คนตาดี เขาอภัยให้คนตาบอดอยู่แล้ว (คิดว่างั้นนะ ไม่รู้เข้าข้างตัวเองเกินไปหรือเปล่า)
เหลือแต่คนตาบอด ด้วยกันนี่แหละ ชอบทำร้ายตัวเอง แล้วก็ไปทำร้ายคนอื่น
โดยเฉพาะ คนตาบอดถือมีด กะ ถือหินลับมีด ด้วยอะ น่ากลัว ฟาดไปฟาดมา
โดนตัวเองมั่ง โดนคนอื่นมั่ง ถ้าได้ยาบ้าด้วย นะ อันลิมิเต็ด ไม่มีหยุด ไม่มีเหนื่อย ไม่มีเลิก
เราเป็นแค่ คนตาบอด ถือไม้จิ้มฟัน เวลาใครมาใกล้ๆ ก็จิ้มทีหนึ่งพอให้รู้สึกตัว
บางทีก็ไม่รู้ตัว จิ้มไปซะ มิดด้ามไม้จิ้มฟันเลย เจ็บมากไหมก็ไม่รู้
เพราะ เราตาบอด ไม่รู้ ไม่เห็น
ไม่ใช่นะครับที่มักกล่าวว่า “สมถะเหมือนการหลบภัย วิปัสสนาเหมือนการผจญภัย”
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 26 พฤษภาคม 2009.
หน้า 56 ของ 56
-
ตัวเองอ่ะ ถ้ามองเค้าน่ารัก น่้าชังบ้าง ตัวเองก็หมดทุกข์แล้วนี่นา
ง่ายจะตาย ....ชินจัง กุ้มจาย อารายเนี่ยยยย -
อุส่า พูดให้ตลก นะเนี่ย
ว่าแต่ว่า ชินจัง เนี่ย ครายหรอ.... (ทำหน้าไร้เดียงสา...สุดขีด)
เรื่องเดียวกันป่าวคะ ชิสึกะ งง เล็กน้อย เป็นห่วง ชินจัง จะเครียด -
<table align="center" background="img_frame/bg.jpg" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="1008"><tbody><tr></tr><tr><td colspan="2" height="6">
</td><td colspan="3" height="6">
</td></tr><tr> <td colspan="6" height="6"> <table align="center" border="0" width="837"> <tbody><tr> <td align="center" width="784"> <table class="contentpaneopen"> <tbody><tr> <td class="contentheading" width="100%"> คนพาลไม่ต้องการเหตุผล </td> <td class="buttonheading" align="right" width="100%"> </td> </tr> </tbody></table> <table class="contentpaneopen"> <tbody><tr> <td colspan="2" class="createdate" valign="top"> ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๐ </td> </tr> <tr> <td colspan="2" valign="top">ชีวิตในวันหนึ่งๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้ เหมือนน้ำที่ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ หรือเหมือนหยาดน้ำค้างบนปลายยอดหญ้าเมื่อยามต้องแสงอาทิตย์ ไม่นานก็เหือดแห้งหายไป ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเสื่อมสลายอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็ถึงกาลอวสาน ช่วงเวลาของชีวิตที่เราจะได้สร้างบารมีนั้นสั้นนิดเดียว เราจึงไม่ควรประมาท พึงเร่งทำความเพียรสั่งสมบุญกุศลให้เต็มที่ เพื่อจะได้ไปถึงจุดหมายปลายทางของชีวิตโดยสวัสดิภาพ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน สุวิทูรสูตร ว่า
