“น้ำตาล” ผลึกลึกลับ หวานดี แต่มีโทษ !!!

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย hyperz, 26 พฤษภาคม 2010.

  1. hyperz

    hyperz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    338
    ค่าพลัง:
    +3,420
    [​IMG]


    ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ได้อธิบายถึงการทำงานของน้ำตาลที่ไปมีผลต่ออารมณ์เอาไว้ว่า เมื่อน้ำตาลจำนวนมากเข้าไปในร่างกาย มันจะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดภายในเวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น แล้วตับอ่อนก็จะหลั่งอินซูลินออกมา เพื่อขับน้ำตาลในเลือดส่วนเกินออกไป จนกระทั่งระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลง ก่อให้เกิดภาวะที่เรียกว่า Hypoglycemiaในภาวะดังกล่าว Cerebrum ซึ่งเป็นสมองส่วนที่สัมพันธ์กับการเรียนรู้ การคิดค้น พฤติกรรม จิตสำนึก และสติสัมปชัญญะ ก็จะปิดตัวลง พลังงานของสมองก็จะส่งผ่านไปยังก้านสมองซึ่งควบคุมสัญชาติญาณและกิริยาอาการดั้งเดิมของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความก้าวร้าว รุนแรง ไร้เหตุผล ทำให้คนที่เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำสามารถทำอะไรโดยไม่ทันยั้งคิดได้ง่ายขึ้น

    "ของหวาน" สาเหตุของความเสื่อมทั้งหลาย
    คนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ป่วยเบาหวานเท่านั้น หมายถึงทุกคนที่ชอบรับประทานขนมหวาน ผลไม้หวาน น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ฯลฯ จะทำให้อวัยวะในร่างกายเสื่อมเร็วกว่าปกติ ทำให้แก่เร็ว ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง เบาหวาน กระดูกพรุน อ้วน เนื้องอก และมะเร็ง น้ำตาลจะทำให้อาการของโรคที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้นอีกด้วยไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคอะไรก็ตาม เช่น ถ้าดื่มนมจนเป็นภูมิแพ้ ภูมิแพ้จะรุนแรงเป็น 2 เท่าถ้าเรากินหวานด้วย เพราะ

    "เชื้อโรคทุกตัวใช้น้ำตาลเป็นอาหาร"
    บางคนเข้าใจว่าน้ำตาลทรายแดงไม่เป็นอันตราย ความจริงน้ำตาลทรายแดงดีกว่าน้ำตาลทรายขาวที่มีวิตามิน B และไม่มีอันตรายจากสารฟอกขาว แต่อันตรายจากความหวานนั้นมีเท่ากัน ทุกอย่างที่หวานเป็นอันตรายต่อทุกคนที่กิน คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะมีโอกาสเป็นอันตรายจากหวานลดลง แต่ปริมาณน้ำตาลที่พอดี ร่างกายไม่เกิดอันตรายคือวันละ 10 ช้อนสูงสุด ในแต่ละวันนี้เราทุกคนได้เกิน เพราะเราได้จากหลายอย่าง เช่น ในโอวัลติน 1 แก้ว มีน้ำตาล 2 ช้อน น้ำอัดลม 1 ขวดเล็กมีน้ำตาล 6 ช้อน น้ำส้มคั้นไม่ใส่น้ำตาลมี น้ำตาล 4 ช้อน โอเลี้ยงหรือกาแฟมีน้ำตาล 2 ช้อน เป็นต้น จากเฉพาะเครื่องดื่มในแต่ละวันเราก็ได้รับน้ำตาลเกินแล้ว

    รู้อย่างนี้แล้วก็ใช่ว่าจะเลิกกินเลิกใช้ไปเสียทีเดียว เอาเป็นว่ากินน้อยๆ หน่อยก็แล้วกัน เพราะทุกอย่างในโลกล้วนมีสองด้าน เมื่อมีโทษแล้วก็ย่อมมีคุณ ด้านคุณค่าเป็นที่รู้กันอยู่ว่าน้ำตาลเป็นอาหารสำคัญที่ให้พลังงาน ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของผลึกสีขาว หรือสีน้ำตาลแดงก็ตาม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า “ซูโครส”

    ทางวิทยาศาสตร์มีน้ำตาลมากมาย เช่น กลูโคสและฟรักโทส มีในพืชและสัตว์และผลไม้ แล็กโทสมีในน้ำนมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม พืชสีเขียวสร้างน้ำตาลได้ด้วยแสงแดด อากาศ และน้ำ ด้วยวิธีที่เรียกว่า การสังเคราะห์ด้วยแสง กลูโคสเป็นน้ำตาลที่สำคัญที่สุด มีอยู่ในเลือดของสัตว์ และในน้ำเลี้ยงของพืช

    น้ำตาลทุกชนิดมีสารประกอบเคมีจำพวกคาร์โบไฮเดรต ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน ถ้าเอากรดซัลฟิวริก หรือกรดกำมะถันชนิดเข้มข้น ใส่ลงในน้ำตาลทรายสีขาว กรดจะดูดน้ำออกไปจากน้ำตาลทรายเหลือแต่ถ่านสีดำ สารสังเคราะห์บางชนิดไม่ใช่คาร์โบไฮเดรตแต่มีรสหวานจัด เช่น แซ็กคาริน และแอสพาร์แทม มีรสหวานราว 300 และ 200 เท่า ของน้ำตาลทรายตามลำดับ ใช้แทนน้ำตาลได้เฉพาะในเรื่องของความหวาน เรียกสารพวกนี้ว่า น้ำตาลเทียม ทุกวันนี้แอสพาร์แทม เป็นที่นิยมมากกว่า แซ็กคาริน เพราะยังไม่พบว่ามีอันตรายต่อคน มีของดื่มหลายอย่างที่ใส่แอสพาร์แทม เช่น น้ำอัดลมบางชนิด น้ำผลไม้ผง ลูกกวาด

    แต่ที่แน่ๆ ถ้ากินน้ำตาลมากๆ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเอวจะหายไปไม่รู้ตัว รายงานล่าสุดพบว่าคนไทยติดกินหวานจัดเฉลี่ยแล้วคิดเป็นคนละ 30 กก.ต่อปี มากขึ้นกว่าเท่าครึ่งของปีที่ผ่านมา ที่สำคัญส่วนใหญ่ไม่ได้บริโภคในรูปของน้ำตาล แต่ได้รับแฝงในรูปอาหาร เครื่องดื่ม เช่น นอกจากนั้นพบว่า คนไทยนิยมบริโภคอาหารที่ใส่น้ำตาลมากขึ้นทั้งอาหารคาว อาหารหวาน ส่งผลให้คนไทยอ้วน เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดและหัวใจตีบตัน เป็นต้น

    ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
     
  2. Canetion

    Canetion เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    528
    ค่าพลัง:
    +2,026
    กินทั้งนม และรสๆหวานสะด้วย

    แต่ดันม่ะอ้วน >.<
     
  3. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    น้ำตาล ความหวาน ร้ายบริสุทธิ์
     

แชร์หน้านี้

Loading...