09/01/60 เวลา 12:00 น. วันคาดการณ์ยกระดับสู่ยุคใหม่

วันที่ 09/01/60 เวลา 12.00 น.

09/01/60 = การเริ่มต้น รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
9/1+/1+7 = 9/9 = การบรรลุผล , สำเร็จ , สิ้นสุด

ความหมายของตัวเลข

96 = เขียนโดยไม่ยกปากกา คือ 8 หรือ ∞ Infinity
9 = จุดบรรลุ , จุดสิ้นสุด
8 = ไม่มีสิ้นสุด ∞ Infinity
1 = การเริ่มต้น เชื่อมทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน (Ones)
100 = สมดุลจักรวาล , จุดพอดีของ ศตวรรษ
12 = กาลเวลา (Time)



สวัสดีครับทุกท่าน
ผมได้ใช้ ตัวเลข โดยการติดต่อสื่อสารกับ เทพ-เทวดา ที่คุ้มครองตัวผมมาได้สักพักแล้ว โดยผ่านการ synchronicity นะครับ
เทพ-เทวดา จะชี้นำทางเราผ่านทางตัวเลขโดยความบังเอิญ (ที่ทุกท่านเข้าใจนะครับ) เมื่อพบตัวเลขแล้วคุณจะเข้าใจความหมาย
http://palungjit.org/threads/สัญญาณของเทพ-ที่ผ่านมาทางตัวเลข.292813/
ก็ที่พวกท่านโพสไว้ในนี้ล่ะคับ
โดยผมได้ติดต่อสื่อสารกับ เทพ-เทวดา ได้มาสักระยะใหญ่แล้ว และได้เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวที่เกิดกับโลกในขณะนี้ จากเหตุการภัยพิบัติ และการแปรปรวนของอากาศต่างๆ

การที่โลกเราเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ก็เพื่อจะยกตัวของเธอ(โลกเรา) เลื่อนระดับจาก จากมิติที่ 3 ไปสู่มิติที่ 5 นะครับ
ผู้ที่มีจิตวิญญาณด้านสว่าง(พลังงานบวก)
1.มีพรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุฑิตา )
2.สังคหวัตถุ 4 (ให้ทาน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น หวังให้ผู้อื่นพ้นทุข มีความสุข)
3.เป็นผู้มีศีลธรรม คุณธรรม
4.เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา

ความรัก ความเมตตา กรุณา ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ความรักต่อธรรมชาติ และสรรพสัตว์ คือพลังสำคัญที่สุดของโลกเรา และจักรวาล ครับ

*ผมจะขอบอกเพื่อให้ทุกท่านอุ่นใจไว้เลยนะครับ ว่าทุกท่านนั้นมีเทพ-เทวดา ประจำตัวดูแลคุ้มครองและช่วยเหลือ ตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว จนตอนนี้
ชีวิตทุกคนมีการชี้นำทาง เพื่อให้ถึงเวลาที่จะเกิดขึ้นนี้อยู่แล้ว (สังเกตุได้ที่ท่าน เข้าวัด พักอยู่ใกล้วัดนะครับ พวกท่านมีการนำพามาโดยการ synchronicity อยู่แล้ว) เพื่อให้ทุกท่านที่มีจิตวิญญาณด้านสว่าง ได้ไปสู่ยุค Golden age อย่างแน่นอน

**และผมมาแจ้งข่าวดีที่สุดให้ทุกท่านทราบ
พระวิษณุ ปางสุดท้าย ได้อวตาล มาจุติที่โลกแล้ว
หรือ พระศรีอาริยเมตไตรย์ (คนเดียวกัน)
ณ ตอนนี้ ทวยเทพ-เทวดาทั้งสวรรค์ พยาครุฑ-พยานาค
และเพื่อนพันธมิตร ร่วมจักรวาลของเรา
ได้มาเตรียมการคอยช่วยเหลือ เพื่อให้โลกของเรา(ไกอา) เตรียมการ พร้อมที่จะเดินทางเลื่อนระดับจากมิติที่ 3 ไปสู่มิติที่ 5 ในครั้งนี้ ซึ่งรับประกันไว้แล้วว่าจะต้องเร็จแน่นอน
หลังจากผ่านช่วงการเดินทางในครั้งนี้ พวกเราทุกคนจะได้พบ
"พระเจ้าจักรพรรดิ" อย่างแน่นอน พร้อม ทวยเทพ-เทวดา และเพื่อนพันธมิตรจักรวาลเรา
และเข้าสู่ "ยุคพลังงานใหม่"

"ยินดีกับจิตวิญญาณด้านสว่าง ทุกท่านด้วยครับ ที่ได้ร่วมเดินทางกันในครั้งนี้"

 

ก็นะ....9 มกรา 60 เหลือเวลาอีกไม่กี่วันเอง...

