๑ ศตวรรษ หลวงปู่บุดดา ถาวโร

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 28 กรกฎาคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    "เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าล่วงศีล 5 ก็เป็นอบายภูมิเหมือนกัน ไม่ต่างจาก สัตว์เดรัจฉาน เพราะยังเบียดเบียนกัน สร้างกรรมเรื่อยไป
    มนุษย์ ถ้าเบียดเบียนกันก็เป็นอมนุษย์ทันที ขาดจากศีลธรรมไม่ได้หรอก เป็นเปรต อสุรกายทันที เดี๋ยวนั้นเลย "
    <TABLE style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-COLLAPSE: collapse; BACKGROUND: #fffff5; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" id=table1 class=MsoNormalTable border=1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: maroon 1.5pt solid; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-BOTTOM: 0cm; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: maroon 1.5pt solid; BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm" vAlign=top>นามเดิม บุดดา มงคลทอง กำเนิด 5 ม.ค. 2437 สถานที่เกิด อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี อุปสมบท อุปสมบท ณ วัดเนินยาว อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2465 โดยมี พระครูธรรมขันธสุนทร เป็นพระอุปัชฌาย์ มรณภาพ 12 ม.ค. 2537 อายุ 101 ปี 73 พรรษา
    ขณะที่ยังเป็นเด็กมีอายุได้ 5 ขวบ หลวงปู่เคยขอโยมบิดา มารดา บวชเณร แต่ไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากอายุยังน้อย กระทั่งหลวงปู่อายุ 28 ปี โยมบิดา มารดา จึงอนุญาตให้บวช ได้รับฉายาว่า "ถาวโรภิกขุ" หลวงปู่นับเป็นพระภิกษุผู้เคร่งครัดยิ่ง ถือธุดงควัตร ครองผ้าสามผืนเป็นวัตร ชีวิตเป็นอยู่เรียบง่ายทุกอย่างพอดีหมด หลวงปู่ได้ทุ่มเทชีวิตให้แก่การปฏิบัติธรรมชนิด เอาชีวิตเป็นประกัน เดิมพันด้วยความตาย และความสำเร็จ โดยเฉพาะยามประเทศชาติมีภัยสงคราม ปัจจัยสี่ทุกอย่างขัดสน ประชาชนเดือดร้อนทั้งประเทศ ช่วงนั้นหลวงปู่ต้องอดทนกับความทุกข์ยากอย่างยิ่ง แต่ด้วยความมุ่งมั่นมานะอย่างเด็ดเดี่ยว ในการประพฤติปฏิบัติธรรม หลวงปู่ก็สามารถต่อสู้กับความทุกข์ยากนั้นได้อย่างกล้าหาญยิ่ง หลวงปู่นับเป็นพระเถระที่มีคุณธรรม และมีพรรษามาก
    ท่านได้มีโอกาสพบ และสนทนาธรรมกับพระสุปฏิบัติหลายรูป อาทิเช่น หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ครูบาศรีวิชัย ธัมมวิตักโกภิกขุ เป็นต้น นอกจากนั้น ท่านยังได้รับความนับถือจากพระเถราจารย์ ผู้ทรงคุณธรรมหลายรูป เช่น ครูบาพรหมา พรหมจักโก หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ท่านพุทธทาสภิกขุ เป็นต้น ซึ่งย่อมเป็นการแสดงให้เห็นถึงภูมิรู้ ภูมิธรรม และคุณธรรมอันสูงส่งของหลวงปู่ได้เป็นอย่างดี
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๑. ลอยตัว

    พล.ต.ท. น.พ. สมศักดิ์ สืบสงวน อดีตหัวหน้าแพทย์ใหญ่กรมตำรวจเล่าว่า
    ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ พระราชพรหมยานเถระ (วีระ ถาวโร) หรือ "ฤาษีลิงดำ" แห่งวัดท่าซุงจังหวัดอุทัยธานี จะทำพิธีบวงสรวงพระธาตุจอมกิตติ ที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงรายได้สั่งให้ ดร. ปริญญา นุตาลัย และพี่สาว นางชาลินี เนียมสกุล กับ พล.ต.ท. น.พ. สมศักดิ์สืบสงวน ขับรถไปรับหลวงปู่บุดดา ถาวโร ขึ้นไปพบกับท่าน "ฤาษีลิงดำ" ที่อำเภอเชียงแสนอันถือว่าเป็นโอกาสอันดียิ่งสำหรับคนทั้งสาม
    ไม่เพียงแต่รับใช้พระสุปฏิปันโนอย่างใกล้ชิดเท่านั้น หากแต่ยังได้สอบถามความสงสัยในเรื่องธรรมะตลอดการเดินทางไปและเดินทางกลับอีกด้วย
    นายแพทย์แห่งกรมตำรวจใช้วิธีจดคำถามเกี่ยวกับธรรมะเอาไว้ในกระดาษเป็นข้อ ๆ
    "ผมนั่งตอนหลังคู่กับหลวงปู่และมหาทอง" พล.ต.ท. น.พ. สมศักดิ์ สืบสงวนกล่าว
    "ระหว่างเดินทางผมก็เอาข้อสงสัยที่รวบรวมไว้ออกมาอ่านทีละข้อ ๆ หลวงปู่ก็เมตตาอธิบายธรรมนั้น ๆ ให้พวกเราทั้งสามคนไปตลอดทาง จนรู้สึกว่าทำไมถึงเชียงแสนเร็วอย่างนี้"
    ขากลับทั้ง 3 คนตกลงใจไม่กลับเส้นทางสายเอเชีย จึงพาหลวงปู่บุดดา ถาวโร กับพระมหาทอง กาญจโน ไปพักที่วัดแท่นศิลาอาสน์ จังหวัดอุตรดิตถ์๑ คืน ขณะที่ทั้ง ๓ คนไปโรงพักโรงแรมในเมือง
    ครั้นตอนเช้าก็เอารถไปรับเพื่อเดินทาง และก็ได้ปะเข้ากับเหตุการณ์ยากที่จะลืมได้
    ท่านกำลังฉันอาหารอยู่กับพระเจ้าถิ่น ๓ รูป พวกเราทั้งสามก็ก้มลงกราบแล้วนั่งรอท่านอยู่ตรงนั้น
    สิ่งที่ผม (พล.ต.ท. น.พ. สมศักดิ์ สืบสงวน) ไม่เชื่อสายตาของผมก็ปรากฏขึ้น คือ
    ผมเห็นหลวงปู่ท่านลอยอยู่เหนือพื้นที่นั่งประมาณ ๑ คืบ ส่วนอีก ๓ รูปนั่งอยู่กับพื้นธรรมดาผมก็ถอดแว่นออกขยี้ตาตนเองแล้วใส่ใหม่ก็ยังเห็นหลวงปู่ลอยอยู่แบบนั้น
    ความสงสัยยังไม่สิ้น จึงค่อยๆ คลานเข้าไปอยู่อีกมุมหนึ่งเพื่อดูว่า ภาพนั้นจะเปลี่ยนแปลงไหม ก็ปรากฏว่าคงเหมือนเดิม จึงได้คลานกลับมานั่งที่เก่าแต่ไม่ได้สะกิดให้คุณชาลินี เนียมสกุล และ ดร. ปริญญา นุตาลัย ดูหรือพูดกันแต่อย่างใด
    รอจนกระทั่งท่านฉันเสร็จแล้วลุกจากที่เพื่อกลับไปที่พัก เรา ๓ คนก็ลุกออกมาข้างนอกทีนี้แหละ แย่งกันพูด แย่งกันถามอย่างไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน เรื่องที่เห็นท่านลอยอยู่เหนือพื้นนั้นทุกคนต่างนึกกว่าตนเองเห็นแต่ผู้เดียวกระมัง แต่ปรากฏว่าเห็นเหมือนกันหมดทั้ง ๓ คนก็เป็นอันสิ้นสงสัยที่ว่าท่านเมตตาทำให้เราเห็น
    คนอื่นแม้จะเข้ามาก็คงไม่ได้เห็นแบบเรา แม้พระอีก ๓ รูปก็ยังไม่มีสิทธิที่จะเห็นได้
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๒. หมาร่างยาว

