คลังเรื่องเด่น
-
เคยเกิดที่ทิเบตเยอะมาก - พระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน
+++ เคยเกิดที่ทิเบตเยอะมาก +++
พระอาจารย์เล่าว่า "#ในอดีตอาตมาเคยเกิดที่ทิเบตเยอะมาก ทิเบตเป็นดินแดนของพุทธศาสนา โดยเฉพาะของมหายาน แล้วก็แปลงเป็นวัชรยาน #ศาสนานี้พระภิกษุส่วนใหญ่มีแนวคิดในการเกิดใหม่เพื่อสร้างบารมี ซึ่งเรียกง่าย ๆ #ก็คือมาสายพุทธภูมิ เพราะฉะนั้น...การเวียนว่ายตายเกิดจึงเป็นเรื่องปกติ
ถ้าครอบครัวไหนมีลูกชาย #ต้องส่งลูกชายไปบวชอย่างน้อย ๑ คน #ถ้าครอบครัวนั้นไม่มีลูกชาย เมื่อลูกสาวแต่งงานแล้ว #พ่อจะไปบวชเอง เพราะฉะนั้น...#คนทิเบตก็เลยบวชพระเกือบทั้งประเทศ พอบวชเข้าไปครูบาอาจารย์ที่ท่านมีทิพจักขุญาณ ก็จะมาดูอดีตชาติให้ว่าเคยศึกษาเล่าเรียนมาถึงระดับไหน แล้วก็ส่งไปหาครูบาอาจารย์ระดับนั้น ทบทวนความรู้สักหน่อยหนึ่ง แล้วก็เรียนระดับสูงกว่าขึ้นไปได้เลย #ก็แปลว่าของเขาไม่ต้องเรียนย้อนของเดิม #มีแต่ขึ้นหน้าอย่างเดียว"
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.(หลวงพ่อเล็ก สุธัมมปัญโญ)
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐
******************************************************************** -
"วิธีภาวนาคือรวมใจ" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
"วิธีภาวนาคือรวมใจ"
" .. ใจคนเราตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยรวมอยู่ในจุดเดียวสักที "หัดภาวนาก็คือรวมใจให้อยู่ในจุดเดียว" คนเราเกิดขึ้นมาวุ่น "คิดนึกตลอดวันยังค่ำไม่มีพักผ่อนเลย" เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราพักใจบ้าง
กายกับใจมีลักษณะคล้ายกัน "กายถ้าเราทำงานตลอดเวลาไม่มีการพักผ่อนนอนก็เหน็ดเหนื่อย ใจของเราถ้าหากมีแต่คิดปรุงแต่งส่งส่ายตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน" นานเข้าก็เรียกว่า "โรคเส้นประสาทกลายเป็นบ้าไป" หากไม่รู้จักสำรวมใจ
พระพุทธเจ้า "สอนให้เรารู้จักสำรวมใจ สงบอารมณ์ให้อยู่ในจุดเดียว" ให้กำหนดลมหายใจเข้า ออก หรือมิฉะนั้นก็ให้กำหนดเอา "พุทโธไว้ที่ใจ" เอาสติคุมให้อยู่ในอารมณ์อันเดียวกันนั้น "ใจคือผู้นึกว่า พุทโธ แล้วเอาสติตามกำหนด" คือตามรักษาคุมอันนั้นไว้ไม่ไห้หนีจากนั้น
"ถ้าหากมันหนีไปจากนั้นก็เอามารวมกันไว้ไม่ให้หนี" นาน ๆ เข้ามันก็ค่อยซาค่อยอ่อนกำลังลงไป ในที่สุดมันก็จะมารวมอยู่ในจุดเดียว "เปรียบเหมือนกับสัตว์ที่เราจับมาจากป่า เอามาทีแรกมันก็พยายามดิ้นรนเสียจนหมดเรี่ยวแรง อีกหน่อยมันก็ค่อยอยู่" ใจของเราก็เช่นเดียวกัน .."
"ถามตอบ ต่างประเทศ ๕"
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี -
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง ฤาษีสอนลูกภาคเหนือ (8Hr.)
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง ฤาษีสอนลูกภาคเหนือ
Buddhism Channel :-
Published on May 21, 2017
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง ฤาษีสอนลูกภาคเหนือ -
เล่าขานตำนานไสยเวทย์ไทย ตอน แร่ทรายทองเศรษฐี ทนสิทธิ์มงคลจากธรรมชาติ
เล่าขานตำนานไสยเวทย์ไทย ตอน แร่ทรายทองเศรษฐี ทนสิทธิ์มงคลจากธรรมชาติ
แร่ทรายทองหรือ ทรายทองเศรษฐี เป็นแร่มงคลที่นิยมนำมาเป็นมวลสารกับพระเครื่อง ถือเป็นแร่ศักดิ์สิทธิ์ ขุดพบได้ใต้ถ้ำแห่งหนึ่งจังหวัดกาญจนบุรี ที่เดียวและมีน้อย เกิดจากการทำเหมือง พบแร่ชนิดนี้อยู่ใต้บ่อถ้ำอีก โดยแร่ทรายทองมีลักษณะเป็นทรายปนเกล็ดสีทองแดง โดยมีแร่ธาตุประกอบหลากหลายชนิดเช่น ทองแดง เหล็ก และอื่นๆปนทราย ได้อย่างลงตัว
เป็นแร่มงคลชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นผงทรายหลายปนกับเกล็ดแผ่นทองคล้ายทองคำเปลว ได้ทำการตรวจสอบ แล้วว่ามีส่วนผสมของแร่หลายชนิด เช่นทองคำ ทองแดง และอื่นๆ แก้วทรายทองตัวนี้ถือเป็นของมงคลศักสิทธิ์ ของบรมครูปู่ฤาษี แก้วทรายทองนี้ขุดพบได้ใต้ถ้ำแห่งหนึ่งหลังจากการระเบิดถ้ำขุดลงไปพบบ่อทรายแร่ทองเศรษฐีนี้อยู่ในบ่อใต้ถ้ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกอัศจรรย์ที่ไม่เคยมีพบมาก่อน เมื่อขุดเข้าไปก็พบว่าเป็นบ่อแร่ทองเจ้าของสัมประทานจึงทำพิธีขอขมาและขอนำมาทำเป็นมวรสารพระเครื่อง... -
เผยเรื่องราวน่าสะพึงกลัว!! "ประตูผี แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์" เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อผู้คนล้มตายเป็นเบือในอดีตที่ผ่านมา!!
เผยเรื่องราวน่าสะพึงกลัว!! "ประตูผี แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์" เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อผู้คนล้มตายเป็นเบือในอดีตที่ผ่านมา!!