 

.
เขียน ๑๘.๕๙

มาอีกแระ เค้าเปลี่ยนแผนกันหมดแล้วน้อง
โลกถล่มขนาดนั้นน่ะ ยุดมืดจะนานมาก
ผู้คนจะทนทุกข์ทรมานมากเกินเหตุ
คนที่เหลือจะก่อกรรมชั่วอีกแยะ
กว่าจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ได้

กรรมเก่าก็เคลียร์กันไม่หมด
ของใหม่ก็มากองรออีก
ไม่ได้เรื่องหรอก
ต้องเปลี่ยน
แผน


กระต่ายป่า แห่งสุริยะจักรวาล / สถาบันสถาปนา แห่งที่สาม
.

 

เชื่อไหมค่ะ. ว่าโลกของเราคือธาตุเป็นพลังงานส่วนหนึ่งของจักรวาล

วันเวลาไม่รู้ รู้แต่ว่าโลกของเราระดับพลังงานเสื่อมลดลง ภัยที่เกิดขึ้นต่างๆทั่วโลกเกิดจากว่า โลกกำลังปรับความสมดุลให้กับตัวโลกเอง เราจึงย่อมได้รับผลกระทบตามแรงปรับตัวของโลก. มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความเสื่อมพลังงานของโลก

เปรียบเทียบนะคะ. ว่าทำไมจึงพูดถึงภัยพิบัติกัน. สำหรับผู้ที่เชื่อและไม่เชื่อ แน่ใจหรือไม่แน่ใจ. เราต้องมีสมมุติฐานเหตุผลประกอบค่ะ

 

ถ้าทำเป็นหนัง หรือ ซีรี่ย์ ก็น่าจะสนุกอยู่นะ

 

ความจริงไม่ต้องอะไรมากหรอก แค่ทำลายแหล่งผลิตไฟฟ้า(ระเบิดโรงไฟฟ้า)ทุกๆแห่งทั่วโลกพร้อมกัน แค่นี้ก็แย่แล้ว
(กลางคืนไม่มีไฟฟ้า เมืองทั้งเมืองมืดสนิทหมด และซ่อมไม่ได้ เพราะโรงไฟฟ้าถูกทำลายหมด ต้องรอสร้างใหม่อย่างเดียว)

กลางคืน เมืองที่มืดมิด จะกลายเป็นแหล่งที่อาละวาดของภูตผีปิศาจและโจรผู้ร้าย

 

สิ่งนั้นนั่นไม่ใข่สาเหตุที่แท้จริง

สาเหตุที่แท้จริง เกี่ยวกับการหมุนของโลก ที่มีระดับพลังงานเข้าไปกี่ยวข้อง ที่มีจิตใจของมนุษย์เป็นเหตุสำคัญค่ะ. เราคือโลก โลกคือเรา

 

มีบางคนที่ไม่สนใจเรื่องภัยพิบัติ หรือวันสิ้นโลก
แต่มีบางคน ที่กระหายภัยพิบัติ อยากเห็นภัยพิบัติเกิดขึ้น อยากได้ลิ้มรสชาติภัยพิบัติ
ดังนั้นจึงได้แนะนำวิธีสร้างภัยพิบัติจำลองขึ้นมา(ไม่ต้องถึงกับทำลายโลก)
เพื่อให้พวกที่กระหายในภัยพิบัติ ได้ดับความกระหายไปพลางๆก่อน
โดยที่ไม่ต้องไปทำลายโลก
ถ้าทำได้ก็ทำไป ถ้าทำไม่ได้ ก็กระหายกันต่อไป..นะ...พวกหิวกระหายภัยพิบัติทั้งหลาย...

