.oO เรื่องสั้น ปั้นแต่ง Oo.

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย สร้อยฟ้ามาลา, 22 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    วัดพนัญเชิงวรวิหาร


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]




    เป็นรูปเก่าที่เคยถ่ายไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2013
  2. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    ฝีมือการถ่ายรูปแรกๆ เบี้ยวๆ บูดๆ เอียงๆ ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง
    นำมารวมกระทู้ใหม่นี่ อายจัง....

    เมื่อสาว สาว พลังจิต ไปเที่ยวอยุธยาเป็นกระทู้แรกที่ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ในเว็ป...

    ยอมรับว่าตื่นเต้น ตัวเกร็ง และเริ่มติดใจที่จะเขียนกระทู้เที่ยวโม้ไปเรื่อยๆ...

    สิ่งที่ตั้งใจอย่างยิ่งคือ การหาข้อมูลมาลงให้ถูกต้องและละเอียด ทุกกระทู้ก่อนที่จะพิมพ์ลงไป จะนั่งอ่านก่อน ตรวจทานข้อความของผู้เขียนต้นฉบับกับฉบับอื่นว่าถูกต้องตรงกันหรือไม่ นั่นคือ การเขียนเรื่องหนึงเรื่องในกระทู้(ในกระทู็แตกเป็นหลายเรื่องตามสถานที่) จะหาแหล่งข้อมูลจากหลายแห่งไม่ว่าจะเป็นในหนังสือหรือในเว็ปไซด์ต่างๆ แล้วมาประมวลเข้าด้วยกัน.... แต่บางทีหาได้แค่แห่งเดียวก็จะยกมาทั้งหมดที่ผู้เขียนต้นฉบับได้เขียนไว้...

    ข้อมูลอาจจะมากเกินไปหน่อยสำหรับบางคนที่ไม่ชอบการอ่าน อาจจะน่าเบื่อ แต่อย่างที่บอก อยากจะทำกระทู้ให้ดี ให้มีคุณภาพและสาระ เพื่อให้ได้ความรู้ที่ถูกต้อง......
     
  3. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    เรื่องที่ ๒

    แบ่งปันบรรยากาศเที่ยวปีใหม่ ๒๕๕๒ กับสร้อยฟ้ามาลา



    เป็นรูปถ่ายบรรยากาศต่างๆ ในหลากหลายอารมณ์ ของเทศกาลปีใหม่ มาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน


    [​IMG]
    หน้าหมู่บ้านของสร้อยฟ้ามาลา จังหวัดนนทบุรี ตอนประมาณ ๒๐.๓๐ น. ของวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ เป็นชายนั่งดื่มเบียร์อยู่ริมถนน คนเดียว เงียบเหงา เนอะ ไม่มีเพื่อน


    [​IMG]
    จ้องหน้ากับมดแดงอยู่นาน ที่ต้นมะม่วงหลังบ้าน จังหวัดนครสวรรค์ วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๒.


    [​IMG]
    หันไป หันมาไม่รู้จะถ่ายรูปอะไร ก็เลยถ่ายรูปพระหน้ารถ เล่นๆ ที่เห็นนี้เป็นแค่ส่วนเล็กๆ น้อยๆ ก็จะเป็นพระสีวลี กับพระอุปคุตปางเย้ยพญามารจากวัดอุปคุตจังหวัดเชียงใหม่ แต่ในรถยังมีอีกเยอะ พระดังๆ ทั้งนั้น อิ อิ ไม่อยากจะอวด...


    [​IMG]
    กลางวัน เข้าตัวเมืองจังหวัดนครสวรรค์ เขาเตรียมงานตรุษจีนนครสวรรค์ ซึ่งงานจะเริ่มปลายเดือนมกราคม ระหว่างวันที่ เอ่อ สร้อยฟ้ามาลาจำไม่ได้



    [​IMG]
    มังกรประดับตามเสาไฟในตัวเมือง


    [​IMG]
    ป้ายเตือนใจตามสี่แยกในตัวเมือง แต่ที่ขับรถก็เห็นอุบัติเหตุแค่หนเดียว เป็นรถเก๋งตกถนน แต่ดูๆ แล้วคงไม่เจ็บมากเพราะฝากระโปรงหน้าบุบหน่อยเดียว โชคดีไปไม่ไปโดนต้นไม้ใหญ่...

    [​IMG]
    ซึ่งอุบัติเหตุที่เกิดในตัวเมืองและนอกตัวเมืองที่ทราบส่วนมากมาจากรถจักรยานยนต์ขับปาดหน้ารถยนต์ในระยะกระชั้นชิด ซึ่ง ที่ทราบๆ มาจากคนระแวกนั้น ก็หลายศพอยู่ ประมาทแท้ๆ


    [​IMG]
    พูดมากแล้ว ทานข้าวโพดแก้หิวดีกว่า....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2013
  4. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    งานปิดทองฝังลูกนิมิต วัดบึงปลาทู อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์


    [​IMG]
    กลางคืนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๒ ไปเที่ยวงานวัดกันดีกว่า
    งานปิดทองฝังลูกนิมิต ที่ วัดบึงปลาทู อำดภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์



    หน้าพระอุโบสถ เจ้าค่ะ...​


    [​IMG]


    วัดนี้มีบรรยากาศและกลิ่นไอของงานวัด ซึ่งจะหาจากกรุงเทพฯ ยากเต็มทน แต่คนเยอะอ่ะ


    [​IMG]
    คนเยอะน่าดูเลย อันนี้นิสัยไม่ดีอย่างหนึ่งของสร้อยฟ้ามาลาคือไม่ชอบสถานที่คนเยอะๆ เดินไม่สะดวก แล้วจะหงุดหงิด ก็ไม่เป็นไร ไปเที่ยววัด ไปทำบุญ ทำจิตใจให้ผ่องใส ดีกว่า...


    [​IMG]
    มาปิดทองกันเร็ว... แต่ฝังลูกนิมิต รู้สึกว่าจะเป็นวันที่ ๓ หรือวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๒ ไม่มั่นใจ แต่ต้องกลับนนทบุรีก่อน


    [​IMG]
    หลวงพ่อขาว เจ้าค่ะ เขาว่าศักดิ์สิทธิ์นัก


    [​IMG]
    ปิดทองลูกนิมิตเสร็จแล้ว ก็เดินเที่ยวดูงานวัด เจ้าค่ะ ชิงช้าสวรรค์ ขอยืนดูดีกว่า ไม่ขึ้นอ่ะ กลัวความสูง


    [​IMG]
    ไม่ได้นำขาตั้งกล้องไป ก็พยายามถ่ายรูปให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่อากาศหนาวนะนี่


    [​IMG]
    ใครก็ไม่รู้ ไม่รู้จัก .... พอดีเห็นว่าบรรยากาศสวยดี เลยเก็บมาฝาก หนุ่มๆ ชาวพลังจิต....


    [​IMG]
    มาปาโป่งเล่นกัน ....


    [​IMG]
    ปายังไง ก็ไม่ได้ตุ๊กตาสักที รอใหคนอื่นซื้อให้ดีกว่า


    [​IMG]
    อยากได้อ่ะ


    [​IMG]
    น่ารักเนอะ น่ารักเหมือนคนถ่ายรูปเลย (คนอะไรชมตัวเองก็เป็น)


    [​IMG]
    เขาเรียกว่าอะไร ช่วยบอกที ไม่รู้จัก...บอกไม่ถูก ม้าหมุนก็ไม่ใช่


    [​IMG]
    มาดูพระเอกลิเก ดีกว่า...


    [​IMG]
    นี่ผู้ร้ายเจ้าค่ะ อย่าจ้องมาทางนี้สิ เดี๋ยวมือสั่น...


    [​IMG]
    น่าสงสารลูกช้าง .... ตอนนั้นลูกช้างตัวนี้ร้องเสียงดังมาก ร้องหลายครั้งสงสัยจะหิวและง่วง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2013
  5. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    วัดที่ ๒ ของคืนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๒
    วัดเอ่อ ขอนึกก่อน วัดอะไรน๊า....
    วัดหนองคล้า อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร เจ้าค่ะ


    [​IMG]
    มียักษ์เฝ้าประตูวัดด้วย ไปถึงวัดก็ประมาณ ๔ ทุ่มกว่า คนบางตาแล้ว วัดนี้เดินสบาย คนเริ่มกลับบ้านกันหมดแล้ว...


    [​IMG]
    แต่วัดนี้ขอบอกว่า สวยมากทีเดียว ซ่อนตัวอยู่กับบรรยากาศท้องทุ่งนา...


    [​IMG]
    ลูกนิมิต เจ้าค่ะ สังเกตุดู คนแทบไม่มีแล้ว ซึ่งส่วนหนึ่งไปเที่ยวงานวัดด้านข้างวัดกันหมด


    [​IMG]
    เห็นว่า งานนี้หมดค่าเช่าเครื่องปั่นไฟเฉียดล้านแล้ว


    [​IMG]
    ซุ้มประตูทางเข้าพระอุโบสถ สวยงามมากๆ


    [​IMG]
    หลังคาพระอุโบสถ... ด้านหลังเป็นเจดีย์...


    [​IMG]
    ศาลารายด้านหลังพระอุโบสถ มีพระเก่าๆ ด้วย เห็นแล้วเกรงท่านจะ ภิกษาจรไปที่อื่นจัง...


    [​IMG]
    เทพพนมประดับเสา เจ้าค่ะ...


    [​IMG]
    พระประธานในพระอุโบสถ พื้นพระอุโบสถเป็นพื้นไม้ หน้ากว้างมากๆ ตัวพระอุโบสถยกพื้น สามารถเดินลอดได้เพื่อสะเดาะห์เคราะห์ สร้อยฟ้ามาลาก็ไปลอดพระอุโบสถมาด้วยหล่ะ...


    [​IMG]
    ประตูด้านหลังพระอุโบสถ


    [​IMG]
    มาชมบรรยากาศรอบพระอุโบสถกัน และร่วมอนุโมทนาบุญกับสร้อยฟ้ามาลาไปพร้อมกันนะเจ้าคะ


    [​IMG]
    เลือกมุมถ่ายรูปได้สบายเลย....


    [​IMG]
    ตรงนี้ยังสงสัยอยู่ว่า ทำไมมีกระต่ายเฝ้าพระอุโบสถ ยัง งง งง..


    [​IMG]
    ถ่ายรูปจากซุ่มลูกนิมิต ด้านข้างพระอุโบสถ... อากาศก็เย็นๆ หนาวๆ


    [​IMG]
    เขาเรียกว่าอะไร น๊า ใช่คันทวยศาลารายหรือเปล่า...


    [​IMG]
    พระพุทธรูปศาลาข้างพระอุโบสถ มากราบพระกันเจ้าค่ะ...


    หมดแร๊ะ ขับรถกลับบ้านพัก ดูเองนะเจ้าคะ มืดตึด.... ถึงบ้านประมาณ เกือบเที่ยงคืน ง่วงแล้ว...[​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2013
  6. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๒


    [​IMG]
    ตื่นเช้ามา อุ้ยไม่ใช่สิ ตื่นสายมาไม่รู้จะทำอะไรดี คว้ารถจักรยานยนต์กับคว้ากล้องได้ขับออกไปถ่ายรูปดีกว่า ได้มารูปเดียว เอง แดดร้อน กลับบ้านดีกว่า


    [​IMG]
    ถึงบ้านหันไปหันมา เห็นแมวที่เลี้ยงไว้มุดอยู่ใต้ตู้แสงสวยดีเลยนำมาเป็นนางแบบเสียเลย


    [​IMG]
    คนละตัวกันนะเจ้าคะ แต่คอกเดียวกัน สองตัวนี้ขี้อายไม่ค่อยให้จับ


    [​IMG]
    น่ารักไหม พันธุ์ผสมกับแมวพันธุ์โคราช


    [​IMG]
    ตัวนี้ดุหน่อย แต่ก็ชอบเล่นกับมัน ได้แผลเกือบทุกครั้ง


    จะเที่ยงแล้วไปหาซื้อกับข้าวดีกว่า


    [​IMG]
    ตลาดในอำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ อดีตเขาบอกว่าคึกคักกว่านี้มากนัก แต่ปัจจุบันเริ่มเงียบเหงา


    [​IMG]
    บรรยากาศเหงาๆ พิกล


    [​IMG]
    ซื้อกับข้าวเสร็จขับรถไป ไหว้พระก่อนกลับไปบ้าน
    แวะที่วัดหัวดงใต้ อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์
    ไปสักการะหลวงพ่อโต เขาว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก


    [​IMG]
    เขาเรียกว่า สิงห์ หรือเรียกว่าเหรา นะเจ้าคะ ไม่มั่นใจ


    [​IMG]
    ยักษ์.....


    [​IMG]
    ยักษิณี....


    [​IMG]
    แมววัดข้างโบสถ์เก่า....





    วันนี้มาไหว้พระที่วัดหัวดงใต้ อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2013
  7. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๒


    ตอนเช้ามาตัวตลาดเก่าของหัวดงใต้ กับบรรยากาศเงียบเหงา


    a.jpg
    อาคารเก่าที่เคยเป็นร้านค้า ตอนนี้ปิดตัวไปเกือบหมดแล้ว


    a.jpg
    แถบนี้เคยเป็นร้านค้าทั้งหมด ปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้ เงียบเชียบ


    a.jpg
    เหลือร้านชำอยู่เพียงร้านเดียว เขาบอกว่าเมื่อก่อนผู้คนพลุกพล่านคึกคัก เดี๋ยวนี้คนหายหมด เข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ หมด เหลือแต่คนเฒ่าคนแก่ เฝ้าบ้านกับบรรยากาศที่หดหู่


    a.jpg
    ปิดเงียบไปหมด


    a.jpg
    เก้าอี้ขาดคนนั่ง บ้านขาดเด็กเล็กๆ ไม่มีความสดใส เหลือแต่ความทรงจำของวันวารที่จะตายไปกับความทรงจำของคนเก่าคนแก่...


    a.jpg
    เห็นกล้วยแขวนอยู่หน้าบ้าน เลยถ่ายรูปมาฝาก


    a.jpg
    ตลาดเก่าหัวดงใต้ อยู่ติดริมแม่น้ำปิง ตอนนี้น้ำน้อยเดินข้ามไปอีกฝั่งได้สบายเลย


    a.jpg
    ถ้ามองลงไปที่แม่น้ำสามารถมองเห็นเม็ดทรายที่ก้นแม่น้ำเลย...


    ไปตัวเมืองนครสวรรค์ดีกว่า ไปตลาดริมน้ำเจ้าพระยา แหล่งซื้อเสื้อผ้าที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัด


    a.jpg
    ตอนนี้คนยังไม่เยอะ ...


    a.jpg
    มีเสื้อผ้าให้เลือกมากมาย ทั้งเด็กเล็ก เด็กโต วัยรุ่น ผู้ใหญ่
    ตาลายกับเสื้อผ้าแล้ว....



    ไปดูริมแม่น้ำปากน้ำโพกันกับภาพที่ เอ่อ คิดเอาเองนะเจ้าคะ


    a.jpg
    เรือนแพ ริมน้ำ.....


    a.jpg
    มีอยู่หลายหลัง...


    a.jpg
    ที่จริงน่าจะปรังปรุงภูมิทัศน์ให้สวยงามกว่านี้เนอะ... เพราะถือว่าเป็นจุดเด่นของนครสวรรค์ "ปากน้ำโพ"


    a.jpg


    เก็บมาฝาก กับบรรยากาศเหงาเหงาในปีใหม่ ๒๕๕๒


    สร้อยฟ้ามาลาออกจากนครสวรรค์เวลาประมาณ ๑๘.๓๐ น. ถึงบ้านจังหวัดนนทบุรี เวลา ๒๒.๓๐ น. ใช้เวลาประมาณ ๔ ชั่วโมง กลับทางเส้นสุพรรณบุรี ใช้ทางเส้นนี้ช่วงหน้าเทศกาลขับรถง่ายดีทำความเร็วได้เยอะอยู่ที่ ประมาณ ๑๒๐ - ๑๔๐ กม./ชม. ได้สบายๆ แต่ก็ต้องระวังโค้งเยอะเหมือนกัน พอถึงช่วงเข้าเขตอยุธยาปริมาณรถเริ่มเยอะ ทำความเร็วได้ประมาณ ๙๐ - ๑๐๐ กม./ชม.


    จบรายงาน เทศกาลปีใหม่ แบบสร้อยฟ้ามาลา ไม่หวือหวาแบบใครๆ เป็นอีกแง่มุมหนึ่งของความเงียบๆ ตามแบบฉบับสร้อยฟ้ามาลา


    ขอต่ออีกหน่อยกลอนสุภาพแต่งเอง



    สวัสดีปีใหม่ใกล้ถึงแล้ว
    ขอจิตใจผ่องแผ่ว จับราศี
    พร อันใดประเสริฐแล้วทั่วธานี
    จงประสพทุกถ้วนถี่นี้ทุกคน
    ปีเก่าใกล้จะหมดพ้นปีใหม่
    ปีเก่าไปปีใหม่มาพาสุขสม
    ปีเก่าเศร้าปีใหม่ใจไร้ระทม
    ขอปีเก่าเป็นเพียงลมพัดผ่านไป
    อันปีใหม่กลิ่นไอของความสุข
    คงสนุกเริงรื่นชื่นสดใส
    อย่ามัวหลงลงเกินเพลิดเพลินไป
    ระลึกไว้ ชีวาหมด ไปอีกปี



    .................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2018
  8. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    เป็นกระทู้ที่สอง ที่ยังคงสมบูรณ์อยู่ ส่วนกระทู้ที่สองจริงๆ ที่เคยลงในห้องท่องเที่ยว - อาหารการกิน ที่จริงจะเป็นเรื่อง สถาปัตกรรมประวัติศาสตร์ ๑๐๐ ปี ซึ่งเนื้อหาเป็นเรื่องของวังบางขุนพรหม แต่เนื้อหาในกระทู้เสียไปแล้วน่าจะเกิดจากตอนที่ย้ายข้อมูลใน Sever ครั้งก่อน และอีกเรื่องคือ ไปไร่องุ่น Silverlake ที่พัทยากันเถอ... เป็นเรื่องที่นำมาจากอีเมล์ ก็ขอข้ามไป....

