Part2.5: การรักษาศีล8ของคนหน้าตาไม่ดี

ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมามี ผู้อ่านหลายๆท่านส่งข้อความมาถามผมเรื่องการปฎิบัติรักษาศีล 8 เพื่อแก้กรรมความรัก
โดยส่วนมากแล้ว เกิน 80เปอเซน จะบอกว่า เคยปฎิบัติมาแล้ว ได้ผล
แต่ดูเหมือนจะหยุดเพราะปฎิบัติต่อไม่ไหว
คือบอกเชื่อ แต่ ไม่อยากทำต่อ

นึกถึงตัวเอง ตอนรักษาศีล8 ใหม่ๆมาก่อน จำได้ว่าเหนื่อยมาก
เลยมาลองพิจารณาเป็นข้อๆดู ว่าทำไมทุกวันนี้การรักษาศีล 8 ของเราง่ายขึ้น

ศีล 8
ข้อ 1) ข้อนี้ขอข้ามไป
ข้อ2) ขอข้ามไป

ข้อ3) ข้อนี้ มันรวม เรื่องการห้ามมี sex + ช่วยตัวเองด้วย
บอกตรงๆว่า ผู้เขียนยังมีอารมณ์กับเพศตรงข้ามอยู่
วิธีแก้ข้อนี้ ทุกวันนี้ใช้เรื่อง อสุภะกรรมฐาน
คิดว่า วันนึง คนรักก็ต้องแก่ จากที่เคยสวยมากในวันนี้ ก็ต้องเหี่ยว
แล้วก็ถามตัวเองว่า เรารักเค้า ขนาดไหน ?
ที่รักษาศีล 8 ทุกวันนี้ เพราะมีปัญหาเรื่องความรักอยู่ เราไม่ต้องการแค่มีอะไรกับเค้าแล้วก็จบ
เราต้องการอยู่ดีแลเค้า เราต้องการให้เค้ามีความสุข ตอนเค้าแก่เราก็ยังอยากอยู่ดีแลเค้า พอพิจารณาเสร็จส่วนใหญ่ก็จะผ่านไปได้

ข้อ4) ข้อนี้รวมพูดเล่น พูดเพ้อเจ้อด้วย
อันนี้ไม่น่ายาก
คุณลองพิจารณาดูว่า ที่คุณไปเจอเพื่อน เพราะมีคุณมีปัญหาเรื่องความรักรึเปล่า
เครียดเรื่องแฟน เลยไปเจอเพื่อนรึเปล่า
การไปเจอส่วนใหญ่ เป็นการต้องการยอมรับจากคนอื่น
คุณรู้สึกว่า แฟนคุณไม่เข้าใจคุณ คุณเลยไปหาความเข้าใจ ไปหาการยอมรับจากข้างนอก
พอเจอเพื่อนเสร็จ กลับมาก็เป็นแบบเดิม ? อันนี้เป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ
คุณอยาก ให้ต้นตอปัญหาจบมั้ย อันนี้ถามตัวเอง

ข้อ5) กินเหล้ากินเบียร์
คนส่วนใหญ่ไปกินเหล้าเวลาอกหัก หรือเสียใจเรื่องความรัก เพราะหาทางออกไม่ได้
พยายามกับเรื่องความรักมามากแล้ว
ยอมแฟนหลายรอบแล้ว ให้อภัยหลายรอบแล้ว ทำไมยังเป็นอย่างงี้อีก
ไม่เคยสนใจเรา เห็นคนอื่นดีกว่าเรา
หรือมีปัญหาอะไรก็ตาม เลยไปกินเหล้า
วันนี้ผู้เขียนมาบอกว่า การรักษาศีล 8 มีผลเรื่องความรัก ทำไมไม่ลองทำดูละครับ
ถ้าทำแล้วมันได้ผลจริง คุณจะไม่อยากกลับไปกินอีก

ข้อ 6)
ถามตัวว่าเรารักเค้าขนาดไหน
ผู้เขียนเคยกินข้าวไม่ลงมาเพราะเรื่องความรักมาก่อน
หากการอดข้าวเย็นเป็นผลบุญที่จะช่วยเรื่องความรัก ทำไมจะทำไม่ได้