    รถในคณะของ พล.ต.ท. น.พ. สมศักดิ์ สืบสงวน ขับรถพาหลวงปู่บุดดา ถาวโร เดินทางจากอุตรดิตถ์เข้าสู่เขตของกำแพงเพชร เป็นการขับรถด้วยความเร็วค่อนข้างสูง
    ขณะนั้นเอง พล.ต.ท. น.พ. สมศักดิ์ สืบสงวน มองเห็นชายกลางคน อายุไม่เกิน ๖๐ ปี วิ่งข้ามถนนมาอย่างรีบร้อน วิ่งโดยไม่ได้ดูรถก่อนว่ามีหรือไม่
    ไม่เพียงแต่คุณหมอนายแพทย์เท่านั้น ที่เห็นชายคนนั้นวิ่งออกมา โดยไม่ได้ดูรถ ทุกคนในรถรวมทั้ง ดร. ปริญญา นุตาลัย ซึ่งเป็นโชเฟอร์ ก็เห็น
    จึงพยายามที่จะหลบโดยหักหัวรถออกนอกทาง กระทั่งหัวรถเกือบทิ่มลงไปในคู
    "ผมเห็นดวงตาของแกโตมากเพราะความตกใจ คงจะร้องด้วย" พล.ต.ท. น.พ. สมศักดิ์ สืบสงวน กล่าว
    จากมุมมองของคุณหมอนายแพทย์แห่งกรมตำรวจ
    " ผมว่าขนาดอีกเส้นยาแดงเดียวคงชนแกกระเด็นไปแล้ว ด๊อกเตอร์คงอ่อนใจที่รถไม่ชน เหยียบเบรกรถหยุดสนิทพอดี "
    " ถ้าแกไม่หมุนตัวกลับ ผมจะตัดสินใจพารถลงไปในคูทั้งคัน "
    เป็นคำกล่าวจากดร. ปริญญา นุตาลัย โชเฟอร์ซึ่งเพิ่งผ่านวิกฤตมาสดๆ ร้อน ๆ
    ครั้นเหตุการณ์คืนสู่ปกติภาพ ดร. ปริญญา นุตาลัย จึงพูดขึ้น
    " ผมไม่ได้เห็นแกเป็นคนวิ่งข้ามถนนมาหรอก แต่เห็นเป็นหมา วิ่งตัดหน้ารถ หมาตัวนี้รูปร่างแปลกกว่าหมาธรรมดา เพราะหัวมันอยู่ฟากถนนนี้แต่มันยาวยืดไปถึงถนนฟากโน้น"
    ได้ยินดังนั้นฆราวาสทั้ง ๓ ยกมือขึ้นไหว้หลวงปู่บุดดา ถาวโร พร้อมกัน
    ชาลินี เนียมสกุล พี่สาวของ ดร. ปริญญา นุตาลัย กราบเรียนถามว่า
    " หลวงปู่ทำอย่างไรจึงวิ่งกลับไปอยู่ที่เก่า "
    "ใช้จิตบังคับจิต" เป็นคำตอบ
    "จิตบังคับทำอย่างไรครับ" เป็นคำถามจาก พล.ต.ท. น.พ. สมศักดิ์ สืบสงวน
    " เวลาที่เขาวิ่งข้ามถนนมาเขาวิ่งมาอย่างคนที่ขาดสติ เมื่อเราทำให้เขามีสติ เขาก็วิ่งกลับไปที่เก่า "
    เป็นคำอธิบายสั้น ๆ จากหลวงปู่ และเพิ่มเติมด้วยว่า
    ที่ ดร. ปริญญา นุตาลัย เห็นเป็นหมาตัวยาว ๆ นั้น แสดงว่าหากชายคนนั้นถูกรถชนตายเขาก็จะไปเกิดเป็นหมา
    ฆราวาสต่างวัยทั้ง ๓ คนจึงยกมือไหว้หลวงปู่อีกครั้ง ด้วยความสำนึกในความเมตตา
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๓. ฝนเอยฝน

