณพระรัตนตรัย ความกลัวก็ดีความสะดุ้งกลัวก็ดี และความขนพองสยองเกล้าก็ดีภัยอันตรายใด ๆก็ดีจะไม่มีแก่ผู้สวดมนต์นั่นแล..<O:p</O:p
<O:p</O:p
จากหนังสืออมตะธรรม สมเด็จโต พรหมรังษี<O:p</O:p
-
ประโยชน์ทางการแพทย์ของการสวดมนต์
<TABLE style="MARGIN-LEFT: 10.5pt" class=ecxMsoNormalTable border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-RIGHT: 0cm; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top>ประโยชน์ของการสวดมนต์ (ทางการแพทย์)
จาก นิตรสารชีวจิต ฉบับแรกของเดือนมกราคม 2551
เรื่องVibrational Therapy : สวดมนต์บำบัด โดย: ชมนาด
เชื่อหรือไม่ ว่าหากเราสวดมนต์(ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม) เพื่อให้ใครสักคนหายป่วย แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก แต่พลังแห่งบทสวดนั้นจะเดินทางไปเยียวยาความเจ็บป่วยของเขาได้ ??? เพราะการสวดมนต์บำบัดทำให้เกิดทั้งคลื่นเสียงที่สามารถเดินทางลึกเข้าไปในสมอง และคลื่นไฟฟ้าที่ส่งกระจายไปในชั้นบรรยากาศไกลๆได้
การสวดมนต์บำบัด คือหลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy หรือ Vibrational Medicine คือการใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย ซึ่งมีหลากหลายวิธี อาทิ เก้าอี้ไฟฟ้า เครื่องนวดต่างๆ ก็เป็นVibrational Therapy เช่นกัน แต่เป็นคลื่นไฟฟ้าเชิงฟิสิกส์ ที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต ต่างจาก สวดมนต์บำบัดซึ่งเป็นคลื่นที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต
ดังนั้นมาดูพลังแห่งการสวดมนต์บำบัดกัน ว่าคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร ???
คลื่นแห่งการเยียวยา
การสวดมนต์ใช้หลักการทำให้เกิดคลื่นเสียงที่มีความสม่ำเสมอ เพื่อเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้เกิดการเยียวยา ซึ่งหากคลื่นเสียงที่มากระทบดังแบบไร้ระเบียบ คือประกอบด้วยเสียงที่มีความถี่ต่างๆกัน ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อการบำบัดกลไกดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อหูของเราได้ยินเสียงบทสวด ก็จะส่งสัญญาณต่อไปยังศูนย์การได้ยินที่อยู่บริเวณสมองกลีบขมับ ก่อนส่งไปบริเวณก้านสมอง ซึ่งเมื่อได้รับคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาที ก็จะหลั่งสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์มากมาย
เสียงสวดมนต์ด้วยสมาธิเป็นยา :ให้ผลกับร่างกายเอนกอนันต์
รองศาสตราจารย์ ดร. สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายเพิ่มเติมดังนี้
“สมองของเราเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาทีขึ้นไป จะทำให้เซลล์ประสาทของระบบประสาทสมองสังเคราะห์สารสื่อประสาทหลายๆชนิด บริเวณก้านสมองจะหลั่งสารสื่อประสาทชื่อ ซีโรโทนิน (serotonin) เพิ่มขึ้นซึ่งมีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ ช่วยการเรียนรู้ ลดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ลดระดับน้ำตาลในเลือด และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น เมลาโทนิน ซึ่งเปรียบคล้ายกับยาอายุวัฒนะ เพราะจะช่วยยึดอายุการทำงานของเซลล์ประสาท เซลล์ร่างกาย ให้ชีวิตยืนยาวขึ้น และยังมีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับ เพิ่มภูมิต้านทาน ทำให้เซลล์สดชื่นขึ้น รวมถึง โดปามีน มีฤทธิ์ลดความก้าวร้าวและอาการพาร์กินสัน นอกจากนี้ปริมาณของซีโรโทนินมีความสัมพันธ์ต่อการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น อะเซทิลโคลีน ช่วยในกระบวนการเรียนรู้และความจำ ช่วยขยายเส้นเลือด ทำให้ความดันลดลง และยังช่วยลดปริมาณ อาร์กินิน วาโซเปรสซิน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมความก้าวร้าว ความสมดุลของน้ำ และซีโรโทนินยังเข้าไปลดปริมาณของสารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นของการทำงานของต่อมหมวกไตให้ลดลง ส่งผลให้ระบบประสาทส่วนกลางทำงานน้อยลง ร่างกายจึงรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง และไม่เครียด ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น”
ดังนั้น จุดสำคัญจึงอยู่ที่ร่างกายจะสามารถสร้างสารสื่อประสาทได้หรือไม่ อาจารย์สมพรเสริมว่า
“หลักการสำคัญอยู่ที่หากมีสิ่งเร้า หลายๆประเภทเข้ามารบกวนกระบวนการทำงานของคลื่นสมองพร้อม ๆ กัน ทำให้สัญญาณคลื่นสมองเปลี่ยนไป การหลั่งสารสื่อประสาทจะสับสน ไม่มีผลในการเยียวยา สิ่งเร้านี้มาจากหลายส่วน ทั้งตัวเอง เช่น บางคนปากสวดมนต์ แต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น ก็ไม่ได้ประโยชน์ และการเกิดเสียงดังอื่นๆ เข้ามารบกวนขณะสวดมนต์ เพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ได้ไวและอ่อนไหวมาก เรามีตัวประสาทรับสัญญาณมากมาย เรารับสิ่งเร้าได้ทั้งจากทางปาก ตา หู จมูก การเคลื่อนไหว และใจ เหล่านี้ทำให้สัญญาณคลื่นสมองสับสนและเปลี่ยนไป ร่างกายก็จะสร้างซีโรโทนินได้ไม่มากพอ”
และไม่ใช่เฉพาะสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์เท่านั้นที่เราจะได้จากการสวดมนต์ แต่การสวดมนต์ยังทำให้อวัยวะต่างๆได้รับการกระตุ้น คล้ายกับการนวดตัวเองจากการเปล่งเสียงสวดมนต์