เรื่องราวของวัดสระเกศ (ภูเขาทอง) นั้น ในอดีตเป็นเคยศูนย์รวมของแร้งนับพันอันเนื่องมาจากโรคห่าระบาดเมืองในช่วงรัชกาลที่ 2 มีคนตายหลายหมื่นคนในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วัน กลายเป็นเมืองแห่งคนตาย ทุกตารางนิ้วเต็มไปด้วยซากศพ
วัดสระเกศซึ่งเป็นสถานที่จัดการศพก็ยังไม่สามารถเผาศพหรือฝังได้ทันจนศพกองพะเนินมากมาย จึงต้องขุดหลุมขนาดใหญ่แล้วฝังศพไปในหลุมเดียวกัน และเมื่อมีซากศพเป็นอาหาร ฝูงแร้งก็มาอาศัยที่วัดแห่งนี้เป็นจำนวนมาก
และนอกจากคนที่ตายด้วยโรคห่า ศพอื่นๆเริ่มถูกมากองรวมกันไว้ที่วัดแห่งนี้ และสาเหตุที่ต้องเป็นวัดสระเกศก็เพราะ เมื่อสมัยก่อนนั้นมีกฎห้ามเผาศพกันในเมือง และประตูเมืองที่สามารถนำศพผ่านได้ก็มีอยู่ประตูเดียวที่เรียกกันว่าประตูผี ซึ่งอยู่ใกล้กับวัดสระเกศมากที่สุดนั่นเอง
และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 5 ก็ยังคงมีโรคระบาดเกิดขึ้นและมีคนตายเป็นจำนวนมากซ้ำอีกครั้ง และวัดสระเกศก็ยังคงประสบปัญหาเผาศพไม่ทันเหมือนเดิม และมีแร้งมาจิกกินศพอีกเช่นเคย... -
ไม่เชื่อต้องพิสูจน์!! นักวิทย์ทดสอบ "พระหิมาลัย" แสดงอภินิหาร "เร่ง-หรี่" อุณหภูมิในร่างกาย ก่อนเจอผลทดลองที่ทำให้วิทยาศาสตร์สั่นสะเทือน!!
ไม่เชื่อต้องพิสูจน์!! นักวิทย์ทดสอบ "พระหิมาลัย" แสดงอภินิหาร "เร่ง-หรี่" อุณหภูมิในร่างกาย ก่อนเจอผลทดลองที่ทำให้วิทยาศาสตร์สั่นสะเทือน!!
ในหนังสือ “Living with the Himalayan Masters” (อยู่กับคุรุแห่งหิมาลัย) ผู้เขียนคือ “สวามีรามา” (ซึ่งเป็นโยคี) ได้เล่าถึงปาฏิหาริย์อันเหลือเชื่อที่เขาได้พบเห็นบนภูเขาหิมาลัย
สวามีรามาเล่าว่า เขาเห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่นิ่งๆ นาน ๘-๑๐ ชั่วโมง โดยไม่กะพริบตา ทันใดนั้น ร่างของชายคนนั้นก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้นด้วยความสูงประมาณสองฟุตครึ่ง ถึงแม้สวามีรามาจะได้รับการปลูกฝังให้คิดแบบวิทยาศาสตร์ และรู้ว่าการที่ชายคนนั้นนั่งสมาธิแล้วลอยได้คงจะเป็นผลมาจากการฝึกโยคะแบบ “ปราณยามะ” (ฝึกลมปราณเพื่อให้ตัวเบา) แต่ภาพอัศจรรย์ที่เห็นก็ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้และพยายามจะพิสูจน์หาความจริงให้กระจ่าง
ลอยได้ว่าเหลือเชื่อแล้ว ชายคนนั้นยังทำสิ่งที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าอีก!!
เขาได้ใช้พลังจิตเปลี่ยนวัตถุชนิดหนึ่งให้กลายเป็นอีกชนิดหนึ่ง อาทิเช่น เปลี่ยนก้อนหินเป็นก้อนน้ำตาล เปลี่ยนเม็ดทรายเป็นเม็ดมะม่วงหิมพานต์
เจอแบบนี้...สวามีรามาถึงกับอุทานว่า... -
"หลวงปู่จันทร์ เขมิโย กับ ปลาพระโพธิสัตว์"
"หลวงปู่จันทร์ เขมิโย กับ ปลาพระโพธิสัตว์"
หลายคนคงจะสงสัยว่า "การเกิดมาเพื่อบำเพ็ญบารมีเพื่อจะไปเป็นพระพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นั้น มีจริงหรือไม่" ลองอ่านเรื่องนี้แล้วพิจารณาดู
เหตุเกิดที่จังหวัดนครพนม ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม "โดยท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์" (หลวงปู่จันทร์ เขมิโย) ท่านเล่าเอาไว้ว่า "มีอยู่คืนหนึ่งท่านกำลังทำสมาธิกรรมฐาน ก็ปรากฏภาพนิมิตขึ้นในสมาธิ เป็นภาพของแอ่งน้ำกำลังแห้งมีปลาอยู่หกตัว เป็นปลาหมอ ๓ ตัว ปลาดุก ๓ ตัว กำลังดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่" ท่านจึงกำหนดจิตถามว่า เป็นคู่เวรคู่กรรมมาทวงหนี้เวรกรรมหรือไม่
ปลาเหล่านั้นตอบว่า "พวกเราเป็นพระโพธิสัตว์มาเกิดเป็นปลาเพื่อบำเพ็ญบารมี แต่ถูกกระแสกรรมทำให้ถูกนายบุญช่วย สุวรรณทรรภ จับมาขังเอาไว้ในตุ่มน้ำในสวนกล้วยติดหลังวัด ตอนนี้น้ำกำลังแห้ง ถ้าตายก่อนจะหมดโอกาสบำเพ็ญบารมี"
หลวงปู่จึงถามว่า เหตุใดจึงมาปรากฏในข่ายฌานสมาธิของท่าน
ปลาโพธิสัตว์เหล่านั้นตอบว่า "พวกเราตั้งจิตอธิษฐานว่า ด้วยกุศลผลบุญที่บำเพ็ญเพียรเพื่อปรารถนาพุทธภูมิในอนาคต ขอให้เราได้ปรากฏในข่ายฌานของผู้ทรงศีล... -
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เล่าเรื่อง สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เล่าเรื่อง สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต
เรื่องเล่าผ่านกาลเวลา :-
Published on Jan 31, 2017
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เล่าเรื่อง สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต -
เล่าขานตำนานไสยเวทย์ไทย ตอน พระธาตุข้าวบิณฑ์พระธาตุพุทธนิมิตที่ทรงมหาพุทธานุภาพ
เล่าขานตำนานไสยเวทย์ไทย ตอน พระธาตุข้าวบิณฑ์พระธาตุพุทธนิมิตที่ทรงมหาพุทธานุภาพ
พระธาตุข้าว (ข้าวบิณฑ์)