“นภญฺจ ทูเร ปวี จ ทูเร
ปารํ สมุทฺทสฺส ตทาหุ ทูเร
ยโต จ เวโรจโน อพฺภุเทติ
ปภงฺกโร ยตฺถ จ อตฺถเมติ
ตโต หเว ทูรตรํ วทนฺติ
สตญฺจ ธมฺมํ อสตญฺจ ธมฺมํ
อพฺยายิโก โหติ สตํ สมาคโม
ยาวมฺปิ ติฏฺเยฺย ตเถว โหติ
ขิปฺปํ หเวติ อสตํ สมาคโม
ตสฺมา สตํ ธมฺโม อสพฺภิ อารกา
ฟ้า กับดินไกลกัน ฝั่งสมุทรก็ว่าไกลกัน ที่ ๆ ดวงอาทิตย์อุทัยกับที่ๆ ดวงอาทิตย์อัสดงก็ไกลกัน ธรรมของสัตบุรุษกับธรรมของอสัตบุรุษ ปราชญ์กล่าวว่าไกลกันยิ่งกว่านั้น การสมาคมแห่งสัตบุรุษย่อมไม่เสื่อมคลาย จะนานเท่าใดๆ ก็คงที่อยู่เช่นนั้น ส่วนสมาคมแห่งอสัตบุรุษย่อมพลันเสื่อม เพราะฉะนั้น ธรรมของสัตบุรุษจึงไกลจากอสัตบุรุษ”
หากเรารู้ว่า มีผู้ไม่ปรารถนาดี เจตนาจะประทุษร้ายเรา ให้เราหลีกเว้นเสีย เพราะเขาจะไม่คำนึงถึงเหตุผลความถูกต้อง จรรยาบรรณ หรือจริยธรรมใดๆทั้งสิ้น แม้เราจะกล่าวคำสุภาษิต มีถ้อยคำที่ดีมาอธิบายให้ฟัง เขาก็จะไม่ยอมรับ เพราะใจของเขาปิดใจของเขาคิดแต่วิธีการที่จะประทุษร้าย เบียดเบียนเราเท่านั้น ผู้รู้ท่านจึงสอนให้พยายามหลีกเว้นบุคคลประเภทนี้ให้ไกลที่สุด อย่าได้ไปทำความสนิทชิดเชื้อด้วย เพราะจะเป็นทางมาแห่งความเสื่อมเสียแก่ตัวของเราเอง
สมัยที่พระบรม โพธิสัตว์ยังสร้างบารมีอยู่ เวลามีผู้ทรงคุณธรรมมาให้พร ท่านมักจะขอพรว่า ขอให้อย่าได้เห็น อย่าได้ฟังคนพาล อย่าได้อยู่ร่วมกับคนพาล และจะไม่ขอร่วม ไม่ขอชอบใจในการเจรจาปราศรัยกับคนพาล เพราะว่าคนพาลมีปัญญาทราม จะคอยชี้นำแต่สิ่งที่ไม่ควร แนะนำแต่สิ่งที่เป็นบาปอกุศล ชอบชักชวนให้ทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ ไม่เกิดประโยชน์ ถึงจะพูดดีด้วยก็โกรธ และไม่ยอมรับรู้วินัย ระบบระเบียบที่ดีงามต่างๆ การไม่เห็นคนพาลจึงเป็นสิ่งประเสริฐ
นอกจากนั้นท่านยังขอให้ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟังนักปราชญ์บัณฑิต ขออยู่ร่วมกับผู้รู้ทั้งหลาย ท่านจะพึงพอใจในการกระทำ และเจรจาปราศรัยกับนักปราชญ์ เพราะจะได้แต่คำแนะนำที่ดีมีประโยชน์ จะไม่ถูกชักนำไปในทางเสื่อม จะทำแต่สิ่งที่มีสาระแก่นสารเป็นกรณียกิจ
คำแนะนำสิ่งดีทั้งหลาย เป็นความดีของนักปราชญ์ ซึ่งเป็นคนไม่มักโกรธ ไม่ผูกโกรธ เป็นผู้มีวินัยในตนเอง การได้สมาคมคบหากับนักปราชญ์ จึงเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาของบัณฑิต
ดังนั้น หากเรารู้ว่า ใครเป็นคนพาล เราควรรีบหลีกหนีให้ห่างไกล เพราะยิ่งอยู่ร่วมกันนาน จะยิ่งติดเชื้อพาล ซึ่งมีแต่จะนำความวิบัติความเสื่อมเสียมาให้ เหมือนดังเรื่องของแม่แพะ ที่พูดจาอ่อนหวาน แต่ในที่สุดก็ต้องถูกเสือจับกินเป็นอาหาร
*เรื่องมีอยู่ว่า มีเสือเหลืองตัวหนึ่งกำลังรอดักจับแพะที่ชอบเที่ยวหากินตามลำพัง มันสังเกตเห็นแม่แพะตัวหนึ่ง กินใบไม้ใบหญ้าออกห่างจากฝูง จึงคิดที่จะกินแม่แพะตัวนี้ มันรีบวิ่งไปยืนดักหน้าไว้ แทนที่แม่แพะจะรีบวิ่งกลับเข้าไปในฝูง มันกลับอยากสนทนากับเสือเหลือง เพราะคิดว่า “ถ้าหากเราเจรจาไพเราะอ่อนหวาน เสือเหลืองตัวนี้อาจจะเป็นมิตร แล้วปล่อยเราไปอย่างง่ายดายก็เป็นได้”
แม่แพะจึงไม่หนีไปไหน ทำเป็นใจดีสู้เสือ ทำการปฏิสันถาร กับเสือเหลืองเป็นอย่างดี ด้วยการพูดจาปราศรัยอย่างไพเราะอ่อนหวานว่า “คุณลุง ท่านยังคงสบายดีอยู่หรือ ยังพอจะให้อัตภาพเป็นไปได้ดีอยู่ไหม มารดาของฉันได้ถามถึงทุกข์สุขของท่าน เราทั้งหลายปรารถนาให้ท่านมีความสุขเหมือนกัน” เสือเหลืองได้ฟังดังนั้น แทนที่จะชื่นใจมันกลับไม่ได้ใส่ใจกับคำเหล่านั้น คิดเพียงแต่จะต้องขย้ำแพะตัวนี้ให้ได้ อย่างไรก็ดีเพื่อไม่ให้เกิดคำครหานินทาในภายหลัง จึงได้กุเรื่องขึ้นมาว่า
“แน่ะ แม่แพะ เจ้ามารังแกเราก่อน มาเหยียบหางของเราทำไม หรือวันนี้เจ้าสำคัญว่า เจ้าแน่กว่าเรา เจ้าไม่มีทางพ้นจากความตายไปได้หรอก อย่ามาเรียกเราว่าคุณลุงเลย”
แม่แพะได้ฟังดังนั้น รีบกล่าวว่า “ข้าแต่ท่านลุง ท่านนั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ส่วนฉันนั่งอยู่ต่อหน้าท่าน แล้วฉันจะไปเหยียบหางของท่านซึ่งอยู่ด้านหลังได้อย่างไรกัน”
เสือ เหลืองหาเรื่องต่อว่า “แน่ะแม่แพะ เจ้าพูดอะไร สถานที่ที่จะพ้นจากหางของเราไปไม่มีหรอก เพราะว่าทวีปทั้งสี่ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินหรือมหาสมุทรอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ มีภูเขาสูงใหญ่ประมาณเท่าใด เราได้เอาหางของเราไปวางไว้ในที่นั้นหมดแล้ว เจ้าจะพ้นจากที่ที่เราเอาหางวางไว้ได้อย่างไร”
แม่แพะคิดว่า “เสือเหลืองตัวนี้ มีจิตใจหยาบช้านัก ฟังวาจาสุภาษิตแล้วไม่ซึมเข้าไปในใจเลย แถมยังตลบตะแลง มีเจตนามุ่งแต่จะทำร้ายเราอย่างเดียว”
แม่แพะจึงลองกล่าวเลี่ยงเป็น อย่างอื่นว่า “ในกาลก่อน พ่อแม่ของฉันได้บอกความเรื่องนี้แก่ฉันแล้วว่า หางของท่านนั้นยาวนัก ฉันจึงเหาะมาทางอากาศ เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะเหยียบหางของท่านเจ้าป่า”
เสือ เหลืองยังหาเรื่องต่ออีกว่า “ตอนที่เจ้ามาทางอากาศ เจ้าได้ทำให้ภักษาหารของเราพินาศไป เพราะฝูงเนื้อเห็นเจ้าเหาะมา เกิดความตกใจกลัว พากันวิ่งหนีไปหมด ฉะนั้นเจ้าจึงมีความผิด โทษฐานที่ทำให้หมู่เนื้อหนีไป”
