ไม่เห็นความตายปิดบังของตน หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 31 พฤษภาคม 2010.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    เราทุกๆ คนที่เกิดมาแล้วนี้ ย่อมมีความตายเป็นผลที่สุด...

    ถ้าผู้ใดมาระลึกได้ นึกถึง มรณํ เม ภวิสติ ความตาย เราต้องตายอย่างนี้ได้เสมอแล้ว จิตใจก็ย่อมมีความสงบระงับ ไม่หลงใหลไปตามรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ...ถ้าผู้ใดระลึกได้ในมรณภัย คือ ความตายนี้ จิตใจของผู้นั้นก็ย่อมมีความสงบระงับ ไม่ดิ้นรนวุ่นวายไปตามอำนาจของตัณหาภายในใจ

    ถ้ามองไม่เห็นใจมันก็วิ่งไป วุ่นวายไป ...ดูให้เห็นจริงว่าอันสมบัติทั้งหลายของคนเราในโลก เป็นสมบัติของแผ่นดิน ยังไม่ตายก็แตกดับลงไปในแผ่นดิน ให้เรารู้ ถ้าตายลงเมื่อใด เวลาใด ทั้งรูป ทั้งกาย ทั้งจิต ก็ต้องแตกดับลงไปสู่แผ่นดิน สมบัติทั้งหลายให้เห็นว่าเป็นสมบัติของแผ่นดิน จมอยู่ในแผ่นดินนี้เอง จิตใจผู้ภาวนาอยู่เสมอ กำหนดให้ได้ว่าสิ่งทั้งหลายไม่ใช่ของเราสักอันหนึ่งอันเดียวเลย

    จิตใจผู้รู้ ผู้เห็น ผู้ภาวนาอยู่ภายในดวงใจนี้แหละสำคัญ... นั่งก็ดี ยืนก็ดี เดินไปมาที่ไหนก็ตาม จงมองให้เห็น กำหนดให้ได้

    [​IMG]

    คำว่ามรณกรรมฐานนั้นไม่ใช่ว่ามันไม่มี มันมีอยู่แล้ว คนเราและสัตว์ทั้งหลายเกิดดับแตกดับตายให้เราเห็นอยู่ แต่จิตไม่ยอมเอามาคิดมานึก มาภาวนาในใจของตัวเอง จิตใจก็ประมาทมัวเมาเลินเล่อเผอเรอ
    ไม่กลัวในความแตกความดับ ความทำลายนี้ เมื่อจิตมันอาศัยความประมาทอย่างนี้ เวลาความแตกดับทำลายมาถึงเข้าจริงๆ พอเกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็ตื่นเต้นตาโตฟุ้งซ่านรำคาญกลัวตาย เมื่อกลัวตาย มันก็ดิ้นไปตามอารมณ์ของกิเลส...

    ลองคิดดูให้ดี สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาแล้วมีความตายเป็นผลที่สุด ทั้งที่อยู่ใกล้เรา ทั้งที่อยู่ห่างไกลออกไป จะเป็นชาติใดภาษาใดก็ตาม คนในโลกที่เกิดมาแล้ว สัตว์ทั้งหลายมากมายจนกระทั่งนับไม่ถ้วน ผลที่สุดสัตว์ทั้งหลาย|เหล่านี้ก็ย่อมตายหมด