    กระทู้ที่สองนี้ ทำให้เห็นความเงียบเชียบของผู้คนในตำบลหนึ่งในอำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเมื่อก่อนทราบมาว่า เป็นตำบลที่มีผู้คนพลุกพล่านและเจริญมาก

    มาถึงตอนนี้วัยรุ่นหนุ่มสาวและวัยทำงานได้ละทิ้งบ้านเพื่อไปหางานทำที่กรุงเทพฯ และไปเรียนที่ในตัวเมืองนครสวรรค์หรือไปเรียนในกรุงเทพฯ เหลือแต่คนแก่เฝ้าบ้าน...... วิถีชีวตเปลี่ยนไป สิ่งที่คิดว่าเป็นความเจริญของเมื่อก่อนได้ถูกความเจริญของเมืองใหญ่มาชักจูงไป เหลือไว้เพียงเงาของวันวาร....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2018
  9. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    เรื่องที่ ๓

    สร้อยฟ้ามาลาพาไปงานวัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์



    ที่จริงต้องสารภาพตรงๆ ว่า สร้อยฟ้ามาลาไม่ได้คิดที่อยากจะไปชมความงามของวัดแห่งนี้สักเท่าไหร่ เพราะว่าสร้อยฟ้ามาลาชอบศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมไทย หรือแบบยุโรปสมัยเรเนซองค์,นีโอคลาสิค,โรโคโค่ มากกว่า แต่พอได้ยินได้ฟังข้อมูลเกี่ยวกับวัดแห่งนี้มากๆ เข้าจึงเริ่มสนใจว่ามีความพิเศษอย่างไร และอีกประการหนึ่งวัดแห่งนี้ก็อยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก จึงตัดสินใจไปชมด้วยตาตนเอง จึงได้เห็นความงดงามของศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมจีนแบบ หมิง-ชิง และยอมรับความงดงามของสถาปัตกรรมที่ได้วิจิตบรรจงสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    เกริ่นมาพอสมควร ไปไหว้พระกันดีกว่า สร้อยฟ้ามาลาไปวัดนี้ถึง ๒ วัน จะปิดทองลูกนิมิตไปวันแรกคือวันอาทิตย์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ไปถึงเวลาเย็นมากแล้ว ทางวัดจัดชุดธูปเทียนไม่เพียงพอ เพราะมีผู้คนมากันอย่างมากมาย สร้อยฟ้ามาลาจึงต้องมีอันต้องกลับเคหา เพื่อไปหาซื้อธูปกับทองปิดลูกนิมิตและเดินทางมาไหว้อีกทีในวันรุ่งขึ้น สรุปคือ ได้มา ๒ วันติดกันเลย แต่วันที่ ๒ คนบางตาหน่อยเพราะเป็นวันทำงาน แต่สร้อยฟ้ามาลาก็มาถึงวัดเย็นเหมือนเดิม


    เส้นทางการเดินทางของสร้อยฟ้ามาลาเริ่มจากถนนรัตนาธิเบศร์พอถึงแยกบางพลูเลี้ยวซ้ายเข้าไปมีป้ายบอกทางประมาณ ๕.๕ กิโลเมตรถึงวัด (ที่จริงต้องขอบคุณแผนที่ที่คุณบุษบากาญจน์หาไว้ให้ในกระทู้ของคุณpaang เรื่อง ขอดเกร็ดมังกรสยาม ที่วัดเล่งเน่ยยี่ ๒

    a.jpg
    มาเดินผ่านประตูวัดไปพร้อมๆ กันนะเจ้าคะ

    a.jpg

    a.jpg
    เมื่อผ่านประตูมาแล้ว สิ่งที่เห็นตรงหน้าก็คือ ก็คือ ก็คือ วิหารท้าวจตุโลกบาล
    รอบๆวิหารแต่ละหลังประดับด้วยลวดลายภาพเขียนสีพุทธศิลป์แบบจีนที่มีความวิจิตรงดงามลักษณะภายในภาพมีสีที่เด่นชัดคือสีน้ำเงิน แดงและทอง ตามผนังและเพดานทั้งหมดภายในพระอารามมีคาถาเป็นตัวอักษรสีทอง คือคาถา (โอม มา นี ปะ หมี่ ฮง) ซึ่งเป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์ขับไล่สิ่งชั่วร้ายต่างๆได้


    วิหารจตุโลกบาลเป็นวิหารแรก มีวิหารหอระฆังอยู่ทางด้านซ้ายมือ และวิหารหอกลองทางด้านขวามือ ภายในวิหารจตุโลกบาลเป็นที่ประดิษฐานของพระโพธิสัตว์และธรรมบาล ภาษาจีนเรียกว่า “หู่ฮวบ” หมายถึง เทพปกปักษ์พิทักษ์พระพุทธศาสนาได้แก่ พระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์ พระสกันทโพธิสัตว์ และท้าวจตุโลกบาล รวมทั้งเทพต่างๆ อีก ๘ องค์


    a.jpg

    a.jpg


    สัตว์มงคลเล็กๆเรียกว่า(กิ๊กเสี่ยงสิ่ว)บนหลังคา
    a.jpg

    a.jpg

    ไปไหว้ขอพร และสะเดาะเคราะห์ในวิหารท้าวจตุโลกบาลกัน(พอดีเป็นปีชง แต่ใครที่ไม่ชงก็ไม่เป็นไร ไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล) แต่สร้อยฟ้ามาลาพูดไม่ถูกว่าเป็นเทพองค์ใดบ้าง ลองชมกันดูนะเจ้าคะ

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg


    สะเดาะเคราะห์กันเสร็จแล้ว เราก็เดินเข้าพระอุโบสถกันเลย ตามมาเจ้าค่ะ

    ลักษณะหลังคาของวัดบรมราชาฯ มุงด้วยกระเบื้องเผาแบบจีน สีเหลืองเข้ม ปลายหลังคามีลักษณะโค้งได้สัดส่วนอ่อนช้อยงดงามที่ตรงมุมหลังคาทั้ง ๔ มุม มีสัตว์มงคลเล็กๆเรียกว่า(กิ๊กเสี่ยงสิ่ว)ได้แก่ เทวดาขี่หงส์ มังกร สิงโต ม้าน้ำ ม้าเทวดา แพะเทวดาเขาเดียว กระทิงเทวดา ปลาเทวดาและนกเค้าแมว ซึ่งวังหรือวัดบางแห่งมี ๑๐ ตัวบ้าง ๙ ตัวบ้าง ๘ ตัวบ้าง แต่จำนวนที่มากที่สุดคือทั้งหมด ๑๐ ตัว
    ณ บริเวณชั้น ๒ ของวัด เป็นหอธรรม ลักษณะหอธรรมเป็นห้องโถงกว้างขวางภายในมีเวทีแสดงธรรมและที่ประชุมในวาระต่างๆของทางวัด หอธรรมแห่งนี้เป็นสถานที่อบรมและเผยแผ่หลักธรรมของพระศาสนาให้แก่พระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชนอันเป็นการหยั่งรากของพระพุทธศาสนามหายานในประเทศไทยให้แผ่ไพศาลมั่นคงถาวรอย่างยั่งยืนสืบไป
    ด้านหน้าของพระอารามประกอบด้วย วิหารจตุโลกบาล หอกลองและหอระฆัง หอกลองอยู่ทางด้านขวาของพระอุโบสถ หอระฆังอยู่ทางด้านซ้ายของพระอุโบสถ
    ลักษณะของกลองเป็นกลองใบใหญ่สีแดงด้านข้างประดับด้วยลวดลายมังกรมองดูแล้วน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง และระฆังมีลักษณะใบใหญ่ความสูง ๑.๙๕ เมตร รอบๆระฆังมีอักขรคาถาที่สำคัญอาทิ พระมหากรุณาธารณีสูตร ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรและคาถา โอม มา นี ปะ หมี่ ฮง ซึ่งกลองและระฆังนี้นำมาจากเมือง ซัวเถา ตำบล หัวเพ้ง ประเทศจีน
    ด้านหน้าประตูทางเข้าของวัดมีอักษรขนาดใหญ่ด้านซ้ายขวา ด้านละ ๔ ตัวอักษร แกะสลักเสลาบนแผ่นหินแกรนิตขนาดใหญ่ ด้านซ้ายมือเขียนคำว่า慈雲法雨 ด้านขวาเขียนคำว่า 梵磬金經
    คำว่า 慈雲法雨 มีความหมายตามนัยหมายถึง พระอารามแห่งนี้ เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมดั่งเมฆบนนภาอันกว้างใหญ่ ด้วยอำนาจพระรัตนตรัย ดลบันดาลเป็นสายฝนอันชื่นฉ่ำโปรยปรายลงมายังสรรพสัตว์บนผืนโลก
    คำว่า 梵磬金經 ตัวอักษร 梵 หมายถึงวัด 佛寺 ตัวอักษร 磬 เป็นเครื่องตีสมัยโบราณทำด้วยหิน ลักษณะกลวง ส่วนมากเป็นรูปปลา บ้างก็ทำมาจากไม้ขนาดใหญ่ประมาณ ๑- ๒ เมตร ตั้งอยู่ในอาราม เมื่อตีจะมีเสียงดังกังวานมาก เป็นเครื่องตีที่สำคัญมาก นอกจากระฆังและกลองที่จะต้องมีประจำอยู่ที่วัด
    คำว่า 金經 ก็คือ 金剛般羅密多心經หรือ ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรที่สำคัญยิ่ง ของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานว่าด้วยเรื่องขันธ์ห้า เป็นสิ่งที่ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น พระสูตรนี้มีอักษรประมาณ ๕,๕๐๐ กว่าตัวอักษรฉะนั้นคำว่า 梵磬金經
    มีความหมายตามนัยว่า พระอารามนี้มีเสียงตีของชิ่ง 磬 ( ภาษาแต้จิ๋ว อ่านว่า เข่ง ) อันเป็นเสียงที่กังวานมีมนต์ เวลาตีแล้วเสียงที่ได้ยิน เป็นตัวอักษร 空 คือ ว่างนั่นเอง ในท่ามกลางเสียงนั้น พระภิกษุสงฆ์จะสาธยายพุทธมนต์ สื่อให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์น่าเคารพ และควรอย่างยิ่งต่อการนอบน้อมในพระอารามแห่งนี้
    เมื่อได้ก้าวผ่านประตูหน้าวัดจะพบตัวอักษรจีนขนาดใหญ่ ด้านขวา ๔ ตัว ด้านซ้ายอีก ๔ ตัว บนแผ่นหินแกรนิตขนาดใหญ่
    ด้านขวามือเขียนคำว่า菩提聖境 แปลได้ว่าแดนแห่งโพธิราชา เนื่องด้วยวัดบรมราชากาญจนาภิเษกฯ นี้ สร้างขึ้นเพื่อถวายพระเกียรติแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยทศพิธราชธรรม ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม
    ด้านซ้ายมือเขียนคำว่า 般若襌林 แปลได้ว่า วนารามแห่งปัญญา หมายถึง สถานก่อเกิดปัญญา อันไม่เสื่อมถอยจากพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
    ลายมือนี้ เดิมเป็นตัวอักษรตัวไม่ใหญ่มากขนาดประมาณครึ่งนิ้ว ได้นำมาจากคัมภีร์ ตำรานำมาขยาย อักษรลายมือนี้ เป็นลายสือศิลป์ของท่านหวังซีจือแห่งยุคราชวงศ์จิ้น ( ปี ค.ศ ๓๐๓ ) ประมาณ ๑,๗๐๐ ปีมาแล้ว ท่านหวังซีจือเป็นนักลายสือศิลป์ ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเทพอักษร 書聖เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่า เขียนอักษรจีนได้งดงามที่สุดของแผ่นดินจีน มาจวบจนถึงปัจจุบัน จักรพรรดิจีนที่ผ่านมาในอดีตจะเป็นองค์ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ถัง ( ถังไท้จงมหาราช) หรือกระทั่งราชวงศ์ชิงจักรพรรดิ เฉียนหลงต่างลุ่มหลงในลายมือท่านหวังซีจือเป็นอย่างมาก ทรงพยายามสืบเสาะหา ลายมือท่านหวังซีจือมาครอบครองเป็นส่วนพระองค์ โดยปกติอักษรจีนนั้น หากเขียนตัวเล็กๆ แล้วนำมาขยายใหญ่เป็นวิสัยที่ไม่ถูกนัก เนื่องจากจะเสียสมดุลความงดงามทันที แต่กระนั้นลายมือท่านหวังซีจือ แม้นำมาขยายใหญ่สักเพียงใด ก็ยังงดงามได้อย่างน่าอัศจรรย์ สมกับเป็นสุดยอดแห่งลายสือศิลป์ อันมีคุณค่ามหาศาล



    a.jpg
    พระอุโบสถ เป็นสถานที่สำคัญที่สุด และใหญ่ที่สุดในพระอาราม ด้านหน้าพระอุโบสถมีแผ่นป้ายไม้สักขนาดใหญ่ ความยาว ๙ เมตร สลักตัวอักษรจีน ๔ ตัว คือ大雄寶殿 ซึ่งอักษรจีนสีทองเหล่านี้ เป็นลายสือศิลป์ของ พระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร (สกเห็งโจวซือ) ปฐมบูรพาจารย์ ท่านได้เขียนไว้ที่ป้ายอุโบสถวัดเล่งเน่ยยี่เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ในปัจจุบันนี้ป้ายพระอุโบสถวัดบรมราชาฯได้นำมาเป็นต้นแบบ จะเห็นได้ว่ายังคงความงดงามจนกระทั่งมาถึงทุกวันนี้
    คำว่า ( 大雄 ) คือ พระพุทธเจ้า ( 寶殿 ) คือ บัลลังก์อาสน์ มีความหมายว่า ที่ประดิษฐานแห่งองค์พระประธานในพระอาราม หรือหมายถึง พระอุโบสถ นั่นเอง รอบๆ บริเวณพระอุโบสถเป็นหินแกรนิตขนาดใหญ่สลักเสลาเป็นรูปธรรมชาติต่างๆ ด้านข้างทั้งสองของพระอุโบสถมีเสมาเป็นศิลปะแบบจีนที่มีความงดงามเป็นเอกลักษณ์
    พระประธาน 3 พระองค์อยู่ภายในอุโบสถ คือ พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระอมิตาภพุทธเจ้า และ พระไภษัชยคุรุไวฑูรย์พุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าในอดีต พระพุทธเจ้า ๓ พระองค์นี้เป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ฯ พระประธาน ๓ พระองค์นี้เปรียบเสมือนเป็นศูนย์กลางของพุทธจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลมีเหล่าพระโพธิสัตว์ พระอรหันต์และเทพธรรมบาลรายล้อมอยู่เป็นจำนวนอเนกอนันต์ในพุทธจักรวาลแห่งนี้
    องค์พระประธานแต่ละองค์ มีความสูงจากวัชรบัลลังก์ถึงยอดพระเกศา ๔ เมตร ๓๐ เซนติเมตร กว้าง ๓ เมตร ๔ เซนติเมตร พระประธาน ๓ องค์ จำลองมาจากพระประธานในพระอุโบสถวัดมังกรกมลาวาส ( เล่งเน่ยยี่ ) พระประธานที่วัดบรมราชากาญจนาภิเษกฯ แห่งนี้ เป็นพระประธานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป็นพุทธศิลป์จีนที่มีพุทธลักษณ์งดงาม พระพักตร์มีลักษณะมหาเมตตา มหากรุณา องค์พระมีพุทธลักษณะที่เด่นเป็นสง่าและงดงามอย่างยิ่ง
    ตุ้ยเลี้ยง คือเสากลอนจีนขนาดใหญ่ จำนวน ๔ ต้น มีอยู่ทางด้านข้างของพระประธานทั้งสองด้าน เสาด้านละ ๒ ต้น เป็นแผ่นไม้สัก ครึ่งวงกลมขนาดความสูงประมาณ ๘ เมตร เสาแต่ละต้นมีกลอนอักษรจีนจำนวนเสาละ ๑๕ ตัวอักษร แกะสลักปิดทองอย่างงดงามอักษรจีนนี้ เป็นลายสือศิลป์ของท่านเทพอักษรจีน หวังซีจือ 晉王義之นำมาขยายใหญ่ กลอนจีนทั้งหมดนี้ ประพันธ์โดย อาจารย์ หลินหวินเฟิง林雲峰 กวีนักแต่งกลอนที่มีชื่อเสียงจากประเทศสิงคโปร์ ผู้แปลและเรียบเรียงคือ อาจารย์นิธิวุฒิ ศรีบุญชัยชูสกุล ผู้ประพันธ์โคลงคือ อาจารย์ธรรมนูญ จรัสวัฒน์ และคณะ
    เสาคู่ใน อยู่ใกล้องค์พระประธานมีคำกลอนจีน ๑๕ ตัวอักษร เริ่มต้นด้านขวาคือ คำว่า 大 ด้านซ้าย คำว่า 雄 (大雄 ) หมายถึง พระประธาน ๓ องค์ ที่ประดิษฐานในพระอุโบสถ แปลเป็นร้อยแก้วว่า บัลลังก์แห่งธรรมจักรพระมหายูไล หมุนเครื่องเปล่งรัศมีเรืองรองหมื่นลี้ พระอุโบสถศักดิ์สิทธิ์อลังการงานสร้าง เทพอารามเด่นสง่าประทีปธรรมกลิ่นกระจายหอมสืบชั่วกาลนาน



    a.jpg

    พระพุทธเจ้า ๓ พระองค์

    ตามคติพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน อุโบสถ อันเป็นศูนย์กลางของศาสนสถานภายในวัด ซึ่งนิยมประดิษฐานพระปฏิมากร อันเป็นองค์ประธาน ๓ พระองค์ อันได้แก่

    ๑. พระศรีศากยมุนี พระศากยมุนีพุทธเจ้า คือพระสมณโคดมพุทธเจ้า องค์เดียวกับที่ศาสนิกชนชาวไทยทั้งหลายเคารพกราบไหว้บูชา มีพระนามเดิมว่า สิทธัตถะ หรือ สิทธารถะ ประสูติในสกุลกษัตริย์พระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระราชบิดา และพระนางสิริมหามายาเป็นพระราชมารดา ประสูติที่สวนลุมพินี ในระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์ และเมืองเทวทหะ ติดต่อกัน เมื่อพุทธศก๘๐ ปี ( ก่อนคริสต์ศักราช ๕๔๓ ปี ) ครั้นประสูติได้ ๗ วันพระมารดาสิ้นพระชนม์ ได้พระเจ้าน้านางประชาบดีเป็นพระมารดาเลี้ยง ต่อมาได้ทรงศึกษาเล่าเรียนในศิลปะวิทยาการจากสำนักต่างๆจนจบ และได้ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางพิมพา หรือ ยโสธรา เมื่อพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา มีพระโอรสองค์หนึ่ง ชื่อ ราหุล
    ด้วยความเห็นว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ จึงตัดสินพระทัย ออกผนวช เมื่อพระชนมายุ ๒๙ พรรษา ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างหนัก ก็ไม่บรรลุธรรมอันใด สุดท้ายทรงดำเนินมัชฌิมาปฏิปทา คือ ทางสายกลาง และสำเร็จธรรมชั้นสูงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในที่สุดทรงตรัสรู้ ความจริงอันประเสริฐ ซึ่งเรียกว่า อริยสัจสี่คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และ มรรค หลังจากนั้นได้ทรงบำเพ็ญพุทธกิจตลอด ๔๕ พรรษา ตราบสิ้นพระชนมายุขัย ๘๐ พรรษา ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้ละเว้นความชั่ว กระทำแต่ความดี และชำระจิตใจ ของตนให้ผ่องใส คำสอนของพระองค์งดงาม ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดเหมาะแก่กาลสมัย