สวดมนต์กระตุ้นอวัยวะ
อาจารย์ เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต อธิบายหลักการนี้ว่า
“เวลาเราสวดมนต์นานๆ คำแต่ละคำจะสร้างความสั่นสะเทือนไม่เท่ากันตามฐานที่เกิดของเสียงหรือตามวิธีเปล่งเสียง แม้ว่าเสียงจะออกมาจากปากเหมือนกัน แต่ว่าเสียงบางเสียงออกมาจากริมฝีปาก บางเสียงออกมาจากปุ่มเหงือก บางเสียงออกมาจากไรฟัน บางเสียงออกมาจากคอ ดังนั้น ถ้าเราสวดมนต์ถูกต้องตามฐานกรณ์จึงเกิดพลังของการสั่น”
และเมื่อเกิดพลังของการสั่น การสั่นนี้จะเข้าไปเยียวยาอาการป่วยได้อย่างไร อาจารย์เสถียรพงษ์อธิบายต่อว่า
“เวลาเราสวดมนต์ เสียงสวดจะไปช่วยกระตุ้นต่อมต่างๆ ซึ่งจะช่วยปราบเชื้อโรคบางชนิด เช่นการวิจัยของฝรั่ง พบว่า อักษร เอ บี ซี ดี จะช่วยกระตุ้นระบบน้ำย่อย ส่วนบทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา เสียงอักขระแต่ละตัวมีคำหนักเบาไม่เท่ากัน บางตัวสั่นสะเทือนมาก บางตัวสั่นสะเทือนน้อย ทำให้ต่อมต่างๆในร่างกายถูกกระตุ้น เมื่อต่อมที่ฝ่อถูกกระตุ้นบ่อยๆเข้า ก็คงคืนสภาพ อาการป่วยก็จะดีขึ้น”
นอกจากนี้ยังมีบทความที่อธิบายเกี่ยวกับการฝึกเปล่งเสียงเพื่อรักษาโรคจากเสียงต่างๆ เช่น
โอม ...... กระตุ้นหน้าผาก ฮัม ....... กระตุ้นคอ
ยัม ....... กระตุ้นหัวใจ ราม .......กระตุ้นลิ่นปี่
วัม ....... กระตุ้นสะดือ ลัม ....... กระตุ้นก้นกบ เป็นต้น
แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น การสวดมนต์ให้ประโยชน์ทางใจที่มีคุณค่ากับผู้สวด
รองศาสตราจารย์จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปว่ามี 2 ข้อคือ
1. การสวดมนต์เป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ โดยต้องสวดเสียงดัง ให้หูได้ยินเสียงตัวเอง และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวด เมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่น ใจอยู่กับเสียงเดียว จึงเกิดสมาธิ
2. ถ้าเข้าใจความหมายของบทสวดนั้นๆ จะทำให้เรามีความเลื่อมใสศรัทธา เพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงาม จิตใจก็จะสะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวด
เมื่อร่างกายที่รับสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์และการกระตุ้นระบบอวัยวะต่างๆให้ทำงานเป็นปกติ เท่ากับว่าเราได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ย่อมทำให้ภูมิชีวิตดีขึ้นเป็นลำดับ ความป่วยก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยในต่างประเทศที่อาจารย์ สมพร สรุปให้ฟังว่า
การสวดมนต์ช่วยบำบัดอาการป่วยและโรคร้ายดังต่อไปนี้