    จาก กำแพงเพชรถึงนครสวรรค์ โชเฟอร์ยังคงเป็น ดร. ปริญญา นุตาลัยแห่งสถาบัน เอ . ไอ . ที . ไม่แปรเปลี่ยน ขณะนั้นคาดว่าระยะทางคงเหลืออีกประมาณ ๓๐ กิโลเมตร จะเข้าตัวเมือง
    โสตสัมผัสของ พล.ต.ท. น.พ. สมศักดิ์ สืบสงวน บอกให้รู้ว่าเครื่องยนต์ของรถต้องมีอะไรผิดปกติอย่างแน่นอน
    "จอดข้างทางเถอะด๊อกเตอร์"
    ดร. ปริญญา นุตาลัย ซึ่งได้ปริญญาเอกสาขาธรณีวิทยาจึงจอดรถ คุณหมอนายแพทย์ตำรวจจึงลงไปเปิดฝากระโปรงรถดู พบว่าใบพัดลมที่ใช้เป่าหม้อน้ำรถหักเป็นชิ้น ๆ
    "ผมก็เก็บชิ้นส่วนที่หักเหล่านั้นชูให้ด๊อกเตอร์ดู" พล.ต.ท. น.พ. สมศักดิ์ สืบสงวน กล่าว
    "แสดงว่ารถวิ่งต่อไปไม่ได้แน่"
    แต่พอมองไปข้างหน้าอีกไม่เกินครึ่งกิโลเมตรก็เห็นปั้มน้ำมันตั้งอยู่
    " ขับรถไปที่ปั้มก็แล้วกัน "
    คุณหมอนายแพทย์ตำรวจกล่าวกับ ดร. ปริญญา นุตาลัย
    "น้ำเดือดคงไม่เป็นไร แค่นี้เอง"
    เมื่อถึงปั้มกลับไม่มีเครื่องอะไหล่ขาย คณะจึงขอซื้อถังน้ำ ๑ ใบเพื่อไว้ตักน้ำข้างทางไว้เติมหม้อน้ำที่เดือดเพราะความร้อนสูง เมื่อเครื่องหายร้อนก็ตัดใจเหยียบคันเร่งมุ่งตรงไปยังตัวเมืองนครสวรรค์ แต่แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็อุบัติขึ้นอีกจนได้
    " พอรถวิ่งไปได้ไม่เกิน ๒๐๐ เมตร เข็มวัดความร้อนก็ตีขึ้นสุดเกจ์ของมัน "
    พล.ต.ท.น.พ. สมศักดิ์ สืบสงวน เล่า
    " พอเข็มตีสุดเกจ์ ผมก็เห็นมันตีกลับมาอยู่ตรงกลางและไม่เคลื่อนไหวอีก"
    เข็มชี้ตรงอยู่กับที่เช่นนั้น ขณะที่เสียงเครื่องยนต์ก็เรียบ ไม่กระตุกหรือสั่น คงวิ่งไปได้ปกติ
    จิตของบุคคลทั้งสามคิดตรงกันอย่างมิได้นัดหมาย นั่นก็คือ
    "หากมีฝนตกลงมาก็จะดี เครื่องยนต์จะได้ไม่ร้อนเร็ว "
    เพียงอึดใจเดียวจากนั้นฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมาราวกับฟ้ารั่ว ทั้งสามพร้อมใจกันยกมือไหว้หลวงปู่บุดดา ถาวโร โดยมิได้พูดอะไร มีแต่หลวงปู่เท่านั้นที่เปรยขึ้นว่า
    "เวลานี้เราต้องการความเย็น ฝนเลยตก"
    รถวิ่งมาด้วยเกจ์วัดความร้อนคงอยู่ตรงกลางหน้าปัดจนถึงตัวเมืองนครสวรรค์ ขณะที่ทั้งสามมองหาร้านหรืออู่ซ่อมรถพร้อมกับความคิดที่ตรงกันว่า ถ้าฝนไม่หยุดคงหาร้านหรืออู่ซ่อมรถไม่พบ
    พลันฝนก็หยุดลง เมื่อทุกคนพร้อมใจกันยกมือไหว้ หลวงปู่ก็กล่าวขึ้นอีกว่า
    "ตอนนี้เราไม่ต้องการความเย็น ฝนเลยหยุด"
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๔. ระลึกชาติ

