57. ...ท่องแดนอิสาน ไหว้พระธาตุประจำวันเกิด...
ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย สร้อยฟ้ามาลา, 25 กุมภาพันธ์ 2013.
หน้า 9 ของ 15
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
เมื่อไหว้พระธาตุท่าอุเทนแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงครึ่ง รอบๆ วัดพระธาตุท่าอุเทน ยามบ่ายวันนี้เงียบมาก ร้านค้าก็ไม่มีเพราะวัดอยู่ติดริมน้ำโขงมีแค่ถนนกั้นแค่นั้นเอง แล้วจะหาอะไรกินกลางวันดีหล่ะ เลยมองหาแถวๆ ริมน้ำนั่นแหล่ะ ก็เจอร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่หนึ่งร้านกับร้านขายน้ำอยู่หนึ่งร้าน นอกนั้นก็ไม่มีร้านอะไรเลย มื้อนี้ต้องฝากท้องไว้กับก๋วยเตี๋ยวร้านนี้แล้ว จะไปหาที่อื่นคงไม่ไหว....
ตามกำหนดการที่วางแผนไว้ว่า วันนี้จะไหว้พระธาตุทั้งหมด ๕ พระธาตุ คือ พระธาตุพนม พระธาตุเรณู พระธาตุมหาชัย พระธาตุนคร พระธาตุท่าอุเทน ซึ่งกะเวลาไว้ว่าน่าจะไหว้เสร็จประมาณ ๔ – ๕ โมงเย็น แต่คณะของเราทำเวลาได้ดีเกินไปบ่ายโมงไหว้หมดทั้ง ๕ พระธาตุแล้ว สร้อยฟ้าฯ คิดว่า ถ้าจะไหว้อีก ๑ พระธาตุก็คงได้ซึ่งก็คือพระธาตุประสิทธิ์ อยู่ที่เภอนาหว้า แต่ตอนนี้เหนื่อยมากจากการขับรถตั้งแต่เมื่อวาน ถ้าจะไปพระธาตุประสิทธิ์เห็นป้ายหน้าพระธาตุท่าอุเทนถึงพระธาตุประสิทธิ์ก็ประมาณ ๙๖ กิโลเมตร วิ่งไปกลับก็ ๑๙๒ กิโลเมตร และถ้าขากลับวิ่งเข้าตัวเมืองก็น่าจะตกที่ ๒๒๐ กิโลเมตร และจากตัวเมืองวิ่งกลับที่พักที่อำเภอธาตุพนมอีก ๕๐ กิโลเมตร ก็รวม ๒๗๐ กว่ากิโลเมตร ท่าจะไม่ไหวหล่ะ สำหรับวันนี้
งั้นกลับที่พักดีกว่า
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
สร้อยฟ้าฯ ขับรถย้อนกลับทางเก่าเข้าตัวเมืองนครพนม เผอิญผ่านตลาดอินโนจีนก็เลยจอดรถให้คุณพ่อกับคุณแม่ช็อปปิ้งหน่อยนึ่ง(รวมถึงตัวเอง พี่ๆ น้องๆ ด้วย อิ อิ) แต่ไม่ได้ถ่ายภาพมา ถ่ายไม่ไหวแล้วหล่ะ (**เดี๋ยวไปขอยืมภาพจากเว็ปอื่นมาให้ดูกัน**) ตอนนี้หมดแรง เมื่อยขา ง่วงและอยากนอน ตลาดอินโดจีน จังหวัดนครพนมถ้าเทียบกับตลาดท่าเสด็จ จังหวัดหนองคายที่เคยไปมา ตามความรู้สึกของสร้อยฟ้าฯ ว่าตลาดท่าเสด็จ ใหญ่กว่าเยอะและมีของขายมากกว่า คึกคักมากกว่า วันนี้ตลาดอินโดจีน ช่างเงียบเหงา...
รูปตลาดอินโดจีนขอยืมมาจากเว็ปนี้
ท่องเที่ยว ในนครพนม Travel in Nakhon Phanom: ตลาดอินโดจีน ถนนสุนทรวิจิตร เทศบาลเมืองนครพนมไฟล์ที่แนบมา:
-
-
เมื่อเดินช็อปปิ้งกันเสร็จแล้วก็กลับสู่ที่พักที่อำเภอธาตุพนม ตอนนี้ขอนอนพักก่อน ทุกทีจะเป็นคนไม่ชอบนอนกลางวัน แต่คราวนี้ขอนอนเอาแรงก่อน เพราะคืนนี้จะไปเดินชมงานไหว้พระธาตุพนม ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๘ – ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๖ แต่วันนี้วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ก็มีร้านค้าต่างๆ มาตั้งขายของและมีเครื่องเล่น วงดนตรีมาตั้งเกือบเต็มวัดแล้ว...