.............ในสมัยพุทธกาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปตามสถานที่ต่างๆเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ วันหนึ่งได้เสด็จมาไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแม่ระมิงค์เพื่อไปโปรดพวกละว้า พวกละว้าเหล่านั้นอยู่ในภาวะอดอยาก ผืนดินแห้งแล้งทำการเพาะปลูกไม่ได้ผล ต้องหาหัวเผือกหัวมันมาต้มผสมกับข้าวกินเป็นอาหาร เมื่อพระพุทธองค์ได้เสด็จมาถึงที่นั่น พวกละว้าก็เอาข้าวผสมมันซึ่งเป็นโภชนาหารของตนมาใส่บาตร
.............พระบรมโลกนาถก็ทรงรับแล้วฉันภัตตาหารเช้า ณ ที่นั้นซึ่งเรียกว่า ดอนน้อย เสร็จแล้วก็ทรงให้ศีลให้พรพวกละว้าทั้งหลาย หลังจากนั้นจึงทรงนำข้าวที่เหลือก้นบาตรไปเทคว่ำไว้และแสดงปาฏิหาริย์ให้ข้าวนั้นกลายเป็นหิน(เป็นพระธาตุข้าวดังที่เห็นในปัจจุบันนี้) พวกละว้าเมื่อเห็นดังนั้นก็เกิดเลื่อมใสศรัทธาเป็นอันมาก พระพุทธองค์จึงทรงให้ศีล 5 และแสดงธรรม และรับสั่งให้พวกละว้ารักษาดอนน้อยไว้ให้ดี และให้รักษาศีล 5 ไว้เป็นปกติ ถ้ารักษาได้ก็เหมือนอยู่ใกล้พระพุทธองค์ ถ้ารักษาไม่ได้ก็เหมือนอยู่ไกลสุดขอบฟ้าจักรวาล... -
พระอริยเจ้าเหนือโลก!! "หลวงตาเชย" ละสังขารในท่าสมาธิ กระดูกเปลี่ยนเป็นพระธาตุสามกษัตริย์ ทำตัวเหมือนคนบ้า อาศัยในโกดังโลงศพ!!
พระอริยเจ้าเหนือโลก!! "หลวงตาเชย" ละสังขารในท่าสมาธิ กระดูกเปลี่ยนเป็นพระธาตุสามกษัตริย์ ทำตัวเหมือนคนบ้า อาศัยในโกดังโลงศพ!!
หลวงตาเชย วัดราษฎร์บำรุง ชลบุรี
ขรัวตาเชย? โดยปกติท่านไม่ค่อยพูดกับใคร ทั้งยังชอบทำอะไรแผลง ๆ จนคนหลายคนเรียกท่านว่า ?ขรัวตาเชยบ้า? หรือ ?พระบ้า? ท่านนุ่งจีวรเก่า ๆ สกปรก ๆ เดินไปไหน หมาเห่ากันเกรียวกราว แล้วก็เดินตามท่านเป็นฝูง ๆ ท่านชอบเก็บเศษกระดาษหรือหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ขาด ๆ ตามข้างถนน ที่จำวัดของท่านอยู่ในโกดังเก็บโลงศพ และมักจะบ่นว่า ?แหม ไอ้พวกนี้หวงโลงจัง ตายไปแล้วก็ยังหวงอีก? ส่วนมากท่านจะใช้เวลาบำเพ็ญเพียรวิปัสสนาธุระ บางคราวก็เงียบอยู่เป็นวัน ๆ เลย พออกมาเวลาไหนก็หาข้าวฉัน แม่ครัวที่นั่นไม่ค่อยชอบท่าน และมักจะแกล้งท่านอยู่เสมอ ก็บอกว่าหมดแล้ว เหลือแต่ข้าวแมวที่คลุกไว้ในจาน จะกินก็เอาซี ท่านก็ไม่ว่าอะไร เอาข้าวแมวไปล้างน้ำแล้วก็เอามาฉัน บางทีท่านก็จะนั่งกับดินอยู่กลางไร่กลางนาที่ไม่มีผู้คนเดินผ่านไปมา ฝนตกแดดร้อนจ้าเพียงไร ท่านก็นั่งเฉยอยู่อย่างนั้น ชาวบ้านที่มองไปแต่ไกลก็จะเห็นว่า ท่านนั่งอยู่กลางแดดกลางฝน ไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปใกล้... -
อาถรรพ์ธรณีประตู!! ความน่ากลัวที่มองไม่เห็น โบราณเตือนนักเตือนหนา!! แม้แต่ มรว.คึกฤทธิ์ ยังกล่าวถึง ในนิยาย "สี่แผ่นดิน"!!
อาถรรพ์ธรณีประตู!! ความน่ากลัวที่มองไม่เห็น โบราณเตือนนักเตือนหนา!! แม้แต่ มรว.คึกฤทธิ์ ยังกล่าวถึง ในนิยาย "สี่แผ่นดิน"!!
คนสมัยก่อนห้ามมิให้เหยียบธรณีประตู เพราะที่ธรณีประตูนั้นเป็นที่สถิตของพระภูมิประตู (พระภูมิมีอยู่ ๙ องค์ เช่น พระภูมิบ้านเรือน พระภูมิประตูและหัวกระได พระภูมินา เป็นต้น) การเหยียบธรณีประตูจึงเท่ากับเป็นการลบหลู่พระภูมิประตูนั่นเอง (ในบางท้องถิ่นเชื่อว่าธรณีประตูมี “ผีธรณี” รักษาอยู่“ซองคำถาม” เข้าใจว่าน่าจะมีความหมายเดียวกันกับพระภูมิประตู)
ใน “สี่แผ่นดิน” อมตนิยายของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็กล่าวถึงความเชื่อเรื่องนี้ไว้ในตอนที่แม่พาพลอยเข้าวังเป็นครั้งแรกว่า ที่ประตูวังชั้นในมีหญิงแก่บ้างสาวบ้าง เรียกว่า โขลน ทำหน้าที่เฝ้าประตูวัง ใครที่ก้าวข้ามไม่พ้นเผลอเหยียบธรณีประตูจะต้องถูกตีหรือต้องกราบขอขมาธรณีประตูนั้น ม.ร.ว. คึกฤทธิ์บรรยายธรณีประตูที่ประตูวังชั้นในไว้ว่า
“ธรณีประตูนั้นทำด้วยไม้เหลี่ยมค่อนข้างใหญ่... มีรอยคนมาปิดทองไว้บ้างเป็นระยะ ๆ และใกล้ ๆ ขอบประตูนั้นก็มีธูปปักอยู่ที่ริมขอบประตู”... -
“ภาวนาไม่มีสติแบบมึงนี่กูนั่งขี้นั่งเยี่ยว สติกูยังดีกว่ามึงนั่งภาวนาเสียอีก”ด้วยพูดของหลวงปู่เจี๊ยะจึงทำให้พระอาจารย์เด่นนั่งสมาธิได้สำเร็จ
“ภาวนาไม่มีสติแบบมึงนี่กูนั่งขี้นั่งเยี่ยว สติกูยังดีกว่ามึงนั่งภาวนาเสียอีก”ด้วยพูดของหลวงปู่เจี๊ยะจึงทำให้พระอาจารย์เด่นนั่งสมาธิได้สำเร็จ
พระอาจารย์เด่นเล่าว่าระหว่างช่วงปลายปี ๒๕๑๙ สมเด็จพระญาณสังวรฯ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร พระองค์ท่านได้นิมนต์ หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท ให้ไปอบรมศีลธรรมญาติโยมที่วัดญาณสังวราราม อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี..