    เมื่อเรากำหนดได้ว่าทุกตัวสัตว์ตัวคนที่เกิดมาแล้วต้องตาย ไม่ใช่แต่สัตว์อื่น คนอื่น ผู้อื่นเท่านั้นตาย ขั้นสุดท้ายความตายนี้ก็จะปรากฏการณ์ขึ้นมาในตัวเรา เมื่อมาปรากฏในตัวเราแล้ว จิตมันก็จะวุ่นวายที่สุด เราจะไปแก้เอาเวลานั้นไม่ได้ ทางที่แก้นั้นก็คือว่า ภาวนารวมจิตใจลงไปในหลักปัจจุบัน ขณะนี้เดี๋ยวนี้เวลานี้ ตั้งมั่นลงไปในหัวใจ อย่าให้จิตใจสะทกสะท้านเกรงกลัวต่อภัยอันตราย
    กำหนดให้ได้ พิจารณาให้ได้เห็นแจ้งภายในจิตใจทีเดียว จนเห็นว่าจิตหนึ่งที่มันเข้าใจเห็นว่าเราไม่แก่ จิตหนึ่งก็ต้องเห็นว่ามันแก่ไปทุกเวลา แก่ไปเป็นธรรมดาอยู่อย่างนี้ ไม่มีเวลาที่จะหยุดยั้ง เหมือนกับไฟป่าไหม้มาอย่างนั้นแหละ ธรรมดาไฟป่าไหม้มานั้นไม่มีใครที่จะไปดับได้ มันก็ไหม้เรื่อยไป ความแก่มันไหม้เรื่อยไป ความเจ็บไข้ได้ป่วยมันก็ลุกไหม้ขึ้นมา แล้วความตายจะไม่มาถึงบุคคลมีหรือไม่ ความจริงไม่มีเลย
    เมื่อผู้ปฏิบัติมาหยั่งเห็นในมรณกรรมฐานอย่างนี้แล้ว ทุกคนก็เรียกว่ารีบเร่ง ไม่ต้องรั้งรอ คนอื่นไม่ทำ ไม่ภาวนา ไม่ทำความเพียรละกิเลสก็ช่างเขา ให้ใจเราผู้มีอยู่ในตัวในใจนี้ ตั้งจิตตั้งใจให้มั่นคง ระลึกอยู่เสมอซึ่งความตาย มันยังไม่ตายก็ให้เห็นว่ามันต้องตายแน่ๆ อันมันตายปิดบังอยู่ คนเราไม่รู้สึก ไม่กำหนดพิจารณาก็ไม่เห็น และไปเห็นว่าโน้นความตายเมื่อแก่ชราหมดลมหายใจโน้นมันจึงตาย แต่แท้ที่จริงมันตายไปโดยลำดับๆ อยู่...

    ถ้าเรากำหนดตั้งใจดูให้ดีแล้ว จะเห็นความตายมันใกล้เข้ามาอยู่ทุกขณะทุกเวลา ทุกชั่วโมง นาที วินาที ถ้าเราดูให้ดีก็ย่อมเห็นได้ว่าร่างกายสังขารของเรานี้แก่ชราชำรุดทรุดโทรมอยู่ทุกเวลา เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เสมอ ทั้งคนทั้งสัตว์ทั้งหลายเขาตายให้ปรากฏการณ์อยู่ แต่ว่าจิตมันประมาท สัตว์ตายมันก็ไม่สนใจ คนตายที่อื่นก็ไม่สนใจ ถ้าหากว่าความตายนั้นมาใกล้ตัวเรา มาใกล้หมู่คณะหรือว่าญาติของเราแล้ว ทีนี้ก็ตื่นเต้นตกใจหาทางหลบหลีก หาทางแก้ไข เมื่อมันแก้ไขไม่ได้ก็เป็นทุกข์เป็นร้อน เพราะไม่กำหนดพิจารณาให้ถึงความจริง

    เมื่อผู้ใดมาระลึกให้ได้ถึงความจริง อันมันเกิดมีขึ้นอยู่ทุกขณะทุกเวลาว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา หนีให้พ้นไปไหนก็ไม่ได้ เรามีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา หนีไปข้างไหนก็ไม่พ้น เรามีความตายเป็นธรรมดา จะหลบหลีกไปที่ไหนก็ไม่พ้น เราจะต้องกำหนดให้รู้แจ้งรู้จริงว่า เราเกิด เราแก่ เราเจ็บ เราไข้ เราตายโดยสมมตินั้นมันอยู่ที่ไหน

    ใจที่จะรู้ได้เข้าใจนั้นมีอยู่ในกาย ในจิต ในตัวเราหรือไม่ ต้องรวมจิตใจเข้าไปภายใน เมื่อรวมจิตใจเข้าไปภายในจนตามรู้ตามเห็นอยู่ทุกเวลา หรือว่าทุกลมหายใจเข้า ทุกลมหายใจออก มันก็ตายให้ปรากฏอยู่ ทั้งคน ทั้งสัตว์เป็นอยู่อย่างนี้ จนเกิดความไม่ประมาท รู้สึกสำนึกตัวอยู่ทุกขณะทุกเวลา เรียกว่าทำความแจ่มแจ้งในจิตใจของตนนี้ให้ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดๆ ก็ตาม มีความเพียรเพ่งอยู่ในใจของตัวเองตลอดเวลาว่า มรณกรรมฐาน มรณํ เม ภวิสติ นี้อยู่ใกล้ที่สุด มีอยู่ทุกลมหายใจเข้า มีอยู่ทุกลมหายใจออก ลมหายใจที่เข้าออกก็เตือนจิตใจดวงนี้ให้รู้สึกสำนึกตัวทีเดียวว่า อันความแตกดับทำลายนื้มันแก้ไม่ได้ มันต้องแก้ใจของเรา ไม่ใช่แก้ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย ถึงเวลาแล้วสิ่งเหล่านั้นมันแก้ไม่ตก มาแก้ใจเดี๋ยวนี้เวลานี้ ดูให้เห็น กำหนดให้ได้ มีลมหายใจเข้า ในขณะลมหายใจเข้าไปมันก็ตายไปพักหนึ่ง เวลาลมหายใจออกไปมันก็ตายเสียพักหนึ่ง มันตายไปทุกขณะทุกลมหายใจเข้าออก