สร้อยฟ้าฯ นอนกลางวันตั้งแต่บ่ายสามถึงเกือบหกโมงเย็น จึงได้ลุกเตรียมตัวไปเดินเล่นที่วัดพระธาตุพนมฯ แต่ก่อนที่จะไปเดินกันก็ต้องทานอาหารเย็นกันก่อน มื้อนี้คณะของเรามาที่ร้านอาหารริมแม่น้ำโขง แต่ไม่ได้ถ่ายรูปอาหารมาให้ดูกันเพราะว่าแสงไม่พอเสียแล้ว...
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ก็คือแค่นี้แหละครับ เอาองค์พระเจดีย์บังดวงอาทิตย์ไว้ คงจะไม่ให้ดวงอาทิตย์โผล่
รัศมีจะได้ออกรอบๆ
ถ้าพระอาทิตย์อยู่มุมสูงๆ อาจจะมี Halo --ทรงกลด รอบๆยอดเจดีย์ด้วย
ความจริงรูปนี้ก็เห็นมีวงๆรอบๆยอดเจดีย์ -
ยังทำแบบทรงกลดไม่เป็นอ่ะจ่ะ...
ภาพอย่างนี้โดยมากจะยอมแพ้ ตาสู้แสงไม่ไหว... -
มองเห็นฝั่งประเทศลาวอยู่ลิบๆ
noise กระจาย
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
noise อื้อเลย
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ตอนนี้อิ่มกันแล้ว ไปชมพระธาตุพนมยามค่ำคืนกัน ระหว่างนี้พอดีไปเจอเรื่องราวอัศจรรย์ของพระธาตุพนม ในเว็ปไซด์วัดพระธาตุพนมฯ ก็เหมือนเดิม ขอคัดลอกออกมาให้อ่านกันทั้งบทความ....ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
เรื่อง
แสงประหลาดที่พระธาตุพนม
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
แสงประหลาดที่พระธาตุพนม
พระธาตุพนมในสมัยก่อน ประชาชนแถวนั้นคงไม่รู้ถึงความสำคัญ จึงไม่มีใครสนใจเท่าใดนัก เมื่อคณะของหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ได้มาพำนักจำพรรษา จึงได้เปิดเผยความลี้ลับและความศักดิสิทธิ์ ประชาชนและทางบ้านเมืองจึงได้ตื่นตัว ต่อมากได้มีการบูรณะขึ้นมาจนกลายเป็นปูชนียวัตถุที่สำคัญของภาคอิสาน และของประเทศไทยในปัจจุบัน
จึงนับได้ว่าการมาพำนักของหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พระปัญญาพิศาลเถร (หลวงปู่หนู ฐิตปญฺโญ) และคณะ ในปี พ ศ. ๒๔๔๓ จึงถือเป็นคุณมหาศาล ที่ทำให้ชนรุ่นหลังได้พระธาตุพนมสถานศักดิ์สิทธิ์เพื่อการกราบไหว้มาจนทุกวันนี้ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ไม่มีจังหวะถ่ายรูปเลย
ในบันทึกของหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ที่ได้ฟังจากปากของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เมื่อปี พ ศ ๒๔๘๖ บันทึกไว้ดังนี้
“ท่านเล่าไปเคี้ยวหมากไปอย่างอารมณ์ดีว่า ขณะนั้นพระธาตุพนมไม่มีใครเหลียวแลดอก มีแต่เถาวัลย์นานาชนิดปกคลุมจนมิดเหลือแต่ยอด ต้นไม้รกรุงรังไปหมด
ทั้งสาม ศิษย์อาจารย์ก็พากันพักอยู่ที่นั่นเพื่อบำเพ็ญสมณธรรม ขณะที่ท่านอยู่กันนั้น พอตกเวลากลางคืนประมาณ ๔ - ๕ ทุ่ม จะปรากฏมีแสงเขียววงกลมเท่ากับลูกมะพร้าว และมีรัศมีสว่างเป็นทางผุดออกจากยอดพระเจดีย์ แล้วก็ลอยห่างออกไปจนสุดสายตา และเมื่อถึงเวลาก่อนจะแจ้ง ตี ๓ - ๔ แสงนั้นจะลอยกลับเข้ามาจนถึงองค์พระเจดีย์ แล้วก็หายวับเข้าองค์พระเจดีย์ไป
