เรื่องเด่น “หน้ากากแห่งความดี” เปิดใจ2ฮีโร่หนุ่ม “ไทด์-ฮง” คนธรรมดาผู้กล้าพิชิตฝุ่น

จากโครงการแจกหน้าบรรเทาทุกข์ภัยฝุ่น PM 2.5 กลาง 4 แยกถนนเมืองเชียงใหม่ สู่การเพาะบ่มกล้าอาสาทำดี ของ 2 หนุ่มเชียงใหม่ “ไทด์-ธนันวัฒน์ วีระพงศ์กมล” และ “ฮง-ธนา ลักษณาภิรักษ์” ฮีโร่คนธรรมดาตัวจริง


******************************

โดย…รัชพล ธนศุทธิสกุล

ภายใต้โครงการหน้ากากแจกหน้ากากแก่ผู้ประสบภัยจากสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่ปกคลุมพื้นที่เมืองเชียงใหม่ที่เลวร้ายในระดับพื้นที่สีแดงต่อสุขภาพ ท่ามกลางสภาพอากาศที่วิกฤตของหลายฝากฝ่ายภาครัฐช่วยกันแก้ไขทั้งในระยะสั้น-ยาว ของทางกฎหมายและการที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง

“ไทด์-ธนันวัฒน์ วีระพงศ์กมล” และ “ฮง-ธนา ลักษณาภิรักษ์” คือ 2 ฮีโร่ ที่กระโดดเข้าช่วย โดยหวังเพียงได้ตระหนักรู้อันตราย

เขาคือผู้ ‘ปลุก’ ความหวังของการต่อสู้

และเพาะ ‘ความดี’ แก่สังคมให้ตระหนัก

ไปจนถึงสร้างคนธรรมดาที่กลายเป็น ‘ฮีโร่’ ตัวจริงในนาทีนี้คนหนึ่งของปราฏการณ์เมืองไทย



สร้างการตื่นรู้-จุดเริ่มภารกิจแจกหน้ากากอนามัย


“เราอยากจะทำเพื่อรณรงค์ เพราะเห็นทุกๆ วันว่าฝุ่นมันกระทบกับทุกๆ คน สูง-ต่ำ ดำ-ขาว รวย-จน ฝุ่นควันเยอะขนาดนี้และยังมีคนที่อยู่บนถนนมันเกิดอะไรขึ้นกับความคิดเขา ว่าฝุ่นอันตรายไม่ควรละเลย อย่างน้อยเป็นเพื่อนในจังหวัดพี่น้องกันเราต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งด้วยสิ่งที่เราสามารถทำได้และไม่ได้เดือดร้อนใคร” ธนันวัฒน์ เจ้าของธุรกิจน้ำดื่มเปิดเผยจุดเริ่มต้นของโครงการแจกหน้ากากอนามัย 10,000 ชิ้น จนชาวเน็ตจำนวนมากชื่นชมยกย่องว่าเป็น ‘ฮีโร่’

จากช่วงต้นเดือนมีนาคมจนถึงสิ้นเดือนฝุ่นไม่มีทีท่าที่จะลดลงโครงการแจกหน้ากากอนามัย จึงก่อขึ้นเป็นร่างในทันทีก่อนจะถูกขับเคลื่อนในวันรุ่งขึ้นวันที่ 1 เมษายน โดยส่วนแรกเกิดจากเงินส่วนตัวของธนันวัฒน์ของกำไรทางธุรกิจ และส่วนอีกครึ่งได้มาจากการระดมกำลังช่วยเหลือผ่านการโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่าตนจะทำในเรื่องดังกล่าว จากตอนแรกเงินทุนเพียงคนเดียวได้หน้ากากเพียง 5,000 อันเท่านั้น

“แต่ก็มีปัญหาที่คิดไม่ตกในตอนแรก เพราะว่าของเยอะที่จะช่วยจริงแต่คนแจกไม่พอ แจกกันมือหงิกแน่ๆ คนสองคน และเราต้องรีบแจกด้วยเนื่องจากเราอยู่ท่ามกลางฝุ่น เลยโพสต์ขอแรงได้จิตอาสาหลายๆ คนทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องที่ว่างพอดีมาช่วย ก็ได้ทั้งยอดเพิ่มและคนเพิ่มเบ็ดเสร็จ 30 กว่าคน แจกตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึงช่วงเที่ยงๆ ก็หมดเรียบร้อย”

ธนันวัฒน์ เล่าต่อถึงตรงนี้จึงได้ให้เหตุผลถึงสิ่งที่ทำแม้ว่าจะเหมือนเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำในความคิดหลายๆ คน แต่สำหรับตัวเขาจากประสบการณ์ที่ได้ไปเรียนต่างประเทศ ทำให้รู้สึกว่าการยังยืนได้คือการปลุกกระแสให้สนใจและบ้านเรายังขาดเรื่องตรงนี้ และนอกจากนี้ผลจากการที่ครอบครัวปลูกฝังในเรื่อง ‘คุณธรรม’ ก็มีส่วนเป็นหลักใหญ่ ฉะนั้นการที่เราจะทำประเทศให้ดีขึ้นก็ต้องเริ่มจากปลุกให้ตื่นรู้เพียงแต่ไม่คาดคิดว่ากระแสจะดีถึงขนาดนี้

