-
21 ความจริงกับอาการนอนกรน
ของคนอินเทรนด์ (Twenty-Four Seven)
อาการนอนกรนกำลังเป็น อีกหนึ่งเทรนด์ฮิต ที่ไต่อันดับความนิยมที่ไม่น่าชื่นชมทั้งกับคนกรน
และคนข้างตัวมากขึ้นทุกวัน
ข้อมูลล่าสุดพบว่า
สถิติโรคนอนกรนในคนไทย พบในกลุ่มผู้ชายมากถึง20-30% ส่วนผู้หญิงพบได้
10-15% โดยเฉพาะคนที่อยู่ในวัยทำงาน คนที่อาการรุนแรงมากพบได้สูงถึง 5%
อาการนอนกรนในวันนี้ ไม่เพียงแค่สร้างความรู้สึกรำคาญ
แต่ได้กลายเป็นหนึ่งในสัญญาณมรณะด้วย เพราะในบางคน
อาการนอนกรนสื่อถึงการขาดอากาศหายใจในช่วงสั้นๆ
ที่อาจทำให้หลับยาวแบบไม่ตื่นฟื้นไม่มีทีเดียว ดังนั้น
จึงควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ และนี่คือ 21 ข้อเท็จจริงที่เรานำมาฝาก
8
Facts รู้ไว้ใช่ว่า….ใส่ปาก คาบไว้
อาการนอนกรน
เป็นปัญหาของการนอนหลับที่พบบ่อยในคนอายุ 30-35 ปี
ซึ่งมักจะเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วน ผนังคอหนา
เนื้อเยื่อในช่องคอหย่อนตัวขณะนอนหลับ
ประมาณร้อยละ 20 เป็นเพศชาย และร้อยละ 5
เป็นเพศหญิง และอาการนอนกรนจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น
เสียงกรนเกิดจากการที่อากาศ เคลื่อนผ่านทางเดินหายใจที่แคบ
ซึ่งมักเกิดจากการผ่อนคลายหรือหย่อนตัวของกล้ามเนื้อทางเดินหายใจส่วนบนขณะ นอนหลับ เช่น กล้ามเนื้อบริเวณเพดานอ่อน ลิ้นไก่ ผนังคอหอย หรือโคนลิ้น
ทำให้เกิดการสั่นสะเทือน
และสะบัดของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออ่อนในบริเวณนั้นเกิดเป็นเสียงกรนขึ้น
การอุดกั้นทางเดินหายใจส่วน บนจากต่อมทอนซิล
และต่อมอดีนอยด์ที่โตซึ่งเป็นสาเหตุของอาการนอนกรนที่สำคัญในเด็ก
หรือเนื้องอกหรือซีสต์ (Cyst)
ในทางเดินหายใจส่วนบนหรือการที่มีโพรงจมูกอุดตันจากหลายสาเหตุ เช่น
อาการคัดจมูกจากโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ผนังกั้นช่องจมูกคด
เนื้องอกในโพรงจมูกและ/หรือโพรงอากาศข้างจมูก ริดสีดวงจมูก ไซนัสอักเสบ
ก็เป็นสาเหตุที่ให้เกิดอาการนอนกรนได้เช่นกัน
อาการนอนกรนจึงไม่ใช่เรื่องปกติ
แต่กลับบ่งบอกถึงการมีสิ่งอุดกั้นในระบบทางเดินหายใจส่วนบน
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep
Apnea)เป็นภาวะที่มีการอุดกั้นในทางเดินหายใจมาก
จนกระทั่งทำให้เกิดการหยุดหายใจเป็นช่วงๆขณะนอนหลับได้
ใครมีปัญหาควรรีบปรึกษาแพทย์
การนอนกรนอาจส่งผลให้ง่วงมากผิดปกติในเวลากลาง วัน ทำให้เรียนหรือทำงานได้ไม่เต็มที่
ถ้าต้องขับรถอาจเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้
นอกจากนั้นจะมีอัตราเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคอื่นๆ ได้ เช่น
โรคความดันโลหิตสูงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการขาดเลือด
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะโรคความดันโลหิตในปอดสูง โรคหลอดเลือดในสมอง
ลักษณะทั่วไป