    เตือนจิตนี้ไม่ให้ประมาท มีสติระลึกได้อยู่เสมอ ในกาย เวทนา จิต ธรรม ในกาย ในรูปพรรณสัณฐาน สีสัน วรรณะเหล่านี้ ย่อมแสดงความแตกต่างความทำลายอยู่เสมอเมื่อเด็ก เมื่อเล็กร่างกายสังขารเป็นอย่างหนึ่ง เมื่อวัยกลางคนหรือวัยแก่วัยชราร่างกายสังขารมันชำรุดทรุดโทรมไปตามธรรมดาของสังขารทั้งหลาย นั่นแหละมันแสดงความเจ็บ ความไข้ และความตายให้ปรากฏการณ์อยู่ในใจของผู้ที่กำหนดภาวนานั้น

    ด้วยเหตุนี้มรณกรรมฐานนี้จึงให้พากันเจริญอยู่เป็นนิจ คนอื่นไม่นึกไม่เจริญก็ตามที ใจของเราผู้ตั้งอกตั้งใจภาวนาอยู่นี้ จงเป็นผู้เจริญรำลึกถึงอยู่เสมอในร่างกายสังขาร ตัวตนของเรานี้มีอะไร ร่างกายสังขารนี้มีธาตุดิน คือ ปฐวีธาตุดินก็มีอยู่ที่ตัวเรานี้ ธาตุน้ำก็มีอยู่ที่ตัวนี้ ธาตุไฟ ได้แก่ ความอบอุ่น ธาตุลม ได้แก่ ธาตุที่พัดผ่านไปมา ก็มีอยู่ในตัวเราทุกคน

    ธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลมนี้แหละ มีอยู่ในร่างกายสังขารของมนุษย์คนเราทุกคนถ้วนหน้า ไม่ว่าจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน จะไปมาที่ไหน ก็ให้มีสติเตือนใจของตัวเองว่าเดี๋ยวนี้เวลานี้ไม่ใช่เราอยู่เฉยๆ ความแตก ความดับ ความตายนั้นจะปรากฏขึ้นมาในตัวของเราได้ทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก

    พระพุทธเจ้า พระองค์จึงสอนพุทธบริษัทในครั้งพุทธกาลสมัยโน้น สมัยเมื่อพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีชีวิตจิตใจอยู่โน้น พระองค์ก็เตือนพุทธบริษัทว่า อันความแตกดับ ความตายนั้น อย่าไปคิดว่ามันอยู่ห่างไกลตัวเราเลย ให้เห็นว่าความตาย ความแตก ความดับ ความเจ็บไข้ ความแก่ชรา ความพลัดพรากจากสัตว์และสังขารทั้งหลายนั้น มีอยู่ทุกลมหายใจเข้าไป มีอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก มีอยู่ในกาย ในจิต ในตัว ในตน ในเรา ในของของเรานั้น มีอยู่ตลอดเวลา

    จงพากันระลึกอยู่ในมรณกรรมฐาน ภายในดวงจิตดวงใจของเราทุกๆ คนให้ได้ อย่าให้จิตใจเกิดความประมาทมัวเมา เข้าใจผิดคิดหลงไป เมื่อหลงไปแล้วแม้ความแก่ ความเจ็บ ความไข้ และความตายมีอยู่ก็ตาม แต่มันก็นึกไม่ได้ เข้าใจว่ามันอยู่ที่อื่น แท้ที่จริงแล้วความตายของคนเรานั้นมันมีอยู่แค่ลมหายใจเข้าไป ลมหายใจออกมาเท่านี้แหละ