    ๒.พระอมิตาภพุทธเจ้า ชาวจีนออกพระนามโดยทับศัพท์ว่า อามีท้อ พระนามเต็มของพระองค์มีอยู่ ๒พระนามคือ อามิตาภะ แปลว่า มีความสว่าง อันประมาณมิได้ และ อมิตายุ แปลว่า มีอายุอันประมาณมิได้
    พระนามมีปรากฏอยู่ในพระสูตร มหายานหลายสูตร ที่สำคัญ “ อมิตสูตร ” พระสูตรนี้ได้บรรยายถึงความสุขสันต์รื่นรมย์ของ “ สุขาวดี ” อันเป็นพุทธเกษตรของพระองค์ท่าน ผู้ที่ไปเกิดในที่นั้นจะมีแต่สุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีการเสื่อมถอยจากการปฏิบัติธรรมจะต้องบรรลุสำเร็จเป็นพุทธเจ้าในที่สุด
    การคิดจะไปเกิดที่สุขาวดีนั้นก็ไม่ยาก เพียงแต่สวดพระนามของ พระองค์ คือ สวดว่า “ นโม อมิตาพุทธ ” อย่างสม่ำเสมอ เมื่อถึงแก่กรรม พระองค์ท่านจะมารับไปเกิด ณ แดนสุขาวดีพุทธเกษตร
    การปฏิบัติธรรมตามนัยแห่งพระสูตรนี้ ได้เกิดในนิกายสุขาวดีขึ้น ในปี พ.ศ. ๙๓๔ มีพระอาจารย์ ฮุ่ยเอี๊ยงเริ่มปฏิบัติก่อน ณ ภูเขาลู่ซาน แล้วก็แพร่หลายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว พระอาจารย์ทุกยุคส่วนมากก็สนับสนุนให้พุทธสาวกปฏิบัติตามนิกายนี้ เพราะถือว่าปฏิบัติกันได้ทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าอาชีพใด จะมีความรู้แค่ไหน หรือไม่มีความรู้เลยก็ปฏิบัติได้
    กล่าวโดยทั่วไป พระพุทธศาสนาในประเทศจีน เกือบจะเป็นนิกายสุขาวดีทั้งหมด เพราะนอกจากนิกายธรรมลักษณ์และนิกายมนตรยานแล้ว นอกนั้นส่วนมากมีการปฏิบัติตามนิกายสุขาวดีทั้งสิ้น การทำวัตรสวดมนต์เย็นก็ใช้แบบของสุขาวดี การบำเพ็ญกุศลในงานใด ๆ ส่วนมากก็เพื่อขอให้ได้ไปเกิดในแดนสุขาวดี ดินแดนสุขาวดีพุทธเกษตรนี้ อยู่ทางทิศตะวันตกของโลกเรา ฉะนั้นคำว่าตะวันตกในทางพุทธศาสนาของจีนจึงหมายถึงสุขาวดีนั่นเอง คำว่า “ อมิตาพุทธ ” ใช้เป็นคำอุทานของชาวพุทธ รวมทั้งการปลงตกในกรณีเห็นผู้กระทำที่ไม่ชอบธรรมบางครั้งก็ใช้เป็นคำอนุโมทนา
    รูปปั้นของพระองค์ท่าน ส่วนมากจะทรงถือดอกบัว ซึ่งมีไว้สำหรับเป็นที่รองรับวิญญาณผู้ที่ไปเกิดในแดนสุขาวดี


    ๓. พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า
    ชาวจีนออกพระนามพระองค์ว่า “ เอียะซือฮุก ” แปลว่า พระพุทธเจ้าผู้เป็นครูแห่งยารักษาโรค พระนามเต็มของพระองค์คือ พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาส
    ชาวจีนออกนามพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์บ้างทับศัพท์ บ้างแปลศัพท์ ไม่มีหลักเกณฑ์แน่นอน แล้วแต่พระอาจารย์ที่แปลหรือที่บรรยาย จะใช้อย่างไหนบางองค์ใช้ทับศัพท์และแปลศัพท์
    พระองค์ท่านมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกับพระอมิตาภพุทธเจ้า เช่น มีพุทธเกษตรของพระองค์เช่นเดียวกับสุขาวดีของพระอมิตพุทธเจ้า ชื่อว่าศุทธิไวฑูรย์ เป็นที่ที่มีความสันติสุขน่ารื่นรมย์เช่นเดียวกับสุขาวดี
    การปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน คือมีการสวดพระนามของพระองค์ท่านเสมอ ๆ เมื่อเวลาถึงแก่กรรม พระองค์ท่านจะมารับวิญญาณไปเกิด ณ ดินแดนพุทธเกษตร แล้วจะไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก ศุทธิไวฑูรย์เกษตรนี้ อยู่ทางทิศตะวันออกของโลกเรา คือตรงข้ามกับสุขาวดีของพระอมิตาภพุทธเจ้า
    เนื่องจากพระองค์ท่านมีปณิธานที่จะให้สัตว์โลกทุกรูปนามปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ฉะนั้น ถ้าผู้ใดบูชานมัสการท่าน จะไม่มีโรคภัย ไข้เจ็บ ได้บูชาท่านแล้ว ก็หายเร็วขึ้น
    รูปปั้นของพระองค์ท่าน ถือยาอคทะ ซึ่งถือว่าเป็นยาที่รักษาโรคได้ทุกอย่างและมีความศักดิ์สิทธิ์มาก เรามักจะเห็นรูปปั้นของพระองค์ท่าน รวมอยู่กับพระอมิตาภพุทธเจ้าและพระศากยมุนี รวมเป็นสามพระองค์ในที่ประดิษฐานภายในพระอุโบส
    ซึ่งทั้ง ๓ พระองค์ ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงมหาเมตตากรุณาต่อมวลสรรพสัตว์เป็นเอนกอนันต์ โดยทางวัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ ฯ ได้ทำการหล่อองค์พระประธานดังกล่าว มีหน้าตักกว้าง ๖ ศอก ( ๓.๐๘ เมตร) สื่อความหมายถึง การเถลิงถวัลย์สิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ความสูงจากวัชรบัลลังก์ถึงยอดพระเกศา ๘ ศอก (๔.๐๒ เมตร) สื่อความหมายถึง การเฉลิมฉลอง พระชนมพรรษาครบ ๘๐ พรรษา ตามแบบพุทธศิลป์จีนชั้นสูงอันปราณีตงดงามตามคติพุทธลักษณะหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามหายาน ซึ่งเป็นศาสนถานอันแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานจีนนิกาย อีกทั้งยังเป็นศูนย์รวมจิตศรัทธาอันบริสุทธิ์และมั่นคงของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปตลอดกาล




    a.jpg

    a.jpg
    เพดานในพระอุโบสถ

    เมื่อสักการะพระประธานในพระอุโบสถแล้ว เราก็เดินมาด้านหลังพระอุโบสถกัน ก็จะเจอ
    วิหารอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ ( 觀音殿 ) ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระกวนอิมพันมือพันตา ลักษณะองค์ท่านทำมาจากไม้หอมประเทศจีน ช่างแกะสลักด้วยความประณีต องค์พระได้สัดส่วนมีลักษณะงดงามพระพักตร์มีมหาเมตตามหากรุณา พระกวนอิมมหาโพธิสัตว์ปางพันมือพันตา เปรียบเสมือนว่า ท่านได้ใช้พระเนตรพันดวงตรวจดูเหล่าสรรพสัตว์ทั่วสากลโลกว่าสุขทุกข์ประการใด และก็พร้อมที่จะช่วยด้วยพระหัตถ์พันกรของท่านโอบอุ้มเหล่าสรรพสัตว์ทั่วสากลโลกให้ปราศจากความทุกข์ยากลำเค็ญ นับเป็นจริยานุเคราะห์แบบอย่างของพระมหาโพธิสัตว์ผู้มีมหาเมตตามหากรุณาบำเพ็ญช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารอันเป็นทุกข์นี้

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    ต่อมาก็เดินขึ้นชั้นสองของวิหาร(มีลิฟท์ด้วยนะ) เราก็จะพบกับ


    วิหารหมื่นพุทธสุขาวดีพุทธเกษตรหรือ บ่วงฮุกไซฮึงเก๊กหลักโต่ย ( 萬佛西方極樂殿) ภายในวิหารแห่งนี้ ประดิษฐานองค์พระอมิตาภพุทธเจ้า พระอวโลกิเตศวร และพระมหาสถามปราบต์โพธิสัตว์ ส่วนด้านบนของวิหารประดิษฐานรายล้อมพระพุทธรูปหนึ่งหมื่นพระองค์ เป็นสถานที่บำเพ็ญภาวนา นับเป็นวิหารที่สำคัญอีกวิหารหนึ่ง ที่ถ้าบุคคลใดภาวนาพระนามแห่งพระอมิตาภพุทธเจ้าแล้ว จิตจะไม่เสื่อมถอยจากพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ จะได้ไปจุติ ณ ดินแดนสุขาวดี ด้านทิศตะวันตก


    a.jpg


    a.jpg

    ขอบอกว่า กว่าจะถ่ายรูปได้ต้องหาจังหวะดีๆ เพราะคนเยอะมากๆ มองเวลาแล้ว ก็เกือบจะสองทุ่มแล้ว ๒ วันนี้อิ่มบุญมากๆ ได้มาปิดทองฝังลูกนิมิต ณ วัดนิกายจีน ซึ่งไม่ทราบว่าอีกนานเท่าไหร่ อาจจะเป็นหลายสิบๆ ปี ที่จะมีวัดนิกายจีนสร้างขึ้นมาอีก เพราะว่าการสร้างวัดนิกายจีนไม่ได้สร้างกันง่ายๆ เลย ถือว่าเป็นโชคดีของสร้อยฟ้ามาลาที่ได้มาปิดทองฝังลูกนิมิตกับเขา สาธุ สาธุ สาธุ อันกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำในครั้งนี้ขออุทิศถวายแด่ คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณบิดาคุณมารดา วงศาคณาญาติ คุณครูบาอาจารย์ เจ้าฟ้า พระมหากษัตริย์ เทพยดาทั้งหลาย พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ ท่านท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ท่านท้าวเวสสุวรรณ คุณเจ้ากรุงพาลี ภูมิเจ้าที่ทั้งหลาย คุณแม่พระธรณี พระคงคา พระพาย พระเพลิง พระโพสพ พระยายมราช เจ้ากรรมนายเวร และขอให้ผลบุญจงได้สำเร็จผลแด่เพื่อนๆ สมาชิกในเว็ปพลังจิต ทุกท่าน

    ขอจบการพาเที่ยววัดบรมราชากาญจนภิเษกอนุสรณ์เพียงเท่านี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2018
  10. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    ประมวลภาพ
    วัดบรมราชากาญจนภิเษกอนุสรณ์


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2018
  11. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    เรื่องที่ ๔

    สร้อยฟ้ามาลา พาเที่ยว ตอน สาวสาวพิชิต เขาคิชฌกูฏ


    โอ้หล่ะหนอ ดวงเดือนเอย พี่มาเว้ารักเจ้าสาวคำดวง โอ้ว่าดึกแล้วหนอ....
    เสียงเพลงของวง Zansab Philhamonic Orchestra ซึ่งเป็นดนตรีไทยโดยใช้ขิม ซอด้วง ขลุ่ย ผสมผสานกับวงดนตรีออเคสตร้า ที่สร้อยฟ้ามาลากำลังฟังอยู่อย่างเคลิบเคลิ้มได้ที่ ทันใดนั้นก็มีเสียงสวรรค์ได้รับการติดต่อจากแมงปอแก้วชวนไปเที่ยวขึ้นเขาคิชฌกูฏจะไปตอนตี ๓ ของวันรุ่งขึ้น(เป็นวันอาทิตย์) โอ้อะไรกันนี่เพิ่งจะมาบอกกันมาชวนอะไรกันตอนนี้นี่เวลาเท่าไหร่แล้ว จะ๓ ทุ่มแล้ว ไม่ได้ตระเตรียมอะไรเลย ทำอย่างไรดี หาเพื่อนอีกคนร่วมชะตากรรมดีกว่า เอ ใครดีหนอ คุณหญิงพี่พิชญ์อย่างไร โทรไปชวนดีกว่า ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าโทรไปบังคับให้ไปด้วยกัน แล้วก็โทรชวนคุณภัทรอังคารแต่คุณภัทรฯ ไปไม่ได้เพราะต้องทำงาน เสียดายจัง..... จากนั้นสร้อยฟ้ามาลาก็เลยไปขอยืมเครื่อง GPS ของเพื่อนมาติดรถ เพราะถามแต่ละคนแล้ว ปรากฏว่าไม่มีใครรู้จักทางเลย งานนี้จะหลงไหมนี่



    ตี ๓ ตื่นได้แล้ว ง่วงอ่ะ เอาเป็นงัยเป็นกัน รับแมงปอแก้วผู้ริเริ่มโครงการขึ้นรถเสร็จ ก็ไปรับคุณหญิงพี่พิชญ์ต่อ ขึ้นชื่อว่าสร้อยฟ้ามาลาแล้ว ไม่เคยเลยที่จะไม่หลงทาง ไม่อยากจะบอกว่า หลงตั้งแต่อยู่กรุงเทพฯ เลย ขึ้นทางด่วนผิดเจ้าค่ะ ดันไปขึ้นเส้นที่ไปทางแจ้งวัฒนะเลยเสียตังค์ค่าทางด่วนฟรี (ที่จริง GPS บอกทางถูก แต่สร้อยฟ้ามาลาดื้อเอง) ขึ้นทางด่วนใหม่ไปลงบางนา-ตราด(ทางหลวงหมายเลข ๑๑) พอถึงชลบุรีก็ใช้ทางหลวงเส้น ๓๔๔ ทางเส้นนี้เป็นลักษณะขึ้นเนินเขาสลับลงเนินเขา เข้าอำเภอบ้านบึง ผ่านอำเภอหนองใหญ่ สู่อำเภอแกลง จังหวัดระยอง บรรจบทางหลวงหมายเลข ๓ สุขุมวิท ตอนนี้พึ่ง GPS ตลอด เข้าสู่จังหวัดจันทบุรี GPS แนะนำให้เลี้ยวไปทางขึ้นเขาสุกิม สร้อยฟ้ามาลาไม่ขึ้นเพราะกางแผนที่ดูแล้วเห็นว่ามีทางไปที่ดีกว่านั้น แต่ GPS ก็ยังแจ้งให้ไปทางเส้นทางแรกที่หาเจอ จนเลยทางขึ้นเขาสุกิม ตอนนี้ GPS คำนวณหาเส้นทางใหม่ แต่สร้อยฟ้ามาลาก็ยังไม่เชื่อ จนกระทั่งคุณหญิงพี่พิชญ์กางแผนที่ดูบ้างเพราะกลัวหลงอีก จนถึงแยกตัดทางหลวงหมายเลข๓๒๔๕ ที่สร้อยฟ้ามาลาเล็งไว้ ก็เลี้ยวซ้ายเสียเลย พวกเรามาถึงวัดพลวงเวลาประมาณเกือบ ๗โมงครึ่ง ขอบอกว่ามีผู้มาไหว้รอยพระพุทธบาทมากมาย กว่าจะหาที่จอดรถได้แทบแย่


    ลงจากรถได้ก็ไปหาอะไรลองท้องกันก่อน คนเยอะมากๆ แย่งกันกิน เดินไปเดินมาไปได้ร้านอาหารตามสั่ง แต่โต๊ะที่นั่งนี่ มองไปก็เป็นห้องน้ำ อืม.... ทำอย่างไรได้เลือกไม่ได้แล้วนี่ ยังนึกขำๆ อยู่ว่า ทำไมคนถึงมาอาบน้ำ เข้าห้องน้ำกันเยอะจัง ร้อนอะไรกันเหรอ อากาศไม่เห็นจะร้อนเลย ทานอาหารเสร็จ ต่างคนต่างทำภารกิจ.....(ไม่บอก) เสร็จแล้วก็ไปไหว้พระกันเลยโดยจะแบ่งออกเป็น ๗ จุดที่จะต้องไปไหว้ สิ่งที่ต้องเตรียม คือ ธูป เทียน ทอง ดอกดาวเรืองนำไปเยอะๆ เพราะต้องโปรยและไหว้ไปตลอดทางขึ้นเขาช่วง ๑ กิโลเมตรสุดท้าย พลอยสีจะมีขายตามปีและตามวันเกิดชุดละไม่กี่สิบบาทต้องนำไปโรยที่รอยพระพุทธบาท ผ้าสามสี(อันนี้แล้วแต่จะนำไป)

    ตามมาเจ้าค่ะ


    a.jpg

    ก่อนอื่นเราต้องไปไหว้ต้นพระศรีมหาอุดมโพธิ์ก่อน (สร้อยฟ้าฯ ไม่มั่นใจว่าได้ไปไหว้ก่อนหรือเปล่า)



    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    จุดแรก ไหว้พระพุทธรูป ๙ องค์ โดยให้ปิดทองพระพุทธรูป องค์หนึ่งก็ขอพรครั้งหนึ่ง จนครบ ๙ องค์ ก็คือขอ ๙ ครั้ง

    จุดที่สอง จุดธูปเทียน ตั้งสัจจะขอในสิ่งที่ต้องการต่อหน้าสังขารหลวงพ่อนัง(พระครูพุทธบทบริบาล) เป็นการขอครั้งที่ ๑

    จุดที่สาม เมื่อขอสิ่งที่ต้องการแล้ว(การขอครั้งที่ ๑) ก็ประพรมน้ำพระพุทธมนต์จากพระสงฆ์ ให้เป็นสิริมงคลก่อนขึ้นไปบนเขา



    a.jpg


    a.jpg

    จุดที่สี่ จุดธูป เทียน ตั้งสัจจะอธิฐานที่พระอภิบาลมงคลพุทธไสยาสน์ เป็นการขอครั้งที่ ๒

    จากนี้ไปจะเป็นการผจญภัยสุดหฤหรรษา ถ้าใครคิดว่าร่างกายพร้อม หรือตั้งใจ หรือตั้งสัจจะไว้ว่าจะเดินเท้าขึ้นเขาก็จะเริ่ม ณ ตรงนี้ เส้นทางจากจุดที่สี่ถึงจุดที่ห้าประมาณ ๕ กิโลเมตร ถ้าใครเดินไม่ไหวจะมีรถ ๔ WD ไว้บริการ คิดอัตราคนละ ๕๐ บาท แต่ต้องจองคิวกันยาวมากๆ


    a.jpg
    ลานจอดรถที่จะขึ้นเขา ฉากหลังคือ เขาคิชฌกูฏที่จะไปพิชิตกัน


    a.jpg
    ผู้คนล้นหลาม แดดเริ่มร้อนแล้ว มีร่มไม้เป็นที่พึ่ง


    a.jpg


    a.jpg



    a.jpg
    บางคนคอยมานาน นอนหลับเอาแรงก่อนดีกว่า

    a.jpg


    เขาคิชฌกูฏ เดี๋ยวสร้อยฟ้า แมงปอแก้ว และคุณหญิงพี่พิชญ์ จะขึ้นไปแล้ว.....


    a.jpg
    ยอดเขาคิชฌกูฏ ซูมไปดูใกล้ๆ


    a.jpg
    ใกล้อีกนิดนึง.....