พระอาจารย์เด่นถึงกับกล่าวว่า “ พระเณรวัดอโศฯหวยท่านอาจารย์เจี๊ยะมาลงที่เรา อาจารย์เจี๊ยะท่านบอก เฮ้ยเด่น.! มึงไปจำพรรษากับกูอยู่ชลบุรี กูบอกท่านทอง ( หลวงพ่อทอง จันทสิริ ) จะเอามึงกับเณรเขียว ( พระอาจารย์เขียว วัดถ้ำจุนโท อ.แม่สอด จ.ตาก ) ไปจำพรรษาด้วยกันที่วัดญาณฯ เรากับท่านเขียวเลยได้ตามอาจารย์เจี๊ยะไปจำพรรษาที่วัดญาณฯชลบุรี ปี ๒๕๒๐ ”..
ระหว่างพระอาจารย์เด่นท่านจำพรรษาอยู่ที่ วัดญาณสังวราราม อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี แต่ละคืนเวลาหลวงปู่เจี๊ยะท่านเดินผ่านกุฏิที่พระอาจารย์เด่นท่านพักอยู่ หลวงปู่เจี๊ยะท่านมักจะเอาก้อนหินหรือไม่ก็ท่อนไม้ขว้างปาใส่ที่พักของพระอาจารย์เด่นแล้วท่านก็จะตะโกนถาม “ เฮ้ยเด่น.! มึงทำอะไรอยู่วะ ”..... -
"เอากบไปปล่อย" (หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป)
"เอากบไปปล่อย"
" .. ชีวิตของเด็กวัด ก็ต้องรับโอวาทและปฏิบัติรับใช้ตามความประสงค์ของครูบาอาจารย์ มีอยู่คราวหนึ่ง "พระได้สั่งให้เด็กชายจันทร์ศรีนำกบที่อยู่ในถังใต้ถุนศาลาไปปล่อย" (เป็นกัปปิยโวหารของพระ ตามพระธรรมวินัย ในความประสงค์จริง ๆ คือ "ให้นำไปปล่อยลงหม้อต้มน้ำ" เพื่อประกอบเป็นอาหารเพล)
"แต่เด็กชายจันทร์ศรีกลับนำไปปล่อยในป่าไผ่" ด้วยความปีติ ดีใจที่ได้ช่วยชีวิตสัตว์ ครั้นกลับมาพระก็ถามหากบในขณะที่จะฉันอาหารเพล เด็กชายจันทร์ศรีก็กราบเรียนไปตามตรงที่ได้นำกบไปปล่อยจึงโดนดุและจะถูกลงโทษ
ท่านเล่าเหตุการณ์ระทึกขวัญใน ขณะนั้นว่า ..
"พอฝนตกก็ไปจับกบมาขังไว้" หลวงปู่ยังเป็นเด็กอยู่ ยังไม่ได้บวชเณร พระก็สั่งว่า "บักน้อย มึง เอากบไปปล่อย" หลวงปู่ก็เข้าใจว่า "หมายถึงให้เอาไปฆ่า" แต่ก็ไม่ยอมฆ่า "กลับเอาไปปล่อยในป่าไผ่" พอกลับมาพระก็ถาม หลวงปู่ก็ตอบว่า "ก็บอกให้ผมไปปล่อย ผมก็เอาไปปล่อยซิ" พระก็ถือไม้เรียวจะทำโทษ หลวงปู่ก็วิ่งไปหาเจ้าอาวาสอาจารย์เป๊ะ เล่าให้ท่านฟัง ท่านก็เลยเรียกพระมาดุ" .. "
"สุริยาส่องฟ้า จันทร์ศรีส่องธรรม"
หลวงปู่จันทร์ศรี จฺนททีโป... -
ปิดรับบริจาค ร่วมถวายเครื่องทรงจักรพรรดิ และ ตุงสุริยัน-จันทรา ณ.พระมหาเจดีย์ชเวดากอง และพระธาตุอินแขวนประเทศพม่าในวันอาสาฬหบูชา
ขอเรียนเชิญญาติธรรมทุกท่าน ร่วมถวายเครื่องทรงจักรพรรดิ ณ.พระมหาเจดีย์ชเวดากอง และ ร่วมถวายตุง เงิน-ทอง(สุริยันจันทรา) ที่พระมหาเจดีย์พระบรมธาตุอินแขวน ประเทศพม่าในวันอาสาฬหบูชา
วันที่ 8 กรกฎาคม 2560 เพื่อน้อมถวายเป็น
พุทธบูชา-ธรรมบูชา-สังฆบูชา
เนื่องด้วยทางพระมหาเจดีย์จะมีพิธีถวายผ้าห่มพระในช่วงเช้าพรรษา ทางคณะจึงได้ติดต่อไปเพื่อถวายเครื่องทรงจักรพรรดิแด่พระพุทธรูปรอบพระมหาเจดีย์ชเวดากอง เพื่อถวายคู่กับผ้าห่มพระประธานในช่วงเข้าพรรษา และถือโอกาสในวันอาสาฬหบูชานี้ ถวายตุงสุริยัน-จันทราที่พระบรมธาตุอินแขวน โดยมีพระคุณเจ้าเป็นตัวแทนหมู่พระภิกษุสงฆ์รับเครื่องบูชาทั้งหมดในครั้งนี้ เพื่อเป็นสักขีพยานและถวายเป็นสมบัติของพระศาสนาสืบต่อไป
ท่านสามารถร่วมเป็นเจ้าภาพ(ตุงสุริยัน-จันทรา) หรือ (เครื่องทรงจักรพรรดิ) ตั้งแต่บัดนี้ถึงต้นเดือนกรกฎาคม ติดต่อสอบถามได้ที่ 090-9861646 (คุณโต) ท่านสามารถเดินทางไปเองและนัดพบกันที่ลานอธิษฐานพระมหาเจดีย์ชเวดากอง ในวันที่8(วันอาสาฬบูชา
เจ้าภาพเครื่องทรงจักรพรรดิชุดละ 4000บาท(ถ้าท่านเจ้าภาพต้องการพลอยสีอื่นๆ สามารถ... -
เล่าขานตำนานไสยเวทย์ไทย ตอน คชกุศ สุดยอดเครื่องรางธรรมดาที่อานุภาพไม่ธรรมดา
เล่าขานตำนานไสยเวทย์ไทย ตอน คชกุศ สุดยอดเครื่องรางธรรมดาที่อานุภาพไม่ธรรมดา
คชกุศ หมายถึง ขอบังคับช้าง
ขอช้าง หรือ ตะขอช้าง หรือ ขอสับช้าง(ภาษาเหนือ) แล้วแต่จะเรียก เป็นหนึ่งในมงคลแปดประการของ ศาสนาพราหมณ์ ซึ่งหมายความถึงการมีอำนาจในการควบคุมเหตุการณ์ต่างๆไว้ได้ เป็น สัญลักษณ์แสดงถึง อำนาจ เบ็ดเสร็จ ในการควบคุม เช่น พระพิฆคเณศ จะมีปางหนึ่งที่ถือ คชกุศ ขอช้าง ขอสับช้าง หรือตะขอช้าง อยู่ด้วย