    อายุของคนเราจริงๆ ไม่ใช่วัน คืน เดือน ปี ที่เรานับเอานั้น อันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ความจริงแล้ว วัน คืน เดือน ปี ที่หมดไปสิ้นไป มันไม่ใช่ว่า วัน คืน เดือน ปีหมดไป มันไม่มีสุขมีทุกข์อะไร มันไม่รู้ แต่ว่าชีวิตของคนเรานี้มันหมดไปสิ้นไป มันพลัดพรากจากสัตว์และสังขารอยู่ จิตใจไม่ประมาทแล้วก็จะต้องรำลึกได้ และเป็นจิตที่ไม่ประมาทมัวเมาเกิดขึ้นมีขึ้นในดวงใจของตนเอง ทำดวงจิตดวงใจของตนให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทมัวเมา

    กำหนดให้ได้ว่า มรณํ เม ภวิสติ มรณํ เม ภวิสติ มรณะ มรณัง ความตาย ความตาย หรือว่าเตือนใจของเราว่าตายนะ จิตอย่าได้ประมาทมัวเมา ...ให้รีบเร่งภาวนาเพียรเพ่งดู ให้รู้แจ้งด้วยสติปัญญาภาวนาในหัวใจของตัวเองให้ได้ตลอดเวลา อย่าได้มืดมนอนธการ โมหจริตจิตคิดหลงไป จนกระทั่งลืมตัวลืมตน ลืมฐานที่ตั้งภายในใจ เมื่อไม่มีฐานที่ตั้งอยู่ภายในดวงจิตดวงใจ ชรา พยาธิ มรณะ สิ่งทั้งหลายก็ย่อมแสดงออกมา เมื่อมันแสดงออกมาแล้วเราอย่าไปมัววิตกวิจารณ์

    จงรีบเร่งตั้งจิตตั้งใจ เจริญสมถธรรม ภาวนาธรรมภายในจิตใจดวงนี้ให้ได้ตลอดเวลา เพียรเพ่งดูให้รู้แจ้งด้วยสติปัญญาของตัวเอง มองเห็นได้ซึ่งความตาย นั่งอยู่ก็ตายได้ในเวลาที่นั่ง นั่งอยู่ก็นั่งรอความตายอยู่ เมื่อความตายมาถึงเข้า เราจะนั่งสมาธิ นั่งธรรมดา นั่งแบบไหนก็ตาม หมดลมหายใจเมื่อใดเวลาใด ก็ตายเมื่อนั้นเวลานั้น

    นี่แหละความตายเป็นของเที่ยงแท้แน่นอน มั่นคงยั่งยืน ไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง มันต้องตายไปทุกขณะทุกเวลา พระพุทธเจ้าจึงสอนว่าให้ภาวนาให้เห็น ให้กำหนดให้ได้ มองเห็นภัยอันตรายที่จะมาถึงตนว่า ทุกคน ทุกอิริยาบถอาจจะเกิดความแตกดับทำลายตายได้ทุกเวลา

    อย่าได้พากันประมาทมัวเมา อย่าไปคิดว่า วัน คืน เดือน ปี ที่เรานับเอาโน้นเป็นอายุของเรา อายุของคนเราก็มีความรู้สึกอยู่ในตัวในใจอันมีอยู่ภายในเดี๋ยวนี้เวลานี้นั้นแหละ ได้แก่จิตใจที่มารู้อยู่เห็นอยู่ซึ่งสังขารธรรมทั้งหลาย มีความเกิดขึ้น เจริญขึ้น เมื่อเจริญหมดขีดแล้ว ชรา พยาธิ มรณะ ก็ย่อมปรากฏการณ์ออกมาที่ตัวเรานี้เอง จิตประมาทมัวเมาเข้าใจผิดคิดว่าเรายังไม่แก่ ไม่ชรา หรือแก่ชราแล้วก็ยังไม่เจ็บไข้ได้ป่วย หรือความเจ็บไข้ได้ป่วยมีบ้างแต่มันหายไปแล้ว เราก็เข้าใจว่ามันหมดไปสิ้นไป ยังไม่ตาย คิดเอาเอง

    ความตายนั้นเมื่อมันมาถึงเข้า ในรูปธรรม นามธรรมของบุคคลใดแล้ว มันไม่ได้รอช้า มันแตกไป ดับไป เจริญไป หมดไป สิ้นไป ขึ้นชื่อว่าสังขารทั้งหลาย มีความชำรุดทรุดโทรมอย่างนี้เอง เป็นธรรมดาของมนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลาย ทางแก้ไม่มี แต่มีทางแก้อยู่ทางเดียวคือว่า เราคือดวงจิตดวงใจผู้รู้อยู่ภายในใจของเราในขณะนี้เวลานี้แหละ จะต้องเจริญรำลึกถึงอยู่ทุกขณะทุกเวลา จนกำหนดได้จริงๆ ว่าตายนั้นไม่ใช่เป็นภาษาที่พูดโก้ๆ เล่น แต่มันเป็นความจริงอยู่ในจิตใจคนเรา