    คณะของเรา ๓ คน ทีแรกจะเดินขึ้น แต่ด้วยแต่ละคน อรชรอ้อนแอ้นและแดดร้อนมากๆ เลยขึ้นรถดีกว่า จองตั๋วตอน ๘ โมงเศษ นั่งคอยก็แล้ว จะหลับก็แล้วยังไม่ถึงคิว


    a.jpg

    ตอนนี้เลยนำดอกดาวเรืองมาฉีกเป็นกลีบๆ เพื่อเอาไว้โปรย แล้วก็หาเรื่องโทรศัพท์ไปหาชาวบ้านโทรไปคุยกับพี่โมเย แล้วก็โทรไปหาคุณภัทรอังคารว่าตอนเย็นจะไปหาที่พัทยา จนถึงเกือบเที่ยงพึ่งจะได้ขึ้นรถเจ้าค่ะ แต่ละคนผิวเปลี่ยนสีกันแล้ว กันแดดช่วยไม่ได้เลยงานนี้



    a.jpg


    a.jpg


    นั่งรถขึ้นเขาพี่ท่านขับเหมือนจะแข่งแรลลี่เลย ฉันจะรอดไหมนี่ มีอะไรยึดได้ยึดไว้ก่อน แต่ละโค้งทั้งชันมากๆ ทั้งเกือบหักศอกก็มี ถ้าไม่หาอะไรยึดไว้มีหวังตกจากรถ ข้างๆ ก็เหว ทำหน้าให้เป็นปกติก่อนให้คนอื่นดูว่า ฉันไม่กลัว แต่ใจระทึกแล้ว(ทำเก่งไปอย่างนั้นแหละ) ผ่านไป ๕ กิโลเมตร ก็มาถึงจุดที่ ๕


    จุดที่ห้า จุดธูป เทียนไหว้พระ ที่เจดีย์กลางเขาจะเป็นการขอครั้งที่ ๓ และเป็นจุดเปลี่ยนรถ


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg

    จากจุดนี้ก็เหมือนเดิมคือจะเดินก็ได้หรือจะนั่งรถขึ้นไปอีกก็ได้ พวกเรา ๓ คนก็คิดว่านั่งรถแหล่ะ เดินไม่ไหวอีกตั้ง ๖ กิโลเมตรกว่าจะถึงจุดที่หก ค่ารถเท่าเดิมเจ้าค่ะ ๕๐ บาท แต่ดีหน่อยคือไม่ต้องคอยคิว ขึ้นรถได้เลย ช่วงนี้จะชันกว่าช่วงแรกมาก แต่ทั้งฝุ่นดินแดงนี่มีมากพอๆ กันเลย ท่านพี่ก็ขับเหมือนเดิม แรลลี่เจ้าค่ะ หัวใจจะตกถึงตาตุ่มแล้ว แขนสั่นหมดเลยต้องหาที่ยึดและเก็งแขนตลอด คุณพี่เจ้าขาไม่สงสารกันบ้างเลย



    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg

    จุดที่หก ลงรถได้เราก็ต้องมาไหว้พระสิวลี ซึ่งด้านหลังพระสิวลีจะมีศาลของปู่ฤษีด้วย

    ต่อไปนี้จะเป็นระยะทางเดินประมาณ ๑ กิโลเมตรเป็นทางเดินขึ้นเขาไปนมัสการรอยพระพุทธบาท ก่อนจะขึ้นไป เราก็จะต้องไปไหว้แม่พระธรณีกันก่อนเพื่อขอขมาและขออนุญาตเดินทางเพื่อให้เกิดความปลอดภัย

    ระหว่างทางเดินขึ้น ๑ กิโลเมตร จะมีพระพุทธรูปให้เราได้ไหว้สักการะไปตลอดทางเป็นระยะ และยังมีร้านขายของที่ระลึก เครื่องรางของขลังต่างๆ สร้อยฟ้ามาลาเดินไปหอบไป เหนื่อยเพราะอากาศบนภูเขาจะเบาบาง มีทั้งฝุ่นจากพื้น ฝุ่นจากธูป ละอองเกสร ฟุ้งไปหมดสร้อยฟ้ามาลาจะตายไหมนี่ ยิ่งเป็นหอบหืดอยู่ แต่เหมือนบุญรักษา อาการหอบหืดไม่เกิดเลย...

    มาชมบรรยากาศระหว่างทางเดินขึ้น ๑ กิโลเมตรกันนะเจ้าคะ


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg
    คนเยอะ ขยะก็เยอะตาม


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg
    มีร้านขายของด้วย


    a.jpg
    มีทั้งเสื้อผ้า และของขลัง


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    เมื่อถึงที่รอยพระพุทธบาทแล้ว จะมีพระสงฆ์นำสวดบทนมัสการรอยพระพุทธบาท จากนั้นก็ให้ตั้งจิตอธิษฐานขอพร ขอสิ่งที่ต้องการต่างๆ ซึ่งตรงนี้คณะของเราได้รับคำแนะนำจากเจ้าของร้านขายอาหารตามสั่งว่าเวลาอธิษฐานให้นึกขอรวดเดียวเลยอย่าให้ติดๆ ขัดๆ อย่าแคะแกะเกาใดๆ ทั้งสิ้นในขณะที่ขอ เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้ว ก็ให้นำพลอยสีและดอกดาวเรืองมาโปรยที่รอบพระพุทธบาท (*พี่โมเยสร้อยฟ้ามาลา มาถึงแล้วนะมาไหว้พระบาทกัน*)



    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    ส่วนเรื่องการขอเลข นั้นสร้อยฟ้ามาลาไม่ได้ฟังว่ามีวิธีอย่างไร แต่รู้สึกว่าเขาใช้กระจกส่องดูกันที่หินบาตรคว่ำ แต่สร้อยฟ้ามาลาไม่ได้ลองทำดู

    เมื่อสักการะ นมัสการรอยพระพุทธบาทเสร็จแล้ว ก็กลับลงมาจากเขา แต่ยังไม่เสร็จพิธีนะเจ้าคะ ต้องมายังจุดต่อไปเป็นจุดสุดท้าย



    a.jpg

    จุดที่เจ็ด ให้จุดธูป เทียน ไหว้พระแล้วให้ทำจิตตั้งสมาธิ แล้วอธิษฐานในสิ่งที่ได้ตั้งสัจจะขอไว้ต่อหน้าหลวงพ่อนังที่รอยพระพุทธบาทเป็นครั้งสุดท้าย เป็นอันเสร็จสิ้นในการเดินทางขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาท



    a.jpg


    a.jpg


    พอลงมาถึงพื้นราบ สร้อยฟ้ามาลาไม่นึกขำอีกแล้วที่ทำไมเมื่อเช้าถึงเห็นคนมาเข้าห้องน้ำอาบน้ำกันเยอะแยะ เพราะทั้งฝุ่น ทั้งเหงื่อ และร้อนมากๆ ลืมบอกไปอีกอย่าง ระหว่างทางที่เดิน ๑ กิโลเมตร ห้ามพูดในสิ่งที่ไม่ดี เช่น ร้อน เหนื่อย เหม็น(กลิ่นเหงื่อจากผู้คนรอบข้างที่เยอะมากๆ มากระทบจมูก)

    แต่การเดินทางในวันนี้ยังไม่จบเพียงแค่นี้ เพราะตั้งแต่อาหารมื้อเช้าแล้ว มื้อกลางวันยังไม่ตกถึงท้องกันเลยสักคน ตอนนี้จะ ๕ โมงเย็นแล้ว โชคดีที่ไม่มีใครหน้ามืดเป็นลมไปเสียก่อน เพราะเมื่อขึ้นไปถึงด้านบนสุดแล้วความเหนื่อยลืมหมดเลย แต่ตอนเดินลงมาอีกที่นี่รู้ตัวเลยว่าสบักสบอม ความงามไม่ห่วงกันแล้วหล่ะแต่ละคน

    ไปหาอะไรทานดีกว่าที่พัทยา ถึงพัทยาก็เป็นเวลา ๑ ทุ่มกว่า โทรศัพท์นัดกับคุณภัทรอังคารเจอกันที่หน้าโรงแรมแอมบาสเดอร์ จอมเทียน งานนี้คุณภัทรอังคารเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหาร รู้สึกแปลกๆ และเกรงใจ มาหาเขาแล้วเขายังเลี้ยงอีก ก็ขอขอบคุณคุณภัทรอังคารเป็นอย่างมากที่เลี้ยงอาหารและยังให้พระมาบูชาอีก แต่ทางคณะของเราไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้เป็นที่ระลึกเลย ฉุกลหุกเตรียมไม่ทัน เพลาหน้าคงจะได้มีโอกาสตอบแทนบ้าง ต้องขอบอกอีกอย่าง สร้อยฟ้ามาลาได้เจอคุณภัทรอังคาร รู้สึกว่าไม่เหมือนในเว็ปเลย เป็นผู้หญิงนิ่มๆ ไม่ห้าวเลย

    ออกจากพัทยา เกือบ ๔ ทุ่ม เข้าเส้นมอร์เตอร์เวย์(ทางหลวงหมายเลข ๗) ถึงกรุงเทพมหานคร ประมาณ ๕ ทุ่มกว่าๆ ส่งทุกคนถึงบ้านเสร็จ แล้วก็ถึงบ้านตัวเองเที่ยงคืนกว่า หมดแรง........


    รุ่งขึ้นทำงานต่อ



    a.jpg


    a.jpg


    สุดท้าย ด้วยกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้เดินทางไปนมัสการรอยพระพุทธบาทนี้ ขออุทิศถวายแด่ คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณปู่ย่าตายาย วงศาคณาญาติทั้งหลาย คุณครูบาอาจารย์ เจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ เทพยดาทั้งหลาย ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดิน พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ พระยายมราช ท่านท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ท่านท้าวเวสสุวรรณ คุณเจ้ากรุงพาลี ภูมิเจ้าที่ทั้งหลาย แม่พระธรณี พระคงคา พระพาย พระเพลิง แม่พระโพสพ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวร สัตว์โลกและวิญญาณโลก ขอให้ได้รับผลบุญกุศลในครั้งนี้ ข้าพเจ้าเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในวัฏฏะสงสาร เกิดชาติภพใดขอให้ได้พบพระพุทธเจ้าทุกๆ ชาติ คำว่าไม่มีอย่าได้มีแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้ละอายและเกรงกลัวต่อบาป หมดซึ่งกิเลสและตัณหา ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน ปัจจโยโหตุ


    และด้วยผลแห่งกุศลครั้งนี้ ขอให้สมาชิกทุกท่านในเว็ปได้รับถ้วนทั่วทุกท่าน ตลอดจนขอผลแห่งบุญนี้ส่งผลให้คุณ titawan จงผ่านพ้นภยันตราย มีสุขภาพแข็งแรงและหายป่วยโดยเร็วพลัน...




    ........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2018
  12. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    เรื่องที่ ๕


    ทริปเหนือสุดแดนสยาม


    ทริปนี้สร้อยฟ้ามาลาไม่ทราบที่มาที่ไปมากนั้น วันหนึ่งเข้าไปเพ่นพ่านแถวๆ บ้านของพ่อเทพโพลาลีส อุ้ย! ไม่ใช่ พ่อเทพออรฤทธิ์
    teporrarit
    ทีมผู้ดูแลแกลเลอรี่


    ก็อ่านได้สองอย่างนี่หน่า พ่อเทพฯ ตั้งกระทู้เชิญไปทำบุญทริปทำบุญและถวายผ้าคริสตัลห่มองค์ปฐม วัดเขาแร่ จังหวัดสุโขทัย ธรรมทัศนาจรในวันที่ ๔-๖ เมษายน ๒๕๕๒ เชิญร่วมทริปทำบุญและถวายผ้าคริสตัลห่มองค์ปฐม วัดเขาแร่ จ.สุโขทัย ธรรมทัศนาจรในวันที่ 4-6 เมษายน2552 พอเห็นกำหนดการ ก็น่าสนใจมากๆ อีกอย่างเสียค่ารถแค่ ๑,๐๐๐ บาทเอง คุ้มจัง แต่ตอนนั้นยังไม่ตัดสินใจ เผอิญ พี่โปตาลากา มาชวนไปทริปนี้อีก สร้อยฟ้ามาลาซึ่งอยากไปอยู่แล้ว ก็เลย เอ้า ไปก็ไป ก็ในกลุ่มที่ไปด้วยที่สร้อยฟ้ามาลารู้จัก ก็มี โปตาลากา, ภัค, แมงปอแก้ว รู้จักกันแค่นี้เอง
    ต่อมาได้ทราบว่าทริปนี้ได้ผนวกกับทริปของพี่เตอร์ ที่จะไปทำบุญสร้างพระอุโบสถเหนือสุดแดนสยามร่วมกับหลวงพ่อวิชัย เขมิโย ณ วัดถ้ำผาจม ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย บุญเหนือสุดยอดแดนสยาม


    เช้าตรู่วันเสาที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๒

    ไก่ยังไม่โห่ สร้อยฟ้ามาลาหอบผ้าหอบผ่อนหนีตามท่านโปตาลากา จุดนัดพบหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงเวลา ๐๖.๐๐ น. งานนี้สร้อยฟ้ามาลามาถึงสถานที่นัดพบก่อนเจอแมงปอแก้วเป็นคนแรก และก็เจอกับโปตาลากาและภัค รถตู้มาถึง หกโมงเช้านิดๆ ขึ้นรถได้ ก็ได้รู้จักกับพ่อเทพฯ กับพี่กุ้ง(Cinderella...) และพี่เตอร์ผู้ให้กำเนิดทริปนี้ กับผู้ร่วมคณะอีกหลายท่าน ก็ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าค่ะ..... พูดมากไปแล้วหล่ะ เพื่อไม่ให้ระยะทางอันยาวไกลจะไกลเกินความโม้ของสร้อยฟ้ามาลา ขอWABBBBB .... ไปถึงสถานที่แรกที่จะไปแวะเลยก็แล้วกัน .... (ขออนุญาต นินทาหน่อย คือว่าเนื่องด้วยรถที่เดินทางเป็นรถตู้ ๒ คัน มีผู้ร่วมเดินทางประมาณ ๓๐ คนประกอบกับระยะทางอันยาวไกล ฉะนั้น กำหนดการต่างๆ มิได้เป็นไปดังตั้งใจของเจ้าคณะ จึงทำให้บางแห่งบางที่ตามกำหนดการไม่ได้ไป แต่นั่นก็มิใช่ปัญหา เพราะเราไปทำบุญกันเนอะ....)

    ที่แรกที่แวะกันคือ พิษณุโลก วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก ถึงก็เกือบเที่ยงกลุ่มของสร้อยฟ้ามาลา เดินแยกจากกลุ่มใหญ่ ไปกราบนมัสการพระศรีศาสดาก่อน

    a.jpg

    a.jpg




    พระศรีศาสดา หน้าตัก ๔ ศอกคืบ ๖ นิ้ว มีสัญฐานอาการคล้ายกัน อย่างพระพุทธรูปเชียงแสน ไม่เอาอย่างพระพุทธรูปในเมืองศรีสัชนาลัยสวรรคโลกและเมืองสุโขทัย ที่ทำนิ้วสั้นยาวไม่เสมอกันอย่างมือคน ถึงพระลักษณะอื่นก็ปนๆ เป็นอย่างเชียงแสนบ้าง เป็นอย่างศรีสัชนาลัยสวรรคโลกสุโขทัยบ้าง (ได้อัญเชิญคัดมาจากบางส่วนในพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)

    a.jpg

    a.jpg

    องค์พระปรางค์ตั้งอยู่ ณ ศูนย์กลางของวัด เป็นพระปรางค์ประธาน และเป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดของวัด การก่อสร้างพระปรางค์ของพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท) ได้ทำตามคตินิยมของหัวเมืองราชธานี ของอาณาจักรสุโขทัยในสมัยนั้น คือประสงค์ให้พระปรางค์เป็นหลักเป็นประธานของวัด และเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ รูปแบบของพระปรางค์เมื่อเริ่มสร้างสันนิษฐานว่า เป็นเจดีย์ทรงดอกบัวตูม โดยสร้างครอบพระสถูปเจดีย์ที่สร้างในรัชสมัยของพ่อขุนศรีนาวนำถม เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถขึ้นไป ครองราชย์ที่เมืองพิษณุโลก ได้โปรดให้บูรณะพระปรางค์โดยดัดแปลงพระเจดีย์ ได้ให้เป็นรูปแบบพระปรางค์แบบขอมตามพระราชนิยมในสมัยกรุงศรีอยุธยา

    a.jpg


    หลักจากกราบพระศรีศาสดาแล้ว สร้อยฟ้ามาลามัวแต่ถ่ายภาพ หลงเจ้าค่ะ ไปไหนกันหมดแล้ว เลยต้องรีบจ้ำเข้าไปในพระวิหารหลวงไปกราบพระพุทธชินราชก็ได้พบกับกลุ่มของสร้อยฟ้ามาลา นึกว่าจะแย่เสียแล้ว คนเยอะเสียด้วย


    พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยสำริด ปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัยตอนปลาย หน้าตักกว้าง ๕ ศอก ๑ คืบ ๕ นิ้ว สูง ๗ ศอก หล่อในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พญาลิไท) ซึ่งได้สร้างพระพุทธชินราช พร้อมกับพระพุทธชินสีห์ และพระศาสดา ฐานชุกชีปั๊มเป็นรูปบัวคว่ำบัวหงาย

    พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปองค์ประธานของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดในประเทศไทย เส้นรอบนอกพระวรกายอ่อนช้อย พระพักตร์ค่อนข้างกลม พระโขนงโก่ง พระเกตุมาลาเป็นรูปเปลวเพลิง มีลักษณะพิเศษเรียกว่าทีฆงคุลี คือที่ปลายนิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่นิ้วยาวเสมอกัน ซุ้มเรือนแก้วทำด้วยไม้แกะสลักสร้างในสมัยอยุธยา แกะสลักเป็นรูปมกร (ลำตัวคล้ายมังกรแต่มีงวงคล้ายช้าง) อยู่ตรงปลายซุ้ม และมีลำตัวเหรา (คล้ายจรเข้) อยู่ตรงกลางซุ้ม มีเทพอสุราปกป้องพระองค์อยู่สองตน คือ ท้าวเวสสุวัณ และอารวกยักษ์