 

เคยได้ยินคำเหล่านี้บ้างไหมค่ะ

ความคิดทำให้โลกหมุน

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

คลื่นกระแสจิต คลื่นพลังงานจิตของมนุษย์มีผลต่อโลก มิได้อยากมีใครต้องการให้เกิด แต่เป็นคำเตือนของเบืัองบนให้มนุษย์ป้องกันภัยตนเองได

ลองเปรียบเทียบดูนะคะว่า ระหว่างคลื่นแสจิตของผู้ที่เป็นสมาธิ กับคลื่นของความโกรธหดหู่ฟุ้งซ่าน คลื่นใดให้ความเย็น. คลื่นใดให้ความร้อนที่แผ่ออกมาจากตนเอง ที่คนเราสัมผัสได้จากกัน

กระแสเย็นคือกระแสแห่งคุณงามความดีในจิตใจเป็นพลังงานบวกที่โลกต้องการ. เมื่อมนุษย์ส่วนใหญ่ทำไม่ได้

จึงเป็นการเตือนว่ามนุษย์ตัดสินใจต้องการสิ่งใดค่ะ

สำหรับบุคคลที่เชื่อและไม่เชื่อ พิจารณาดูแล้วทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตน ก็ถือว่ามีประโยชน์มากกว่าโทษค่ะ เกิดอะไรขึ้นมาก็ได้เตรียมใจ ไม่เกิดก็ดีไปโลกจะได้มีคนดีเพิ่มขึ้น น่าอยู่ขึ้นค่ะ

 

พูดอย่างงี้ก็แสดงว่ารู้อยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องที่มโนขึ้นทั้งนั้น

 

รอการสั่นกระเพื่อมคาบวงจรที่ 6 ที่ขวางทางพระอาทิตย์หน่อยอะครับ
ไม่ต้องแปล เพราะผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน

คือจากที่ศึกษานะ โลกมันจะกลับขั้วทุก 11000 - 13000 กว่าปี ตามปฏิธินชาวมายัน
โลกอายุ 13700 ล้านกว่าปีแล้ว จึงจะได้เวลากลับหัวรอบที่ล้านแล้ว บังเอิญมนุษย์เพิ่งเกิด
กว่าจะหาข้อมูลได้แค่ 2000 กว่าปีเอง ความรู้เราจึงน้อยมาก ใกล้เวลาสิ้นยุคอีกแล้ว แต่ไม่รู้ยุคใครอะสิ
ที่เกิดมาในช่วงนี้ ก็ได้แต่เดากันไไป แต่เท่าที่ผมสังเกตโลกมันเอียงมากขึ้นจริงๆ แล้วนะครับ เป็นที่การโคจรในระนาบด้านล่างรึเปล่าไม่แน่ใจ
มี 2 ระนาบ ระนาบบน กับระนาบล่าง ทำให้ฤดูกาลผิดปกติด้วยนิดหน่อย ภัยพิบัติถึงเยอะ ประเทศไทยใกล้ศูนย์สูตรมากขึ้นจึงมีคนเดือดร้อนเยอะอะ ไอวงจรที่ 6 นี่คือยุคไฟนอล 6 อะ เนื้อเรื่องต้องไปติดตามในเกมกดเอา เกี่ยวกับจักรวรรดิอะ เพราะคนสับสนกันเยอะ จึงอาจต้องปกครองแบบนี้ไปก่อน ไอแรงเหวี่ยงจากระนาบบนมาระนาบล่างทำให้เป็นสาเหตุของโลกกลับขั้วก็เป็นได้ ต้องหาข้อมูลเพิ่ม

ปฏิทินชาวมายันอะ ลองไปอ่านกันดู ทุก 5000 กว่าปีจะเกิดโซล่าแฟร์ร้อนจัดเข้าไปอีก ใครโดนจะเกิดอาการหัวร้อนจากกัมมันตรังสี
ทุก 13000 ปีจึงเป็นเวลาที่เหล่าสรรพสัตว์ต้องเจอกับกฎแห่งกรรมซะรอบ นานพอดูกับการใช้หนี้ให้แก่โลก
กรรมลิ้งหาย เซริจๆ ดูเองในอากู๋กันนะ

ปล. ถ้ามีอะไรผิดก็ขออภัย

 

