ไม่ไหวแล้วผมมีอาการปรามาสพระรัตนตรัยครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย msnrl, 3 ธันวาคม 2005.

  1. msnrl

    msnrl สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2005
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +10
    คือยังงี้ครับ ผมมีอาการปรามาสพระรัตนตรัยครับ แล้วคือว่าเมื่อวาน ตอนผมจะไปอาบน้ำ ผมกำลังคิดเรื่องที่คาถาของหลวงพ่ออะครับแล้วคิดไปคิดมา ผมคิด คิดไม่ดีออกไปอะครับตอนนี้ไม่สบายใจครับ แต่ผมตอบไม่ได้ครับ ว่าผมตั้งใจรึปล่าว เพราะอาการปรามาสพระรัตนตัรย เกิดขึ้นบ่อยมากเลยครับ ผมไม่รู้จะทำไงดี แล้วที่ทุกข์กว่านั้นก็คือว่าตอนนั้น ผมไม่รู้ว่าตั้งใจหรือปล่าว ใครมีวิธีดู บอกผมหน่อยยยยยยยยยย
     
  2. อวทม45

    อวทม45 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +1,832
    จิตที่เคารพ/ศรัทธา เป็นกุศลจิต จิตจึงเกิดเกรงใจและกลัวว่าจะล่วงเกิน เป็นกุศลจิต(หิริ โอตัปปะ)เป็นเหตุ ความคิดที่ออกมาเป็นผล ซึ่งเป็นเพียงสมมุติไม่มีเจตนาบาปไม่มากหรอกครับ ต้องมีสติ
     
  3. อวทม45

    อวทม45 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +1,832
    แลกกันแล้วมีบุญมากกว่าเยอะ ถือว่ากำไร สบายใจได้ พัฒนาสติจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน (ฟุ้งทีไรท่องมีสติ ๆๆๆๆๆๆๆ)
     
  4. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,803
    ค่าพลัง:
    +18,982
    อย่าไปสนใจมากครับ....

    ให้พยายามคิดดี สู้มันเรื่อยๆ...
     
  5. อวทม45

    อวทม45 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +1,832
    เพราะความฟุ้งซ่าน(คิดดี-ไม่ดีกลับไปกลับมา)เป็นอกุศล ความเศร้าหมองที่เกิดหลังสุดก็เป็นอกุศล มีสติที่ปัจจุบัน(มันจะหยุดคิด)เป็น กุศล
     
  6. อวทม45

    อวทม45 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +1,832
    ผมก็มีปัญหาเหมือนคุณ แต่ผมไม่ทุกข์แบบคุณ
     
  7. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    อย่าร้อนใจไป

    วันนึงไปหาหลวงพ่อท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน ท่านเล่าให้ฟังว่าตอนท่านหนุ่มๆก็มีอาการแบบนี้ ท่านจะมีอารมอย่างที่คุณเป็น ท่านว่าให้"สัปพัง"ขอขมาบ่อยๆเดี๋ยวก็หายเอง เราก็เคยเป็นไม่มีไครไม่เคยเป็นจะ มันเป็นเรื่องบกติ หลังจากอาการอย่างนี้หายไปคุณก็จะไม่เป็นอีก"เค้าเรียกอาการรับน้องใหม่"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2005
  8. msnrl

    msnrl สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2005
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +10
    เมื่อกี้ก็อีกแล้ว ไปเรียนพิเศษ ความคิดคิดไปไม่ดี เราบอกตัวเองว่าไม่ได้เจตนาและเราก็ทำใจให้นิ่ง แล้วคล้ายๆกับเราปรามาส โดยเจตนา ร้อนและทุกข์ใจครับทำอย่างไรดีครับ
     
  9. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,400
    เห็นด้วยครับ
     
  10. ชา ใคร่รู้

    ชา ใคร่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +496
    ผมว่าคุณตั้งใจมากเกินไปนะครับ ลองใช้อารมณ์สบายๆไม่เคร่งเครียดสิครับ จะช่วยได้มากเลย มันจะเป็นช่วงแรกๆแหล่ะครับ พยายามดำรงกำลังใจในการทำความดีเข้าไว้ อย่าท้อแท้ คุณชนะแน่ครับ
     
  11. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,803
    ค่าพลัง:
    +18,982
    ขอให้คุณแก้ปัญหาได้เร็วขึ้นครับ อิอิ
     
  12. โลกันต์

    โลกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    357
    ค่าพลัง:
    +620
    ............นี่แหละ พิจารณาได้เลยว่า...........