แม่แพะได้ฟังดังนั้น รู้ทันทีว่า เสือใจบาปตัวนี้คงไม่ปล่อยให้ตนรอดแน่ เมื่อไม่อาจยินยอมกันด้วยเหตุผล จึงขอร้องวิงวอนว่า “ข้าแต่ลุง เราต่างก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน อย่าได้ทำลายล้างผลาญกันเลย จะได้ไม่มีเวรต่อกัน ขอให้ท่านจงไว้ชีวิตแม่แพะแก่ๆ อย่างฉันเถิด”
แต่เสือเหลืองไม่ยอมฟังคำ มันกระโดดเข้าตะครุบแม่แพะทันที จนแม่แพะถึงแก่ความตาย ตกเป็นอาหารของเสือเหลืองในที่สุด
เพราะ ฉะนั้น ความปรารถนาดีไม่มีในหมู่คนพาล จะไปหาความจริงใจจากคนพาลนั้นไม่ได้เลย ไม่ว่าเราจะใช้เหตุผลอย่างไร ความจริงทั้งหลายกลับถูกบิดเบือน ทำให้คนที่บริสุทธิ์ คนที่ถูกกลายเป็นคนผิดไป แม้ความจริงจะปรากฏว่าถูกต้อง แต่คนพาลจะแกล้งกล่าวหาเรื่องที่ไม่มีมูลขึ้นมา ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นอีกร่ำไป ไม่รู้จักจบสิ้น ตราบใดที่เขายังเป็นพาล เพราะฉะนั้น คนโบราณจึงได้สอนเตือนใจไว้ว่า “ห่างสุนัขให้ห่างศอก ห่างวอกให้ห่างวา ห่างพาลาให้ห่างหมื่นโยชน์แสนโยชน์”
ตรงกันข้ามกับการคบหาบัณฑิต ซึ่งแม้เจอกันเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้ชีวิตสว่างไสว พบกับความสุขความเจริญรุ่งเรืองได้ แต่การคบคนพาลแม้ครั้งเดียวก็เสียหายแล้ว ยิ่งสมาคมกันหลายๆ ครั้ง ยิ่งเสียหายลุกลามใหญ่โตหนักขึ้น ไม่ได้ประโยชน์ ไม่มีสาระอะไร นำแต่ทุกข์แต่โทษมาให้ ผู้รู้จึงกล่าวว่า ใครคบคนเช่นไร จักเป็นเช่นนั้นแหละ คนฉลาดจึงควรคบหากับบัณฑิต มีบัณฑิตเป็นกัลยาณมิตร และให้หมั่นทำความสนิทสนมกับคนดีมีคุณธรรมให้มากๆ เพราะจะเป็นเหตุให้เราพบแต่สิ่งที่ดีงาม
มีธรรมภาษิตบทหนึ่งกล่าว ไว้ว่า ท้องฟ้าและแผ่นดิน ชาวโลกถือกันว่าอยู่ไกลกัน สองฟากฝั่งแห่งมหาสมุทร เขากล่าวกันว่าอยู่ไกลกัน ส่วนธรรมของสัตบุรุษกับธรรมของอสัตบุรุษ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า ไกลกันยิ่งกว่านั้น ราชรถอันวิจิตรตระการตา ยังมีวันเก่าคร่ำคร่า สรีระร่างกายของเราก็เช่นเดียวกัน สักวันหนึ่งจะต้องถึงความแก่ชรา แต่ธรรมะของสัตบุรุษผู้สมบูรณ์ ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มีวันเก่าคร่ำคร่า
ดัง นั้น ให้ทุกคนยินดีในธรรมของสัตบุรุษ หมั่นประพฤติปฏิบัติธรรมให้สม่ำเสมอทุก ๆ วัน ปฏิบัติธรรมให้ได้ทั้งครอบครัว ให้เป็นครอบครัวธรรมกาย เป็นบ้านกัลยาณมิตรที่สว่างไสวด้วยแสงธรรม บ้านแห่งสันติสุข ที่เป็นประดุจวิมานในเมืองมนุษย์ ถ้าทำกันได้อย่างนี้ คือทุกหลังคาเรือน มีการปฏิบัติธรรมร่วมกัน ความสงบสุขร่มเย็น ก็จะเกิดขึ้นในบ้านเมืองไม่ช้าสันติสุขจะ แผ่ขยายไปทั่วโลก ดังนั้นให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมให้ดีกันทุกๆ คน
