All in 1 พระแก้วลิขิตฟ้า บัญชาสวรรค์

สารบัญ 1

 

สารบัญ 2

 

การไล่ระดับความเข้มสีของแก้ว ถ้าหากยิ่งมากระดับ ก็ยิ่งลำบากแก่ผู้ที่ต้องการแผ่นตัวอย่าง ยิ่งหนา ยิ่งก้อนใหญ่ก็ยิ่งใช้เงินมาก เพราะอย่าลืมว่า เราต้องอบด้วยระยะเวลาของความหนาจริง ไม่มีการลักไก่นะครับ เพราะว่า สีบางสีเขาแปรเปลี่ยนตามระยะเวลาได้ด้วย โดยเฉพาะสีเหลือง สีชา

 

100 ระดับความเข้มสี ส่วนผสมของผงฝุ่นทรายแก้วดังต่อไปนี้ครับ

001 สีใส 99% ของน้ำหนัก สีต่าง 1% ของน้ำหนัก
002 สีใส 98% ของน้ำหนัก สีต่าง 2% ของน้ำหนัก

099 สีใส 1% ของน้ำหนัก สีต่าง 99% ของน้ำหนัก
100 สีใส 0% ของน้ำหนัก สีต่าง 100% ของน้ำหนัก

นำผงทรายแก้ว 2 สี คือสีใสและสีต่างมาคลุกเคล้าให้เข้ากันอย่างเต็มที่ ขอย้ำนะครับว่า คลุกเคล้าอย่างเต็มที่ โดยใช้โม่ปิดฝาเพื่อไม่ให้ฝุ่นบางส่วนลอยหนีหายไปครับ

 

ผมบอกแล้ว ลำบากตัวเองไม่ว่า ค่าใช้จ่ายตรงนี้บานเบอะเลยครับ ผมถึงได้กล่าวไว้แล้วว่า ไม่เหมาะกับคนที่ชอบง่ายๆ เขามีมาแค่ 3 ระดับความเข้ม ก็ทำไปตามนั้น หาเรื่องลำบากทำไม ? ก็แล้วแต่ครับ ส่วนผมก็เป็นแค่เผยแพร่ความรู้ที่ผมทำมาเป็นวิทยาทาน งานสร้างพระพุทธรูปเป็นงานเลิศ เราเหนื่อยไม่เป็นไร ขอให้ผลงานดีที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้ครับ

 

เมื่อได้แผ่นกลมแบนที่ไล่ระดับความเข้มสีแก้วแล้ว ตัดแต่งขอบอย่างดี อาจมีการกัดกรดกัดแก้วให้ใสแผ่นหนึ่ง ให้ฝ้าแผ่นหนึ่ง ถ้าหนามากอาจตีไม้ไว้เพื่อไม่ให้เขาวางแล้วกระทบบิ่นไป

ในแผ่นตัวอย่างจากจือปั๋วหลงไท้ เขาใช้แผ่นเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 นิ้ว หนา 16-18 mm.

ตามความคิดเห็นของผมว่า ถ้าเป็นชิ้นงานพระแก้วโปร่ง (แก้วกลวงที่มีความหนาประมาณ 12 - 19 mm.) ไม่ว่าขนาดของพระแก้วจะใหญ่เพียงใดก็ตาม แผ่นตัวอย่างที่หลงไท้ให้มาก็ดี หรือที่ Gaffer ให้มาก็ดี เพียงพอแล้วครับ

 

แผ่นตัวอย่างสีของแก้วแผ่นนี้ เป็นแผ่นสีใสผิวเรียบลื่นสีใส (กรณีที่ใช้แม่พิมพ์ปูนทนไฟ ผิวจะเป็นสีฝ้า ต้องกัดกรดกัดแก้วก่อนจึงจะใสเช่นนี้)

เมื่อทำให้แตกจะเห็นว่า ของเขาอบมายังไม่ได้ไฟ แต่ก็เข้าใจได้ครับว่า เป็นแค่แผ่นตัวอย่างสีที่เมืองนอกเขาใช้ทิ้งใช้ขว้างกันครับ

 

ถ้าไม่อยากลำบาก เป็นแค่ผู้มีจิตศรัทธาที่ทำตามที่บริษัทผลิตก้อนแก้วเพื่อการหลอมต่อระดับโลกอย่าง Gaffer Glass เขาทำมาแค่นี้ก็พอแล้วครับ รวมแล้ว 45 สี แต่ละสีประมาณ 2 - 3 ระดับ แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่เสียเงิน ไม่เสียเวลา

หมายเหตุ
ก็แล้วแต่แต่ละท่านนะครับ เลือกที่จะเป็นเอาเองครับ การทำแคททาล๊อคสีไล่ระดับในแต่ละสี ยิ่งมาก ยิ่งใช้เงินมากครับ

 

ตัวอย่างก้อนแก้วเพื่อการหลอมต่อสีเขียวนมลักษณะหนึ่งในหลายๆลักษณะ เขาทำแคททาล๊อคสีหลายๆอย่าง เช่นแผ่นกลมแบน แท่งกลมยาว และแท่งยาวรี