    ส่วนตำนานของการสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ พระศาสดา และพระเหลือ สร้อยฟ้ามาลาไม่ขอกล่าวไว้ ณ ที่นี้นะเจ้าคะ เพราะจะทำให้มีเนื้อหาที่ยาวเกินไป ถ้าเพื่อนๆ ท่านใดจะตั้งกระทู้เพิ่มเติมก็ได้นะเจ้าคะ หรือถ้าไม่มีใครตั้งเดี๋ยวไว้โอกาสหน้าจะมาลงกระทู้แยกเป็นเฉพาะกิจให้


    a.jpg

    หิวแล้วจ้า เที่ยงกว่าแล้ว ไปหาอะไรทานดีกว่า แถวนั้นมีร้านขายก๋วยเตี๋ยวเรียกว่า ก๋วยเตี๋ยวห้อยขาด้วย แต่กลุ่มของสร้อยฟ้ามาลาไม่ได้เข้าไปเพราะคนเยอะ เอานี่แหละ หน้าวัดเลย ก๋วยเตี๋ยวคนละชาม ไม่อิ่มแต่พออยู่ท้อง


    บรรยากาศร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าวัด แอบถ่ายกลุ่มผู้อาวุโส ขอยอมรับเลยว่าท่านๆ แข็งแรงมากๆ แม้คุณยายบางท่านอายุจะ ๘๐ อยู่แล้ว แต่ยังกระฉับกระเฉงอยู่เลย คุยก็สนุกและเป็นกันเองมากๆ



    ออกจากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ก็บ่ายกว่าๆ ก็ไปวัดจันทร์ตะวันตก ไปกราบนมัสการพระอาจารย์อุบาลี


    a.jpg

    พระอาจารย์อุบาลี

    แต่ที่นี้สร้อยฟ้ามาลาไม่ได้ถ่ายภาพไว้ ทางคณะของเราได้ร่วมกันถวายผ้าไตรและจตุปัจจัยต่างๆ

    ออกจากเมืองสองแควมุ่งหน้าสู่สุโขทัย แดดร้อนมากๆ ก่อนออกจากกรุงเทพมหานครได้ฟังข่าวว่าจะมีฝนกระจายอยู่ แต่ไม่ยักกะเจอแฮะ สถานที่ต่อไปเป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งเลยของทริปนี้ คือ ถวายผ้าคริสตัลห่มสมเด็จองค์ปฐม วัดเขาแร่ จังหวัดสุโขทัย แต่ตอนถวายผ้า สร้อยฟ้ามาลาไม่ได้ถ่ายภาพเพราะเห็นว่ามีคนถ่ายภาพเยอะแล้ว อีกอย่างเรามาร่วมอนุโมทนาไม่อยากไปเกะกะคณะท่านเพราะเป็นวาระของพ่อเทพฯ เลยขอเป็นผู้ชมดีกว่า แต่ก็ได้เก็บภาพบริเวณวัดเขาแร่มาให้ชม มาชมกันนะ

    a.jpg
    ถ่ายภาพระยะไกล ได้ชัดแค่นี้ขอชมว่างดงามมาก

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg


    ออกจากวันเขาแร่ประมาณ บ่าย ๓โมงกว่าๆ ได้มั้ง เราก็ไปแวะที่วัดๆ หนึ่งในเขตอำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย สร้อยฟ้ามาลาไม่ทันจดจำชื่อวัดว่าวัดอะไร ใครทราบบอกด้วย ก็ได้ไปกราบพระอาจารย์.... สร้อยฟ้ามาลาไม่ทราบชื่อท่านอีกนั่นแหล่ะ ทางคณะก็ได้ถวายเครื่องปัจจัยต่างๆ ท่านก็ได้มอบวัตถุมงคลและประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้ เดี๋ยวมาชมวัดกันนะเจ้าคะ


    a.jpg

    a.jpg
    บริเวณพระเจดีย์หน้าวัด ที่อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย


    จะมืดแล้วเจ้าค่ะ ยังอยู่สุโขทัยอยู่เลย คืนนี้คณะเราจะไปพักที่วัดอนาลโยทิพยาราม โอ้อีกไกล เหนื่อยแล้วด้วย สร้อยฟ้ามาลาเริ่มงอแง ง่วงนอน ก็แวะทานอาหารเย็นที่ปั๊มน้ำมัน ป.ต.ท. ก็มีอะไรก็ทาน ห้ามเลือกแล้วงานนี้ แต่อาหารที่นี่รสชาติเผ็ดไปหน่อย แล้วก็เข้าไป 7-11 ซื้อขนมห่อใหญ่ตุนไว้คืนนี้พร้อมเป๊ปซี่เพื่อเพิ่มความซ่าให้กับตัวเองหน่อย งานนี้ไม่ซ่าไม่ได้แล้ว นิ่มๆ อยู่ไม่ทันเขา เนิบนาบ อดทานเจ้าค่ะ ระหว่างทางพี่บุญญสิกขาโทรมาหา บอกว่าเป็นห่วงนึกว่าไปกับคนนอกเว็ป ก็ขอขอบคุณพี่บุญด้วยนะเจ้าคะที่น้องมาซนอีกแล้วแต่ก็มาซนในเส้นทางธรรมสัญจรนะ มิได้ซนออกนอกลู่นอกทาง ก็ขออนุโมทนาบุญกับพี่บุญด้วยที่วันนี้พี่บุญได้ไปสาธยายพระไตรปิฎกที่วัดพลับ และร่วมอนุโมทนาธรรมสัญจรกับสร้อยฟ้ามาลาด้วย อ้ออีกอย่างพี่บุญอวยพรมาว่า ขอให้คณะเราเดินทางโดยสวัสดิภาพอิ่มในบุญกันทุกคน สาธุ...


    ถึงวัดอนาลโยทิพยาราม จังหวัดพะเยา (คุณบุษบากาญจน์ เค้ามาถึงบ้านตัวเองแล้วนะ คิก คิก วันหน้าจะขอไปดื่มน้ำถึงหน้าบ้านเลยนะ คิก คิก) ก็สามทุ่มกว่าได้กระมัง ที่พักที่นี่สวยงามมาก ต่างคนต่างเลือกหามุมพักผ่อนของตนเอง ตอนนี้ก็จัดแจงปูที่นอนและต่อคิวเข้าห้องน้ำ กว่าจะเข้านอนก็เกือบห้าทุ่มได้ คืนนี้นอนสบาย สงบเงียบ อากาศกำลังดี


    วันอาทิตย์ที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๒


    ตื่นได้แล้ว...... ตีห้ากว่าๆ เข้าคิวแย่งห้องน้ำเหมือนเดิม
    a.jpg
    ชมหิ้งพระในบ้านพักกัน


    a.jpg

    a.jpg
    บ้านพักในวัดอนาลโยทิพยาราม


    a.jpg

    เอ้าเช้านี้ คณะเราได้ทำบุญถวายภัตาหารพระกันแต่เช้า พอเสร็จก็ทานข้าวต้มกันตอนเช้า อร่อยมากๆ สร้อยฟ้ามาลาจะเบิ้ล ๒ ชาม แต่ทานกาแฟเข้าไปด้วยชามที่สองก็ไม่ไหวแล้ว


    ประวัติของวัดอนาลโยทิพยาราม
    พระอาจารย์ ไพบูลย์ สุมังคโล ขณะนั้นท่านอยู่ที่วัดรัตนวนาราม ท่านได้มีปรากฎการณ์เห็น ทรายทองไหลลงมาสู่วัดเป็นสาย รังสี แสงของทรายทองที่ไหลพั่งพรูราวกับสายน้ำนั้นอาบวัดทั้งวัดจนแทบจะกลายเป็นวัดทองคำ ท่านมองตามลำ แสงสีทองไปก็เห็นเขาที่อยู่อีกฟากหนึ่งของกว๊านพะเยานั่นเอง จากนั้นได้มีโยมมาอาราธนาให้ไปดูสถานที่สำคัญ และแปลกประหลาด เพื่อจะได้สร้างสำนักสงฆ์ไว้เป็นที่บำเพ็ญกุศลของชาวบ้าน เป็นที่ ๆ ชาวบ้านมักจะเห็นแสง สว่างเป็นดวงกลมลอยไปมาอยู่บนดอยสูง แสงนั้นดูสว่างเรืองรอง บางทีก็สว่างจ้าเป็นสีเหลืองสดอาบทั้งดอยราว กับกลายเป็นดอยทองคำ เหตุการณ์เหล่านี้มักจะปรากฏในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วันพระ ๘ หรือ ๑๕ ค่ำ เป็นต้น หลังจากที่พิจารคณาดูสถานที่แล้ว เห็นว่าเป็นสถานที่สงบเหมาะสมแก่การเจริญเตตาภาวนาเป็นอย่างยิ่ง ควรที่จะสร้างเป็นสถานที่พักปฏิบัติธรรม
    ดังนั้นที่นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของวัดอนาลโยทิพยารามยังไงล่ะ



    ส่วนที่มาของชื่อวัด อนาลโยทิพยาราม ก็มาจากเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๕ ท่านพระอาจารย์ได้ตัดสินใจมาอยู่ที่ นี่และเริ่มสร้างวัด ท่านได้ นิมิตว่ามีคนรูปร่าง ดำ สูงใหญ่มาบอกว่า หากท่านอาจารย์จะมาอยู่ที่นี่ ก็มาอยู่ได้ แต่ขอให้ตั้งชื่อวัด เป็นวัดหลวงปู่ขาว ซึ่งท่าน พระอาจารย์ก็ ไม่ขัดข้องประการใด ดังนั้นจึงได้เป็นชื่อ วัดอนาลโยขึ้นมา เพราะท่าน มีนามว่า หลวงปู่ขาว อนาลโย ผู้เป็นประธานสงฆ์ อยู่ ณ วัดกลอง เพล จ.อุดรธานี และยังมี พระพุทธลีลา หรือพระยืนที่ท่านตั้งใจจะ สร้างขึ้น ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางลีลาที่สูงใหญ่ที่สุด สร้างไว้บนยอด เขาตรีเพชร มีความสูง ๒๕ เมตร กว้าง ๖ เมตร น้ำหนักรวม ๒๕๔ ตัน พระองค์นี้ใน ตอนแรกได้สร้างเป็นชิ้น ๆ ก่อน แล้วค่อยนำมาประกอบ ขึ้น ซึ่งต้องใช้ความอดทน มากทีเดียวกว่าจะได้ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง อย่างที่เราได้เห็นกันอยู่นี้


    นอกจากนี้ยังมีสถานที่สำคัญและน่าท่องเที่ยวอยู่อีกหลายแห่งภายในวัด ไม่ว่าจะเป็น สวนลุมพินีวัน(จำลอง) สถานที่ประสูติของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า สระโบกขรณี (จำลอง) สถานที่ถวายการสรงน้ำ เมื่อแรกประสูตร เจดีย์พุทธคยา (จำลอง) ซึ่งเป็นสถานที่ตรัสรู้ ต้นพระศรีมหาโพธิ ที่ตรัสรู้ด้านหลังองค์เจดีย์ พระสถูปเจดีย์ (จำลอง) สถานที่ปฐมเทศนา หรือจะเป็น เจ้าแม่กวนอิม ก็มี ที่นี่ได้รวมเอาประติมากรรม ต่าง ๆ เข้ามาไว้รวมกัน ซึ่งเหมาะแก่การทำสมาธิ หรือพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง อ้อ…แล้วอีกที่หนึ่งที่จะขาดเสียมิได้คือ พระตำหนัก "ภูตะวัน" แต่ที่นี่ห้ามบุคคลภายนอกผ่านขึ้นไป เพราะที่ตำหนักนี้สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ พร้อมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เพื่อเป็นที่ประทับในวโรกาสที่เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในจังหวัดพะเยา



    มาชมวัดกันดีกว่า รูปเยอะหน่อยเพราะอยู่ที่วัดนี้นาน

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg




    a.jpg

    a.jpg

    a.jpg
    พระอาจารย์ไพบูลย์ สุมังคโล

    a.jpg
    ซูมข้ามเขา

    a.jpg
    ระยะใกล้


    กราบพระอาจารย์ไพบูลย์ ถวายเครื่องปัจจัยบำรุงวัด พระอาจารย์ท่านใจดีมากๆ ได้ฟังธรรมจากพระอาจารย์แล้วชื่นใจ ท่านเมตตาคณะของเรามาก ท่านอุตสาห์ออกมาต้อนรับทั้งที่ยังอาพาธอยู่ คณะของเรากราบขอพรเสร็จแล้วก็ออกเดินทางสู่วัดร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย

    a.jpg





    a.jpg

    เก็บตกจ้า

    /ยังไม่จบ มีต่อ หน้านี้ยาวไปแล้วเดี๋ยวขอขึ้นหน้าใหม่นะเจ้าคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2018
  13. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    ต่อจ้า


    คณะของเราถึงวัดร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย ก็ประมาณบ่ายแก่ได้มั้ง ก็กลุ่มของสร้อยฟ้ามาลา ลงรถได้ก็ไปหาอะไรทานก่อน หิวแย้ว สร้อยฟ้ามาลาสั่งข้าวซอยไก่ อิ อิ ไม่ได้ลิ้มรสมานานมากๆ มาถึงถิ่นก็ต้องลองชิมของจริงเสียเลย ปรากฎว่าทานไม่หมดเจ้าค่ะ



    วัดร่องขุ่น
    ออกแบบและก่อสร้างโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ซึ่งปรารถนาจะสร้างวัดให้เหมือนเมืองสวรรค์ที่มนุษย์สัมผัสได้ เริ่มสร้างตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๐จากเดิมมีเนื้อที่ ๓ ไร่ ได้ซื้อที่ดินเพิ่มและมีผู้บริจาคคือคุณวันชัย วิชญชาคร จนปัจจุบันมีเนื้อที่ ๙ ไร่ และมีพระกิตติพงษ์ กัลยาโณ รักษาการเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน

    ความหมายของพระอุโบสถของวัดร่องขุ่น
    สีขาว : พระบริสุทธิคุณของพระพุทธเจ้า
    สะพาน : การเดินข้ามจากวัฏสงสารสู่พุทธภูมิ
    เขี้ยว หรือ ปากพญามาร : กิเลสในใจ
    สันของสะพาน : มีอสูรอมกัน ข้างละ ๘ ตัว ๒ ข้าง รวมกันแทนอุปกิเลส ๑๖
    กึ่งกลางของสะพาน : เขาพระสุเมรุ
    ดอกบัวทิพย์ : มี ๔ ดอกใหญ่ตรงทางขึ้นด้านข้างอุโบสถแทนซุ้มพระอริยเจ้า ๔ พระองค์ คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
    บันไดทางขึ้น : มี ๓ ขั้นแทน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    มาชมวัดกันเจ้าค่ะ


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    แต่เนื่องจากระยะทางยังอีกยาวไกล ก็เลยชมวัดร่องขุ่นได้ไม่นาน จึงมีภาพมาฝากได้เพียงแค่นี้ ก็ต้องรีบขึ้นรถเพื่อไปให้ถึง เหนือสุดแดนสยาม แม่สาย เจ้าค่ะ


    คณะของเรามาถึงวัดที่เป็นจุดกำเนิดของทริปนี้อีกที่หนึ่งคือ วัดถ้ำผาจม ซึ่งพี่เตอร์และคณะของเราตั้งใจจะมาทำบุญสร้างพระอุโบสถ ณ วัดถ้ำผาจม ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ปัจจุบันนี้ มีพระอธิการวิชัย เขมิโย เป็นเจ้าอาวาส และเป็นผู้บริหารงานบูรณปฏิสังขรณ์ ได้สร้างกุฎิ ศาลาปริยัติธรรม ศาลาอเนกประสงค์ ศาลาการเปรียญ ที่พักพระอาคันตุกะ หอสมุด หอระฆัง เจดีย์ และได้สร้างเขื่อนกั้นน้ำสำหรับน้ำมาใช้ที่วัดถ้ำผาจม และพระธาตุดอยเวาด้วย ท่านได้สนทนาและสอนข้อคิดคติการดำรงชีวิตใหกับคณะของเราด้วย โดยมีใจความสำคัญว่า ให้มีสติกำหนดระลึกรู้อยู่แต่ปัจจุบัน อดีตที่ไม่ดีไม่ต้องจดจำ อนาคตยังมาไม่ถึงคิดไปก็เป็นกังวลโดยเปล่าประโยชน์


    ลักษณะวัดถ้ำผาจม
    วัดถ้ำผาจมนั้น ตั้งอยู่ในหุบเขา และอยู่ในแนวนอน เทือกเขาเขาลูกนี้เป็นรูปผู้หญิงนอนหงายสยายผมไปทางประเทศพม่า ฉะนั้น วัดถ้ำผาจมจึงอยู่ปลายผม เมื่อมองไปทางทิศตะวันออก จะเห็นพระธาตุดอยเวา ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร และจะเห็นเทือกเขาเป็นคุ้งมังกรสวยงามมาก สถานที่ที่วัดถ้ำผาจมตั้งอยู่นั้น เป็นช่วงปากของมังกร มีธรรมชาติรอบบริเวณวัดสวยงาม สงบ

    ผู้ที่เคยบูรณะวัดถ้ำผาจมสมัยที่ผ่านมา
    ในถ้ำมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ซึ่งประชาชนมาเคารพบูชามากมาย ได้แก่พระยืนสององค์ พระไสยาสน์หนึ่งองค์ และพระหลวงพ่อสายรุ่งอีกองค์หนึ่ง เป็นพระที่สวยงามมาก เป็นพึ่งทางใจของประชาชนซึ่งเข้าไปกราบไหว้สักการบูชาตลอดเวลา ถ้ำข้างในเข้าไปอีก มีหลวงพ่อทองทิพย์ ชื่อของหลวงพ่อในถ้ำนี้เป็นชื่อที่คนถิ่นนั้นเรียกกันติดปากมาช้านานแล้ว ในถ้ำบรรจุคนได้ประมาณ ๒๐๐ กว่าคน แต่ทางด้านหลังของหลวงพ่อทองทิพย์นั้น มีถ้ำลึกลงไป เป็นถ้ำที่กว้างใหญ่มาก สามารถบรรจุคนได้ถึงสามพันหรือสี่พันหรือทีเดียว ถ้ำนี้อยู่ลึกจากปากถ้ำลงไปประมาณ ๑๐๐ กว่าเมตร ยาวไปทางประเทศพม่า ลอดใต้แม่น้ำสายไปทะลุขึ้นถ้ำผาปูนทางฝั่งพม่า ซึ่งห่างจากถ้ำผาจมไปประมาณ ๑,๕๐๐ เมตร ทั้งนี้จากคำบอกเล่าของพระตา (ผู้เป็นผ้าขาว) เป็นชาวจีนฮ่อ และเคยได้มาทำความเจริญให้แก่วัดถ้ำผาจมพอสมควร ซึ่งได้ลงไปในถ้ำและไปโผล่ขึ้นที่ถ้ำผาปานดังกล่าว