มีผู้รู้กล่าวว่า เป็น เครื่องรางที่วิเศษ แต่หาได้น้อยเต็มที เพราะเข้าใจกัน เพียงว่า เป็นแค่เครื่องใช้อย่างหนึ่งเท่านั้น คชกุศ ขอช้าง ขอสับช้าง หรือตะขอช้างเป็นของอาถรรพ์ที่ เเรงครู สูงมาก ชนิดหนึ่งหากสร้างถูกต้อง ตามตำราที่ระบุไว้ เรียกว่า “พระครูประกำ”อาจารย์สูงสุดของวิชา คชศาสตร์ 4 ท่าน ลูกศิษย์ด้วยขอช้างคือ “ พระ คชศาสตร์ ”
คชกุศ ขอช้าง ขอสับช้าง หรือตะขอช้าง เป็นของ ศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือกันในหมู่ ผู้ศึกษาพระเวทย์ที่รู้ลึกรู้จริง ว่าเป็นของมงคล ที่หาได้ยากยิ่ง และมีอานุภาพสูง หลายประการคือ เป็นของ
โภคทรัพย์ จากการเป็นของอ หมายถึงการเกี่ยว การเหนี่ยวรั้งไว้ อีกประการคำว่าขอก็คือได้... -
พุทธพจน์เกี่ยวกับไตรลักษณ์
พุทธพจน์เกี่ยวกับไตรลักษณ์
ศัพท์และความหมายก่อน
อนิจจัง ไม่เที่ยง, ไม่คงที่, สภาพที่เกิดมีขึ้นแล้วกดับล่วงไป
อนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง, ภาวะที่สังขารทั้งปวงเป็นสิ่งไม่เที่ยงไม่คงที่
อนิจจลักษณะ ลักษณะที่เป็นอนิจจะ, ลักษณะที่ให้เห็นว่าเป็นของไม่เที่ยง ไม่คงที่ ได้แก่
๑. เป็นไปโดยการเกิดขึ้น และสลายไป คือ เกิดดับๆ มีแล้วก็ไม่มี
๒. เป็นของแปรปรวน คือ เปลี่ยนแปลงแปรสภาพไปเรื่อยๆ
๓. เป็นของชั่วคราว อยู่ได้ชั่วขณะๆ
๔. แย้งต่อความเที่ยง คือ โดยสภาวะของมันเอง ก็ปฏิเสธความเที่ยงอยู่ในตัว
อนิจจสัญญา กำหนดหมายถึงความไม่เที่ยงแห่งสังขาร
ทุกข์ 1. สภาพที่ทนอยู่ได้ยาก, สภาพที่คงทนอยู่ไม่ได้ เพราะถูกบีบคั้นด้วยความเกิดขึ้นและความดับสลาย เนื่องจากต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ไม่ขึ้นต่อตัวมันเอง 2. อาการแห่งทุกข์ที่ปรากฏขึ้นหรืออาจปรากฏขึ้น ได้แก่ คน (ได้ในคำว่า ทุกขสัจจะ หรือทุกขอริยสัจจ์ ซึ่งเป็นข้อที่ ๑ ในอริยสัจจ์ ๔) 3. สภาพที่ทนได้ยาก, ความรู้สึกไม่สบาย ได้แก่ ทุกขเวทนา, ถ้ามาคู่กับโทมนัส... -
หลวงพ่อวิริยังค์ สอนฝึกพลังจิตให้กล้าแกร่งรับพลังบุญ
หลวงพ่อวิริยังค์ สอนฝึกพลังจิตให้กล้าแกร่งรับพลังบุญ
Cr. Facebook : ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ -
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ พุทธพยากรณ์โลก
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ พุทธพยากรณ์โลก
kroobannok -
Published on Jan 22, 2017
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ พุทธพยากรณ์โลก -
"อุเบกขาต้องมีปัญญา" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
"อุเบกขาต้องมีปัญญา"
" .. "คนที่จะวางเฉยได้ต้องมีปัญญา ประกอบด้วยปัญญา" พิจารณาถึงบุญกรรมบาปเวร บุญวาสนาบารมีของมนุษย์สัตว์ ทั่วไปว่า "มนุษย์สัตว์ทั้งหลายเกิดมามีกรรมเป็นของของตน" ตนนั่นแหละเป็นผู้ได้รับผลของกรรม คนอื่นจะรับแทนไม่ได้ คนอื่นเป็นแต่ผู้ช่วยเมตตาแนะนำและตักเตือนให้เขาเว้นจากความชั่ว
"เมื่อเขาไม่ได้ทำกรรมชั่ว เขาก็ไม่เดือดร้อน" เมื่อเขาไม่ทำกรรมชั่วและไม่เดือดร้อนแล้ว ใจของเขาก็สบาย เป็นอุเบกขา เป็นความดีของเขาที่ทำตามคำสอนของเรา "คราวนี้เมื่อเราสอนเขาแล้ว เขาไม่ทำตามคำสอนของเรา" จนกระทั่งเขาทำความผิด ได้รับโทษนานาประการ
เราก็พิจารณาเช่นนั้นเหมือนกันว่า "น้ำขี้โคลนมองไม่เห็นตัวปลาฉันใด คนที่ทำกรรมกิเลสมากไม่มีปัญญา ใครจะตักเตือนชี้ เหตุผลให้ฟังสักเท่าใด ๆ ก็ย่อมรู้ตามไม่ได้" เอาแต่ใจของตัวถ่ายเดียว เมื่อพิจารณาอย่างนี้แล้วใจก็วางเฉยได้ .. "
"อัปปมัญญา ๔"
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี -
เล่าขานตำนานไสยเวทย์ไทย ตอน มีดชัยยะปฐวี ของดีของครูบาชัยยะวงศาเป็นมหาลาภ มหาอำนาจ กันภูตผีปีศาจ
เล่าขานตำนานไสยเวทย์ไทย ตอน มีดชัยยะปฐวี ของดีของครูบาชัยยะวงศาเป็นมหาลาภ มหาอำนาจ กันภูตผีปีศาจ