ที่อาจส่งเสริมให้เกิดอาการนอนกรนขณะหลับได้ เช่น คอสั้น อ้วน น้ำหนักมาก
มีความผิดปกติในลักษณะโครงสร้างของใบหน้า เช่น คางเล็ก ถอยร่นมาด้านหลัง
หญิงที่มีรอบคอเกินกว่า 15
นิ้ว และชายที่มีรอบคอใหญ่กว่า 17 นิ้ว
เป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคนอนกรนได้ พอ ๆ กับคนที่มีต่อมทอนซิลโต
และจมูกอักเสบเนื่องจากโรคภูมิแพ้
13 TIPS
กำจัดเสียงกรน
1.ดื่มน้ำผึ้งผสมน้ำ หนึ่งช้อนโต๊ะก่อนนอน
2.อย่ารับประทานอาหาร หนัก สามชั่วโมงก่อนนอน
กระเพาะที่เต็มไปด้วยอาหารจะส่งผลให้กะบังลมถูกกดทับ
ทำให้การเดินลมในร่างกายตีบตัน
3.หลีกเลี่ยงการใช้ หมอนนุ่ม ๆ เพราะจะไปทำให้คอหอยผ่อนคลาย ทำให้ระบบช่องลมไม่ขยาย
4.ปรับ ความชันของเตียงนอนให้ส่วนหัวสูงขึ้นจากแนวราบสี่นิ้ว
จะช่วยผ่อนการกดทับของลิ้น และกราม ส่งผลให้ลดอาการกรนระหว่างหลับ
5.นอน ตะแคง จะช่วยลดและผ่อนคลายความดันในช่องทางเดินอากาศ
ที่เกิดจากการมีน้ำหนักมากเกินไปได้ แต่ถ้าไม่ชินกับการนอนตะแคง
อาจใช้ลูกเทนนิส 2-3 ลูก เปลือกถั่วใส่ถุง หรือกระเป๋าวางไว้ด้านหลัง
ลูกบอลหรือเปลือกถั่วเหล่านี้จะช่วยให้ไม่พลิกตัวไปนอนหงายได้
6.หลีก เลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือยาบางชนิด
เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และยาบางชนิด เช่น ยานอนหลับ และยาแก้แพ้ต่างๆ
เป็นตัวทำให้การหายใจช้าลงและตื้นขึ้น กล้ามเนื้อหย่อนคลายลงมากกว่าปกติ
จึงมีแนวโน้มได้มาก ว่าโครงสร้างลำคอจะอุดตันช่องทางเดินอากาศได้ง่าย
เป็นสาเหตุให้เกิดอาการนอนกรน
7.
ลดน้ำหนัก
ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ
เกิดขึ้นบ่อยครั้งที่สุดสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากผิดปกติ
ทำให้การหายใจเป็นไปได้อย่างยากลำบาก การลดน้ำหนักสามารถช่วยได้
แต่หมายถึงลดให้ใกล้เคียงกับน้ำหนักตามสัดส่วน
8.ออก กำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังสามารถช่วยลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัยที่สุด
ทั้งยังช่วยปรับสภาพกล้ามเนื้อ และทำให้ปอดทำงานได้ดีขึ้น
9.กำจัด ปัจจัยในที่นอนที่ทำให้เกิดอาการหอบหืดภูมิแพ้ เช่น ไร ฝุ่น
ขนสัตว์จะช่วยลดอาการคัดจมูกได้ด้วย
10.เพื่อป้องกันการนอน หงาย (แล้วจะกรน) อาจจะนำเอาลูกเทนนิส 2-3
ลูกมาใส่ถุงผ้าแล้วเย็บติดกับเสื้อที่ใส่นอน เวลานอนจะทำให้นอนหงายลำบาก
เราจะต้องนอนตะแคงตัวไปเอง เป็นอุปกรณ์กันการนอนกรนแบบประหยัด
11.หลีก เลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือสัมผัสควันบุหรี่
12.ใช้ เครื่องมือที่เป่าลมเข้าไปในทางเดินหายใจส่วนบน
ทำให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้นหรือไม่อุดกั้นขณะนอนหลับ
13.หาก เป็นมากต้องไปหาหมอ จะมีการตรวจหาความผิดปกติของการหายใจขณะนอนหลับ
(ตามโรงพยาบาลใหญ่ ๆ) และอาจมีการรักษาโดยการใช้เครื่องช่วยหายใจ
หรือการผ่าตัด แล้วแต่หมอจะเห็นเหมาะสม