    หลวงปู่บุดดา ถาวโร เกิดที่บ้านพุคา อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี เมื่อวันเสาร์ขึ้น ๑๐ ค่ำเดือนยี่ ปีมะเมีย อันตรงกับวันที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๓๗ ในสกุล "มงคลทอง" โยมบิดาชื่อน้อย โยมมารดาชื่ออึ่ง มีพี่น้องร่วมอุทร ๗ คน เป็นชาย ๔ หญิง ๓
    หลวงปู่เล่าว่าท่านสามารถรำลึกอดีตชาติได้ตั้งแต่ยังเยาว์
    รำลึกได้กระทั่งว่าบิดาคือ นายน้อย มงคลทอง เคยเป็นพี่ชายของท่านมาในชาติก่อน จดจำได้อย่างแม่นยำถึงขนาด พี่ชายคนนี้รักและตามใจน้องอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะไปไหนก็ต้องพาไปด้วย ทั้งยังได้เคยสัญญาว่า จะไม่ทิ้ง ไม่ตี ไม่ดุด่าน้องชายคนนี้อย่างเด็ดขาด
    เนื่องเพราะความผูกพันอันแนบแน่นลึกซึ้งเช่นนี้เอง ท่านจึงได้ตามมาเกิดเป็นบุตรของพี่ชายในชาติปัจจุบันอีก
    จึงเมื่ออายุประมาณ ๑๐ ขวบ ปีพุทธศักราช ๒๔๔๗
    นายน้อย มงคลทอง ผู้เป็นบิดาได้ลงโทษ ด.ช. บุดดา มงคลทอง ผู้บุตรด้วยการเฆี่ยนตีปรากฏว่าบุตรได้วิ่งออกไปนอกบ้าน ตะโกนร้องดังลั่น "พ่อโกหก พ่อโกหก" ซ้ำหลายครั้งครา กระทั่งนางอึ่ง มงคลทอง ผู้มารดาเห็นผิดสังเกตจึงเข้าไปปลอบแล้วสอบถาม
    "พ่อโกหกเรื่องอะไร"
    ด.ช. บุดดา มงคลทอง จึงย้อนทวนอดีตออกมาเป็นฉากถึง ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับนายน้อย มงคลทอง พร้อมกับสรุปอย่างรวบรัด
    "พ่อไม่รักษาคำพูด"
    นั่นก็คือไม่รักษาคำพูดที่เคยให้ไว้ครั้งเป็นพี่และน้องชายระหว่างกันและกัน โดยที่ในตอนนั้นผู้เป็นมารดา ไม่รู้ว่าเด็กน้อยบุตรแห่งตนสามารถระลึกชาติแต่กาลอดีตได้ทั้งยังเป็นอดีตที่โยงยาวไปยังราชอาณาจักรลาว ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง
    หลวงปู่บุดดา ถาวโร เคยเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า
    "ตอนเป็นเด็กฉันสามารถระลึกชาติในอดีตได้ ระลึกได้ว่าเคยเกิดเป็นผู้ชายทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง"
    เป็นการเวียนว่ายเกิดบนสองฝั่งแม่น้ำโขงไม่ต่ำกว่า ๗ ชาติ
    ปรากฏว่าในความทรงจำรำลึกถึงอดีตชาตินั้น ส่วนใหญ่จะถึงแก่ชีวิตเสียก่อนตั้งแต่ยังไม่ทันบวช คืออายุประมาณ ๑๕-๑๙ ปี ตายตำบลไหนก็เกิดตำบลนั้น และทุกอดีตชาติไม่เคยเกิดเป็นผู้หญิงเลย
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๕. ทหารรูปงาม

    ปีพุทธศักราช ๒๔๔๖ ขณะนายบุดดา มงคลทอง อายุ ๒๐ปี ก็ถูกเกณฑ์เข้าเป็นทหารสังกัดกองทัพบก
    จากหลักฐานซึ่งทางราชการได้สักไว้ที่ใต้ท้องแขนข้างขวา เรียกว่า "เลขสักหมาย ทบ ๓ / ๒๔๔๖ "
    พลทหารบุดดา มงคลทอง รับราชการอยู่จนถึงปี ๒๔๕๘ ในกองทัพที่ ๓ ศูนย์การทหารปืนใหญ่ อำเภอโคกกระเทียม จังหวัดลพบุรี
    ห้วงเวลานี้เองเป็นโอกาสดีอย่างยิ่งทำให้ได้เรียนหนังสือปรากฏว่าสามารถเรียนได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุผลรองรับ ๒ ประการ กล่าวคือ
    ประการหนึ่ง เป็นสมาธิจิตโดยพื้นฐาน อีกประการหนึ่ง อักษรไทย ๔๔ ตัวซึ่งใกล้เคียงกับอักษรลาว จึงช่วยให้ระลึกชาติแต่กาลอดีตได้ โดยผ่านรูปลักษณ์แห่งภาษา
    ความที่เป็นหนุ่มแน่น เรือนกายงดงาม จึงมีสตรีมากมายมาแสดงความชื่นชมพูดจาทำนองเกี้ยวพา แต่พลทหารบุดดา มงคลทอง กลับไม่ยอมเออออไปด้วย
    "กลับไปเสียเถอะ ฉันเป็นทหารตัวเมีย ไม่ชอบผู้หญิง ถ้าไปเจอทหารตัวผู้คนอื่นเข้าจะลำบาก "
    เรื่องนี้มีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งไปยังอดีตชาติที่ผ่านมา
    หลวงปู่บุดดา ถาวโร เคยเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่าเรื่องอดีตชาติและเรื่องความรักความหลังนั้นพร่างขึ้นในดวงความคิดของท่านมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กอยู่แล้ว
    ท่านมักจะบอกกับนางอึ่ง มงคลทอง ผู้เป็นมารดาอยู่เสมอว่า
    " แม่ แม่ โตขึ้นหนูจะไม่ขอมีครอบครัวอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างแน่นอน "
    ผู้เป็นมารดาได้ยินดังนั้นแม้ไม่ค่อยถือสา แต่ก็อดจะถามต่อไปไม่ได้ถึงเหตุผลที่ไม่ยอมมีครอบครัวเป็นเพราะอะไร นั่นย่อมเป็นเรื่องในอดีตชาติ
    อดีตชาติเมื่อท่านเป็นหนุ่ม เกิดพอใจหญิงสาวชาวบ้านใกล้เคียงกันผู้หนึ่งจึงได้ไปพูดคุยกับหญิงสาวผู้นั้น
    แทนที่หญิงสาวจะโอภาปราศรัยด้วยดี กลับพูดลำเลิกถึงอดีตชาติว่า
    " ในชาตินั้นท่านเป็นผู้ทำให้ดิฉันถูกทุบตี และถูกจับผูกทรมาน ต้องอดอาหารจนท้องกิ่วตาย พอมาถึงชาตินี้มารักดิฉันทำไม "
    กลายเป็นอดีตชาติแห่งอดีตชาติ
    เป็นอดีตชาติแต่ครั้งหลวงปู่บุดดา ถาวโร เกิดเป็นสมภารเจ้าวัดอยู่ในราชอาณาจักรลาว
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๖. อดีตชาติ อดีตชัง