ทั้งสามองค์ ศิษย์อาจารย์ได้เห็นเป็นประจักษ์เช่นนั้นทุกๆ วัน ท่านอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลเถร จึงพูดว่าที่พระเจดีย์นี้ต้องมีพระบรมสารีริกธาตุอย่างแน่นอน”
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ในบันทึกของหลวงพ่อโชติ อาภคฺโค เล่าถึงเหตุการณ์เดียวกัน
“นับแต่วันแรกของการอธิษฐานเข้าพรรษา พระอาจารย์เสาร์ได้เห็นแสงฉัพพรรณรังสี พวยพุ่งออกมาจากองค์พระธาตุในระยะหัวค่ำ ครั้นพอจวนสว่างก็ปรากฏแสงสีต่างๆ ลอยพวยพุ่งเข้าสู่องค์พระธาตุเหมือนเดิม
ปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดนั้น ปรากฏขึ้นโดยตลอดจนออกพรรษา
ท่านพระอาจารย์เสาร์ท่านเชื่อแน่ว่า พระธาตุนี้บรรจุพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย”
ท่านอาจารย์พิศิษฐ์ ไสยสมบัติ ได้ไปเสาะหาข้อมูลในภายหลังได้บันทึกไว้ดังนี้
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
“เรื่องแสงประหลาดลอยออกจากพระธาตุฯ มีผู้รู้เห็นกันมากมาย เรื่องนี้มีการเล่าขานสู่กันฟังในหมู่ลูกหลานชาวเมืองพนม (ชาวธาตุพนม) ว่า ตกมื้อสรรวันดี ยามค่ำคืนกะสิมีแสงคือลูกไฟลอยจากพระธาตุให้ไทบ้านไทเมืองพนมได้เห็นกันทั่ว
ข้าพเจ้าได้สอบถามจากคุณเฉลิม ตั้งไพบูลย์ เจ้าของร้านเจียบเซ้ง จำหน่ายยารักษาโรค ผู้ตั้งรกรากอยู่ที่ถนนกุศลรัษฎากร อันเป็นถนนจากท่าน้ำตรงไปยังวัดพระธาตุพนม ท่านเล่าให้ฟังว่า
สมัยก่อนนั้น (เมื่อ ๔๐ ปีย้อนหลัง) ท่านยังได้เห็นแสงจากองค์พระธาตุอยู่บ่อยๆ คือตอนกลางคืนราว ๓ - ๔ ทุ่ม จะมีแสงสว่างคล้ายหลอดไฟ ๖๐ แรงเทียน เป็นทรงกลมเท่าผลส้ม ลอยออกจากองค์พระธาตุฯ ในระดับสูงเท่ายอดมะพร้าว (๔๐ - ๕๐ เมตร) ลอยขนานกับพื้นในระดับความเร็วกว่าคนวิ่ง พุ่งไปทางทิศตะวันออก ผ่านหลังคาบ้านของท่าน... แล้วลอยข้ามโขง (แม่น้ำโขง) ไปจนลับสายตา... พอตกดึกจวนสว่างก็จะลอยกลับมาในแนวเดิม แล้วลับหายเข้าสู่องค์พระธาตุฯ เหมือนเดิม ผู้คนแถวนี้ได้เคยเห็นกันอยู่บ่อยๆ ปัจจุบันนี้ไม่มีปรากฏให้เห็นอีก”
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้พูดถึงการบำเพ็ญสมณธรรมที่พระธาตุพนมในครั้งนั้นว่า “การพักอยู่ในบริเวณของพระธาตุพนมนี้ทำให้จิตใจเบิกบานมาก และทำให้เกิดอนุสรณ์รำลึกถึงพระพุทธเจ้าได้อย่างดียิ่ง”ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
จากบันทึกของหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร ตามคำบอกเล่าของหลวงปู่มั่น เกี่ยวกับการเริ่มต้นบูรณะพระธาตุพนม มีว่า :-
