deleted
deleted
ในห้อง 'บุญ-อานิสงส์การทำบุญ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 7 กรกฎาคม 2006.
หน้า 1 ของ 3
-
deleted
-
"อุททิโสทก" แปลว่า กรวดน้ำมอบถวาย ใช้ในกรณีเมื่อถวายของใหญ่โตที่ไม่อาจยกประเคนใส่มือพระได้ เช่น ที่ดิน และวัด เป็นต้น เป็นในกรณีที่ตอนพระเจ้าพิมพิสารทรงหลั่งน้ำจากพระเต้าลงบนพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้า
"ทักษิโณทก" แปลว่า กรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลแด่คนตาย เช่นการกรวดน้ำของพระเจ้าพิมพิสารให้กับญาติพี่น้องที่เป็นเปรตไฟล์ที่แนบมา:
-
-
บุญจะเกิดขึ้น 3 ช่วง คือก่อนจะทำคือมีความตั้งใจจะทำบุญตอนนั้นกระแสบุญก็จะหลั่งไหลแล้วแต่ยังไม่เต็มที่ ช่วงที่สำคัญคือขณะที่กำลังทำผลบุญจะเกิดขึ้นอย่างเต็มที่ตามใจที่เลื่อมใส อีกช่วงคือหลังจากทำไปแล้วเมื่อตามระลึกถึงบุญก็จะเกิดขึ้นอีก การกรวดน้ำทำได้ทั้ง 3 ช่วงเพราะบุญเกิดขึ้นทุกวาระ แต่หลักจากทำใหม่ๆกระแสบุญจะแรงที่สุดจึงนิยมทำในตอนนั้น และในโลกวิญญาณเขาจะเห็นบุญเกิดตอนที่เรากำลังทำเป็นหลัก และจะอนุโมทนาต่อๆกันไป ญาติของเราจึงสามารถรับรู้ได้โดยง่ายที่สุด
-
ถ้ารู้ไม่จริง ก็อย่าทำคนอื่นเขวเลย ฝึกให้เห็นจริงรู้จริง แล้วค่อยชี้แนะคนอื่นก็ไม่สายไปหรอก เฮอ...หน่าย
-
deleted
-
deleted
-
การกรวดน้ำนั้น ถ้าไม่สะดวก ก็กรวดทางจิตก็ได้ แต่ถ้ามีเวลากรวด ก็ควรจะกรวดอย่างถูกต้อง นั่นแหละดีที่สุดแล้วจ้ะ...
-
deleted
-
deleted
-
deleted
-
เทวดาที่ผมให้บุญทุกวันน่าจะได้รับกันนะครับ อยากจะรู้ว่าเขาได้บุญเราไหมเวลาเราอุทิศให้กลัวท่านไม่ได้ยินงึงึ....
-
นาย ชยุต เอารูปหมามาแทนตัวเอง กะให้มันได้บุญเป่า
-
deleted
-
คำสอนของหลวงพ่อเกษมจากหลายๆชุด
ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง
แปลว่าห้วงน้ำที่ไหลลงทะเล เต็มได้ฉันใดทานที่ส่งไปในโลกทิพย์ได้ฉันนั้น
เอวะเมวะ อิโต ทินนังเปตานังอุปะกัปปติ .