    " จิตไม่ใช่เรา เราไม่ใช่จิต(ปลอม) "
    จิตนี้ เป็น อกุศลจิต ถูกปรุงด้วย สังขารขันธ์


    เมื่อ ดูด้วยญาณพระธรรมกาย จะเห็นว่า....

    ที่ใจ ( ขันธ์ สี่ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งขยายหยาบออกมาเป็น เห็น จำ คิด รู้ นั้น ) ถูกหุ้มด้วย อวิชชานุสัย กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย

    .........เมื่ออวิชชานุสัย ชักนำ และทำให้เกิดกิเลส มาปรุง สังขารขันธ์ ( ธาตุคิด ดวงคิด ) ในใจ

    วิญญาณขันธ์ ซึ่งถูกอวิชชาครอบงำนั้น ก็รู้ผิดอีกว่า เป็นตัวตนของเราคิด และยึดมั่นใน จิตปลอม( เจตสิก ) นั้นว่าเป็น เรา , ความคิดของเรา
    ......อยากให้จิตนี้ดับไป แต่ดับไม่ได้ ( สมุทัย คือ ตัณหาเกิดแล้ว) ทุกข์จึงเกิด ( เหตุ เกิด ผล จึงเกิด )
     
  13. โลกันต์

    โลกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    357
    ค่าพลัง:
    +620
    ......แล้วจะทำเช่นไร ?

    สมุทัย ดับด้วย นิโรธ ยังไงล่ะ


    ในวิชชาธรรมกาย ดับด้วย การเข้ากลางของกลาง ดับหยาบไปหาละเอียด

    ไปเป็นวิสังขาร หรือ ธรรมกายที่สุดละเอียด แล้วอาศัยญาณพระธรรมกาย

    รู้เห็น แล้ว ดับกิเลส อาสวะ อนุสัย ที่ปรุงขันธ์ละเอียดนั้น ...จนเกิดนิโรธ

    (สมุทัย ดับ )


    .......แต่สำหรับสาธุชนทั่วไป อาจเจริญสติให้เต็มรอบขึ้น เห็นว่า

    ......" นั่นเป็นเพียงอาการของจิต ".....จิตไม่ใช่เรา เราไม่ใช่จิต... ก็ได้

    แล้วปล่อยวาง เผ้าดู อย่าไปเดือดร้อนกับการเกิดขึ้นของมัน

    มันจะแสดง จนหมดปัจจัยปรุงแต่ง แล้วดับไปเอง...


    ......นี่แหละ เห็นไตรลักษณ์แล้ว......../ เจริญพร
     
  14. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,792
    ค่าพลัง:
    +7,482
    ปรามาสพระรัตนไตรรึ?

    วิธีแก้ง่ายๆ ก็คือ "ขอขมา" ไม่ยาก คำ "ขอขมาพระรัตนไตร" ทุกลมหายใจ อ่ะจ้ะ ♥

    ...
     
  15. ผู้เดินทาง

    ผู้เดินทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    203
    ค่าพลัง:
    +407
    โมทนากับทุกๆคำแนะนำครับ
     
  16. msnrl

    msnrl สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2005
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +10
    คือยังงี้ครับ ผมถามเลยดีกว่า ว่าตอนนั้นนี้ใจผมปรามาสใช่ไหมครับ แล้วผมบอกตัวเองว่านี้เราไม่ได้เจตนา ถ้าเจตนาเราก็จะไม่ทำ แล้วผมก็ทำใจให้เป็น ปกติแล้วจะลองปรามาสดูแต่ก็ไม่กล้า ผมอยากถามว่าเป็นบาปไหมครับ ผมรำคาญและทุกข์จริงๆ
     
  17. ผู้เดินทาง

    ผู้เดินทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    203
    ค่าพลัง:
    +407
    เรียนคุณ msnrl