    มีญาติโยมที่เคยได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่ออุตตะมะซึ่งอยู่ที่อำเภอสังขละ จังหวัดกาญจนบุรีเล่าว่า หลวงพ่อได้ปรารภให้ญาติโยมฟังว่า ถ้ำผาจมที่อยู่ที่อำเภอแม่สายนั้น เป็นถ้ำที่มหัศจรรย์มาก คือ ถ้ำนี้จะลึกเข้าไปถึงเมืองหงสาวดีในประเทศพม่า นี่เป็นคำพูดที่ญาติโยมได้ยินจากหลวงพ่ออุตตมะ มีเรื่องเล่าจากคุณเที่ยง เสกกระโก ว่าเคยได้มาช่วยกันปิดถ้ำนี้ไว้ สาเหตุที่ทำให้ต้องปิดไว้นั้น เพราะเคยมีหนุ่มสาวสองคู่คงไปในถ้ำ เสร็จแล้วหายไปเลย ไม่กลับขึ้นมาอีกมีอยู่ที่เคยนั่งสมาธิเห็นว่าใต้ถ้ำนั้นเป็นสระใหญ่สวยงามมาก และยังเห็นหนุ่มสาวสองคู่นั้นยืนอยู่ริมของสระด้านละคู่

    ในวันพระจะได้ยินเสียงสวดมนต์ในช่วงเวลาตั้งแต่ ๑.๐๐ น. เป็นต้นไป สำหรับในระยะเข้าพรรษานั้น แม้แต่กลางวันก็จะได้ยินเสียงสวดมนต์เสมอ และถ้ำแห่งนี้ กล่าวกันว่า เป็นที่อยู่ของพญานาค ๒ ตัวด้วย

    ความสำคัญของวัดถ้ำผาจม
    ถ้ำผาจมเป็นปูชนียสถานเก่าแก่ ไม่สามารถประมาณได้ว่า มีตั้งแต่เมื่อไรเป็นสถานที่ที่สงบ เงียบสงัด มีต้นไม้ร่มรื่น สวยงามมาก เป็นสถานที่สัปปายะเหมาะสำหรับการบำเพ็ญภาวนา หรือการปฏิบัติสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐานเป็นอย่างดีเยี่ยม จึงมีครูอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานจาริกธุดงค์ไปพักเป็นประจำเหตุที่ชาวบ้านเรียกว่า “ถ้ำผาจม” การที่ถ้ำนี้ถูกเรียกว่า “ถ้ำผาจม” นั้น เพราะถ้ำแห่งนี้จมลึกลงไปและอยู่ใต้แม่น้ำสายเป็นบางส่วน คนทั้งหลายจึงได้เรียกว่า “ถ้ำผาจม”

    [​IMG]


    [​IMG]
    ออกจากวัดก็แวะตลาดแม่สาย แต่ไม่ได้ข้ามไปฝั่งพม่า เพราะเวลาไม่มีแล้วจึงได้แต่เก็บภาพมาได้น้อยมาก


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    ออกจากแม่สายได้ประมาณ หกโมงเย็นเราก็แวะ........ เอาไว้ต่อหลังสงกรานต์เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังใหม่ ยังเหลือระยะทางอีกไกล




    .........................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2013
  14. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    กลับจากสงกรานต์แล้วจ้า

    เดี๋ยวเพื่อนๆ คอยติดตามกระทู้เที่ยวสงกรานต์ของสร้อยฟ้ามาลาต่อนะเจ้าคะ แต่งานนี้ไม่มีเปียกน้ำ อิ อิ เพราะไม่อยากโดนสาดน้ำ....




    มาโม้ต่อจากที่ติดค้างไว้ เอ ถึงไหนแล้วหล่ะนี่


    [​IMG]


    ออกจากแม่สาย คณะของเราก็มุ่งหน้าสู่นพบุรีศรีนครพิงค์ เชียงใหม่ ก็ตอนนั้นออกจากแม่สายประมาณหกโมงเย็นกว่าๆ เราแวะข้างทางเพื่อซื้อผลสตอเบอรรี่ แต่ลูกเล็กไปหน่อยและแพงกว่าที่คิดไว้เลยไม่ซื้อ คณะของเราแวะที่ วัดมงคลธรรมกายาราม ตำบลโป่งงาม อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีพระครูภาวนานุวัตร เป็นเจ้าอาวาส ท่านใจดีมากๆ เป็นกันเองกับญาติโยม ในวันนั้นมีการเตรียมงานบวชเณรลูกแก้วซึ่งจะบวชในวันรุ่งขึ้น


    [​IMG]


    [​IMG]

    วันนี้คณะของเราโชคดีมากๆ ต้องบอกว่าเพราะพี่เตอร์ ที่เป็นโยมอุปฐาก ขอให้เปิดพระอุโบสถให้พวกเราได้เข้าชมความงามของพระประธาน และพระพุทธรูป พระประธานในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิที่สร้างขึ้นเป็นแบบพระแก้วมรกต มีมณฑปและบุษบกเหมือนในพระแก้วมรกตในวันพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมด้วยเครื่องทรงที่ประดับเพชรและพลอย มีความงดงามมากๆ


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
    ความงดงามของพระประธาน


    [​IMG]
    หยกที่เหลือจากการสร้างพระประธาน ยังนำมาสร้างพระพุทธรูปได้อีก



    ซึ่งในวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ประดับเครื่องทรงพระประธาน และเบิกพระเนตรพระรัตนมงคลมณี พระศรีมงคลสวัสดิ์ พระพุทธรูปปางห้ามญาติ

    วัดมงคลธรรมกายาราม เป็นสาขาวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ได้รับการถวายที่ดิน จำนวน ๘ ไร่ ๓ งาน ๘๗ ตารางวา จากนายจำนง - นางนงลักษณ์ พัดเอี่ยม เมื่อปี ๒๕๓๘ โดยมีพระสมศักดิ์ มหัพพะโล เป็นเจ้าสำนักฯ ต่อมา พระสมศักดิ์ มหัพพะโล ถึงแก่มรณภาพ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ กรรมการมหาเถรสมาคม ได้มีบัญชาให้ พระชูวิทย์ อัตตะวิชโช พร้อมคณะ มาปฏิบัติศาสนกิจในปี ๒๕๔๒ ได้ดำเนินการขอตั้งวัดเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๔ และได้ขอพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๔๖ ปัจจุบันมีที่ดินทั้งสิ้น ๙๗ ไร่ ๓ งาน ๕๖ ตารางวา วัดได้ดำเนินการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ด้วยการจัดตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกนักธรรมบาลี และอบรมเยาวชน ด้วยการจัดตั้งค่ายพุทธบุตร ปัจจุบันมีพระครูภาวนานุวัตร เป็นเจ้าอาวาส
    ในปี ๒๕๔๔ ได้ดำเนินการสร้างพระอุโบสถ ทรงไทยประยุกต์ขนาดกว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๒๑ เมตร และได้แกะสลักพระประธาน จากหินหยกเขียวแคนาดา ขนาดหน้าตัก ๑๘.๙ นิ้ว ประทับนั่งในบุษบก ขณะนี้ทางวัดได้ดำเนินการจัดสร้างเครื่องทรงพระประธานแล้วเสร็จ โดยใช้เวลาในการสร้าง ๓ ปี ใช้งบประมาณ ๑๑ ล้านบาทเศษ โดยมีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เนื่องในปี ๒๕๕๐ เป็นปีมหามงคลที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา ครบ ๘๐ พรรษา
    เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ วัดมงคลธรรมกายาราม ได้ดำริสร้างพระพุทธรูปปางห้ามญาติ จำนวน ๒ องค์ เพื่อถวายเป็นพระกุศลในวโรกาสที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ทรงเจริญพระชันษา ครบ ๕๐ ชันษา และทรงประทานพระนามพุทธรูปว่า “พระรัตนมงคลมณี” และ “พระศรีมงคลสวัสดิ์”


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
    พระรัตนมงคลมณี


    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]
    พระศรีมงคลสวัสดิ์


    พระรัตนมงคลมณี และ พระศรีมงคลสวัสดิ์ จะมร้างคล้ายกับ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม นั่นก็คือ การสร้างพระประธาน และพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ทั้งเครื่องทรง บุษบก และมณฑป จำลองจากวัดพระศรีรัตนศาสดารามทั้งสิ้น


    หลังจากฟังคำบรรยาย ที่มาที่ไปของการสร้างจากท่านพระครู และกราบสักการะขอพรแล้ว ท่านยังได้เลี้ยงข้าวคณะของเราอีกด้วย ท่านบอกว่าทางวัดจะมีอาหารพอหรือไม่ ไม่ต้องห่วงท่านจัดหามาได้ถ้าพวกเราไม่รังเกียจและทานได้ ขอกราบขอพระคุณท่านที่ ท่านเมตตาต่อคณะของเรามาก


    หลังจากทานอาหารค่ำที่วัดแล้ว คณะของเราก็กราบลาท่านพระครู มุ่งหน้าสู่ นครเชียงใหม่ เวลาตอนนั้นประมาณ ๒ ทุ่มกว่าๆ ได้มั้ง


    ตอนนี้เป็นช่วงหรรษาฝ่าโค้งของขุนเขา โชว์เฟอร์คันของสร้อยฟ้ามาลาขับรถดีมากๆ แต่อีกคันสร้อยฟ้ามาลาไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรบ้าง พอฝ่าโค้งและขุนเขามาได้ก็เจอปั๊มน้ำมัน จอดแวะที่ปั๊มน้ำมัน เพื่อ........ เอาของเก่าออกเจ้าค่ะ เพราะว่า เมารถเป็นแถวๆ คันของสร้อยฟ้ามาลา มีเมารถอยู่คนเดียว แต่อีกคันมีเมารถหลายคนอยู่ ตอนนั้นประมาณ ๕ ทุ่มกว่าๆ


    จากปั๊มน้ำมัน คณะของเราเดินทางถึง วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ เวลาเที่ยงคืนกว่าๆ ในวัดเงียบเชียบผสมบรรยากาศวังเวง ขอย้ำ วังเวง ตอนเข้าวัดสายตาของสร้อยฟ้ามาลาก็เหลือบไปเห็นกู่บรรจุพระอัฐิของเจ้านายฝ่ายเหนือ ซึ่งสร้อยฟ้ามาลาเคยอ่านในหนังสือแต่ไม่มั่นใจว่าอยู่ที่ใด เมื่อเห็นจึงได้ อ๋อ อยู่ที่วัดนี้เอง


    ก็เหมือนเดิมเจ้าค่ะ เข้าคิวอาบน้ำ แต่ขอกระซิบ บางคนก็ไม่อาบนะ เพราะเหนื่อยจากการเดินทางซึ่งตรงนี้ไม่ว่ากันหรอก เพราะเข้าใจเลย แหม ก็กว่าจะเข้าคิวอาบน้ำกันเสร็จและจัดแจงปูที่หลับที่นอนก็จะปาเข้าไปเกือบตีสองแล้ว แต่สร้อยฟ้ามาลาอาบน้ำนะ.....

    [​IMG]
    ที่พักในวัดสวนดอก


    คืนนี้ไม่ใช่คืนวันพระ คณะของเรา ๓๐ กว่าชีวิตเข้านอนแล้ว แต่สร้อยฟ้ามาลายังไม่หลับ เพราะเหล่าสุนัขประจำวัดต่างพากันเห่ากันเสียงดังไล่ตั้งแต่ท้ายพระเจดีย์ใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับกู่ เห่าไม่เห่าเปล่า ยังหอนอีก แล้วเสียงก็หยุด สักพักก็เห่าอีก และก็หอนโหยหวนเลยคราวนี้ไล่มาถึงพระวิหาร และมาหยุดอยู่ใกล้ๆ กับศาลาที่คณะของเราพักอยู่ซึ่งตั้งอยู่เยื้องกับพระวิหาร คราวนี้ชุมนุมเสียงกันใหญ่ สร้อยฟ้ามาลาก็นอนฟังไป ยังไม่นึกกลัว แต่ก็ทำเอานอนหลับๆ ตื่นๆ ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2013
  15. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    วันจันทร์ที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๒ วันนี้เป็นวันจักรี

    สร้อยฟ้ามาลาตื่นนอนประมาณ ตีห้าเกือบๆ หกโมงเช้า ก็เหมือนเดิม เข้าคิวอาบน้ำจ้า

    ขอเล่าประวัติวัดสวนดอกสักหน่อยหนึ่ง


    วัดสวนดอกตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ เลขที่ ๑๓๙ ถนนสุเทพ ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ห่างจากประตูสวนดอกไปทางทิศตะวันตก ๑ กิโลเมตร กินเนื้อที่ ๓๕ ไร่ ๒ งาน ๔๔ ตารางวา


    วัดสวนดอกในอดีตนั้นป็นสวนดอกไม้ (ต้นพยอม) ของเจ้านายฝ่ายเหนือในราชวงศ์เม็งราย โดยในปี พ.ศ.๑๙๑๔ (ศักราชนี้ถือตามหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ของพระรัตนปัญญาเกตุ) พระเจ้ากือนา กษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่งราชวงศ์เม็งราย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็น "พระอารามหลวง" เพื่อให้เป็นที่จำพรรษาของ "พระมหาเถระสุมน" ผู้ประดิษฐานพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ในแผ่นดินล้านนา และสร้างองค์พระเจดีย์เพื่อประดิษฐาน "พระบรมสารีริกธาตุ" ๑ ใน ๒ องค์ ที่ "พระมหาเถระสุมน" อัญเชิญมาจากสุโขทัย ในปี พ.ศ.๑๙๑๒ (องค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ในพระเจดีย์ ในวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร)

    ในสมัยราชวงศ์เม็งราย วัดสวนดอก มีความเจริญรุ่งเรืองมาก แต่หลังจากสิ้นราชวงศ์เม็งราย บ้านเมืองตกอยู่ในอำนาจพม่า ทั้งเกิดจลาจลวุ่นวาย วัดนี้จึงกลายสภาพเป็นวัดร้างไป วัดสวนดอก ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่อีกครั้ง ในรัชสมัยพระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ แห่งราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์(เจ้าเจ็ดตน)และได้รับการทำนุบำรุงจาก เจ้านายฝ่ายเหนือและประชาชนเชียงใหม่มาโดยตลอด


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    อาบน้ำเสร็จก็เก็บข้าวเก็บของ จัดกระเป๋า เก็บที่นอน กราบพระในศาลา และหิ้วกระเป๋าขึ้นรถตู้ แต่รถยังไม่ออกนะ ณ เวลานี้ ฟรีสไตล์ บางคนก็ไปตลาด บางคนก็ไปใส่บาตร แต่กลุ่มของสร้อยฟ้ามาลา เดินไปทางด้านหลังวัดเพื่อไปกราบ พระเจ้าเก้าตื้อ ก่อน


    [​IMG]


    [​IMG]
    พระเจ้าเก้าตื้อ


    พระเจ้าเก้าตื้อ เป็นพระพุทธรูปหล่อองค์ใหญ่ สร้างด้วยโลหะหนัก ๙ โกฏิตำลึง ("ตื้อ" เป็นคำในภาษาไทยเหนือ แปลว่า หนักพันชั่ง) พระญาเมืองแก้ว กษัตริย์องค์ที่ ๑๓ แห่งราชวงศ์เม็งราย โปรดให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๐๔๗ "พระเจ้าเก้าตื้อ" เป็นพระพุทธรูปแบบเชียงแสนฝีมือช่างล้านนาและสุโขทัย หน้าตักกว้าง ๘ ศอก หรือ ๓ เมตร สูง ๔.๗๐ เมตร เพื่อเป็นพระองค์ประธานในวัดสิงห์ แต่เนื่องมีน้ำหนักมากไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ จึงได้ถวายเรือนหลวงของพระองค์เป็นพระวิหาร พระราชทานชื่อว่า "วัดเก้าตื้อ" แทน ซึ่งต่อมาภายหลังได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ในสมัย พระคณูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา ในปี พ.ศ.๒๔๗๕ กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๕๒ ตอนที่ ๗๕ ลงวันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘


    [​IMG]


    [​IMG]

    หลังจากราบสัการะขอพรจากพระเจ้าเก้าตื้อเสร็จแล้ว สร้อยฟ้ามาลา ก็เดินดิ่งไปที่กู่พระอัฐิของเจ้านายฝ่ายเหนือเลย พอเดินเข้าไป ก็จะพบกับ กู่บรรจุพระอัฐิของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี สร้อยฟ้ามาลา ได้ถวายบังคมพระองค์ท่าน


    [​IMG]


    [​IMG]


    ส่วนกู่พระอัฐิที่อยู่ทางด้านซ้ายก็คือ กู่ของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่



    [​IMG]

    กู่เจ้านายฝ่ายเหนือ สร้างขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๕๐ โดยพระดำริในพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว



    [​IMG]


    เจ้านายฝ่ายเหนือในราชตระกูล ณ เชียงใหม่ ซึ่งทรงเห็นว่าทำเลที่ตั้งของวัดสวนดอกกว้างขวาง จึงโปรดให้อัญเชิญรวบรวมพระอัฐิของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ และพระประยูรญาติ มาประดิษฐานรวมกัน ณ ที่นี่ รวมทั้งได้ประทานทรัพย์ให้การทำนุบำรุงมาโดยตลอดพระชนม์ชีพ หลังจากพระราชชายา สิ้นพระชนม์ ได้มีการแบ่งพระอัฐิของพระองค์มาประดิษฐานไว้ ณ กู่เจ้านายฝ่ายเหนือ แห่งนี้ (อีกส่วนหนึ่งแบ่งประดิษฐานไว้ในสุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาศรีมารามราชวรวิหาร) ปัจจุบัน กู่เจ้านายฝ่ายเหนือ ได้ถูกจดทะเบียนให้เป็นโบราณสถานสำคัญ ภายใต้การกำกับดูแลของกรมศิลปากร ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    หลังจากถวายบังคมเสร็จแล้ว สร้อยฟ้ามาลา ก็ไปสักการะและทำทักษิณาวัตรพระเจดีย์ซึ่งเป็นพระเจดีย์ใหญ่ทรงลังกาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สร้างขึ้นในปี พ.ศ.๑๙๑๔ ในรัชกาลของพระเจ้ากือนา กษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่งราชวงศ์เม็งราย โปรด ให้สร้าง "พระอารามหลวง" โดยโปรดเกล้าให้สร้าง "พระเจดีย์ทรงลังกา" ขึ้นเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่พระมหาเถระสุมนได้อัญเชิญมาจากสุโขทัย ในปี พ.ศ.๑๙๑๒ ซึ่งแต่เดิมมีเจดีย์แบบสุโขทัย(ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์) อยู่ทางทิศตะวันตกขององค์พระเจดีย์ใหญ่ แต่ได้ปรักหักพังลง พระเจดีย์องค์ใหญ่สูง ๒๔ วา ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
    จากนั้นก็ขึ้นพระวิหารหลวง กราบสักการะพระพุทธปฏิมาค่าคิง และพระยืนด้านหลังพระวิหารหลวง