    ได้ยินดังนั้น ภาพแต่กาลอดีตก็เรียงร่ายส้ายขึ้นมาบนจอภาพแห่งความทรงจำ
    เป็นอดีตในชาติหนึ่งที่เคยเกิดในราชอาณาจักรลาว เติบใหญ่จนได้เป็นสมภารเจ้าวัดสำคัญวัดหนึ่ง
    ครั้งหนึ่งเกิดอาพาธด้วยโรคพยาธิขณะกำลังจำวัดอยู่ด้วยความอ่อนเพลีย ได้มีหมาตัวเมียแอบขึ้นมา ลักลอบกินอาหารที่เด็กเก็บเอาไว้ ในฐานะสมภารเจ้าวัดท่านได้ร้องบอกพวกเด็กวัดให้รู้
    พวกเด็กวัดจึงไล่ตีหมาตัวนั้น
    จากการท้วงติงบนพื้นฐานแห่งการระลึกชาติของหญิงสาวทำให้ภาพเด่นชัดยิ่งกว่า
    พวกเด็กไม่เพียงแต่ไล่ตี หากแต่ยังได้จับหมาตัวนั้นไปผูกไว้กับรั้ว
    ความที่กว่าจะไล่จับได้ หมาก็ไปไกลจากวัดเป็นอย่างมาก ประการหนึ่ง
    และความที่เด็กวัดเป็นห่วงบ่วงใยอาการอาพาธของสมภารเจ้าวัด อีกประการหนึ่ง
    ทำให้เด็กวัดลืมนึกถึงหมาตัวที่ถูกผูกไว้กับรั้ว จนเป็นผลให้หมาตัวนั้น ต้องอดอาหารและตายไปอย่างทรมานด้วยความหิวโหย
    เมื่อรำลึกไปยังอดีตชาติได้ก็บังเกิดความสลดและละอายแก่ใจรำพึง ออกมาว่า
    "นี่เรากำลังจะเอาหมามาเป็นเมียแล้วหรือ"
    จากนี้จึงเห็นได้ว่า ระหว่างหมากับสมภารเจ้าวัดเป็นการจองเวรและติดตามมายังอีกอดีตชาติหนึ่งเพื่อมาเตือนความทรงจำ
    ถึงแม้ในฐานะสมภารเจ้าวัดจะมิได้เป็นคนลงมือสังหารหมาตัวนั้น แต่ด้วยคำสั่งและเสียงเตือนเด็กวัดให้รู้ตัว และเป็นเหตุนำไปสู่การตายของหมาตัวนั้น หมาตัวนั้นจึงพุ่งเป้าไปยังสมภารเจ้าวัดอย่างเป็นด้านหลัก
    ครั้นหมามาเกิดเป็นหญิงสาวแล้วระลึกชาติได้ จึงลำเลิกย้อนถึงอดีตชาติที่เป็นต้นเหตุของความเป็นมา ทำให้ชายหนุ่มเดือดร้อน อดสูละอายใจ เนื่องเพราะระลึกตามได้ถึงอดีตชาติแล้วมา ในคราวที่เป็นสมภารได้ทำไว้
    เมื่อรำลึกถึงการจองเวรในอดีตชาติคราใด หลวงปู่บุดดา ถาวโร ได้ปรารภเสมอว่า
    " นึกถึงเรื่องราวในอดีตแล้ว ทำให้เรามีความรู้สึกเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิดมาตั้งแต่เด็ก "
    บทสรุปจากการรำลึกอดีตชาติได้ที่ผ่านมาทั้ง ๗ ชาติ ทั้งในฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และในประเทศไทยก็ตาม คือ
    " พอช่วยเหลือตัวเองได้ เราจะไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้ตัวเราเลย ยกเว้นแม่ของเราเท่านั้น "
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๗. ชายชาติทหาร

    ปีพุทธศักราช ๒๕๖๑ ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
    พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงตัดสินพระทัยประกาศสงครามกับเยอรมันนี และอยู่ข้างเดียวกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทางราชการได้มีการคัดเลือกทหารอาสาสมัครเพื่อไปร่วมรบในสงคราม ณ ทวีปยุโรป
    นายบุดดา มงคลทอง ในฐานะทหารหาญได้เข้าสมัครอาสาไปรบด้วยเหมือนกัน
    แต่เหตุผลที่ไม่ได้ไปน่าสนใจยิ่ง
    น่าสนใจเนื่องจากนายบุดดา มงคลทอง กินเหล้าไม่เป็น ทางการจึงไม่ยอมรับ
    เนื่องเพราะในทวีปยุโรปนั้นอากาศหนาวเย็นเป็นอย่างมาก ทหารจึงจำเป็นต้องดื่มเหล้า เพื่อช่วยให้คลายหนาว
    จากบทสรุปของศิษยานุศิษย์ในวัยหนุ่มแน่น นายบุดดา มงคลทอง นับได้ว่าครองตนอย่างเหมาะสมกับการเป็นบุตรที่ดีของบิดาและมารดา และเป็นเพื่อนที่ดีควรแก่การไว้วางใจของญาติและมิตรทั้งปวง
    นั่นก็คือ มีความเคารพบูชาบิดามารดาและญาติมิตรด้วยความจริงใจ ไม่สร้างสิ่งอันเป็นเรื่องเดือดร้อนมาสู่ครอบครัวให้บิดามารดาต้องลำบากใจ
    ไม่มีนิสัยเกกะเกเร ไม่ดื่มเหล้าเมายา ไม่แสดงกิริยาอาการหยาบคาย
    ขณะเดียวกัน ก็ตั้งตนเป็นกุลบุตรที่เพียบพร้อมด้วยกาย วาจา และใจ ครองตนได้อย่างเหมาะสมแห่งสมาชิกของวงศ์ตระกูล
    เหล่านี้ล้วนเป็นวัตรปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานอันดียิ่งต่อปัจจุบันและต่ออนาคต
    ภายหลังพ้นจากราชการนายบุดดา มงคลทอง ได้ออกมาช่วยบิดาและมารดา มาประกอบสัมมาอาชีวะทางด้านการเกษตรเพื่อเลี้ยงครอบครัวอยู่ได้ประมาณ ๔ ปี ก็เริ่มมีความคิดที่จะออกไปอุปสมบทในทางศาสนา
    ในเรื่องอุปสมบทเข้าสู่สมณวิสัย หลวงปู่บุดดา ถาวโร เคยเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ท่านครุ่นคิดในเรื่องนี้ตั้งแต่อายุเพิ่ง ๕ ขวบ
    ขณะเดียวกัน จากการที่ระลึกถึงอดีตชาติที่ผ่านมา บทสรุปที่ได้รับก็คือ การเกิดใหม่ในแต่ละชาติต้องประสบแต่ความทุกข์ยาก ผิดหวัง หาแก่นสารอะไรไม่ได้
    ชีวิตในการเป็นฆราวาสโดยเฉพาะการมีครอบครัว การมีภรรยาและบุตรเป็นภาระอันหนักหน่วง
    หนักหน่วงในฐานะที่เป็นเครื่องร้อยรัดปิดกั้นมิให้ได้เจริญก้าวหน้าในทางธรรม
    ถึงแม้ในช่วงที่อายุยังเยาว์ บิดาและมารดาจะไม่ยินยอมให้บวชเพราะต้องการแรงงานไว้ช่วยเหลือแก่ครอบครัว แต่ยิ่งนานวันเข้า ความพร้อมทั้งทางจิตใจและทางครอบครัวก็ยิ่งแสดงออกและเป็นที่ยอมรับมากยิ่งขึ้น
    โดยเฉพาะเมื่อนายบุดดา มงคลทอง มีอายุได้ ๒๘ ปี ในปีพุทธศักราช ๒๔๖๕
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๘. อุปสมบท