1. หัวใจ 2. ความดันโลหิตสูง 3. เบาหวาน 4. มะเร็ง
5. อัลไซเมอร์ 6. ซึมเศร้า 7. ไมเกรน 8. ออทิสติก
9. ย้ำคิดย้ำทำ 10. โรคอ้วน 11. นอนไม่หลับ 12.พาร์กินสัน
สวดมนต์อย่างไรให้หายจากโรค สวดมนต์บำบัดมีวิธีการและจุดประสงค์ที่หลากหลาย สรุปออกมาได้ 3 แบบ
1. การสวดมนต์ด้วยตัวเอง
เป็นการเหนี่ยวนำตัวเอง จึงเป็นที่มาของคำว่า Prayer Therapy ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะหากใครสักคนคิดที่จะสวดมนต์ นั่นหมายความว่าเขากำลังมีความปรารถนาดีต่อตนเอง วิธีการที่อาจารย์สมพรแนะนำคือ
- ควรสวดด้วยตัวเอง และไม่ควรสวดมนต์หลังกินอาหารทันที ควรทิ้งช่วงให้ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย อาจเป็นเวลาก่อนเข้านอน
- หาสถานที่ที่สงบเงียบ
- สวดบทสั้น ๆ 3-4 พยางค์ โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีขึ้นไป จะทำให้ร่างกายได้หลั่งสารซีโรโทนิน แต่หากสวดมนต์ด้วยบทยาวๆ จะได้ความผ่อนคลายและความศรัทธา
- ขณะสวดมนต์ให้หลับตา สวดให้เกิดเสียงดังเพื่อให้ตัวเองได้ยิน
2. การฟังผู้อื่นสวดมนต์
เป็นการเหนี่ยวนำโดยคลื่นเสียงจากผู้อื่น เช่น การฟังเสียงพระสวดมนต์ เสียงผู้นำสวดในศาสนาต่างๆ หากผู้สวดมีสมาธิ เสียงสวดนั้นจะนุ่ม ทุ้ม ทำให้เกิดคลื่นที่ช่วยเยียวยา (healing) ผู้ฟัง แต่หากผู้สวดไม่มีสมาธิ ไม่มีความเมตตา เสียงสวดที่เกิดขึ้นอาจเป็นคลื่นขึ้นๆลงๆ นอกจากจะไม่ช่วยเยียวยาอาการป่วย อาจทำให้เสียสุขภาพได้
3. การสวดมนต์ให้ผู้อื่น
ปรากฏการณ์มากมายที่เราเห็นในสังคม เมื่อใครสักคนเจ็บป่วย เรามักสวดมนต์อธิษฐานขอให้ความเจ็บป่วยของเขาหายไป บางครั้งอยู่ห่างกันคนละซีกโลก เสียงสวดมนต์เหล่านี้จะมีผลทำให้สุขภาพเขาดีขึ้นจริงหรือไม่
อาจารย์สมพรอธิบายดังนี้
คลื่นสวดมนต์ เป็นคลื่นบวก เพราะเกิดจากจิตใจที่ดีงาม ปรารถนาดีต่อผู้ป่วย และเมื่อเราคิดจะส่งสัญญาณนี้ออกไปสู่ที่ไกลๆ มันจะเดินทางไปในรูปของคลื่นไฟฟ้า ซึ่งมนุษย์มีเซลล์สมองที่สามารถส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าและสารเคมีได้ถึง สิบยกกำลังสิบ คลื่นนี้จึงเดินทางไปได้ไกลๆ
บางทีพ่อกำลังป่วยหนักอยู่ที่นี่ แต่ลูกอยู่ต่างประเทศ ก็สามารถรับคลื่นนี้ได้และรู้ว่ามีใครกำลังไม่สบาย ที่เราเรียกว่า ลางสังหรณ์หรือสัมผัสที่หก
การรับรู้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้รับผู้ส่งด้วย ถ้าคนไหนรับสัญญาณคลื่นแห่งบทสวดมนต์ได้จึงได้ผล เหมือนเราเปิดวิทยุ ถ้าคนฟังปิดหูก็จะไม่ได้ยิน ดังนั้นถ้าต่างฝ่ายต่างเปิดรับคลื่นบวกที่เราส่งไปผู้ป่วยก็จะได้รับ และทำให้อาการป่วยดีขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องของความมหัศจรรย์ แต่เป็นหลักธรรมชาติทั่วไป