มีดหมอครูบาชัยวงค์รุ่นแรก วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จัดสร้างโดยคุณขันชัย โสภักต์ ช่างมีดจากลำปาง ได้จัดสร้างมีดหมอถวายหลวงปู่ โดยใบมีดได้ตอกคาถาชัยยะปฐวี ริตติ ริตติ มิตติ จุตติธรณี ปริตตะ สมุหะติ สมุหะตา สมุหะเสมา สมุหะนัยยะ ชนะภัยทั้งปวง ใช้ป้องกันอันตราย คุณไสย มนต์ดำ ใช้ทำนำมนต์ลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ทันท่านปลูกเสกอธิฐานจิตใน วันที่ 15 เมษายน 2534
คาถาเสกมีดของครูบาวงค์ ท่านใช้คาถาหัวใจท้าวมหาราช และหัวใจธรณีสารช้างเผือก มีอุปเทห์การใช้คือ หัวใจท้าวมหาราช ป้องกันภูตผีปีศาจคุณไสย์ อมนุษย์ร้าย ส่วนธรณีสารช้างเผือก นั้น ป้องกัน อุบาด เสนียญจัณไร ภัยทั้งหลาย วิธีที่จะปลุกเสกธรณีสารช้างเผือก ต้องเสกคาถาใส่เทียนสีผึ้งแท้ จำนวน 3 เล่มให้เทวดาบริวาลของท่านมาคุมศาตรามหาราชทุกด้าม ให้มีผลเป็นกรณีพิเศษ เป็นที่รักของมนุษย์ เทพ เทวดา เป็นมหาลาภ มหาอำนาจ กันภูตผีปีศาจ เสนียญจัญไร คุณไสย์ ภัยทั้งหลาย
ออกแบบได้สวยงาม ขนาดพอเหมาะสำหรับพกพาติดตัว หรือเก็บไว้บูชาในบ้านเรือน
คาถามีดหมอ
โอม ปัตโต... -
หลวงพ่อช่วยตำรวจปราบเสือปล้น
หลวงพ่อช่วยตำรวจปราบเสือปล้น
ภาพประกอบทาง Internet
หลวงพ่อท่านมีชีวิตอยู่ถามอะไรไม่มีอะไรที่เป็นที่ข้องใจ เพราะท่านสงสัยมามากกว่าเราร้อยเท่า ท่านค้นคว้ามาเยอะ ไอ้เราสงสงสัยไม่เท่าท่านหรอก เดิมหลวงพ่อเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่ายๆใช่ไหม สมัยก่อนจะเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง สมัยท่านเป็นเด็กรุ่นๆ อย่างเรายังไม่กล้าเท่าท่านหรอก เด็กรุ่นๆวัยรุ่นนี่นะเขาบอกว่า ท่านไปเลี้ยงควาย ทีนี้คนเก่าๆเขาสักกันใช่ไหม สักตามตัวนี่
" ลุงๆ สักทำไมไอ้นี่นะ "
" สักไว้เหนียว ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก "
พอเผลอๆท่านก็ฟันเบ้งเลย ฟันด้วยขวานนะ โอ..เข้าหรือเปล่าท่านไม่เล่าหรอก อย่างเราจะไปกล้าลองหรือน่ะ บอกว่าเหนียวฟันเลย ฟันด้วยขวาน แหม...ขวานนี่หนักกว่าดาบนะ ถึงไม่เข้าก็เลี้ยงไม่โตเลยล่ะ
" แสดงว่าหลวงพ่อนี่ตอนวัยรุ่นนี่น่าดูเหมือนกัน คงจะเฮี้ยนน่าดูเหมือนกันนะ "
ก็คุยว่าอย่างนั้นนี่ คุยว่าเหนียวนี่ เดี๊ยวจะเล่าเรื่องใจถึงไปยิงเสือโดดให้ฟัง
เสือโดดนี่เขาว่ามันเหนียว มันเป็นเจ้าพ่อสมัยโบราณ ถ้าเรียกเจ้าพ่อ หมายถึงเสือปล้น เรียกว่าไปหมู่บ้านไหนตำบลไหนนี่ คนก็ต้องนั่งราบหมด แล้วลูกน้องพกปืนสองกระบอก... -
"หลวงปู่มั่นกับนาคราช"
"หลวงปู่มั่นกับนาคราช"
" .. เมื่อครั้งอยู่เชียงใหม่ ท่านพระอาจารย์(หลวงปู่มั่นฯ) จำพรรษาอยู่บนเขากับชาวมูเซอ มีพระมหาทองสุกเป็นเพื่อน ใกล้ที่พักเป็นลำธาร มีน้ำไหลตลอดทั้งปี อาศัยน้ำนั้นใช้อุปโภคบริโภค
มึนาคราชตนหนึ่งชื่อว่า "สุวรรณนาคราช" อาศัยอยู่ลำธารนั้น พร้อมด้วยบริวาร "นาคราชตนนี้เคยเป็นน้องชายท่านพระอาจารย์มั่นหลายภพหลายชาติ" ด้วยความสับสนแห่งภพจึงมาเกิดเป็นนาคราช เขารักเคารพและให้การอารักขาเป็นอย่างดี เวลาเดินจรงกรมจะมาอารักขาตลอด จนกว่าจะเลิกเดิน
หลายวันต่อมา นาคนั้นหายไป เกิดฝนไม่ตกร้อนอบอ้าว ข้าวไร่เริ่มขาดน้ำไม่งอกงาม เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นประมาณ ๑๕ -๑๖ วัน จึงได้เห็นหน้านาคนั้น
- ท่านพระอาจารย์ถามว่า "หายไปไหน"
- นาคราชตอบ "ไปขัดตาทัพอยู่ปากทาง(ลำธาร) ลงสู่แม่น้ำปิง"
- ท่านพระอาจารย์ "ทำไม"
- นาคราช "มีนาคอันธพาลตนหนึ่ง อาศัยอยู่แถวนั้นจะเข้ามา เลยไม่มีโอกาศแต่งฝน มัวแต่ไปขัดตาทัพอยู่"
- ท่านพระอาจารย์ "ให้เขาเข้ามาเป็นไร เพราะเป็นนาคเหมือนกัน"
- นาคราช "ไม่ได้ เข้ามาแล้ว มารังแกข่มเหงเบียดเบียนบริวาร"
- ท่านพระอาจารย์ "เป็นไปได้หรือ"
- นาคราช... -
เล่าขานตำนานไสยเวทย์ไทย ตอน มีดหมอ (มีดอาคมประจำกาย)
เล่าขานตำนานไสยเวทย์ไทย ตอน มีดหมอ (มีดอาคมประจำกาย)
จากพจนานุกรม มีดหมอ น. มีดลงคาถาอาคมใช้ไล่ผี. มีดขนาดกลาง ใบมีดรูปร่างคล้ายมีดเหน็บ แต่โคนมีดมีชายแหลมโค้งออจากคมเล็กน้อย ใช้สำหรับประกอบในพิธีทางไสยศาสตร์.