    เมื่อมีชีวิตอยู่ก็เท่ากับว่ารอวันตายอยู่ทุกขณะทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก ความจริงแล้วพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลายนั้น ท่านให้รำลึกให้ถึงว่า ความแตกดับความตายของแต่ละบุคคลนั้นเป็นได้มีได้ทุกขณะทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าไป ทุกลมหายใจออกมา มันแสดงบทบาทให้เราเห็นอยู่ทุกขณะทุกเวลา เรียกว่ามันตายอยู่ทุกขณะ...

    เราอย่านิ่งนอนใจ จงเป็นผู้รำลึกอยู่ในกาย ในจิต ในตัวของเราอยู่เสมอ...ผู้ปฏิบัติทั้งหลายจงมีความเพียรเพ่งอยู่ เพ่งดูให้แจ้งในจิตใจของตัวเอง นั่งอยู่ ยืนอยู่ เดินไปมาที่ไหนอยู่ก็ตาม แม้เรานอนอยู่ยังไม่หลับก็ให้มีความเพียรความหมั่น ความขยันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติภาวนา ทำความเพียรเพื่อละกิเลส นึกถึงมรณกรรมฐาน

    อันพระศาสดาจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย พระองค์กำหนดได้ และเตือนสาวกทั้งหลายว่าอย่าได้ประมาทมัวเมา ไม่มีใครที่จะมาช่วยเราดีได้เท่ากับดวงจิตดวงใจภาวนาอยู่นี้ ใจของผู้ใดภาวนาอยู่ไม่ท้อแท้อ่อนแอประการใด เรียกว่าภาวนาได้ทุกลมหายใจเข้าทุกลมหายใจออก มองเห็นภัยอันตรายอันจะมาถึงตนทุกขณะทุกเวลาว่าเราจะต้องพลัดพรากจากกันไปเป็นธรรมดาในเวลาที่ความแตกดับ ความตายนั้นมาถึงเข้า จิตก็ให้มีความรู้เท่าทัน...

    จงพากันภาวนานึกถึงความตายที่จะมาถึงตัวเองให้ได้ทุกลมหายใจเข้าไป ทุกลมหายใจออกมา เมื่อผู้ใดมาเจริญภาวนาให้ได้ทุกลมหายใจแล้ว เป็นผู้ไม่ประมาท ใครทำใครได้ ใครภาวนาละกิเลสก็เป็นไปเพื่อความเจริญรุ่งเรือง ถ้าใครไม่ภาวนา ไม่สังวรระวังจิตใจ จิตเมื่อมันตกไปอยู่ในความประมาทมัวเมาแล้ว มีอยู่ก็เหมือนไม่มี มันเข้าใจไปอีกรูปหนึ่งอย่างหนึ่ง เห็นคนก็เห็นว่าไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ไข้ ไม่ตายจิตใจก็ประมาทไปมัวเมาไป

    อันผู้ปฏิบัติธรรมกรรมฐานในทางพุทธศาสนานี้ จงพากันเจริญภาวนา ปฏิบัติบูชาในดวงจิตใจของตนให้ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปมากน้อยอย่างไรก็ตาม หน้าที่ของเราต้องภาวนา ตั้งจิตเจตนาลงไปทุกขณะลมเข้าลมออก มองให้เห็นแจ้งว่าความตายใกล้เข้ามาแล้ว มรณํ เม ภวิสติ เราจะต้องตายแน่ๆ ทุกขณะลมเข้า ทุกขณะลมออก มีความเพียรเพ่งอยู่ในดวงจิตดวงใจ ชื่อว่าเป็นผู้ภาวนาอยู่เสมอ

    นี่เป็นอุบายภาวนาในทางพุทธศาสนา เมื่อเราท่านทั้งหลายพากันได้ยินได้ฟังแล้ว ให้พากันกำหนดจดจำไว้ ณ ภายใน แล้วน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติ ก็คงได้รับความสุข ความเจริญ เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้

    ไม่เห็นความตายปิดบังของตน
     

แชร์หน้านี้

Loading...