งั้นเรามามะโนทะศึกษากันดีก็เหมือนกันค่ะ

ิเมื่อทรัพยากรธรรมชาติหร่อยหรอลงทุกวัน จิตใจคนก็พัฒนาน้อยลง
มีแต่การแย่งชิงผลประโยชน์จากทรัพยากร. จะเกิดสงครามเมื่อไรก็ไม่รู้
แล้วถ้าทั้งจิตใจและทรัพยากรไหลลงไปสู่ที่ต่ำเรื่อยๆ มีแต่คนชั่วมากกว่าคนดี
ถ้าเป็นอย่างนึ้ไปเรื่อยๆ แสดงว่ามีต้องมีจุดต่ำสุด. แล้วก็ต้องมีจุดที่ต้องยกระดับ
ให้ขึ้นไปจุดสูงสุดอีกครั้ง ถ้ามนุษย์ไม่ร่วมใจกัน แล้วสิ่งนัันคืออะไรที่จะทำให้มันขึ้นสู่จุดที่สูงกว่าต่อไป. เหมือนดั่งวัฏจักรฟันปลานะคะ

โลกของเราได้เข้าสู่กระบวนการนี้แล้ว

เหตุเภทภัยต่างๆ ได้เกิดกับยักษ์นอกศาสนา นิสัยยักษ์เป็นเช่นไร? ใจคอโหดเหี้ยมดุร้ายทารุณ. สถิติของภัยต่างๆ ได้เกิดมาเป็นสิบปีแล้ว นับจำนวนคนตายก็หลายร้อยล้านคน

และกึ่งพุทธกาลที่เราได้รับภัยแน่ๆ ทื่เห็นอยู่ก็คือ

ภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก
ความแปรปรวนของอากาศทำให้โลกไม่น่าอยู่
ภับพิบัติจากจิตใจของคน

เมื่อโลกได้แสดงมายาให้เราเห็นในบางส่วน ก็ภาวนาเพึยงแต่ว่าวัฏจักรที่กำลังเกิดขึ้นจริงจะไม่รุนแรงดั่งที่คิด

แล้วใครจะเป็นผู้นำพาโลกจากจุดที่กำลังตกต่ำไปสู่ความศิวิไลอีกครั้งนะคะ

ถ้ามนุษย์ไม่ร่วมมือร่วมใจกันทำแล้วใครจะเป็นผู้ทำ

ที่บอกว่าวันเวลาไม่สามารถระบุได้ เพราะไม่มีใครทราบ. เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่ที่เหตุและปัจจัย เงื่อนไขสำคัญอยู่ที่การตัดสินใจของมนุษย์เอง

หรือว่ามีผู้ที่สามารถทำได้แล้ว ถ้าทำได้จริงๆ โลกของเราไม่ตกต่ำไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ก็แสดงว่าเราได้ยกระดับแล้วจริงๆ ถ้ายังไม่ใช่เราไม่ประมาทก็น่าจะเปํนการดีกว่าใช่ไหมค่ะ

แสงว่างของจิตวิญญาณ ปกป้องภัยให้แก่ตนเองได้ค่ะ. ยุคกึ่งพุทธกาลถ้าเป็นตามดั่งคำพุทธทำนาย

 

โลกของเรามันต้องเริ่มต้นจากตัวเราเท่านั้น ถ้ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาทำให้ มันก็จะเกิดขึ้นแค่เพียงชั่วคราว เพราะยังมีผู้ทำลายอยู่ ตัองเปลี่ยนจิตสำนึกที่คนส่วนใหญ่กันจริงๆ

 

คนส่วนใหญ่จะไปทำอะไรได้ สิ่งสำคัญอยู่ที่คนกลุ่มเล็กที่เป็นผู้นำต่างหาก
ขอถามหน่อยว่า อย่างรถยนต์ก็ดี เครื่องใช้ไฟฟ้าก็ดี อาวุธที่ใช้ในการเข่นฆ่ากันก็ดี
หรือเครื่องไม้เครื่องมือที่ทำลายธรรมชาติ จะมีสักกี่คนสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาใช้เองได้
ส่วนมากเป็นแต่เพียงผู้บริโภคที่ซื้อเขามาใช้ทั้งนั้น
อย่างรถยนต์ หรือเลื่อยยนต์ จะมีสักกี่คนที่สร้างได้เอง
การหยุด ต้องหยุดที่ตัวผู้สร้างซึ่งเป็นต้นเหตุ ไม่ใช่มาหยุดที่ตัวผู้ใช้ ที่เป็นปลายเหตุ

 

ลองถามดู ปากกาลูกลื่นแบบเดียวกับที่มีวางขาย เราสร้างขึ้นมาใช้เองได้ไหม ??