    ผ่าน เดือนมกราคม ๒๔๖๕ นายบุดดา มงคลทอง อายุ ๒๘ ปี
    เป็นอายุ ๒๘ ปีที่ผ่านการเป็นทหาร ผ่านการทำงานช่วยเหลือบิดามารดาและครอบครัวด้วยความรับผิดชอบ
    เป็นอายุ ๒๘ ปีที่มีความต้องการจะบวชเรียนเพื่อปฏิบัติธรรม
    ดังนั้น นายบุดดา มงคลทอง จึงได้เรียนขออนุญาตต่อบิดาและมารดา ปรากฏว่า นายน้อย - นางอึ่ง มงคลทอง รับทราบความปรารถนาของบุตรด้วยความยินดี และได้ยินบุตรชายไปปรึกษากับพระครูธรรมขันธ์สุนทร ที่วัดเนินยาวในเรื่องการบวช
    จึงในวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๔๖๕ นายบุดดา มงคลทอง ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดเนินยาว ตำบลโพนทอง อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี
    เป็นการบวชพร้อมกับนาคอื่นๆ อีก ๑๑ รูป
    โดยมีพระครูธรรมขันธ์สุนทรเป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูเรืองเป็นพระกรรมวาจาจารย์ เจ้าอธิการไพลเป็นพระอนุสาวณาจารย์
    โดยมีพระสงฆ์ ๒๕ รูปนั่งเป็นพระอันดับ ได้ฉายาว่า "ถาวโรภิกขุ"
    หลวงปู่บุดดา ถาวโร กล่าวอยู่เสมอในเวลาต่อมาว่า ท่านถือพระอุปัชฌาย์และพระสงฆ์ ๒๕ รูป เป็นครูบาอาจารย์ อุปัชฌาย์ทุกรูป
    เป็นครูบาอาจารย์ที่สอนให้เป็นอนิจลักษณะแห่งสังขารแห่งร่างกายได้อย่างเด่นชัดเป็นอย่างยิ่ง
    ที่ว่าพระอุปัชฌาย์และพระสงฆ์ ๒๕ รูป ณ วัดเนินยาวเป็นครูบาอาจารย์อุปัชฌาย์ทุกรูปนั้น ประการสำคัญที่สุดก็คือ เป็นผู้สอนแก่นแห่งกรรมฐานให้
    นั่นก็คือ การสอนให้ตระหนักในความเป็นอนิจจังแห่งสังขารร่างกาย
    เกสา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทันตา ฟัน ตะโจ หนัง โดยให้พิจารณาเรียงไปตามลำดับและย้อนกลับ จนเห็นได้ชัดและแคล่วคล่อง
    เมื่อได้อุปสมบทแล้ว ถาวโรภิกขุก็จำพรรษาที่วัดเนินยาว เพื่อปฏิบัติพระอุปัชฌาย์ เป็นการสนองคุณครูบาอาจารย์
    ขณะเดียวกัน ถาวโรภิกขุก็เช่นเดียวกับนวกะรูปอื่น ๆ นั่นคือ มิอาจหลุดพ้นจากด่านนางงามไปได้ง่าย ทุกครั้งที่ออกบิณฑบาต เมื่อมีสาวสวยผิวขาวนวลผ่องมาใส่บาตรก็อดไม่ได้ที่จะเพ่งมองนิ้วอันเรียวงามดุจลำเทียนนั้น
    ภาพนั้นยังติดตรึงมาในความคิด แม้เมื่อกลับถึงวัดแล้วก็ตาม
    ทางออกเฉพาะหน้าในขณะนั้น หากติดกับความสวย ติดในรูปภายนอก ก็จะไม่ไปบิณฑบาตบนเส้นทางสายนั้น จนกว่าจะพิจารณาว่าไม่เกิดอารมณ์จึงได้หวนกลับไปอีก
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๙. ปักใจเด็ดเดี่ยว