    ทุกๆคำแนะนำข้างบนนั่น ก็เป็นคำตอบที่จะช่วยให้คุณหายจากอาการนี้ได้ และช่วยให้คุณวางเฉยกับอาการนี้ได้ในที่สุดนะครับ ความเห็นเพิ่มเติมของผมนะครับ

    1 อาการที่คุณกำลังประสบ เป็นนิวรณ์ตัวหนึ่ง คือ ความฟุ้งซ่าน + รำคาญใจ

    2 ครั้งหนึ่งผมก็เคยเป็นมากแบบคุณ แต่พยายามมีีสติ คอยตามรู้ ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของอาการ(ปรามาส ) ฟุ้งซ่านนี้ โดยวางใจดูอยู่เฉยๆ ดูความฟุ้งซ่าน ดูเบาๆ เป็นธรรมชาติ ไม่เคร่งเครียด

    3 เมื่ออาการนี้ดับไป ก็ขอขมาพระรัตนตรัยอยู่ในใจ เพื่อแสดงความมิได้ตั้งใจที่จะฟุ้งซ่านนั้น (อกุศลจิตที่เกิดและดับไปแล้ว)

    4 เมื่อรำคาญใจย่อมทุกข์ใจ เพราะจิตปรุงแต่งยึดถือว่าผิด ในอกุศลจิตที่เกิดขึ้นและดับไปแล้ว ให้พิจารณาว่าอกุศลจิตที่ผ่านไปแล้ว ย่อมแก้ไขไม่ได้แล้ว และ้พิจารณาตามรักษาจิตในปัจจุบัน เพื่อมิให้อกุศลจิตแบบนั้นๆกำเริบขึ้นอีก (วิปัสสนากรรมฐาน)

    5 ฝึกสมาธิเพื่อหยุดความฟุ้งซ่าน ควบคุมความฟุ้งซ่าน ไม่ให้รุนแรงมาก

    6 หากความฟุ้งซ่านนี้เกิดขึ้นบ่อยมากๆ การเปลี่ยนอารมณ์ให้จิตไปคิดในเรื่องอื่นๆที่เป็นประโยชน์ หรือผ่อนคลายอารมณ์ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยได้
     
  18. jasminine

    jasminine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    5,385
    ค่าพลัง:
    +22,310
    เป็นทำนองเดียวกันหรือคล้่ายๆกันเลยค่ะ แรกๆถึงกับปวดหัวไปเลย คือว่าสวดมนต์ไหว้พระอยู่ คิดถึงภาพพระ แต่ก็ด้วยความกลัวว่าพระจะมีสิ่งไม่ดีมารบกวนหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ พอกลัวมันก็มาเลย ภาพสิ่งต่ำๆ ไม่ดี อกุศลก็มาแทรก มาอยู่รวมกับภาพพระเลย รู้สึกแย่สุดๆ ต้องต่อสู้กับมัน เป็นอันว่าใจไม่สงบเลย และรู้สึกผิดบาปมากด้วย ต่อมาก็เลยขอขมาต่อพระรัตนตรัยค่ะ และขอให้ท่านเป็นที่พึ่ง ขอให้ท่านช่วยคุ้มครองจิตเราให้เป็นกุศล ซึ่งคิดว่าทุกวันนี้ก็ค่อยดีขึ้นเรื่อยๆนะคะ
    [b-wai]
    เคยคิดเหมือนกันว่าจะมีใครเหมือนเราบ้างมั้ย ดังนั้นจึงขอขอบคุณผู้ตั้งคำถามมากๆและขออนุโมทนาคำตอบทุกๆคำตอบด้วย เราเลยพลอยได้ประโยชน์ไปด้วย
     
  19. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,803
    ค่าพลัง:
    +18,982
    ไม่ต้องห่วง เป็นแบบนี้กันหลายคน แต่ละคนเป็นหนักๆทั้งนั้นด้วย...