ถึงสัตว์ทั้งหลายในโลกทิพย์อย่างรวดเร็ว
อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ
ฉับพลัน ณ เวลานั้นท่านบอกว่ามันฉับพลัน ณ เวลานั้น
ไม่ได้ว่าเวลาพระว่ายะถา วะริวะหา แล้วมันจึงจะไปเข้าใจไม๊ล่ะฟังให้เข้าใจนะไม่ใช่ไปเพราะคำพระพูดไปเพราะพวกเธอคิดส่งเข้าใจไม๊นี่แหละให้มันชัดเจน มันจะไม่ต้องเสียเวลา
พอมันจ้าขึ้นในพวกเราแล้ว เราจะได้ส่งทันที<O:p
พอถวายของเนี่ยสมมุติ ว่าปั๊บ บุญนี้ ให้ถึงเทวดาผู้รักษาข้าพเจ้า มันก็แว๊บ จากเรานี่ วับ วับ ถึงเขาเขาก็ได้รับทันที เข้าใจไม๊ "
(ตรงนี้คิดตามความเข้าใจส่วนตัว)
การคิดอุทิศให้ ณ ขณะที่เกิดการให้ เช่นขณะถวายของพระอยู่ในช่วงบุญที่มากและเปี่ยมกว่าช่วงเวลาอื่นๆเป็นบุญที่เกิดปัจจุบันของการให้แสงแห่งบุญมากและสว่างตามจิต เจิดจ้าตามจิตที่เกิดปิติเมื่ออุทิศบุญ ณ ขณะนั้นบุญจึงถึงได้มากและเต็มเปี่ยมกว่าช่วงเวลาอื่นๆ
ช่วงเวลาของการ กรวดน้ำ จะถัดต่อมาจากการสละของออกจากเราคือการให้จริงๆได้ผ่านพ้นไปแล้ว บุญที่ยังคงอยู่ คือบุญช่วงที่ยังอิ่มเอิมของจิตใจจึงน้อยกว่าช่วงความปิติขณะที่ได้ถวายของจริงๆ ดังนั้นอุทิศตอนกรวดน้ำก็ได้แต่ได้น้อยกว่าคิดอุทิศในขณะที่เราถวายของหลุดออกจากเราผู้ครองของนั้นๆถวายออกให้พระท่าน
สมมติว่าจะถวายของพระบุญเกิด 3 ช่วง (ที่เด่นที่สุด)
1. เตรียมถวาย
- จัดหาของถวาย, เดินทางไปวัด, ถือไว้เตรียมถวาย
เหล่านี้เกิดบุญแล้วแช่มชื่นในใจเราแล้ว แต่ของยังคงเป็นสิทธิ์ของเราอยู่จะยกเลิกการนำไปถวายก็ยังคงได้ การถวายยังไม่เกิดจึงเกิดสัญญาณบุญในระดับหนึ่งแล้ว
อุทิศบุญได้
2. ถวายของหลุดจากมือเรา
- เกิดการถวายของนั้นจริงๆ ของที่เตรียม ได้กลายเป็นของสงฆ์แล้ว เมื่อหลุดมือเราแล้วทันทีนั้น สัญญาณบุญเต็มเปี่ยม เพราะเกิดบุญครบถ้วนแล้วจริงๆ
อุทิศบุญนั้นได้กำลังเต็มที่ของช่วงบุญ
3. หลังถวายของ
3.1 หลังถวายไปไม่นาน
การกรวดน้ำจะทำไม่นานหลังจากได้ถวายของเสร็จสิ้นแล้ว กำลังความอิ่มเอิบของการให้ ยังมีกำลังอยู่ด้วยปิติยังอยู่ สุขใจยังอยู่ แต่ได้ลดลงจากตอนขณะถวายแสงและกำลังบุญลดลงบ้างแล้ว
อุทิศบุญได้กำลังน้อยกว่า ลำดับ 2
3.2 ระลึงถึงบุญที่เคยทำ
วันเวลาผ่านมาแล้วหลังจากถวายของแด่พระสงฆ์ นับจากวันเวลานั้นๆระลึกถึงเมื่อใด ใจที่เป็นสุข ปิติที่เกิด ก็เป็นบุญ แต่กำลังน้อยกว่า ช่วงที่ 2 และ 3.1
อุทิศบุญได้อีก -