จากข้อสันนิษฐาน คำว่า “มีดหมอ” คำว่า หมอ ในที่นี้อาจจะมาจากคำว่า “หมอผี” ซึ่งในบรรดาหมอไสยศาสตร์ ทั้งหมอผีจะมีมีดที่ใช้ในการประกอบพิธีทางไสยศาสตร์ แต่เดิมคงจะเรียกกันว่า “มีดหมอผี” แต่เกิดการตัดเอาคำว่าผี หรือคำอื่นเพื่อให้สะดวกแก่การเรียกขานจากคำว่า “มีดหมอผี” จึงกลายมาเป็น “มีดหมอ” หรืออีกในหนึ่งที่มีดหมอหมายถึงตัวแทนครู “มีดครูหมอ” แต่คำว่าครูเป็นอุปสรรคในการออกเสียง จึงถูกลดลงเหลือสองพยางค์ว่า “มีดหมอ” ส่วนอีกคำสันนิษฐานหนึ่งมากจากคำว่า “มีดพระพุทธคีเนศร์” หรือที่รู้กันในนาม “มีดพระ” ที่พระเกจิอาจารย์ท่านต่างๆได้เมตตาสร้างไว้ เพื่อใช้ในการป้องกันตัวจากอันตราย ขับไล่ภูตผี ขับไล่เสนียดจัญไร เมื่อมีคนป่วยไข้จากภูตผีและเสนียดจัญไร หมอผีจะใช้มีดในการรักษาขับไล่ผี ดังนั้นจึงถูกเรียกว่า “มีดหมอ” เพราะใช้รักษานั้นเอง
ส่วนทางล้านนา มีดหมอ จะถูกเรียกว่า “มีดครู”... -
พระเอกดัง "ริชาร์ด เกียร์" ท่องบทสวดมนต์สำเนียงเป๊ะ! |
อดีตพระเอกหนุ่ม ผู้มีบุญวาสนา
ขอบคุณที่มา
BRIGHT TV -
พระอรหันต์มีวันจะสิ้นสูญจากโลกนี้หรือไม่? พุทธองค์เคยตัรสตอบไว้เช่นไร หลวงตาบัวเคยเทศน์บอกไว้กว่า ๕๐ปีมาแล้ว!!!
พระอรหันต์มีวันจะสิ้นสูญจากโลกนี้หรือไม่? พุทธองค์เคยตัรสตอบไว้เช่นไร หลวงตาบัวเคยเทศน์บอกไว้กว่า ๕๐ปีมาแล้ว!!!
จวนวาระสุดท้ายก็มีผู้มาทูลถามว่า เมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว นานประมาณเท่าไรพระอรหันต์จะสิ้นสูญจากโลก มรรคผลนิพพานจะยังมีอยู่ในโลกนานประมาณเท่าไร พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ก็หลักพระธรรมวินัย ตถาคตมิได้แสดงให้ผิดจากเหตุผลอันเป็นฐานที่เกิดขึ้นแห่งมรรค ผล นิพพาน พอผู้ปฏิบัติตามจะผิดหวังในกาลที่ล่วงไปแล้วแห่งเรา แต่เราแสดงเพื่อมรรค ผล นิพพานทั้งนั้น เหตุใดจึงต้องมาถามอย่างนั้น ผู้ใดมีความสนใจใคร่ต่อการปฏิบัติธรรมที่เราแสดงไว้ชอบแล้ว ผู้นั้นจะได้รับความเป็นธรรมอยู่ตลอดกาล ทั้งที่ตถาคตยังมีชีวิตอยู่ และตถาคตนิพพานไปแล้ว เพราะสวากขาตธรรมไม่นิยมกาล สถานที่ บุคคล แต่เป็นอกาลิโกอยู่ตลอดกาล ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมอยู่ตราบใด พระอรหันต์จะไม่สูญสิ้นจากโลกอยู่ตราบนั้น
ฉะนั้นจึงไม่ควรสงสัยในสิ่งที่ไม่น่าสงสัย แต่ควรสงสัยในตัวเอง ว่าเวลานี้เรามีความขยันหมั่นเพียรตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าสอนหรือไม่เท่านั้น เป็นสิ่งที่ควรสนใจในตัวเอง ถ้าเป็นผู้เกียจคร้านหมดศรัทธาต่อพระสัทธรรม... -
เสียชีวิตแล้วจะไปไหน?! ปริศนาชีวิต 49 วันหลังจากการ "เสียชีวิต"
เสียชีวิตแล้วจะไปไหน?! ปริศนาชีวิต 49 วันหลังจากการ "เสียชีวิต"
มนุษย์และสัตว์มิได้สิ้นสุดที่ความตาย เพราะการ ‘ตาย’ หมายถึงสภาพร่างกายที่ไม่สามารถให้บริการแก่ จิตวิญญาณ ใช้งานต่อไปได้อีก “วิญญาณ” ยังคงอยู่ ถึงแม้ร่างกายจะหมดอายุขัยไปแล้วทั้งนี้สภาพการตายจะบ่งบอกให้รู้ว่าจิตวิญญาณนั้นไป สุคติหรือลงสู่นรกภูมิ
1. ตอนตายใหม่ๆ ถ้าหากสีหน้าปกติ ร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ เนื่องจากได้ บรรลุธรรม ดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ 2. ตอนตายใหม่ๆ ถ้าหากหน้าตาซีดผาด เหมือนคนตกใจ แสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว 3. ตอนตายใหม่ๆ ถ้าหากร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัว เพราะความตกใจ บางคนจะกรีดร้องเสียงคล้ายสัตว์ คนเหล่านี้จะไป เกิด เป็นสัตว์ 4 ชนิด
สังเกตได้จาก ตา หู จมูก ปาก ตาจะมีน้ำตาออก หูจะมีขี้หู จมูกจะมีน้ำมูก ปากจะมีน้ำลายฟูมปาก เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทาง เมื่อจิตวิญญาณออกทางนี้ จะเกิดเป็นสัตว์ 4 ประเภท
– ตา ชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆ คนเหล่านี้เวลาใกล้ตาย ดวงตาจะเบิกกว้าง จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดออกจากไข่) – หู ชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา คนเหล่านี้เวลาตายหู... -
สุดประหลาด ยังหาคำตอบไม่ได้ !!! ทะเลสาปที่กว้างใหญ่ อยู่ๆก็หายไปอย่างลึกลับ...คนทั้งโลกตั้งคำถามสงสัย แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ !?!