ในกรณีสีพิเศษพวกนี้ ผมไม่แนะนำให้ไล่ระดับเกินกว่าโรงงานเขานะครับ เพราะสลับซับซ้อนกว่าสีใสอีกเยอะครับ

 

อย่างบริษัทผลิตชิ้นงานแก้วระดับเจเวลรี่บริษัทนี้ เขาทำการผสมสีของก้อนแก้วเพื่อการหลอมต่อเอง จนกระทั่งได้สีที่เขาคิดว่าลูกค้าสนใจ แล้วทำขึ้นเป็นแค๊ททาล๊อค

การทำแบบนี้ก็มีข้อดีตรงที่ เขาทำเฉพาะสีที่น่าสนใจ และไล่ระดับน้อยที่ลูกค้าต้องการเท่านั้น แค่นี้ก็ใช้เงินบานเบอะแล้วครับ ไม่ง่าย แต่ก็ทำได้ไม่ยากเกินครับ

 

พระแก้วมรกตองค์นี้ผมยืมภาพมาจากเน็ทครับ องค์นี้ถ่ายในที่แสงไม่เข้มมา คือแสงค่อนข้างมืด จึงอาจเห็นสีเขียวนมที่ยังไม่ตรงความจริงนัก องค์นี้เป็นรุ่นที่สร้างมาจากต่างประเทศ ผมไม่แน่ใจว่าอิตาลี หรือฝรั่งเศส นับเป็นพระแก้วยุคก่อน 25 พุทธศตวรรษ แต่ก็ถูกรวมเรียกเป็นพระแก้ว 25 พุทธศตวรรษด้วย

สีเขียวอย่างนี้ใกล้เคียงกับเบอร์แก้วใด ลองเปรียบเทียบกันดูครับ แสดงความคิดเห็นเข้ามา เผื่อว่าวันหน้าวันหลังจะได้ช่วยๆกันครับ

 

แคททาล๊อคสีแก้วนี้ ก็คงเหมือนกับของห้างเจเวลรี่ด้านบนที่เขาทำเฉพาะสีที่เขาสนใจ และที่คาดว่าลูกค้าของเขาต้องการ ผมเห็นว่า บังเอิญมีสีเขียวนมอยู่ในแคททาล๊อคสีนี้ด้วย จึงนำมาเปรียบเทียบสีกันครับ

 

แผ่นกระจกสีนม เหลืองนม ส้มนม แดงนม เขียวนม ม่วงนม อื่นๆ กระจกแผ่นที่เป็นสีนมเหล่านี้เป็นวัตถุดิบในการทำแก้วนมด้วยเทคนิคของเราได้ด้วย หากแต่ในไทยยังไม่เคยมีการทดลองหล่อจริง

ถึงแม้พระแก้วมรกตรุ่นนี้ที่สร้างในต่างประเทศจะได้รับการยกย่องว่า สร้างจากนอก แต่โดยความเป็นจริง ก็ยังมีจุดอ่อนซึ่งเกี่ยวกับการผสมแก้วนมกับแก้วเขียวได้ไม่ดีเต็มที่ (แม้เมืองนอกในสมัยนั้นก็ตาม) รวมทั้งการอบลดอุณหภูมิก็อาจทำได้ดีไม่เต็มที่ เนื่องจากสมัยนั้นเตาอบยังไม่เสถียรเต็มที่เหมือนยุคนี้ และช่างแก้วเมืองนอกสมัยนั้นก็ยังมีจุดที่ไม่เข้าใจเต็มที่เกี่ยวกับขบวนการ Annealing ก็ได้ เนื่องจากแทบทุกสายช่างแก้ว จะลดฮวบจาก Working Point เข้าสู่ Annealing แบบว่า เกือบดิ่ง หรือ บางครั้งส่งให้ดิ่งด้วยปืนลม อันเนื่องมาจากการที่ต้องเร่งนำเข้าเตาอบ (ขั้นตอนการผลิตพระแก้ว 25 พุทธศตวรรษที่น้อยคนจะเคยเห็น) ขั้นตอนนี้เราได้พระแก้วที่ใช้ได้ แต่อาจไม่คงทนหลายร้อยหลายพันปีเหมือนกับวิธีที่ถูกต้อง

 

พระแก้วที่ผมขอให้โรงงานแก้วเจษฏาช่วยสร้างให้ผมในระบบ Pressed Glass แต่เจ้าของบอกว่า ไม่มีช่างคนไหนม้วนได้ 7 kg จึงใช้วิธีการเทหยอด เจ้าของก็คือทายาทของไท้ยิป โรงงานแก้วปี 2500 ของแท้ที่เก่งจริงของไทย และนี่คือทายาทที่เก่งที่สุดของไท้ยิป ผมก็ต้องเชื่อ เจ้าของบอกวันไหนจะหล่อโทรมาก็แล้วกัน ในคืนก่อนวันหล่อ มีสัญญาณจากท้าวสักกะเทวราชซึ่งผมมักฝันถึงท่าน ผมทราบว่านี่คือสัญญาณอีกครั้งที่ให้หล่อได้ ผมโทรหาเจ้าของเจษฏาเตรียมลงมือ และไปรับแม่ผม ขอให้ท่านไปยืนหน้าเตาอบ