แล้วในชีวิตคนเราทั่วๆไปนี่ มีอะไรบ้างที่เราสร้างขึ้นมาเองได้ ??

พัดลมสักตัว เราสร้างเองได้ไหม ??? แล้วมีกี่คนที่มีความรู้พอจะสร้างได้ ???

สรูป ผู้คนส่วนใหญ่ เป็นแต่เพียงผู้บริโภค ไม่ใช่ผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาทำลายธรรมชาติ

ถ้าจะหยุด ต้องหยุดที่ผู้สร้าง ไม่ใช่หยุดที่ผู้ใช้

การหยุดที่ผู้สร้างเปรียบเหมือนการกั้นเขื่อนที่ต้นน้ำ มันไม่หนักแรงเท่าไหร่

การหยุดที่ผู้บริโภค เปรียบเหมือนเรากั้นเขื่อนที่ปลายน้ำ มันหนักเอาการ

เพราะฉะนั้น คำตอบคือ ต้องทำลายผู้สร้างที่เป็นต้นเหตุ

 

เมืองไทยไม่เป็นไรหรอก พลังงานดีดี มีมากกว่าประเทศอื่น คนไทยช่วยกันสวดมนต์พลังงานดีดีจะล้นประเทศไปเกื้อกูลประเทศอื่นด้วย และไม่ต้องเตรียมอะไรหรอก อะไรจะเกิดก้อเกิด เตรียม จะของหมดอายุไปหลายรอบแล้ว

 

ถ้าเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติใหญ่ๆระดับโลกนี่ ฟังนักวิทยาศาสตร์ดีกว่านะครับ
อย่างเรื่อง น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ปัญหาโลกร้อน นี่นักวิทยาศาสตร์เขาวัดจากข้อมูลของจริง
แล้วจึงค่อยออกมาเตือน ไม่ใช่การนั่งเทียนแล้วมโนไปวันๆ

 

ความรู้อะไร ที่โดนทำลายไป เดี๋ยวมันก็เกิดขึ้นใหม่ได้อยู่ดีครับ ตราบใดที่มนุษย์ ยังมีความอยาก กับความสามารถในการแก้ไขปัญหาอยู่อ่านะ

ถึงเราไม่ไปยุ่งกะธรรมชาติ ธรรมชาติมันก็มีวาระของมันอยู่แล้ว
เราไปยุ่งกับปกติของธรรมชาติ และธรรมให้ธรรมชาติขาดสมดุลย์มากเกินไป ทำให้ธรรมชาติผิดปกติไปซะเฉย ๆ ที่ธรรมชาติแปรปรวนก็เพราะ
ธรรมชาติมันกำลังป่วย เลยพยายามรักษาตัวเอง เหมือนคนเมาอ่าแหละครับ
คนจะเมาไม่เมา สักวันคนเราก็จะต้องตาย
ธรรมชาติก็เหมือนกัน ถึงไม่มีอะไรไปกวนมันเลยก็ใช่ว่ามันจะอยู่แบบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปตลอด

ตราบใดที่มนุษย์ ยังไม่รู้จักพอ ธรรมชาติจะต้อง ถูกรบกวนสมดุล จนเสียสมดุลย์ และจะเอาคืนมนุษย์อย่างสาสมในสักวัน

ผมคิดว่า เราไม่สามารถไปหยุดการยุ่งกับธรรมชาติได้หรอกครับ ตราบใดที่มนุษย์เรามีปัญญา มีความอยาก กับ อวิชชา มนุษย์เราต้องยุ่งกับธรรมชาติเพื่อตอบสนองความต้องการของเราเองแน่นอนอยู่แล้ว

สิ่งที่ควรทำลายที่สุดไม่ใช่ใครครับ จิตสำนึกที่ขาดความรับผิดชอบ กับไม่รู้จักคำว่าพอของมนุษย์เรานี่แหละ ที่มักไม่คำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะตามมา หลังจากที่ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไป

เช่น ระเบิดภูเขา อาจทำให้ฝนไม่ตกตามฤดูกาล เพราะไปเปลี่ยนทิศทางการไหลของลม

ใช้พลังงานไฟฟ้าถ่านหิน ทำให้เกิดมลพิษต่อโลก
ฯลฯ

ทำลายตัวบุคคลไปก็แค่นั้นครับไม่ว่าจะทำลายไป มากหรือ แค่บางส่วนน้อย ยังไง ๆ ผลเท่าเดิม ถ้ามนุษย์ยังไม่รู้จักพอ และขาดจิตสำนึก และมันจะเปนอย่างนี้ไปตลอด จนเข้าสู่ช่วงที่ปู่ย่าตายาย ครูบาอาจารย์ท่านเรียกว่ากับไขขึ้น ที่มนุษย์และสัตว์โลกเริ่มมีจิตใจที่ดีขึ้น

ส่วนตอนนี้ ต่อให้มนุษย์โลกเหลือน้อยแค่ไหน โลกก็ยังมีสิทธิ์ป่วยได้อยู่เหมือนเดิม เพราะตอนนี้เราอยู่ในช่วงกัปไขลง

เพียงแต่ สิ่งที่เราควรทำไม่ใช่การปล่อยเลยตามเลย แต่เป็นการ รักษาความดีให้คงอยู่

 

ว่าก็ว่านะ การที่จำนวนประชากรมนุษย์เพิ่มมากขึ้น มีผลให้เกิดการทำลายธรรมชาติอย่างกว้างขวาง
ถ้าจะหยุดการทำลายนี้ได้ ก็คือต้องลดจำนวนประชากรลง
และการลดจำนวนประกรที่ดีที่สุดโดยไม่ต้องเข่นฆ่า ก็คือ การคุมกำเนิด
แล้วรอให้ประชากรรุ่นเก่าตายไปเองตามระยะเวลา
เมื่อรุ่นใหม่เกิดน้อยลง ก็จะทำให้ประชากรมนุษย์เหลือน้อยลง
การทำลายธรรมชาติก็จะลดลงไปด้วย ช่วยยืดระยะเวลาให้ธรรมชาติได้มีโอกาสฟื้นตัว

 

การเสียความสมดุลของโลกด้านทรัพยากรทางธรรมชาตินั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเองค่ะ

แต่ที่สำคัญคือ จิตใจของมนุษย์ในโลกใบนี้ ขณะนี้ และยุคนี้ ที่กำลังเป็นอยู่กันในเวลานี้นั่นเองค่ะ ที่เป็นเงื่อนไขสำคัญ

ในพุทธทำนายก็ทรงตรัสไว้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ เทพเทวาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ต่างก็บอกอย่างเดียวกันว่า. คนดีมีศีลธรรมท่านั้นจึงอยู่รอดอย่างปลอดภัย

สัจธรรม (ความจริง). สูงสุด เมื่อมนุษย์หลงไปไกลเกินความจริงในสัจธรรมของตนเอง จนยากที่จะเยียวยา ในการทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ในโลกนี้

เราจะรู้กันอยู่ได้ว่ายุคนี้จิตใจมนุษย์เป็นเช่นไร ดำเนินชีวิตสวนทางกับสัจจะแห่งความจริงของจิตวิญญาณของตนเองกันแค่ไหน

แล้วโลกจะเป็นอย่างไรต่อไป ..น่าคิดนะคะ..เพราะในประวัติศาสตร์ของโลกที่ผ่านมา กับ พุทธดำรัสก็ไ้ด้ตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เกี่ยวกัยวัฏรจักรความเป็นไปของโลกในแต่ละยุคที่เกิดขึ้นมีลักษณะเป็นเข่นไร ล้วนแต่มีจิตใจมนุษย์เป็นเหตุสำคัญ

โลกไมใข่ของเรา. ตัวตนไม่ใข่ของเรา เราเป็นเพียงผู้มาอาศัยอยู่แค่ขั่วคราวเท่านั้น. ทุกอย่างในโลกนี้แม้แต่ตัวเรา. ก็คือธาตุพลังงานแค่นั้นเอง

จึงเป็นเหตุว่า. เรากำหนดให้มันเป็นไปอย่างที่เราต้องการให้มันเป็นไม่ได้เลย

แต่รู้มาเพียอย่างหนึ่งว่า เมื่อเราไม่ทิ้งท่าน ท่านก็จะไม่มีวันทิ้งเรา

นั่นคือสัจธรรมความจริง เมื่อเราไม่ทิ้งคุณงามความดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่ทิ้งเราค่ะ สิ่งนี้จะเป็นเกราะป้องกันภัยเราเสมอ สัจจะแห่งความจริงจะดูแลเราตลอดเวลาค่ะ จริง จริง จริง และจริงที่สุด