ทำทันที เกิดผลทันที นี่เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะว่าเป็นสิ่งที่จริงยิ่งกว่า เหตุผลใดๆ อยู่ในตัวอยู่แล้ว การไปคิดว่าบุญจะเกิดเมื่อกรวดน้ำหรือ เมื่อต้องทำพิธีกรรมอะไรๆ ขึ้นอีกต่างหาก นั่นเป็นเพียงความเชื่อที่ทำตามๆกันมาเท่านั้น และมันน่าสงสัยมากกว่า การโอนบุญในขณะที่ทำความดีหรือทำในสิ่งที่เรียกว่า กุศล หรือ บุญ เมื่อทำทันที บุญก็เกิดทันที เกิดพร้อมๆกัน ขณะเดียวกัน นับเป็นกรรมฐานให้เราฝึกแก้ไขปัญหาในปัจจุบัน เราต้องตั้งใจจดจ่ออยู่กับการกระทำในปัจจุบัน นี่เป็นสติปัฏฐานไปในตัวอีกด้วย ขอให้ทำและคิดตามอย่างแยบคาย เถอะครับ เมื่อปัญญาเข้าถึงความจริงในเรื่องนี้แล้ว จะไม่สงสัยเลย และจะฝึกให้เราเป็นคนที่มีเหตุผลมากยิ่งกว่าความเชื่อ จะเป็นผู้ที่เคารพความจริงยิ่งกว่าการเชื่อฟังตามๆกันมา ความรู้ที่ได้จากเรื่องการโอนบุญอย่างถูกต้องนี้ นับเป็นของขวัญล้ำค่าสำหรับทุกคน
-
อนุโมทนา ทุกท่านด้วยนะครับ ..การทำบุญนั้นย่อมอาศัยจิตเป็นหลัก ในเมื่อเราใส่บาตร หรือทานอย่างอื่นก้อตาม เราก้ออุทิศให้คนที่เราอยากจะให้ นั้นถูกแล้วครับ บุญนี้ไม่ช่ายแบบการส่งจดหมายนะครับ เราให้ปุ๊บก้อจะถึงตัวผู้รับปั๊บเลยนะครับ ถ้าจะให้ดีควรออกชื่อ นามสกุล ของผู้รับด้วยจะดีมากเลยนะครับ
แต่ถ้าเราให้บุญนั้นไปแล้วเขาอนุโมทนาสาธุด้วยจิตยินดีกับเราด้วยก้อจะได้รับครับ แต่ถ้าเขาไม่โมทนาก้ออดนะครับ มันไม่ครบองค์ประกอบ..
การให้นั้นย่อมต้องอาศัยจิตเราเป็นกำลังสำคัญ การให้นั้นจะเกิดผลได้ เราต้องให้ด้วยความรัก รักทุกสรรพสิ่งให้เหมือนรักตัวเอง ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา รักทุกอย่างบนโลกนี้ด้วยจัยเมตตาธรรม แล้วผลบุญนั้นจะบังเกิดมหาศาล..
อ๋อ..ผมลืมไปอย่างครับ เรื่องการกรวดน้ำ การกรวดน้ำนั้น หมายถึงการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่เราได้พึ่งกะทำแล้วส่งไปให้แก่ บุคคลที่เราจะให้ครับ
การกรวดน้ำนี้จะดีอย่างที่ว่า การที่เราให้แบบปากป่าวนั้น เราผู้ให้ต้องมีกำลังพลังจิตที่ดี จิตสะอาด ในเมื่อเรามีพลังในตัวอยู่แล้วเราย่อมให้ได้ครับ แต่ส่วนคนที่ไม่เคยฝึกสมาธิหรือคิดว่ายังไม่มีพลังในตัวเองนั้น การกรวดน้ำก้อช่วยท่านได้นะครับ เพราะว่า การกรวดน้ำนั้นหมายถึงเราฝากเอาคำพูดของเรานั้นฝากไปยังรุกขเทวดา แม่ธรณี ห้วงเทพทั้งหลาย ฝากบอกไปยังถึงตัวผู้รับ
ถ้าจะให้ดีนะครับตอนทำบุยเราก้อแผ่ไปให้เขาก่อนรอบแล้วมากรวดน้ำอีกทีครับ -
ทำบุญหรือสวดมนต์เสร็จทุกครั้งจะแผ่เมตตา ให้ถึงพ่อแม่พี่น้อง ญาติ เจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์น้อยใหญ่ เทวดา เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าที่เจ้าทาง ฯลฯ....ความรู้สึกจะเหมือนกันทุกๆครั้งที่ทำบุญคืออิ่มใจ สุขใจ สบายใจ
-
ด้วยจิตที่เป็นกุศลและมีความตั้งใจจริง...
ขออนุโมทนากับทุกท่านครับ...สาธุ...สาธุ...สาธุ..อนุโมทามิ -
ขออนุโมทนากับคุณ Chayutt ด้วยค่ะ
สาธุ ๆ ๆ ๆ สิ่งที่ไม่เคยทราบก็ได้ทราบ (i) (i) (i)
เห็นด้วยกับคุณ ธง มากๆ ค่ะ โมทนาด้วย
(verygood)
หน้า 1 ของ 3