ตอนที่ไปถึงเจษฏานั้น เขาเทหยอดเพิ่งเสร็จและเนื่องจากหน้าตักถึง 9 นิ้ว ความหนาของชิ้นงานหนาถึงประมาณ 4 นิ้ว หากไม่รีบใช้ปืนลมยิงที่คอพระ คอพระจะเอียง ช่างจึงยิงด้วยปืนลมแล้วรีบนำเข้าเตาอบถ้ำทันที ซึ่งเตาอบถ้ำนี้เขาใช้อบโป๊ะแก้วโคมไฟที่มีความหนาเพียง 3 - 5 มม. ผมขอให้แม่ผมยืนหน้าเตา ส่วนตัวผมไปที่ควบคุมอุณหภูมิ ช่างเฝ้าเตาคุมอยู่ ผมเห็นเลข 430C แล้ว ทราบได้เลยว่า ถ้าผมไม่ทำอะไร พระแก้วองค์นี้จะระเบิดภายในไม่กี่นาที ผมจึงขอช่างเฝ้าเตาให้ยกขึ้นไปที่ 560C ช่างเฝ้าเตาเกร็งไปทั้งตัว เพราะถ้านาน โป๊ะโคมไฟหนาแค่ 3 mm. จะยุบตัวแบนลง ผมอธิษฐานถึงท่านท้าวสักกะเทวราชแค่ชั่วไม่กี่นาที ก่อนที่ช่างเฝ้าเตาจะบอกว่าไม่ได้แล้ว จะโคมไฟจะแบนแล้ว ผมจึงปล่อยให้เขาลดลงที่ 430C

นี่คือเทคนิคของการอบให้ได้แค่รอดนะครับ คือรอดระเบิด ในที่สุดการอบผ่านไป พระแก้วองค์นี้ไม่ระเบิดทันที แต่ยังมี Stress เหลือเยอะ ผมให้ศิษย์รุ่นน้องผมซึ่งท่านเป็นเจ้าของโรงงานแก้วอีกแห่งหนึ่งช่วยใช้กล้องอ่าน Stress และเขาให้ผมดู เหมือนปาฏิหารย์ที่มีเยอะขนาดนั้นแต่ไม่ระเบิด

นี่แหละครับ การใช้เตาอบร่วมกับงานอื่นที่หนาไม่เท่ากันอย่างมาก

 

ในภาพเป็นช่างม้วนน้ำแก้ว 11 kg ของลาลีคฝรั่งเศส เขาม้วนมากดปั๊มพระแก้วหน้าตัก 8 นิ้วเศษชื่อรุ่นว่า Lalique Grand Buddha ราคาองค์ละ 4 แสนบาทเศษ ซึ่งนี่เป็นเทคนิค Pressed Glass ยากตรงฝึกช่างม้วน ใช้เวลาหลายปีมากครับ

ผมว่าสู้เทคนิคที่ผมกำลังเขียนอยู่ขณะนี้ไม่ได้ในสถานการณ์ของไทยขณะนี้ เพราะถ้าฝึกไปหลายๆปี พอเป็นก็ลาออก สู้เราไม่ต้องม้วนเป็น แต่หล่อได้เหมือนกันดีกว่าครับ

องค์พระของโครงการผมหนัก 6 kg จึงต้องใช้แก้ว 7 kg ถ้าม้วนน้ำแก้วหรือเทหยอด แต่ถ้าใช้เทคนิคขี้ผึ้งนี้ ใช้เพียง 6.5 kg ครับ น้อยกว่านิดนึง แต่ถ้าหากต้องการทับเสร็จลึกเพื่อความมั่นคง ก็อาจต้องใช้ถึง 7 kg หรือมากกว่านั้นเล็กน้อยครับ

 

น้อมถวายไว้ในพระพุทธศาสนาทั้งหมดแล้ว

หมายเหตุ
ในฐานไม้มีหลอดไฟไฮโดรเจนแรงสูง 200 watt จึงมีแสงแรงมากที่องค์พระแก้วคริสตัลตันๆองค์นี้ครับ ทดลองเปิดไฟอยู่ 4 ชั่วโมง ความร้อนของหลอดไฮโดรเจนที่สูงถึง >200C ไม่ระคายผิวเลยครับ ฐานไม้เสียอีกที่ร้อนมาก

 

ขอบคุณลูกศิษย์ของท่านเจ้าอาวาสที่ถ่ายภาพแล้วส่งมาให้ผม ไม่เช่นนั้นผมก็จะไม่มีภาพครับ

 

สำรองพื้นที่ 1

 

สำรองพื้นที่ 2

 

สำรองพื้นที่ 3