    พระพุทธปฏิมาค่าคิง(เท่าพระวรกาย) เป็นพระประธานในพระวิหารหลวง สร้างในสมัยพระเจ้ากือนา พ.ศ.๑๙๑๖ หล่อด้วยทองสำริด ขนาดเท่าพระวรกายของพระเจ้ากือนา หน้าตักกว้างสองเมตร สูงสองเมตรครึ่ง เรียกชื่อตามภาษาถิ่นว่า “พระเจ้าค่าคิง”

    แปดโมงกว่าแล้ว คณะของเราเริ่มรวมพลหน้าพระวิหารหลวง จัดข้าวของบนรถเตรียมตัวเดินทางกลับสู่กรุงเทพมหานคร


    ในการจัดหาที่พักที่วัดสวนดอกนี้ พี่โมเย แม่หญิงแห่งนครพิงค์ เป็นผู้อำนวยความสะดวกและเป็นธุระในการติดต่อขอที่พักให้ และกลุ่มของสร้อยฟ้ามาลาขึ้นเหนือมาครั้งนี้ก็ตั้งใจจะมาพบพี่โมเยด้วยอีกประการหนึ่ง แต่ความตั้งใจนั้นก็ไม่สัมฤทธิ์ผล ในระหว่างการเดินทางขึ้นเหนือ พี่โปตาลากาได้โทรศัพท์ติดต่อไปพี่โมเยตลอด และจะนัดเจอกันเพื่อพาชมเมืองเชียงใหม่ยามค่ำคืนและจะได้ฟังเพลงพื้นเมืองล้านนาที่พี่โมเยเป็นผู้ขับร้องตั้งแต่เมื่อคืน แต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามนั้นเพราะถึงเชียงใหม่ก็ดึกมากแล้ว จึงได้โทรศัพท์เพื่อมานัดเจอกันที่หน้าวัดสวนดอกในตอนเช้า แต่เราก็ไม่ได้เจอกัน เราคลาดกันเพียงแค่นิดเดียว รถของคณะเราได้ออกจากวัด ในขณะที่พี่โมเยขับรถมาถึงหน้าวัดแล้ว สร้อยฟ้ามาลาทุบกระจกรถเพื่อให้พี่โมเยได้เห็นแต่ก็ไม่เห็น อย่างน้อยสร้อยฟ้ามาลาก็ได้เห็นพี่โมเยแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คุยกันด้วยกริยาวาจา แต่เราก็สื่อถึงหัวใจกันได้ แค่นี้สร้อยฟ้ามาลาก็ดีใจอย่างที่สุดแล้ว และขอขอบคุณเจ้าปี้โมเยอย่างที่สุดด้วย หากมีเหตุอันใดที่จักทำให้ชลอเวลาออกอีกหน่อยได้ เราคงได้พบกันแล้วนะเจ้าปี้โมเย........



    ...............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2013
  16. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    ออกจากวัดสวนดอก พี่โปตาลากาได้โทรศัพท์หาพี่โมเยทันที่ เมื่อสร้อยฟ้ามาลาโวยวายขึ้นมาว่าเห็นพี่โมเย จอดรถอยู่หน้าวัด และขอให้พี่โมเยขับตามเราไป เพราะเราจะไปแวะทานข้าวกัน แต่พี่โมเยบอกว่าคงไปไม่ได้เพราะไปไกลเหลือเกิน สร้อยฟ้ามาลาจึงได้คุยกับพี่โมเยทางโทรศัพท์ คงจักไม่โทษใครทั้งนั้น เพราะเวลาที่จะพบกันคงยังไม่มาถึง สร้อยฟ้ามาลากลั้นความรู้สึกไม่อยู่

    คณะของเราแวะทานข้าวเสร็จ ก็ไปแวะที่วัดพระสิงห์


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg

    พระพุทธรูปในพระวิหาร



    วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ในบริเวณคูเมืองเชียงใหม่ ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ วัดพระสิงห์ฯ เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ เป็นที่ประดิษฐานพระสิงห์ (พระพุทธสิหิงห์) พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเชียงใหม่และแผ่นดินล้านนา พระพุทธรูปเป็นศิลปะเชียงแสนรู้จักกันในชื่อ "เชียงแสนสิงห์หนึ่ง"


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg



    พญาผายู กษัตริย์เชียงใหม่ราชวงศ์เม็งราย โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.๑๘๘๘ ขั้นแรกให้สร้างเจดีย์สูง ๒๓ วา เพื่อบรรจุพระอัฐิ ของพญาคำฟู พระราชบิดา ต่อมาอีกสองปีจึงสร้างพระอาราม เสนาสนวิหาร ศาลาการเปรียญ หอไตร และกุฎิสงฆ์เรียบร้อย ทรงตั้งชื่อว่า "วัดลี" ต่อมาบริเวณหน้าวัดมีตลาดเกิดขึ้นชาวบ้านเรียกว่า "ตลาดลีเชียง" แล้วเรียกวัดว่า "วัดลีเชียง" และ "วัดลีเชียงพระ" ระหว่างปี พ.ศ. ๑๙๓๑ - ๑๙๕๔ สมัยพระเจ้าแสนเมืองมา ขึ้นครองนครเชียงใหม่โปรดให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาจากเมืองเชียงราย เมื่อขบวนช้างอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาถึงหน้าวัดลีเชียงก็ไม่ยอมเดินทางต่อ พระเจ้าแสนเมืองมาจึงให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ประดิษฐาน ณ วัดลีเชียง ประชาชนทางเหนือนิยมเรียก"พระพุทธสิหิงค์" สั้นๆ ว่า "พระสิงห์" จึงเรียกชื่อวัดตามพระพุทธรูปว่า "วัดพระสิงห์"


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg

    เมื่อถึงปี พ.ศ.๒๓๕๔ พระเจ้ากาวิละ ได้โปรดฯ ให้สร้างอุโบสถ และหอไตรขึ้น โดยมีลักษณะเป็นอาคารทรงล้านนาขนาดใหญ่ ตรงกลางอาคารมีกู่ซึ่งแต่เดิมคงเป็นสถานที่ที่ประดิษฐานพระประธาน


    ขอบอกว่าที่วัดพระสิงห์นี้ วิ่งถ่ายภาพเจ้าค่ะ ทางคณะบอกว่าต้องทำเวลา รีบไหว้ รีบถ่ายภาพ และก็วิ่งจริงๆ


    ประมาณ เก้าโมงครึ่งเกือบๆ สิบโมง ก็ออกจากเมืองเชียงใหม่ มุ่งสู่ วัดพระธาตุลำปางหลวง


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    วัดพระธาตุลำปางหลวง ตั้งอยู่ในเขตตำบลลำปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง อยู่ห่างจากตัวเมืองลำปางไปทางทิศตะวันเฉียงใต้ประมาณ ๑๘ กิโลเมตร ตัววัดตั้งอยู่บนเนินสูง มีการจัดวางผัง และส่วนประกอบของวัดสมบูรณ์แบบที่สุด


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg



    a.jpg
    ภาพสะท้อนของพระธาตุในพระอุโบสถ ถ่ายโดยแมงปอแก้ว



    a.jpg


    a.jpg


    a.jpg



    มีสิ่งก่อสร้าง และสถาปัตยกรรมต่าง ๆ บริเวณพุทธาวาสประกอบด้วย องค์พระธาตุลำปางหลวง เป็นประธาน มีบันไดนาคนำขึ้นไปสู่ซุ้มประตูโขง ถัดซุ้มประตูโขงขึ้นไปเป็น วิหารหลวง บริเวณทิศเหนือขององค์พระธาตุมีวิหารบริวารตั้งอยู่คือ วิหารน้ำแต้ม และวิหารต้นแก้ว ด้านตะวันตกขององค์พระธาตุประกอบด้วย วิหารละโว้ และหอพระพุทธบาท ด้านใต้มีวิหารพระพุทธ และอุโบสถ ทั้งหมดนี้จะแวดล้อมด้วยแนวกำแพงแก้วทั้งสี่ด้าน นอกกำแพงแก้วด้านใต้มีประตูที่จะนำไปสู่เขตสังฆาวาส ซึ่งประกอบด้วยอาคาร หอพระไตรปิฎก กุฏิประดิษฐานพระแก้วดอนเต้า อาคารพิพิธภัณฑ์และกุฏิสงฆ์



    a.jpg


    a.jpg


    ออกจากวัดพระธาตุลำปางหลวง ก็ประมาณเกือบบ่ายโมง ทางคณะกะว่าจะแวะวัดท่าซุงเป็นที่สุดท้าย แต่ระยะทางกับเวลาเมื่อดูๆ แล้วคงไม่ได้แน่ ก็เลยตกลงว่า กลับกรุงเทพมหานครเลยก็แล้วกัน รถมาถึงกรุงเทพเวลาประมาณ ๔ ทุ่มกว่า ก็ส่งคนรายทาง สร้อยฟ้ามาลาเป็นรายสุดท้าย เลยมีโอกาสได้คุยกับโชเฟอร์ เขาบอกว่าเหนื่อยมากๆ ขนาดเราเป็นคนนั่งยังเหนื่อย ยังได้มีโอกาสหลับบ้าง แต่คนขับหลับไม่ได้ โชเฟอร์มาส่งที่สายใต้ใหม่ล่าสุด สร้อยฟ้ามาลาลงรถได้ ก็โบกแท็กซี่ถึงบ้านเกือบเที่ยงคืน กว่าจะทำอะไรเสร็จ กว่าจะนอนก็ตีหนึ่งเกือบตีสอง แถมนอนไม่หลับเพราะเลยเวลาแล้ว.......




    สรุปว่า ทริปนี้ อิ่มบุญกันเต็มที่ สนุกและประทับใจ ขอขอบคุณพี่เตอร์กับพ่อเทพออรฤทธิ์ที่ร่วมกันริเริ่มทริปนี้ขึ้นมา ขอขอบคุณโชเฟอร์ที่พาคณะของเราเดินทางสู่จุดหมายและเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ งานนี้สงสารโชเฟอร์มากๆ เพราะกว่าจะได้เข้านอนก็ต้องเคลียรถให้สะอาดในขณะที่พวกเราหลับกันหมดแล้ว และต้องตื่นก่อนเพื่อนเพื่อเตรียมรถให้พร้อม แต่สำหรับสร้อยฟ้ามาลาบอกได้เลยว่าไม่ขอทำให้รถต้องรกเพราะขยะที่ทำไว้ แต่คนอื่นไม่รู้นะว่าทำเหมือนกันหรือเปล่า ก็คงเห็นๆ กันอยู่ไม่ขออธิบายแต่ให้นึกเอาเองเป็นการเหน็บกันเล็กๆ เพราะสงสารโชเฟอร์จริงๆ






    สุดท้ายนี้ อันกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำในครั้งนี้ขออุทิศถวายแด่ คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณบิดาคุณมารดา วงศาคณาญาติ คุณครูบาอาจารย์ เจ้าฟ้า พระมหากษัตริย์ เทพยดาทั้งหลาย พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ ท่านท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ท่านท้าวเวสสุวรรณ คุณเจ้ากรุงพาลี ภูมิเจ้าที่ทั้งหลาย คุณแม่พระธรณี พระคงคา พระพาย พระเพลิง พระโพสพ พระยายมราช เจ้ากรรมนายเวร และขอให้ผลบุญจงได้สำเร็จผลแด่เพื่อนๆ สมาชิกในเว็ปพลังจิต ทุกท่าน




    ...........................


    ข้อมูลจาก วิกีพีเดีย
    ภาพ สร้อยฟ้ามาลา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2018
  17. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    เรื่องที่ ๖

    สร้อยฟ้ามาลา พาเที่ยววัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์


    กระทู้นี้ เป็นกระทู้ติดค้างมาจากกระทู้ทริปเหนือสุดแดนสยาม ทีแรกคิดจะตั้งชื่อว่าสร้อยฟ้ามาลาพาเที่ยวสงกรานต์(แบบไม่เปียกน้ำ) แต่เมื่อมาดูวันที่ไปเที่ยวแล้ว เลยสงกรานต์มา ๑ วัน เลยจะบอกให้เต็มปากเต็มคำว่าเที่ยวสงกรานต์คงไม่ได้ ก็เลยต้องนึกชื่อกระทู้ใหม่ แต่กว่าจะนำมาลงเป็นกระทู้ให้เพื่อนๆ ได้อ่านก็เลยเข้ามาเดือนพฤษภาคมแล้ว ความร้อนของเรื่องคงจะคลายลงเมื่อพ้นเมษา แต่คงไม่ว่ากันมั้งว่านำมาลงช้าไปหน่อย เพราะกว่าจะเสร็จกระทู้เหนือสุดแดนสยามก็สิ้นเมษาเลย ก็รูปที่ถ่ายไว้เยอะมากกว่าจะเลือกได้ กว่าจะย่อขนาดลง กว่าจะนำลงมาให้อ่านก็ต้องใช้เวลานิดหนึ่งนะเจ้าคะ เอ... เริ่มพูดมากอีกแล้วเรา เข้าเรื่องดีกว่า ......



    วันนี้เป็นวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๒ เลยสงกรานต์ มา ๑ วัน รัฐบาลสั่งหยุดราชการต่ออีก ๒ วัน นั่งอยู่บ้านที่นครสวรรค์ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี ไปทำบุญที่วัดแถวบ้านแล้วก็รีบกลับเข้าบ้าน กลัวโดนสาดน้ำ คิดไปคิดมา มีแต่คนถามว่าไปวัดพระพี่นางหรือยัง ก็บอกเลยว่าไม่เคยไป อยู่ตรงไหนเหรอ ก็อยู่อำเภอท่าตะโกงัย แล้วท่าตะโกอยู่ตรงไหนของนครสวรรค์หล่ะนี่ ตายหล่ะสิอยากไปแต่ไม่รู้จัก ก็เลยต้องกางแผนที่ แล้วก็คลำทางกันไป ระยะทางจากอำเภอเมืองถึงอำเภอท่าตะโกประมาณ ๕๐ กิโลเมตร เห็นจะได้โดยใช้ทางหลวงหมายเลข ๓๐๐๔ ผ่านสนามบิน, สถานีรถไฟ, บึงบอระเพ็ด แล้วจะหลงไหมนี่ อิ อิ งานนี้ไม่หลง แต่ขับรถเลยเจ้าค่ะ เพราะป้ายบอกทางเข้าไม่ค่อยสะดุดตา จากปากทางเข้าถึงวัดประมาณ เกือบ ๑๐ กิโลเมตรเห็นจะได้..... ถึงวัดเวลาประมาณ ๑๑.๓๐ น. เกือบเที่ยง ย้ำอีกที เกือบเที่ยง แสงอาทิตย์กำลังแผดกล้าเลย




    วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ มีชื่อเต็ม ๆ ว่า วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ตั้งขึ้นโดยคณะศิษย์สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธมฺมสารเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดราชผาติการาม กรุงเทพมหานครนำโดย พระเทพโมลี (สุนทร สุนฺทราโภ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชผาติการามเจ้าคณะเขตดุสิต (ธรรมยุติ) สร้างถวายสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ในโอกาสเจริญชนมายุครบ๘๐ ปี เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๙ ต่อมาวัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ได้รับอนุญาตจากกรมธนารักษ์ให้ใช้สถานที่จำนวน๙๖ ไร่ ๒ งาน ๕๘ ตารางวาเพื่อสร้างวัดขึ้นเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖ รอบ ๗๒ พรรษา และได้รับพระราชทานวิสุงคามเสมาในปีพ.ศ. ๒๕๔๘ วันที่๖ ธันวาคม๒๕๔๙ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงพระกรุณาบริจาคทุนทรัพย์ร่วมทำบุญพื้นที่สร้างเจดีย์ศรีพุทธคยาในวันที่๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๙ได้ทรงรับเป็นองค์ประธานงานสร้างเจดีย์ศรีพุทธคยาเฉลิมพระเกียรติวันที่๑๒มิถุนายน ๒๕๕๕๐ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมทรงรับวัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์เป็นวัดในพระองค์แต่เป็นที่น่าเสียดายที่การก่อสร้างเจดีย์ศรีพุทธคยายังไม่แล้วเสร็จก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน




    [​IMG]

    ตราสัญลักษณ์วัด “กว” พระนามย่อสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ประดิษฐานด้านบนตราสัญลักษณ์ ดอกบัวสื่อถึงพระพุทธศาสนา พระพุทธรูปตรงกลางดอกบัวหมายถึงพระพุทธศาสนาที่เป็นศูนย์กลางยึดเหนี่ยวจิตใจชาวพุทธ ภิกษุ 2 รูปนั่งพนมมือหันหน้าเข้าหากันหมายถึงภิกษุผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ส่วนเลข ๘๔ ที่เขียนเป็นตัวเลขไทย หมายถึงพระชนมายุสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ตัวเลขใช้สีเหลือง ๒ เฉด แทนสีของจีวรพระสงฆ์ไทย ๒ นิกาย และตราสัญลักษณ์ออกแบบโดย ณัฐกฤตตา ผิวอ่อน


    [​IMG]

    วัดจะแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน การจะชมวัดหรือไปนมัสการปูชนียวัตถุปูชนียสถานต้องเดินออกแรกกันหน่อย


    [​IMG]
    ส่วนแรก ที่จะถึงก่อนคือ สังฆาวาส จะประกอบด้วย ศาลาการเปรียญ กุฏิ เป็นต้น และเป็นที่จอดรถด้วย ส่วนรถบัสไม่อนุญาตให้ขึ้นชั้นบน ต้องใช้รถอื่นขึ้นไปทางค่อนข้างลาดชันมาก หรือไม่ก็เดินขึ้นไปตามบันได ระยะจากส่วนที่ ๑ ถึงส่วนที่ ๒ซึ่งเป็นส่วนของเรือหลวง นับขั้นบันไดได้ ๑๙๕ ขั้น และจากส่วนที่ ๒ ถึงส่วนที่ ๓ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเจดีย์ศรีพุทธคยา นับขั้นบันไดได้ ๒๑๐ ขั้น