เลือกสวดมนต์อย่างไรดี
แล้วบทสวดที่เลือกควรใช้บทไหนดี อาจารย์สมพรแนะนำว่า
“น่าแปลกที่บทสวดในศาสนาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีจังหวะขึ้นๆ ลงๆ เหมือนจังหวะเพลง จะมีโทนเสียงแค่ไม้เอกไม้โทเท่านั้น สักสามสี่พยางค์ มาสวดซ้ำไปมาได้ทั้งนั้น”
พระพุทธศาสนา มีบทสวดมากมายหลายบท ให้เลือกใช้ตามความชอบ ยกตัวอย่างเช่น อิติปิโส หรือนะโมตัสสะ นะโมพุทธายะ หรือสัพเพสัตตา ฯลฯ เลือกท่อนใดท่อนหนึ่งแล้วสวดวนไปวนมา หรือโพชฌงค์ 7 ที่หลายคนนิยมสวดให้ตัวเองหรือคนไข้หายป่วย
“ข้อที่น่าสังเกตคือ บทสวดโพชฌงค์ 7 จะมีความแตกต่างจากบทสวดอื่นๆคือ คลื่นเสียงของบทสวดจะมีแค่เสียงสระ มีแค่สองจังหวะ คลื่นเสียงจากบทสวดจึงทำให้เกิดคลื่นที่เยียวยาได้ดีที่สุด”
อยากให้ตัวเองและผู้อื่นมีสุขภาพกายใจเป็นสุขและยังน้อมนำกุศลจิต เริ่มจากการสวดมนต์เป็นประจำด้วยสมาธิ
</TD></TR></TBODY></TABLE> -
ธรรมจากหลวงปู่ท่อนญาณธโร(พระราชญาณวิสุทธิโสภณ)
• คำพูดที่ไม่พิจารณาก็ย่อมกระทบกระเทือนผู้อื่น ให้พิจารณากลั่นกรองให้ดีเสียก่อนจึงค่อยพูด
• แม้ภูเขาสูงแสนสูง หากบุคคลผู้มีความเพียรพยายามปีนป่ายขึ้นไปจนถึงยอด ภูเขาสูงแสนสูงก็ต้องอยู่ใต้ฝ่าตีนของคนผู้นั้น<O:p</O:p
• จิตหรดี คือ จิตที่เด็ดเดี่ยวตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไปกับอะไรเป็นมงคลอย่างยิ่ง <O:p</O:p
• หลวงปู่มักเตือนว่าคนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว คนชั่วชอบทำลาย คนมักง่ายชอบทิ้ง คนจริงชอบทำคนระยำชอบติ<O:p</O:p
:cool:
• อย่าส่งจิตออกนอก ส่งออกมันเป็นบ่วงแห่งมาร <O:p</O:p
• อย่ากินของร้อน (ราคะ โทสะ โมหะ) อย่านอนบนไฟ (โลภ โกรธ หลง) ให้ไปอย่างแร้ง (ไม่ติด ไม่สะสม) แสวงหาบริสุทธิ์ (ของที่ชอบธรรม)<O:p</O:p
• อย่าไปรีบ ไปเร่ง อย่าไปเคร่ง ไปเครียด ให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆเวลาจะได้ มาเองนั่นแหละอย่าไปยึดมั่นในสิ่งใดๆ แม้การปฏิบัติ<O:p</O:p
• อย่าไปสนใจจิตของผู้อื่น จงสนใจจิตของตน <O:p</O:p
• หลวงปู่ไปเมตตาคนป่วยด้วยคำเตือนใจสั้นๆ ว่า รู้อยู่ที่ใจได้ไหม<O:p</O:p
-
ธรรมจากหลวงปู่ท่อน ญาณธโร (พระราชญาณวิสุทธิโสภณ)
• เราคนเดียวเที่ยวรักเที่ยวโกรธหาโทษใส่ตัว <O:p</O:p
• ให้มีสติตามดูจิต เหมือนคนเดินบนถนนลื่นๆ ต้องระวังทุกก้าว ให้มี สติจดจ่อไม่วางดูจิต
มันจะปรุงไปไหนจะคิดไปไหนจดจ่อดูมันก็ ได้แน่ๆ จะไปไหน ถ้ามันดื้อนัก ถ้ายังไปเราจะไม่นอนให้นะ <O:p</O:p