สุดประหลาด ยังหาคำตอบไม่ได้ !!! ทะเลสาปที่กว้างใหญ่ อยู่ๆก็หายไปอย่างลึกลับ...คนทั้งโลกตั้งคำถามสงสัย แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ !?!
นี่เป็นเหตุการณ์สุดลี้ลับที่เกิดขึ้นที่ประเทศชิลี ในเดือนพฤษภาคม ปี 2007 เกิดเหตุการณ์สุดแปลกประหลาด เมื่อน้ำในทะเลสาบขนาดใหญ่ในปาตาโกเนีย ได้อันตรธารหายอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงหลุมลึกขนาด 30 เมตร รวมทั้งซากน้ำแข็งและดินแห้งๆ และมันจะไม่น่าแปลกใจเลย ถ้ามันเป็นเพียงแค่ทะเลสาปเล็กๆ แต่นี่มันเป็นทะเลสาปที่กว้างขนาด 5 ไมล์ แม้ว่าเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้เกิดขึ้นมานานกว่า 10 ปี แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถหาคำตอบได้ว่า น้ำพวกนั้นได้หายไปอย่างไร มีเพียงสมมุติฐานเดิมๆจากกลุ่มผู้ชื่นชอบ UFO ว่ามันน่าจะถูกยานต่างดาวลักลอบสูบหายไป ทะเลสาบนี้ตั้งอยู่ในปาตาโกเนีย ประเทศชิลี ครั้งสุดท้ายที่นักธรณีวิทยาเห็นมัน คือในช่วงเดือนมีนาคม ปี 2007 และก็ไม่มีพบอะไรที่ดูผิดปรกติ หรือพบว่ามันจะมีปรากฏแปลกที่เกี่ยวข้องกับทะเลสาบแห่งนี้เลย
มันจะเป็นไปได้ไหมที่น้ำจะเหือดหายไปภายในเวลาเพียงแค่ 2 เดือน ซึ่งตามปรกติของวิธีการตามธรรมชาติ น้ำก็อาจจะแค่เหือดแห้งไปตามภูมิอากาศ... -
ประสบการณ์หลวงปู่โลกอุดรและคำวินิจฉัยจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ
“พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ” นั้น เป็นที่รู้กันดีในวงนักปฏิบัติและพระอริยเจ้าด้วยกันว่า ท่านเป็นพระแม้เป็นพระวิมุตติบริสุทธิ์และยังทรงคุณธรรมพิเศษทางด้านมโนยิทธิ อภิญญาสมาบัติอีกด้วย มีปกติสนทนาติดต่อกับสิ่งลึกลับที่พวกเราคนปุถุชนสามัญธรรมดาไม่มีตารู้เห็นไม่อาจสัมผัสได้ แต่สำหรับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำนั้นท่านกลับสามารถพูดคุยสนทนาได้ปกติ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำนั้นท่านมีความสามารถทางเห็นผีเห็นวิญญาณมาแต่เล็ก เมื่อโตขึ้นครบบวชก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ “หลวงพ่อปาน” เพราะนิสัยซน อยากรู้อยากเห็น กล้าไม่กลัวใคร หลวงพ่อปานจึงเรียกท่านว่า “ลิง” และเหตุที่ท่านมีผิวคล้ำ หลวงพ่อปานจึงเรียกท่านว่า “ลิงดำ”
พระอริยเจ้าหลายท่านที่รับรองคุณวิเศษและความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เช่นหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.อยุธยา หลวงปู่บุดดา ถาว โร วัดกลางชูศรี สิงห์บุรี ครู บาชัยวงศ์ษา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน ครูบาชุ่ม โพธิโก วัดพระบาทวังมุย จ.ลำพูน ครูบาธรรมชัย จ.ลำพูน หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพสิรินทร์ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่... -
หลวงพ่อทาวัดพะเนียงแตก เกจิดังยุคโบราณ!!ผู้สยบเหล่านักเลงดัง "เหนียวไม่เป็นสองรองใคร" มีคาถามาบอก ดีในทุกๆด้าน!!
หลวงพ่อทาวัดพะเนียงแตก เกจิดังยุคโบราณ!!ผู้สยบเหล่านักเลงดัง "เหนียวไม่เป็นสองรองใคร" มีคาถามาบอก ดีในทุกๆด้าน!!
หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก นครปฐม
เกิด ประมาณปี 2397
บรรพชา อายุ 15 ปี ประมาณปี 2394 ณ วัดโพธาราม
อุปสมบท ณ วัดบ้านฆ้อง (วัดฆ้อง)
มรณภาพ ปี 2463
รวมสิริอายุ 84 ปี
หลวงพ่อทา พระคณาจารย์ยุคเก่าเมืองพระเจดีย์ใหญ่ ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมากในอดีต บรรดานักเลงและเสือร้ายทั้งหลายทั่วเมืองต่างเกรงกลัวบารมีของท่าน เวลามีงานประจำปีของวัดพะเนียงแตก มีประชาชนมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก กลับไม่ต้องใช้ตำรวจมารักษาความปลอดภัยและก็ไม่มีเรื่องนักเลงตีกันในวัดเกิดขึ้นเลย หลวงพ่อมีนามว่า ทา เกิดเมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๗๙ ณ. ตำบลบ่อผักกูด อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ท่านเป็นบุตรชายคนโตในจำนวนพี่น้อง๔ คน น้องชายของท่านทั้งหมดอีกสามคนบวชเป็นพระภิกษุเช่นเดียวกับท่าน
ท่านบรรพชาเมื่ออายุ ๑๕ ปี ในปีพุทธศักราช ๒๓๙๔ ณ.วัดโพธาราม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี และอุปสมบทเมื่ออายุ ๓๖ ปี ในปีพุทธศักราช ๒๔๑๕ ณ. พัทธสีมาวัดบ้านฆ้อง หลังจากท่านอุปสมบท...
หน้า 384 ของ 424