“ดังนั้น ท่าน (หลวงปู่ใหญ่เสาร์) จึงได้ชักชวนญาติโยมทั้งหลายในละแวกนั้น ซึ่งก็มีอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน และส่วนมากก็เป็นชาวนา ได้มาช่วยกันถากถางทำความสะอาดบริเวณองค์พระเจดีย์นั้น ได้พาญาติโยมทำอยู่เช่นนี้ ๓ เดือนเศษ จึงค่อยสะอาดเป็นที่เจริญหูเจริญตามาตราบเท่าทุกวันนี้
เมื่อญาติโยมทำความสะอาดเสร็จแล้ว ท่านอาจารย์ก็พาญาติโยมในละแวกนั้นทำมาฆบูชา ซึ่งขณะนั้นผู้คนแถวนั้นยังไม่รู้ถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด ทำให้พวกเขาเหล่านั้นเกิดศรัทธาเลื่อมใสอย่างจริงจัง จนได้ชักชวนกันมารักษาอุโบสถ ฝึกหัดกรรมฐานทำสมาธิกับท่านอาจารย์จนได้ประสบผลตามสมควร”
บันทึกของหลวงพ่อวิริยังค้ามีต่อไปว่า
“...จากนั้นท่านทั้งสามก็ได้ออกเดินทางจาริกต่อไป และแสวงหาความสงบตามป่าดงพงพีไปเรื่อยๆ โดยมุ่งหวังเพื่อบรรลุธรรม แต่ก็ยังไม่สมความตั้งใจไว้
ต่อมาพระอาจารย์เสาร์ ก็พากลับจังหวัดอุบลราชธานีอันเป็นถิ่นเดิมของท่าน”
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ในบันทึกของหลวงพ่อโชติ อาภคฺโค มีดังนี้.
“ท่านพระอาจารย์เสาร์ จึงได้ข่าวประกาศให้ญาติโยมจังหวัดนครพนมได้ทราบว่า พระธาตุพนมนี้เป็นพระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นพระธาตุที่บรรจุอัฐิธาตุของพระพุทธเจ้า ขอให้ชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายช่วยกันถากถาง ทำความสะอาดบริเวณพระธาตุ แล้วทำบุญอุทิศถวายกุศลแด่พระพุทธเจ้า พระบรมศาสดาของเรา
เมื่อชาวบ้านชาวเมืองได้รู้เช่นนั้นแล้ว ก็พากันบังเกิดปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง เอิกเกริกโกลาหลกันเป็นการใหญ่
ครั้นถึงวันเพ็ญเดือน ๓ ท่านพระอาจารย์ ก็พาญาติโยมทั้งหลายทำบุญ อันมีพระอาจารย์มั่น และท่านเจ้าคุณพระปัญญาพิศาลเถร รวมอยู่ด้วย จนเป็นประเพณีสืบๆ ต่อกันมามิได้ขาด จนกระทั่งบัดนี้ ”
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
หลวงพ่อโชติ อาภคฺโค ได้เปรียบเทียบเชิงอุปมาอุปมัยในการค้นพบพระธาตุพนม ของหลวงปู่ใหญ่เสาร์ และคณะศิษย์ ดังนี้
“เมื่อถึงวันเพ็ญเดือน ๓ หลังจากที่ชาวเมืองนครพนมจมอยู่ในความมืดบอดเป็นเวลานาน ปล่อยให้พระธาตุเป็นป่ารกทึบ และแล้วพระอาจารย์เสาร์ ท่านพระอาจารย์มั่น และท่านเจ้าคุณปัญญาพิศาลเถรได้นำเอาแสงสว่างดวงประทีปธรรมของพระพุทธองค์ สองทางให้ได้เห็นหนทางแห่งการปฏิบัติธรรมเป็นเครื่องดำเนินต่อไป”
หลวงปู่ใหญ่เสาร์ ได้เล่าให้ หลวงปู่บัวพา ปญฺญาภาโส ศิษย์อุปัฏฐากฟังว่า ทีแรก ชาวเมืองได้ขอให้หลวงปู่ใหญ่เป็นผู้บูรณะ แต่ท่านบอกว่า “เราไม่ใช่เจ้าของ เดี๋ยวเจ้าของผู้ซ่อมแซมจะมาทำเอง”
และเจ้าของ ที่หลวงปู่ใหญ่พูดไว้ก็คือ พระครูวิโรจน์รัตโนบล หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ท่านพระครูดีโลด นั่นเอง
จบบทความไฟล์ที่แนบมา:
-
หน้า 9 ของ 15