• เวลาไหนเราไม่ปรุงไม่แต่งไปตามสังขาร ราคะ โทสะ โมหะ สังขารปรุงไม่ได้ เรียกนิพพานชั่วขณะ <O:p</O:p
• ให้พิจารณาจนเห็นทุกข์ในโลก เห็นโทษของกาม
<O:p
:cool:
•รักษาจิตให้ดีมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่อยู่ของใจ
•ให้สำรวมอินทรีย์ พิจารณาวิปัสสนาภูมิ อริยสัจ ๔ มรรค ๘ คือ ทางเดิน
•เมื่อเกิดความปรุงแต่ง ก็ให้รู้ รู้แล้วพิจารณาตลอดสาย พิจารณาให้เกิดปัญญา รู้แล้วดับ
•สมาธิ คือ สมาธิยังเป็นสมุทัย พอถอนให้พิจารณากายเอาให้มันเบื่อหน่าย ไม่งั้นจะเกิดทิฐิว่า ตัวได้ ตัวถึง เป็น วิปลาส
•น้ำในน้ำนิ่ง จะเห็นปลา เห็นทรายชัดถ้าน้ำกระเพื่อมก็ไม่เห็น
เปรียบกับจิตที่เป็นหนึ่งหยุดนิ่งย่อมรู้หมด มีอะไรรู้หมด
รู้จิตผู้อื่นต้องทำให้เป็นวสี จึงจะรู้ได้ตลอด
</O:p -
ธรรมจากหลวงปู่ท่อน ญาณธโร (พระราชญาณวิสุทธิโสภณ)
•วาจาใดที่ทำให้ตนเองบ้าง ทำให้ผู้อื่นบ้างไม่สบายหู ไม่สบายใจ
วาจานั้นถือว่าเป็นวาจาที่ไม่ควรพูด
•เมื่อนกจับต้นไม้ต้นใด มันก็ถือว่าสักแต่จับอยู่เท่านั้น
เมื่อบินไปแล้วก็หมดเรื่องไม่มีความอาลัยกับต้นไม้นั้น <O:p</O:p
•อริยทรัพย์เป็นทรัพย์อันประเสริฐอยู่ภายในจิตใจ ดีกว่าทรัพย์ภายนอก เพราะไม่มีผู้ใดแย่งชิงได้ไม่สูญหายไปด้วยภัยอันตรายใดๆ
ทำให้ใจไม่ อ้างว้างยากจน เป็นทุนสร้างทรัพย์ภายนอกได้ด้วย<O:p</O:p
•ผู้ใดได้รับความสงบมากๆ คนนั้นคนรวยผู้ใดสะสมกองกิเลสมากๆ
มีรูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์มากๆ ฟุ่มเฟือยอยู่ในกามสุข คนนั้นเป็นคนจน มีหนทางถึงหายนะแน่นอน
:cool:
• อย่าเอาแต่จะชนะอย่างเดียว เสียงแข็งขึ้นเพราะจะเอา ชนะกัน
ยิ่งแข็ง ยิ่งแตกหักง่าย <O:p</O:p
• ใครจะว่าชั่วก็ตามที ใครจะว่าดีก็ตามชัง อยู่อย่างนั้น แหละไม่มีดี
ไม่มีชั่วตามใครทั้งนั้น โลกธรรมถูกต้องไม่หวั่นไหว สบายตัวคนเดียวก็พอ <O:p</O:p
• คนจะรวยก็เพราะรวยน้ำใจมาก่อน คนจะจนก็เพราะจนน้ำใจมาก่อน <O:p</O:p
• ถ้าตั้งสติแล้วไม่ห่วงใคร ใครจะเป็นใครจะตาย
มันเรื่องของเขา เรื่องของเรามีหน้าที่ภาวนา <O:p</O:p
• ความเกษมสุข ความไม่เศร้าโศก เป็นมงคล ใจจะรื่นเริงเสมอ
ถ้าเศร้าโศก จะเสียมงคลไปหมดเหมือนต้นไม้มันเฉาแล้ว น่าดูไหม
เอาน้ำมารด เอาปุ๋ยมาใส่ชุ่มชื่นขึ้นมามันเป็นยังไง มันสดชื่นน่าชม<O:p</O:p
<O:p</O:p -
ธรรมจากหลวงปู่ท่อน ญาณธโร (พระราชญาณวิสุทธิโสภณ)
• ใจต้องให้ขาดจากความเกี่ยวความข้อง
ตัดน้ำยังตัดไม่ขาด สายสวาทตัดขาดอย่างไร
ตัดบัวก็ยังไว้ใย ตัดน้ำใจยังมีเมตตา
มีเมตตาอยู่ ก็ข้องอยู่ ก็ติดอยู่นั้นแหละ
• ธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม
ไม่ให้ตกไปสู่โลกชั่วทุรกันดาร
• กรรมฐานอะไรมันถูกจริต อะไรมันเป็นที่สบาย
ก็เอาอันนั้น ไม่มีกฎบังคับกันหรอก
• ใครจะว่านินทา ช่างเขาเฉยไว้ก็ดีเอง
• การทำความเพียร อย่าหลอกลวงตัวเอง
ให้เอาจริงเอาจังกับมัน
• ถ้าปล่อยใจคิดไปทางอื่นก็ใช้ไม่ได้
ทำให้เราหลง หมดท่า ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
:cool: :mad:
• พระคุณต้องทดแทน ถ้าเคียดแค้นต้อง อโหสิ
อเวรัง อะสะปัตตัง พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พวกเรา
เป็นผู้ไม่มีเวร ไม่จองเวรเป็นผู้อโหสิ
• ทานัง เทติ การให้ทานเป็นเครื่องขัดเกลาอันแรกทำบ่อยๆ
จะเกิดความไม่เห็นแก่ตัว รู้จักเสียสละ ไม่หวงแหน ไม่เหนียวแน่น <O:p</O:p
• สีลัง รักขติ เครื่องขัดที่สอง ให้รักษาศีล ๕ ให้ครบ เพราะศีล ๕ เป็นหลักประกันของสังคม
ให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข รักในทุกๆ ชีวิตเหมือนเป็นญาติของตน<O:p</O:p
• ศีลมีอยู่ ๓ แบบ คือ
สัมปัตตวิรัต คือ งดเว้นเอาเอง ตั้งใจงดโดยไม่ต้องขอศีลจากพระ
สมาทานวิรัต คือ สมาทานศีลกับพระ
สมุทเฉทวิรัต คือ ศีลของเหล่าพระอริยเจ้า ไม่ต้องสมาทานอีกแล้ว<O:p</O:p
-
ธรรมจากหลวงปู่ท่อน ญาณธโร (พระราชญาณวิสุทธิโสภณ)
• ผู้ถึงพร้อมด้วยทาน ศีล ภาวนา ได้ชื่อว่ามีใจที่พัฒนาแล้ว เจริญแล้ว
จะไม่มีทางเอารัดเอาเปรียบ มีแต่การเสียสละ จะอยู่ร่วมกันได้โดยสงบสุข
• ทรัพย์ภายใน ท่านว่า แสวงรู้ แสวงอ่าน แสวงฟัง
แสวงเรียน นี่เป็นทรัพย์ภายใน แต่ถ้าท่านผู้ใดปล่อยให้วันเวลาล่วงไปๆ
ไม่แสวงหาทรัพย์เหล่านี้ไว้ในใจ ก็จะโง่ไม่ฉลาด จ ะทำให้เป็นคนจนได้ <O:p</O:p
• ศรัทธา คือ ความเชื่อ เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
เชื่อว่าบาป บุญ เวรกรรมนั้นมีจริง ต้องสร้างศรัทธาให้เข้มแข็งขึ้น
จึงจะเป็นแรงบันดาลใจให้เราทำแต่ความดี <O:p</O:p
• ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน จะทำบาปทำบุญก็ใจเป็นไปก่อน<O:p</O:p
:cool: :mad:
• โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวต่อการทำบาป
ไม่กล้าทำบาป แม้ถูกจ้างวาน ถ้ารู้ว่าเป็นบาปเราก็ไม่กล้าทำ ยอมอด เราจะเกิดโอตตัปปะ
เพราะฉะนั้นจิตใจเราจะสะอาดบริสุทธิ์มาก
• เวลาพูด ให้ พูดด้วยความมีสติ มันจึงเป็นสาระเป็นประโยชน์
ถ้าพูดด้วยความไม่มีสติ มันเฟ้อ ดูอย่างเวลาที่หลวงปู่มั่นท่าพูด
ไม่ว่าที่ไหนๆ เป็นสาระออกมาน่าฟังทั้งนั้น เพราะท่านพูดด้วยความมีสติ <O:p</O:p
• ถ้าตั้งใจที่จะภาวนา อย่าส่งจิตไปทางอื่น
ให้รู้อยู่ในกายในใจของเรานี่แหละ
ถ้ายังตามความคิดอยู่ไม่ใช่ภาวนา<O:p</O:p
หน้า 271 ของ 547