(*มก. ทีปิชาดก เล่ม ๕๙ หน้า ๕๙๖)
</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table> -
คนที่มีความรู้น้อย แต่มีเมตตาสูงมีถมเถไปครับ
ส่วนคนที่มีความรู้กว้างไกล
กลับเห็นได้ชัดว่าขาดความเมตตาก็มากหลายครับ
;aa24 -
แต่ไม่เป็นไรครับเขียนอีกสักครั้งก็ได้
เรื่องแนวทางนั้น ผมกล้าพูดได้เต็มปากครับว่า
ได้สมาทานมาแล้วเกือบทั้งนั้น
เริ่มจากทำตามท่านพระอาจารย์เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต
ตามมาด้วยการปฏิบัติสายพุทโธ
จากนั้นศึกษาพระอภิธรรมสมัยวัดโพธิ์
สมัยนั้นยังมีการเข้าทรงหลวงพ่อเสือ
แสดงอภินิหารแทงพระเครื่องออกมาจากผลส้มเพื่อแจกจ่ายญาติโยม
โดยลูกสาวอาจารย์บุญมีที่จบจากอังกฤษ(ไม่รู้ว่าสาขาอะไร)
ต่อมาพบเพื่อนที่ปฏิบัติสายหลวงพ่อเทียน ก็ศึกษาดู
จากนั้นก็มาสายยุบหนอพองหนออีก
เมื่อผมได้ฐานแล้วลองสมาทานดูจิต
กล้าพูดได้ว่ามากกว่าใครๆในนี้เสียอีก
สรุปได้ว่ามีดีทั้งนั้น แต่ยังไม่ใช่ทางที่ชอบเท่านั้น
เมื่อนำผลมาเทียบเคียงกับพระสูตรและพระวินัย
;aa24 -
ผลรับที่ได้ มันย่อมสมดุลย์ -
ขึ้นอยู่กับบุญ วาสนา บารมี ของคน ๆคนนั้น
ธรรม ขั้นไหน ต้องให้กลับใคร เราก็ต้องโยนิโส ต้องครั้งก่อนใช่ไหมคะ
ไม่งั้นคนรับ เขาก็๋จะไม่ไหวเหมือนกัน คือต้องรู้ทางกัน ประมาณนี้
ส่วนใหญ่ นานาจะปฏิบัติตามสายหลวงพ่อสนองค่ะ และก็หลวงอีกท่านหนึ่งที่นานานับถือ ท่านบอกเพียงว่า วันหนึ่งเราทันอารมณ์เรากี่ครั้ง ไม่ทันกี่ครั้ง
คือท่านสอนในแง่การเจริญสติน่ะค่ะ แล้วก็สมถะกรรมฐาน
สำหรับพระเครื่องนานาไม่มีค่ะ โต๊ะหมู่บูชาก็ไม่มี เวลาสวดมนต์กับแม่เราเรียกกันว่าห้องพระ แต่พระพุทธรูปไม่มี ฟังดูอาจจะพิลึกก็ได้นะคะ
สำหรับอภิหาร รู้สึกว่าจะเป็นผลพลอยได้ของการปฏิบัติมากกว่าเลยไม่เน้น
เพราะคิดว่า"เข้าใจ" ไม่ใช่วิธีการหลุดพ้น -
แถม
สิ่งที่ไ้ด้ มันอยู่ที่ใจ มันจะบันทึกและทำงานโดยอัตโนมัติ
จนกระทั่งมีอะไรมากระทบ เราจะรู้ได้จากสติ ที่ระลึกได้
แล้วจะเป็นการกำหนดทิศทางว่าเราควรจะทำอะไรในแง่บวกหรือลบแล้วกัน
(เพราะยัีงไม่เข้าใจสัมมาทิฐิดีพอ )
นานาจิตดัง -
ท่านภูต มีอะไรฝากไว้ เป็นปริศนานะ ....นานเลยนะ
การตื่นเพียงชั่วครู่......เราจะรู้ ..........มันต่างกับสลืมสลือ ยังงัย
มันเกี่ยวกับสิ่งที่นานาถามท่านภูตไป ...