    สร้อยฟ้ามาลาจอดรถไว้ในส่วนที่ ๒ แล้วเดินขึ้นบันไดไปได้เหงื่อพอดูเลย แดดร้อนเปรี้ยง ร่มก็ไม่มี หมวกก็ไม่มี ไม่มีอะไรจะบังแดดสักกะอย่าง มาแล้วห้ามบ่น (ก็ใครจะไปรู้หล่ะว่าร้อนนี่) ขอบอกอีกอย่างเพราะความไม่รู้นึกว่าวัดป่าจะตั้งอยู่บนพื้นราบมีต้นไม้ครึ้ม แต่คิดผิดวัดตั้งอยู่บนเขา ก็ทางเดินขึ้นเขาจะหาต้นไม้ที่ไหนมาบังแดดเล่า

    ส่วนที่ ๒ จะเห็นว่าวัดสร้างเป็นรูปของเรือหลวงขนาดใหญ่ ก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน เห็นแต่พระอุโบสถอยู่ในเรือ แต่ที่นี่วัดอยู่ในเรือ ซึ่งมีความหมายว่า เป็นพาหนะที่จะช่วยขนสัตว์ที่ตกอยู่ในห้วงแห่งสังสารวัฎ (ทะเลวน) ให้พ้นจากโอฆะสงสาร ห้วงน้ำคือกิเลสที่ทำให้เหล่าสัตว์หล่นลงไปแล้วจมน้ำตายอยู่ในสังสารวัฏ เวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า มี ๔ อย่างคือ กาม ทิฏฐิ ภพ อวิชชา เรือที่ตั้งอยู่บนเกาะหรือภูเขา หมายถึง เป็นสถานที่ที่น้ำท่วมไม่ถึง หรือท่วมทับแก่บุคคลที่มีปัญญาไม่ได้ ผู้มีปัญญา มีความขยัน ไม่ประมาทตามกิเลส มีความสำรวมระวังดี ก็จะอยู่บนเรือลำนี้ได้โดยปลอดภัย เรือหลวงลำนี้มีชื่อว่า "ราชญาณนาวาทีฆายุมงคล" เพราะสร้างขึ้นในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบ ๖๐ พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เรือหลวงนี้มีความกว้าง ๓๐ เมตร ยาวประมาณ ๖ ไร่เศษ สิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่สร้างขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นอนุสรณ์ให้ระลึกถึงสถาบันแห่งชาติทั้งสิ้น


    ความงดงามและสิ่งที่น่าดูน่าชมในวัดแห่งนี้พรรณนาอย่างไรก็สู้ไปดูด้วยตัวเองไม่ได้อยู่ดี แต่ที่อยากจะบอกก็คือ สิ่งที่ได้รับการรังสรรค์ขึ้นภายในวัดล้วนเป็นความประสงค์ของผู้สร้างที่ต้องการจะให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมวัดแห่งนี้ที่นอกจากจะได้รับความสุขสงบทางใจแล้ว ยังให้เกิดจิตสำนึกในความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ด้วย ทั้งนี้เพราะหลายสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมานอกเหนือจากที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาโดยตรง ก็ยังมีที่เกี่ยวกับสถาบันชาติและพระมหากษัตริย์มากมาย


    มาชมชั้นที่ ๒ กันดีกว่าเริ่มจากหัวเรือไปเรื่อยๆ จนถึงท้ายเรือ มีลำดับดังนี้


    [​IMG]

    พระพุทธเอกนพรัตน์ ประดิษฐานอยู่ ณ บริเวณหัวเรือราชญาณนาวาฑีฆายุมงคล ซึ่งสร้างขึ้นในมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ พระเทพโมลี ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มสร้างวัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ ได้คิดรวบควมพระพุทธจริยาปางต่างๆ ที่ประจำวันของเทพนพเคราะห์ทั้ง ๙ พระองค์ มี อาทิตยเทพ จันทรเทพ เป็นต้น คนทั้งหลายก็นำมาเป็นนิมิตหมายแห่งเทพประจำวันเกิดของตน
    เทพแต่ละองค์ก็จะมีพระพุทธรูปปางต่างๆ ที่เคารพนับถือบูชาประจำพระองค์ มนุษย์ทั้งหลายที่ได้ถือนิมิตหมายแห่งเทพประจำวันเกิด ก็จะต้องยอมรับนับถือพระพุทธรูปที่ประกอบด้วยพุทธจริยาปางต่างๆ มาประจำตัวด้วย จึงเป็นที่มาของพระพุทธรูปประจำวันเกิดทั้ง ๗ วัน โดยเพิ่มวันพุธกลางคืน คือพระราหู และพระเกตุ เข้าอีก ๒ พระองค์ จึงรวมเป็น ๙ องค์ เรียกว่า “เทพนพเคราะห์” สำหรับมาดูแลรักษามนุษย์ให้มีความสุขความเจริญ


    [​IMG]
    ศาลของกรมหลวงชุมพระเขตอุดมศักดิ์ ที่ทางวัดสร้างขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ในฐานะพระบิดาแห่งทหารเรือไทยและเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่เรือราชญาณนาวาทีฆายุมงคลด้วย ศาลนี้เป็นศาลแห่งที่ ๑๑๖ ในประเทศไทยจากการรวบรวมของกองทัพเรือ


    [​IMG]

    [​IMG]

    ลานพระธรรมจักร เป็นลานกว้างขนาด ๗ x ๗ เมตร บนลานแห่งนี้ประดิษฐานแท่นพระธรรมจักร มีหินทรายแกะสลักเป็นรูปกวาง และแท่นหิน ๘ เหลี่ยม ที่แกะจากหินทรายสลักเป็นรูปมงคลต่างๆ ตั้งไว้ด้านหน้า เป็นนิมิตหมายว่า พระพุทธเจ้าได้ประกาศพระธรรมคำสอนอันยอดเยี่ยมให้เป็นไปในโลกทั้ง ๒ อันใครจะปฎิวัติ ปรับปรุง เปลี่ยนเปลี่ยนไม่ได้ เพราะมีความสมบูรณ์ บริบูรณ์ยุติธรรม ในการวางแนวทางไว้อย่างประเสริฐ แก่เหล่าเทพยาและมนุษย์ทั้งหลาย


    [​IMG]
    พระอุโบสถ


    [​IMG]
    ปางประสูติ


    [​IMG]
    พระประธานในพระอุโบสถ


    [​IMG]
    พระพุทธนิรันตราย


    [​IMG]

    มณฑปเรือนแก้ว เป็นอุโบสถของวัด เป็นสถาปัตยกรรมประยุกต์ไทยอินเดีย ทีแรกไม่ทราบหรอกว่าเป็นพระอุโบสถแต่พอพิจารณาเดินดูรอบๆ แล้ว สร้อยฟ้ามาลาเห็นว่ามีใบเสมาอยู่ตามมุม แสดงเป็นเขตอยู่จึงได้ทราบว่านี่คือ พระอุโบสถของวัดนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2013
  18. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    [​IMG] [​IMG]


    [​IMG] [​IMG]


    [​IMG] [​IMG]


    [​IMG] [​IMG]


    [​IMG] [​IMG]


    เจดีย์ศรีมหาราช สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นราชสักการะปูชนียานุสรณ์ในปีกาญจนาภิเษกภายในเจดีย์นี้มี ๓ ชั้น แต่ละชั้นมีห้องให้เข้าไปสัมผัสใกล้ๆ ทว่าดูแล้วเลือดรักชาติพุ่ง ใจสงบเยือกเย็น ชั้นที่ ๑ ห้องมหาราช ประดิษฐานพระบรมรูปหล่อของพระมหากษัตริย์ไทยทั้ง ๙ พระองค์ คือ พ่อขุนรามคำแหง สมเด็จพระนารายณ์ สมเด็จพระนเรศวร สมเด็จพระเจ้าตากสิน รัชกาลที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ และรัชกาลปัจจุบัน


    ชั้นที่ ๒ มีหลายห้องอาทิ ห้องพระนางจามเทวี ห้องสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ห้องสมเด็จพระสุริโยทัย ห้องสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมฺรังสี) ห้องพระไตรปิฎก มีรูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) แสดงธรรม รูปหล่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธมฺมสารเถร) หลวงพ่อทวด และหลวงปู่โง่น โสรโย ส่วนชั้นบนสุดของเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ และวัตถุมงคลต่างๆ


    [​IMG]
    พระภควัมบดี (พระอยู่เย็นเป็นสุข พระไม่มีหน้า) เป็นพระพุทธรูปที่มีรูปลักษณ์เหมือนพระสังกัจจายน์ แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ปางขัดสมาธิเพชร บนกลีบบัว ๓ ชั้น เห็นครั้งแรกสร้อยฟ้ามาลาสงสัย ว่าทำไมพระสังกัจจายน์ถึงไม่มีหน้า หรือว่ายังสร้างไม่เสร็จ แต่ที่ได้รับคำตอบก็คือว่าเจตนาสร้างเพื่อสอนคนที่ว่า “ปิดหู ปิดตา ปิดปากเสียบ้าง ทำให้มีสุข” ซึ่งมีคำอธิบายไว้ว่า "พระภควัมบดี ศรีสุทธินายก โพธิสัตว์สาธก โพธิญาณนิมิต " ไม่พูดสิ่งที่เป็นพิษให้ปิดปาก ไม่ฟังสิ่งที่เป็นพิษให้ปิดหู ไม่เห็นสิ่งที่เป็นภัยอย่าไปดู ปิดประตูใจกลั้นกันชั่วกวน


    [​IMG]


    [​IMG]


    ส่วนที่ ๓ เดินขึ้นบันได ๒๑๐ ขั้น ระหว่างทางขึ้นจะมีที่พักให้อยู่ ๒ ที่ ที่แรกจะเป็นพระบัวเข็ม(พระอุปคุต) ตรงฐานจะมีน้ำให้ดื่ม และล้างหน้า น้ำนี้เย็นชื่นใจมาก ซึ่งจะไหลผ่านจากพระบัวเข็ม(พระอุปคุต)เหมือนกับได้รับน้ำมนต์จากองค์พระ


    [​IMG]

    จุดพักที่ ๒ จะเป็น เอ่อ ถ้าสร้อยฟ้ามาลาจำไม่ผิดคงจะเรียกว่า “เสาอโศก” เสาอโศก ณ เจดีย์ศรีพุทธคยา เป็นสิ่งก่อสร้างสำคัญสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่กับเจดีย์ศรีพุทธคยา สร้างด้วยหินทรายสีเหลืองสูง ๙ เมตร พร้อมแกะสลักหินภาพพุทธประวัติทั้ง ๔ ด้าน ด้านบนของเสาอโศกเป็นรูปสิงห์ในท่านั่ง แกะสลักจากหินทราย และที่ฐานสิงห์บนยอดเสาอโศก เพิ่มหน้าสิงห์เข้าไปอีก ๔ หน้า ๔ ทิศ จึงมีสิงห์บนยอดเสาอโศกรวม ๕ สิงห์


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    รอยพระจริยวัตรของพระเจ้าอโศกมหาราชในการสร้างเสาอโศกนั้น ความว่า พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างแท่งหินกลมทรงกระบอก ปลายสอบ เพื่อเป็นเครื่องบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเครื่องแสดงถึงการหยุดทำสงครามทางโลก แต่มาทำสงครามทางธรรมของพระเจ้าอโศกมหาราชแทน เสาอโศกจารึกหลักฐานทางพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับพระจริยวัตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และตำแหน่งของสังเวชนียสถาน อาทิ สวนลุมพินีวัน สถานที่ประสูติ แม่น้ำเนรัญชรา สถานที่ตรัสรู้ และเมืองกุสินารา สถานที่นิพพาน…………… และแล้ว สร้อยฟ้ามาลาก็เดินมาถึง เจดีย์ศรีพุทธคยา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2013
  19. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    [​IMG]
    ซุ้มประตูทางเข้าของลานหน้าเจดีย์


    [​IMG]


    [​IMG]
    รูปสลักหินที่เสาซุ้มประตู
    และแล้วสร้อยฟ้ามาลาก็เดินขึ้นมาถึงเจดีย์ศรีพุทธคยา ซึ่งจะต้องเดินผ่านลานกว้างๆ กลางแดดยามบ่าย


    [​IMG]


    [​IMG]
    ลานหน้าเจดีย์
    [​IMG]

    เจดีย์ศรีพุทธคยา จำลองแบบมาจากเจดีย์ศรีพุทธคยา ณ รัฐพิหาร เมืองคยา ประเทศอินเดียทุกประการ เพียงแต่ย่อสัดส่วนลงมาให้เหมาะกับพื้นที่ มีความสูง ๒๘ เมตร เป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ และมีความกว้างประมาณ ๑๖ x ๒๐ เมตร ภายในองค์เจดีย์จะมี ๓ ชั้น เริ่มการก่อสร้างโดยวางศิลาฤกษ์เมื่อ วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ มีลักษณ์เป็นรูปสี่เหลี่ยมทรงกรวยยอดเจดีย์เป็นทรงระฆังคว่ำ ประดับลวดลายปูนปั้น ทางเข้าสู่เจดีย์จะเป็น โทรณะ หรือซุ้มประตูปราสาทพร สำหรับผู้ที่เข้าไปสักการะองค์เจดีย์ มีลักษณะเป็นเสาสลักลวดลายแบบอินเดีย เมื่อเข้าถึงเจดีย์จะผ่านประตูชั้นล่าง จะมีซุ้มพระพุทธรูปยืนศิลปะอินเดียทั้งสองข้าง มีหน้าบันใหญ่อยู่ด้านบนประดิษฐานพระพุทธรูปนั่งและรอบๆ จะเป็นซุ้มพระพุทธรูปและพระโพธิสัตว์ มีซุ้มพระพุทธรูปนั่งอยู่รอบฐานเจดีย์ ชั้นที่สอง มีลักษณะเป็นมุขเด็จทั้งซ้ายขวาในระดับนี้มีการตกแต่งแผงกลาง ๔ ทิศ รายรอบด้วยมุมพระพุทธรูป ส่วนเหนือขึ้นไป ตรงกลางจะเป็นหน้าบันประดิษฐานพระพุทธรูปตามมุม แกะลวดลายปูนปั้นหน้ากาลโดยรูปพระสถูป ๔ ปาง คือ ปางปฐมเทศนา ปางมารวิชัย ปางประทานพร และปางสมาธิ ที่งดงามตามแบบอย่างเจดีย์ศรีพุทธคยาจำนวน ๒๘๔ องค์ เป็นเครื่องเตือนสติว่า ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เพราะกาลเวลากลืนกินทุกอย่างแม้แต่ตัวเอง องค์พระเจดีย์แต่ละด้านประดับด้วยหน้าบัน ซุ้มพระ และหน้ากาลลดหลั่นกันไปถึงยอด


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
    สิงห์เฝ้าหน้าประตูทางเข้าเจดีย์


    [​IMG]
    พระพุทธเอกนพรัตน์


    ปรัชญาและความมุ่งหมาย ในการสร้างเจดีย์ศรีพุทธคยา เฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อเป็นเครื่องหมายของการตรัสรู้ การเกิดและดับ เป็นการสืบสานพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนสืบไปในประเทศไทยและในโลกครบ๕,๐๐๐ ปี เป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตาคุณแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสาวกทุกพระองค์ แด่ผู้มีคุณต่อแผ่นดินไทยทั้งสิ้นทั้งปวง ที่สำคัญเพื่อเป็นการทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี และเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ วัตถุประสงค์ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ เพื่อรองรับการประกาศสันติภาพของโลก ที่องค์การสหประชาชาติให้ วันวิสาขบูชา เป็น วันวิสาขบูชาโลก ซึ่งจะบังเกิดสันติสุขและสันติธรรมแก่เมธีชนชาวโลกสืบไป อีกทั้งเป็นการสร้างจิตสำนึกของชนในชาติให้รู้จักสามัคคี เชิดชูเอกลักษณ์ของชาติที่เป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น และเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๐ ได้มีพิธีสมโภชองค์เจดีย์


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
    ระหว่างเดินเข้าเจดีย์จะพบพระพุทธรูปสลักหิน ศิลปะอินเดีย ถ้าจำไม่ผิดสร้อยฟ้ามาลาว่าอยู่ในยุคศิลปะปาละ


    ภายในองค์เจดีย์ จะมีทั้งสิ้น ๔ ชั้น ชั้นล่าง เป็นสถานที่ใช้ปฏิบัติธรรม ประดิษฐาน สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงพ่อดำ แกะสลักจากหินพิเศษ ซึ่งได้จากภายในวัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ ในพระองค์ฯ เป็นพระประธาน ซึ่งห้องนี้ได้ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของ พระนวกะในโครงการบรรพชาอุปสมบทหมู่ ๘๕ รูป เทิดพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๘๔ พรรษา ระหว่างวันที่ ๒๘ เมษายน – ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ที่ผ่านมาด้วย


    [​IMG]


    [​IMG]
    พระพุทธเมตตาสันติภาพ


    [​IMG]
    โคมไฟประดับเพดาน

    ชั้นที่ ๑ เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธเมตตาสันติภาพ เนื้อสำริด ขนาดหน้าตักกว้าง ๘๙ นิ้ว สูง ๔.๑๙ เมตร สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ในปี พ.ศ. ๒๕๕๐
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2013
  20. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,933
    ค่าพลัง:
    +43,536
    [​IMG]
    ประตูทางออกสู่ชั้น ๒

    ชั้นที่ ๒ เป็นห้องที่ประดิษฐาน พระศรีอริยเมตไตรยศรีศากยสิงห์ ขนาดหน้าตัก ๑๐๙ นิ้ว สูง ๔ เมตร ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสที่เฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖ รอบ


    [​IMG]


    [​IMG]
    พระศรีอริยเมตไตรยศรีศากยสิงห์



    [​IMG]
    ลายประดับบนผนัง


    [​IMG]


    [​IMG]
    รอยพระพุทธบาทจำลอง


    [​IMG]


    [​IMG]
    บัวสี่เหล่า...หรือเปล่า?


    [​IMG]
    ประตูออกจากห้องบนชั้นสอง สู่ระเบียงชานทางเดินรอบๆ...


    [​IMG]


    [​IMG]
    ประพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ในสุ้มบนชั้นสอง


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
    ทิวทัศน์บนชั้นสอง


    ชั้นที่ ๓ ในชั้นนี้ ได้จำลอง พระคันธกุฎีที่ประทับขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาไว้ ผู้ที่จะขึ้นมายังห้องนี้ได้จะร้องรับสัจจะว่าจะถือศีลบริสุทธิ์อย่างน้อย ๑ ข้อถวายเป็นธรรมบูชาแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    [​IMG]

    [​IMG]
    รูปพระคันธกุฎี บนชั้น ๓
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...