ไทด์-ธนันวัฒน์ วีระพงศ์กมล

“คนทำงานมีรายรับตลอดชีวิต ตายไปก็เอาไปทำอะไรไม่ได้ แต่บางทีการให้คืนมันทำให้เรามีความสุข อันนี้เป็นเจตนารมณ์ของแม่ที่ส่งต่อให้เรา ก่อนหน้าการแจกหน้ากากก็ทำจิตอาสาช่วยเหลือแต่ไม่เคยเป็นหลัก เราทำด้วยตัวเอง แล้วว่าสิ่งที่เราทำบางทีมันง่ายเกินไป เราก็เลยแสดงออกถึงตัวตนเราเอง เราเอาตัวเราเข้าไปอยู่ในปัญหาในการกระทำสักครั้งหนึ่ง แล้วลองดูว่าฟีดแบคเป็นอย่างไร ดังนั้นเราทำโรงงานน้ำดื่มพอเกิดภัยพิบัติทางโรงงานเป็นนโยบายเลยว่าส่งน้ำดื่มเข้าช่วยเหลือ อย่างน้ำท่วมภาคกลางก็ส่งน้ำมาช่วยเขา น้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ ก็ส่งลงช่วย คือ เราต้องช่วยเหลือสังคม ไม่ใช่ว่าหาเข้าอย่างเดียวไม่มีออก มันดูเอาเปรียบมากเกินไป”

ผลิต “กล้า” คนดี พลังวิเศษที่ทุกคนมี


“สังคมจะน่าอยู่ ถ้าเราเริ่มต้นจากตัวเราเอง ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เคารพกติกาและคนรอบข้าง แต่สังคมที่น่าอยู่มากกว่าเมื่อเราเริ่มทำในสิ่งที่ถูกต้องและพร้อมจะแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับคนอื่นๆ รอบตัวเรา ทุกครั้งที่มีโอกาส” คุณพ่อลูก 3 วัย 40 ปี หนึ่งในแรงผลักดันส่วนสำคัญที่ช่วยให้โครงการนี้ดำเนินการลุลวงผ่านมาด้วยดี “ฮง ธนา ลักษณาภิรักษ์” ได้กล่าวสมทบหัวเรือใหญ่ถึงการเข้าร่วมโครงการแจกหน้ากากในครั้งนี้

“เราสองคนนับถือกันรู้จักกันนานแล้ว น้องเขามีความคิดที่ดีอยากจะช่วยเหลือตลอด ตอนที่จะเริ่มทำเขาก็โทรมาปรึกษาเราก็อยากช่วยอะไรได้ช่วยเต็มที่ เพราะเราพอจะมีคอนเนคชั่น มีแรง ก็ชวนกันใครว่างก็มาช่วยๆ กัน ช่วยเหลือสิ่งที่ภาครัฐเข้าไม่ถึง เลยกลายเป็นการรวมตัวกันเหมือนเป็นพลังของประชาชนช่วยประชาชน”

คุณพ่อลูก 3 กล่าวเสริมอีกว่านอกจากการช่วยเหลือสังคมที่เป็นภาพใหญ่ ภาพเล็กๆ อีกหนึ่งภาพไม่ต่างไปจากธนันวัฒน์หัวเรือใหญ่นั้นคือ ‘ครอบครัว’ คือ ความรักที่มีต่อ ‘เด็กเล็ก’ วัยเรียน ที่ตอนนี้ไม่มีโอกาสได้วิ่งเล่นและสูดหายใจอันบริสุทธิ์



“ความรู้สึกสงสารจับใจ เวลาจะไปไหนเขาต้องใส่หน้ากากตลอด พอฝุ่นควันมันเยอะขึ้น ตอนนี้เด็กไม่สามารถที่จะวิ่งเล่นในโรงเรียนได้แล้ว เข้าโรงเรียนครูต้องเก็บเข้าห้องหมด เรามองแล้วว่ามันไม่ถูกต้อง สิ่งที่ไม่รู้เกิดจากอะไรและใครกระทำมันกระทบถึงชีวิตการเป็นอยู่ของพวกเรา อากาศดีๆ หรือสิทธิในการหายใจเราถูกริดรอน สิ่งที่เราทำได้ ณ เวลานี้ เราก็ทำแบบนี้ของเราไปเพื่อให้เกิดการแก้ไขจริงจังแบบในกรุงเทพฯ ที่หลายๆ คนช่วยกัน ก็ยิ่งตอกย้ำความเชื่อเราที่เชื่อว่าเมื่อเราเกิดมาแล้ว เรามีโอกาสได้ช่วยคนอื่นหรือสังคมสักครั้ง มันน่าจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนๆ หนึ่งที่จะทำได้”

และมันก็เกิดขึ้นจริงๆ กับยอดคุณพ่อรายนี้ หลังจากที่มีพลังสู้ต่อแดดร้อนๆ ไอลมและควัน แต่ตลอดระยะเวลาในการแจกหน้ากากป้องกันแต่ละอันเสมือนเพิ่มพลังและกำลังใจทั้งจิตรวมไปถึงร่างกาย ที่เรียกว่า ‘ความสุข’