    ....จะพูดเป็นครั้งสุดท้าย(มั๊ยว่ะ)

    1. เมื่อจิตมันเลวคิดจะปรามาสอยู่ ให้ใช้อารมณ์ความดีเข้าสู้ คือ การขอขมาพระรัตนตรัยเป็นต้น การมองความดีของพระพุทธเจ้าเป็นต้น แล้วเทียบกับตัวเอง แล้วจะรู้ว่าตัวเองนีระยำขนาดนี้ ยังเสือกปรามาส ไอ้จิตที่ปรามาสตัดขาดจากมันซะ ถึงมันจะคิดอยู่ ก็ให้เข้าใจว่า .. ฉันเห็นนะว่า แกเลว แต่ฉันไม่ได้เลวตามแก เชิญแกเลวตามใจ .. มึงจะเลวอีท่าไหน พระพุทธเจ้าก็ดีอยู่แล้ว ถ้าแกโง่แบบนี้ ก็เชิญโง่คนเดียว ฉันจะขอขมาต่อหล่ะ ขอมีกระบาทแห่งพระพุทธเจ้าประทับไว้บนหัวเรา .. ส้นพระบาทแห่งพระพุทธเจ้า ยังจะมีค่ามากกว่าคนเลวๆแบบไอ้ตัวคิดปรามาสแบบมึ.ง

    2. บางทีก็จะเกิดอาการที่ว่าแพ้เหตุผลของไอ้ตัวจะปรามาส เหมือนกัน .. อีหรอบนี้ .. ต้องเอาความดีของตัวเองเข้าสู้ คนดีจริง เขาไม่เคยคิดร้ายกับใคร ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน นี่เล่นใส่ร้าย ดูถูกพระพุทธเจ้า .. แหม๋ หมาไม่แดกนะเมิง .. แกไม่ใช่ฉัน ฉันตั้งใจทำความดีอยู่ เพราะว่า ทำเลว เป็นบาป นรกมีที่ไป ... ฉันไม่อยากไปนรก ตั้งใจทำดีอยู่ ... ถ้ามึ.งอยากไปนรกเชิญไปคนเดียว .. อย่างน้อยชีวิตฉันไม่ทำเลวกับใคร แม้จะไม่แน่ใจว่าใครดีจริงหรือไม่ .. แต่ฉันก็รู้ว่า ฉันจะไม่ปรามาสใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน .. มีใจแน่วแน่ทีจะเสาะหาความจริง(ซึ่งความจริงมันก็คือ พระรัตนตรัยท่านดีขนาดนี้ ยังมีหน้าโง่มาปรามาสอีก)

    3. เมื่อเหนื่อยหน่ายและท้อแท้จะสู้กะไอ้ตัวปรามาสต่อ เพราะแก้แล้วก็ยังเป็นอยู่เหมือนเดิม ... ส่วนนี้สังเกตยากหน่อยว่า เจ้าตัวปรามาส เจอลูกตื้อความดีเข้าไปหลายทีเข้า ก็เริ่มอ่อนแรงแล้ว หลังจากที่เจ้าตัวปรามาสได้มีอำนาจขึ้นมาเมื่อถึงเวลามันได้มีอำนาจ(มันมีอำนาจขึ้นมาเพราะว่าเป็นกรรมปรามาสพระรัตนตรัยเก่าของเราเองในอดีต และเป็นช่วงที่เขาส่งผลอยู่พอดี นี่เป็นกรรมเก่า การรับมือกับกรรมเก่าที่ดีที่สุด คือทนรับอย่างอดทนที่สุด เพื่อให้กรรมที่คั่งค้างได้หมดวาระไป แต่ถ้าเป็นไปได้อย่าเปิดโอกาสให้มันสนองผลเลยนะ) เมื่อมันเริ่มอ่อนแรง ให้เราพักใจเราก่อน ถ้าเหนื่อย ให้อยู่เงียบๆ พักจิต พักใจ ให้มีแรง แล้วก็หาวิธีทำดีให้ทรงตัว แบบที่เราทำได้เรื่อยๆ ให้จิตมันลืมคิดปรามาส(เพราะตอนนี้มันเริ่มอ่อนแรงไปแล้ว) อย่างเช่น ว่างๆ ก็คิดแผ่เมตตาอยู่เสมอ นึกถึงสิ่งที่ดีอยู่เสมอ พุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สังฆานุสสติ คิดไปเถอะครับ ..พระอริยะอย่างไหนก็ตาม ก็ไม่ตกนรกเหมือนคนบางคน..ที่กำลังปรามาสพระอยู่
    ..............
    หลวงพี่เล็ก ทานเคยสอนไว้ ตื้อๆ ตื้อเข้าไป ..เดี๋ยวมันเบื่อ มันแพ้ไปเอง