    มีเรื่องเล่าสืบมาตราบทุกวันนี้ถึงมหัศจรรย์ทางจิตของถาวโรภิกขุที่ปรากฏแก่สายตาเพื่อนสหธรรมิกในพรรษาแรก ณ วัดเนินยาว
    ขณะนั้นที่วัดได้มีการสร้างศาลาหลังคามุงสังกะสีขึ้นมาหลังหนึ่ง ในฐานะนวกะ ถาวโรภิกขุได้รับมอบหมายให้เป็นพระอีกรูปหนึ่งที่จะต้องขึ้นไปช่วยมุงหลังคาเป็นการมุงหลังคาในระหว่างคิมหันตฤดูอันร้อนแรง
    ตามปกติหน้าร้อนก็ร้อนจัดอยู่แล้ว เมื่อประสานเข้ากับแผ่นสังกะสีซึ่งเก็บอมความร้อนเอาไว้ได้เป็นอย่างดีจึงยิ่งทำให้ความร้อนทวีขึ้นเป็นสองสามเท่า
    ตอนเช้าที่แดดยังอุ่น ทั้งพระและชาวบ้านที่มาช่วยต่างมุงหลังคากันอย่างคึกคักขะมักเขม้นยิ่ง แต่พอล่วงยามบ่ายแดดกล้าเริงแรง ต่างทนความร้อนไม่ไหว
    ทั้งพระและฆราวาสที่มาช่วยงานค่อย ๆ ทยอยกันลงมาจากหลังคา คนแล้วคนเล่าหลบมุมตามร่มไม้ใบบัง
    มองไปบนหลังคาศาลายังมุงไม่เสร็จ มีพระรูปหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ในแดดจ้า
    เป็นถาวโรภิกขุ นวกะจากบ้านตำบลพุคา อำเภอโคกสำโรงนั่นเทียว ที่มุงสังกะสีแผ่นแล้วแผ่นเล่า มุงหลังคาจนเสร็จครบบริบูรณ์
    การต่อสู้กับอารมณ์ของตัวเองในกรณีที่ภาพของสาวสวยหญิงงามติดตามมาระหว่างบิณฑบาต อาจเป็นเรื่องธรรมดากล่าวสำหรับพระบวชใหม่โดยทั่วไป
    เนื่องจากเพิ่งก้าวล่วงมาจากความเป็นฆราวาสมาหมาดใหม่ ย่อมมีความอาลัยในโลกเก่าหลงเหลืออยู่เป็นความหลงเหลือในท่ามกลางการต่อสู้
    แต่กล่าวสำหรับถาวโรภิกขุ นี่ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงการถือข้อวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัดทั้งมโนกรรมและกายกรรม
    นอกจากการปฏิบัติข้อวัตรในแต่ละวันอย่างเคร่งครัดยิ่งแล้วถาวโรภิกขุยังได้ถือธุดงควัตรในบางข้อด้วย นั่นก็คือ การถือครองผ้า ๓ ผืนเป็นวัตร บิณฑบาตเป็นประจำทุกวันฉันเพียงมื้อเดียว วันเว้นวัน ฉันเฉพาะในบาตร
    อีกทั้งยังถวายสังฆทานทุกวัน วันไหนไม่ฉัน ไปบิณฑบาตได้ข้าวมาก็ถวายพระรูปอื่น แล้วเอาบาตรคืน
    ท่านเคยเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า
    " บางครั้งก็ฉันข้าวเปล่า ๆ ก็มี ฉันข้าวกับเกลือก็มี ตามแต่จะได้มา โดยฉันในบาตรอย่างเดียวเพียงลำพัง "
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๑๐. เคร่งที่ตน

    ความเคร่งของถาวโรภิกขุเป็นเรื่องที่เล่าขานกันมาอย่างยาวนาน
    หลักการพื้นฐานที่สุดก็คือ การเริ่มจากตัวเอง
    ดังในกรณีของความเคลิบเคลิ้มหลงใหลไปกับรูปโฉมโนมพรรณของสาวที่มาใส่บาตรในแต่ละวัน เป็นความเคลิบเคลิ้มอย่างติดตาตรึงใจ แม้กระทั่งเมื่อเดินกลับอาราม
    " นี่จิตใจเป็นอย่างไรกัน ถ้ามีความพอใจอยู่ ยังติดอยู่กับความสวย ติดในรูปภายนอกอยู่อีก เราก็จะไม่ไปบิณฑบาตทางนั้นอีก "
    เป็นการเริ่มต้นจากตัวเอง มิได้โทษผู้อื่น
    แม้แต่กับข้าวอาหารการฉันบางอย่าง ถ้าอร่อยลิ้นจนอยากฉันมาก ๆ ท่านก็จะงดเสีย เพื่อที่จะได้ไม่พลุ่งพล่านอยากได้ใคร่มี
    ในปีพุทธศักราช ๒๔๖๕ อันเป็นพรรษาแรกแห่งการบวช สภาพสังคมไทยในขณะนั้นเริ่มส่อแววแห่งภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ จะกลายเป็นปัญหาของประเทศชาติและของประชาชนอีก ๑๐ ปีข้างหน้า
    เมื่อชาวบ้านลำบาก พระเณรที่อยู่ในสังคมก็ย่อมจะต้องเดือดร้อนไปด้วย
    กล่าวสำหรับถาวโรภิกขุ แม้จะเสนอเป็นเพียงนวกะเพิ่งลิ้มรสแห่งสมณะ แต่ด้วยเนื้อนาบุญที่สะสมมาอย่างยาวนาน กลับเดินทางสายตรงแห่งการปฏิบัติ
    การเพ่งกสิณในความหมายแห่งศัพท์ คือ วัตถุอันจูงใจ คือจูงใจให้เข้าไปผูกอยู่ เป็นชื่อของกรรมฐานที่ใช้วัตถุสำหรับเพ่งเพื่อจูงจิตให้เป็นสมาธิ มี ๑๐ อย่าง แยกได้ดังนี้
    ภูตกสิน ๔ ได้แก่ (๑) ปฐวี ดิน (๒) อาโป น้ำ (๓) เตโช ไฟ (๔) วาโย ลม
    วรรณกสิณ ๔ ได้แก่ (๑) นีลัง สีเขียว (๒) ปีตัง สีเหลือง (๓) โลหิตัง สีแดง (๕) โอทาตัง สีขาวและอีก ๒ คือ (๑) อาโลโก แสงสว่าง และ (๒) อากาโส ที่ว่าง
    วันหนึ่ง ถาวโรภิกขุได้ปฏิบัติธรรมในอุโบสถ อธิษฐานว่า
    " ถ้าแม้จะเห็นธรรมรู้ธรรมแล้วเมื่ออธิษฐานอย่างไรก็ให้เป็นอย่างนั้น "
    จากนั้นก็อธิษฐานเพ่งอาโปกสิน เอาน้ำมาดับไฟธาตุในนิมิตแห่งการเพ่งนั้น น้ำก็ดับไฟได้จริง แลเมื่อเพ่งไม่ยอมหยุด ก็ได้เกิดน้ำท่วมขึ้น ขนาดปลาซิวตัวเล็ก ๆ ก็ค่อย ๆ โตขึ้น ๆ เท่าต้นตาลแล้วปลาซิวตัวเท่าต้นตาลก็ว่ายตรงรี่เข้ามาจะเขมือบเอา
    ต่อเมื่อถอนจิตจากการเพ่งกสิณคืนสู่ปกติภาพ ถาวโรภิกขุเพิ่มความเชื่อมั่นและเปี่ยมด้วยความศรัทธาต่อหลักธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เป็นความเชื่อมั่นและปักใจไปบนหนทางแห่งการปฏิบัติอันเคร่งครัดจริงจัง
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๑๑. ราคะผจญเสือ