“จังหวะส่งหน้ากากให้ผู้คน รู้สึกเหมือนพี่ตูนวิ่งจากใต้สุดไปเหนือสุดได้ ผมคิดว่าพลังคงไม่ต่างกันการที่เราได้ทำอะไรดีๆ และมันมาจากใจจริงๆ ไม่ต้องการอะไร ไม่ได้อยากดังหรือเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ ผมคิดและเชื่อว่าน้องๆ ทุกคนที่ทำด้วยกันวันนี้ทุกคนมีความสุข มันคงเป็นความรู้สึกดีมากๆ แต่สิ่งหนึ่งผมคิดว่าอันนี้มันเป็นการจุดประกายให้คนดีๆ ที่บ้านเรามีกันแทบทุกคนแต่เขาอาจจะยังไม่กล้าทำอะไร แล้วเขาอาจจะมีความกล้ามากขึ้นเพราะเขาเห็นคนธรรมดาคนอย่างเรา โดยที่คุณคือคนธรรมดา ไม่ใช่นักการเมือง คนมีตังค์ คุณคือคนธรรมดาที่เดินถนนแล้วกลายเป็นฮีโร่ของคนหลายๆ คน ผมคิดว่าเสียงสะท้อนนี้มันจะทำให้อีกหลายๆ อย่างเกิดสิ่งที่ถูกต้องและคนที่กล้าช่วยสร้างสังคมดีขึ้น”

ฮง-ธนา ลักษณาภิรักษ์

10สู่ 100 น้ำดีหล่อเลี้ยงประเทศ…ให้ไปต่อ


หลังจากเสียงชื่นชมในโครงการแจกหน้ากากอนามัยเมื่อวานนี้ (1 เม.ษ.) ที่ผ่านมา ในวันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งวันที่โครงการดังกล่าวได้รันช่วยเหลือสังคมระยะสั้นที่เร็วที่สุดและเสียงสะท้อนแก่ทุกคนได้ตระหนักอย่างไรก็ตามคนทั้ง 2 ที่ถูกยกเป็น ‘ฮีโร่’ ไม่ใช่คำกล่าวเกินจริง

ภายใต้โครงการหน้ากากครั้งนี้ยังมีโครงการที่ชื่อว่า “Clean Air For All” เดินทางร่วมขนานในการช่วยพี่น้องเมืองเชียงใหม่ ซึ่งปัจจุบันดำเนินงานไปกว่า 90 % แล้วอีกไม่กี่วันจะแล้วเสร็จในการทำเครื่องฟอกอากาศ 100 เครื่อง แจกจ่ายพื้นที่ขาดแคลน อาทิ สถานีอนามัย หน่วยงานเทศบาลต่างๆ



“เพราะปัญหาในเรื่องนี้มันเกิดขึ้น 4-5 ปี แล้ว เมืองเชียงใหม่เป็นอย่างนี้ อนาคตอยากให้คนทุกฝากฝ่ายเกิดความเข้าใจถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเราทำอะไรเราช่วยในการลดมลพิษเหล่านี้ได้ทุกคน ฝันที่ไกลๆ ผมไม่อยากให้มันเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกแล้วในความคิด เพราะเชียงใหม่เป็นเมืองที่น่าอยู่ สวยงาม ท่องเที่ยว มีวัฒนธรรมประเพณี ผู้คนที่ดี ผมไม่อยากให้มันมีสภาพแวดล้อมแบบนี้” อดีตหนุ่มโรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัยและเด็กคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงทั้งหมดทั้งมวล

ขณะที่ทางคุณพ่อลูก 3 กล่าวทิ้งท้ายถึงความรู้สึกทุกสิ่งอย่างที่ทำในครั้งนี้ถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น มีอย่างน้อยๆ 10 คน อนาคตจะก่อเกิดให้ขึ้นอีก 100 คน เปรียบเสมือน หยดเล็กๆ ที่รวมพลังเป็นน้ำบึงของประเทศได้ แต่ถ้ามันเป็นเพียงแค่หนึ่งหยดมันก็กระจายหายไปกับอากาศ

“บางทีเราอยากทำอะไรไม่ต้องรอให้คนอื่นทำ เราคิดว่ามันถูกต้องและไม่ได้เป็นสิ่งที่ไปเดือดร้อนใครเราก็ทำของเราไป และสิ่งเหล่านั้นจะช่วยกันกระจายและสร้างสังคมแห่งความดี สังคมจะน่าอยู่ ถ้าเราเริ่มต้นจากตัวเราเอง แต่สังคมที่น่าอยู่มากกว่าเมื่อเราเริ่มทำในสิ่งที่ถูกต้องและพร้อมจะแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับคนอื่นๆ รอบตัวเรา ทุกครั้งที่มีโอกาส”









ข่าวที่เกี่ยวข้องในอดีต

ขอบคุณที่มา
https://www.posttoday.com/social/goodstory/585337