    4. หากความดีที่สู้ มียังไม่ถึง... ให้เราทำใจให้สงบ ความสงบนี้ เป็นมาตรฐานของอุเบกขา เป็นจุดที่ไม่ทำเลว และก็ไม่ได้ทำดี ... ถึงความดีไม่พอจะสู้ เอาว่ะ อยู่เฉยๆในสมาธินี่แล้วกัน ... คิดจะปรามาสเมื่อไร ลมหายใจจับคำบริกรรมที่เราถนัดปั๊ป .. สงบ .. แหน เอ็งกินฉันไม่ได้หรอก เจ้าปรามาส ...

    5. หากทำยังไงก็ยังเป็นอีกเหมือนเดิม สู้ยังไง ทำแบบไหนก็ยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ นี่เป็นมาตรการขั้นสุดท้ายที่ผมคิดออก(ท่านอื่นคิดวิธีได้ดีกว่าก็แล้วไป อิอิ) ... ให้ทำความดีอย่างอื่นที่ไม่ไปสู้กับเจ้าความคิดปรามาส เพราะว่าบางทีคิดดีสู้กับความคิดที่จะปรามาสแล้วมันเอาความเลวสู้กับเราหนักย้อนๆมา แบบที่เราคิดจะโต้ตอบ อะไรว่ะ มันพูดถูกหว่ะ .. พอมีเหตุผลไม่สู้กับเจ้ามารคิดปรามาสปั๊ป .. นั่นแหละ วงจรมารทำงานต่อ ครับ ...

    ....มาตรการขั้นที่ 5 นี้ ... จะไม่สู้ซึ่งหน้า จะสู้แบบค่อยๆทำไป ..ให้ทำความดีรอบๆตัว ค่อยๆทำไป และค่อยๆละความคิดปรามาสไปมันจะสะสมตัวไปเรื่อยๆ เหมือนน้ำทีละแก้วน้อย เดี๋ยวก็สะสมเต็มเหยือก ... วันเวลาผ่านไป ไอ้เจ้าตัวบาปที่สนองผลอยู่ มันก็ค่อยๆละลายจางหายไปเอง เพราะว่า เมื่อเราทุกข์ปั๊ป กรรมจะค่อยๆบางไป สลายไป ..อ้าว พูดไปไหนแล้ว ยังไม่ได้อธิบายขั้นที่ 5 แบบดีเลยๆ
    ..ขั้นที่ 5 ให้ทำดีแบบที่ไม่สู้ซึ่งหน้า ค่อยๆทำไป .. ไอ้ความดีส่วนนี้จะไป ดึงเชื้อความดีเก่าของเรา หรือว่า จะไปผลักดันให้เจ้ามารอ่อนตัวลงไปเอง ...

    ....ไม่ต้องคิดมากเกินไป... อย่างไงเสียก็ขอให้หายโง่เร็วๆ

    ที่พูดอยู่นี่ก็ใช่ว่าไม่มีโอกาสจะโง่อีก ...ผมก็ยังมีเชื้อความเลวครบถ้วน .. แต่ว่า ตอนนี้ก็ยังโชคดีที่ทรงความดีไว้ได้บ้าง .. มันก็ดีกว่าผมเลวหนักใช่ไหม ...ตอนนี้ผมก็เลวอยู่ระดับหนึ่งซึ่งมันก็มีดีอยู่บ้าง...ก็ถือว่าผมยังอยู่ในกลุ่มพอฟังเหตุผลได้แล้วกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 ธันวาคม 2005
  20. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,803
    ค่าพลัง:
    +18,982
    หากยังทำความดีข้อ 1 - 5 อยู่..กำไรเห็นๆครับ ..ไม่นานเรารวย นอกจากจะหมดการปรามาสแล้ว ...เราจะดียิ่งๆขึ้นไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...