การเจริญสติ สติปฏฐาน 4 ไม่ใช่ของธรรมดา
ท่านนานาฯ ท่านเคยผ่านการทำหมันสุนัขมั้ยครับ
เราต้องวางยาให้มันสลึมสลือก่อนใช่มั้ยครับ เพื่อง่ายแก่การลงมือ
เปรียบเทียบเองนะครับว่าต่างกันอย่างไร
มหาสติปัฏฐานจะสมบูรณ์ได้นั้น อานาปานสติต้องสมบูรณ์ก่อนครับ
สติปัฏฐาน๔จึงจะมีความหมายที่ถูกต้องครับ
;aa24 -
เชิญทุกท่านครับ ผมเปฺดกระทู้ใหม่เรื่องสัมมาทิฐิเป็นไฉน
http://palungjit.org/threads/เธชเธฑ...เธกเธตเธชเธฑเธกเธกเธฒเธชเธกเธฒเธเธด.191574/
;aa24 -
ค่ะ
-
ไปข้อนิสัยกราบหลวงพ่อสนอง เป็นอาจารย์นั้น ตั้งแต่ปี๒๕๒๐ครับ
ท่านนานาฯ มีโอกาสลองศึกษาประวัติหลวงพ่อดูสิครับ
สมัยหลวงพ่อตามหลวงพ่อใหญ่สังวาลย์อยู่นั้น
หลวงพ่อใหญ่ให้หลวงพ่อสนองอยู่ปฏฺบัติสมาธิภาวนาในป่าช้า(ข่าวลือว่าผีดุ)
ท่านอยู่ปฏิบัติในป่าช้าไม่น้อยกว่า๓ปีครับ
สมัยนั้นท่านจะเล่าเรื่องความอัศจรรย์ทางจิตให้ลูกศิษย์ฟังเป็นประจำครับ
ใช่ครับ เมื่อสามารถเข้าถึงกายในกายเป็นภายในได้แล้ว
ผลพลอยได้ก็คืออำนาจทางจิตครับ
เวลาหมด หมดเวลา
;aa24 -
หลวงพ่อสนองยังถือการไม่พูดเอ่ยวาจา กำหนดสติตลอดเวลา ยกเว้นเวลานอน..
ท่านเป็นพุทธภูมิบารมีมาก เป็นคำเอ่ยของหลวงพ่อใหญ่สังวาลย์ -
ค่ะของหลวงพ่อสนอง
จะเป็นแนวสถะกรรมฐานเดินจงกรม และวิปสนากรรมฐาน
จะมีพระอาจารย์สังวาลและพระอาจารย์ตี๋เล็ก ด้วย
พระอาจารย์อีกท่านหนึ่งท่านจะให้เน้นด้านเจริญสติ
ส่วนของพระอาจารย์ปราโมทย์ก็เคยไปนะ แถวชลบุรีแถวๆ ศรีราชา
พระอาจารย์ท่านนี้ท่านก็แนะนำให้ลองไปดูเหมือนกัน ก็เพิ่งไปมาเมื่อเดือนมีนานี้แหล่ะ
แต่ก็พอรู้แนวทางนะว่าจะเดินทางไปแนวไหน -
ของแบบนี้จะมาตีความเอาเองตามชอบใจไม่ได้หรอกครับ
ภัยนั้นมีทั้งที่เป็นภายนอกและภายใน
การผจญภัยนั้นก็เช่นเดียวกัน ทั้งภายนอกและภายใน
มีแต่คนที่ไม่มีสมองเท่านั้นครับ
ที่รู้อยู่เห็นอยู่ว่า นั่นคือภัยร้ายยังชอบที่จะออกไปผจญกับภัยนั้น
จะได้คุยอวดได้ว่า ข้านี่แหละนักผจญภัย
ถ้าเป็นการผจญภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นภัยจากธรรมชาติ
ก็คงมีแต่คนชื่นชม แต่ภัยร้ายในพุทธศาสนานั้น
เป็นภัยจากกิเลส มีราคะ โทสะ โมหะเป็นมูลอยู่แล้ว
ยังจะออกไปรับสิ่งเหล่านั้นเข้ามาเพิ่มเติมอีกหรือครับ
;aa24 -
ท่านก็ปล่อยวางบ้างเถอะ
ไม่รู้ว่าใคร มี โทษะ โลภะ โมหะ เยอะกันแน่ ...
เห็นเลยอดทักท้วงไม่ได้ ....ลองนิ่ง ๆ ดูก่อน นะ (อุเบกขา จะสามารถพ้นได้) -
<o></o>
<o></o>
ท่านนานาฯที่รัก แค่ตัวหนังสือเท่านั้น<o></o>
ยังไม่อาจสรุปได้หรอกครับว่า<o></o>
ใครที่มีราคะ โทสะ โมหะ มากกว่ากัน <o></o>
ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม<o></o>
การทักท้วงไม่ช่วยให้ความฟุ้งซ่านลดลงได้<o></o>
ความสงบตั้งมั่นแห่งจิตเท่านั้นที่สยบความฟุ้งซ่านได้<o></o>
ที่ว่านิ่ง เคยถึงระดับ อุเบกขาสติปาริสุทธิงหรือยัง?<o></o>
ถ้านิ่งไม่ได้บ้างเลย ป่านนี้คงวิ่งวุ่นวายไปทุกกระทู้แล้วครับ
;aa24<o></o>
หน้า 56 ของ 56