    หากไม่ออกธุดงค์ภายหลังสิ้นพรรษาแรกของปีพุทธศักราช ๒๔๖๕ ถาวโรภิกขุคงไม่สำนึกตระหนักว่ากิเลสราคะนั้นเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสยิ่งหนักหนาสาหัสยิ่งสำหรับพระหนุ่มวัยเพิ่งจะ ๒๘ ปี
    ออกพรรษาปีนั้นพระอาจารย์ก็กราบลาพระอุปัชฌาออกเดินธุดงค์ไปทางจังหวัดหนองคาย ริมฝั่งแม่น้ำโขงเป็นการธุดงค์โดยไม่มีมุ้ง ไม่มีกลด คงมีแต่ร่มธรรมและเครื่องใช้เท่าที่จำเป็นแล้วสิ่งที่หวนมารบกวนทำให้อนุสัยที่ตกค้างอยู่พลุ่งโพลงทะยานมาอีกในห้วงระยะแห่งการธุดงค์ก็คือ " กิเลสราคะ "
    " พอได้มองเห็นอะไรที่จะทำให้เกิดกิเลส เพียงชั่วขณะไม่นานมันก็หน่ายไปเลย เรื่องผู้หญิงทั้งหลายนี่มันสัมผัสชั่วประเดี๋ยวเดียวก็หน่ายไปเลย" พระอาจารย์เคยเล่า
    " โธ่เอ๋ย ราคะเอ๋ย เราอยู่วัดก็ห้ามเจ้าไม่ฟัง ห้ามหัวค่ำ มาเช้ามืด ห้ามเช้ามืด มาหัวค่ำ มันก็เหมือนกับพวกเรานี่แหละ ประเดี๋ยวมาเยี่ยมตอนเช้ามืด เดี๋ยวมาโผล่ตอนหัวค่ำ "
    จึงครั้งหนึ่งที่ถาวโรภิกขุธุดงค์เดี่ยวไปกลางป่าไพรปักกลดเสร็จสรรพก็ภาวนาปรารภกับตนว่า
    " เอ้า ... ไอ้ราคะเอ๋ย เจ้าอยู่ที่ไหนรีบมาซะเน้อ ประเดี๋ยวเสือจะมากินเราอยู่แล้ว อยู่วัดห้ามเจ้าไม่ฟัง ขนาดอยู่ในมุ้งเจ้ายังลอดไปหาเรา เดี๋ยวเสือมันจะมากินแล้ว"
    อีกครู่ต่อมา ก็ได้ยินเสียงโฮกแห่งเสือคำรามมาแต่ไกล
    "หนึ่งละเน้อ ไอ้ราคะเอ๋ย เจ้าตายวันนี้แหละ " พระอาจารย์บอกกับราคะ
    ปรากฏว่าเมื่อเสียงเสือร้องคำรามครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ ครั้งที่ห้า และครั้งที่หกกึกก้องในราวป่า
    ราคะไม่โผล่มาให้เห็นเลย
    จิตนิ่งสงบ มีแต่ความรู้สึกเบาสบายเหมือนตัวลอยอยู่ในความว่างแห่งอากาโสนั่นทีเดียว
    จนรุ่งอุษาสาง พระอาทิตย์ชักรถอุทัยไขแสงแจ่มบรรเจิด เวลาประมาณ ๐๙.๐๐ นาฬิกาของวันใหม่จึงได้คลายอารมณ์ออก
    " อ้าว เราก็นั่งอยู่นี้นี่นา ไม่ได้ลอยไปไหน ทำไมรู้สึกตัวเบาและลอยอยู่ตั้งนาน "
    และพอลืมตามองไปโดยรอบ
    "อ้าว เสือก็หาย ราคะก็หาย"
    บริเวณภายนอกกลดเห็นรอยเสือตะกุยคุ้ยดินจนเป็นหลุมลึก ดินกระจายถมใส่กลดเป็นรอยเปื้อน
    " โอ้ ไอ้ราคะของเรานี่มันกลัวเสือ มันเปิดหายไปเลย "

    www.dharma-gateway.com
     
  13. ลูกเรือ

    ลูกเรือ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +797
    ขอกราบอนุโมทนาครับ....สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...