ถ้าคุณสู้ตัวนี้ไม่ไหว แสดงว่า เรื่องความรักไมได้สำคัญกับคุณมาก
ชีวิตคุณอยู่ในจุดที่มันโอเคอยู่ คุณเลยไม่แคร์มาก

ข้อ 7)
งดดูหนังฟังเพลง
จริงๆการดุหนังหากสังเกตุดีๆ มันมีรากฐานมาจากการที่คุณต้องการ สนองความเป็นตัวตนของคุณ
ยกตัวอย่างเช่น ไปดูหนัง ซูเปอฮีโร่
(ไม่ได้ดูนาน วันก่อนเลยไปดู แล้วดูกำลังใจตัวเองว่ารู้สึกยังไง)

หลายๆคน อาจจะไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม
หนังพวกนี้ ตัวเอกส่วนใหญ่ ไม่มีตัวตน วันนึงอยู่ดีๆได้รับพลังพิเศษมา คนส่วนใหญ่ก็เลย relate หรือสื่อกับตัวเองได้ ว่าวันนึงจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่
วันนึงจะเก่ง วันนึงจะ ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง

ไปดูหนังรัก
สังเกตุดีๆ plotเรื่องคลาสสิกคือ พระเอกเจอนางเอก แล้วสมหวังตอนจบ มันก็โยงไปถึงตัวคุณที่อยากสมหวังในความรักในชีวิต
บางคนก็ไปดูเพราะได้รับการยอมรับจากเพื่อน กุนี้เป็นแฟนพันธุ์แท้หนังเรื่องนี้ จำได้ทุกตัวละคน รู้จักทุกตัว เพื่อนชมว่าเจ๋ง ก็เอามายึดเป็นตัวตนตัวเอง

หากติดปัญหา ข้อนี้
ลองสังเกตุดู ลองถามตัวเองว่า ดูไปเพื่ออะไร แล้วลองมาช่ำน้ำหนักกับเรื่องความรักของคุณ อันไหนสำคัญกว่า

งดแต่งหน้า
ผู้เขียนเป็นผู้ชาย ทาแค่ครีมกันแดด
ถ้าเป็นผู้หญิง ลองถามพระเอา เซิชเอา
(แต่งไปทำงาน บางที่อนุโลม บางที่ไม่อนุโลม ความเคร่งต่างกัน พิจารณาเอง)


ข้อ 8
ใหม่ๆอาจจะไม่ชิน แต่หลังๆจะติดเป็นนิสัย
ทุกวันนี้นอนพื้นทุกวัน ถึงแม้ไม่ได้รักษาศีล 8


จะเห็นได้ว่าตอนสุดท้ายมันเป็นเรื่องกำลังใจ ลองช่างใจตัวเองบ่อยๆ
ถามตัวเองบ่อยๆ ว่าทำไป "รักษาศีล 8"เพื่ออะไร
ส่วนตัวคิดว่า การรักษาศีล 8 ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าวางกำลังใจถูก

 

ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขอย้ำอีกที ว่าการรักษาศีล 8 ของผู้เขียนเป็นการทำเพื่อ แก้กรรมความรัก
บางท่านอาจจะอ่านมาเจอ แล้วคิดในใจว่าไอ้นี้บ้ารึเปล่า ธรรมะ ศาสนาพุทธ นี้ ทำเพื่อการหลุดพ้น
ก็ถามกลับว่า ในพระธรรม มีการห้ามมีการคู่ครองของฆารวาสมั้ย
(ถ้ามีรบกวน ส่ง "ข้อความส่วนตัว"มาหน่อย)

คุณปฎิบัติเพื่อการหลุดพ้น หวังมุ่งไปนิพพาน อันนี้ผู้เขียนอนุโมทนาด้วย แต่ยอมรับว่าตัวเองยังไม่พร้อมไป
แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้นผู้เขียนเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม เชื่อว่าทุกอย่างมีที่มาที่ไป แล้วเรื่องความรักก็เช่นเดียวกัน จึงลองรักษาศีล 8ดูและเกิดผล


ผู้เขียนเคยไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวแถวบ้าน แล้วไปเจอผู้หญิงสองคนคุยกันเรื่องการปฎิบัติธรรม
เป็นการปฎิบัติเอาอภิญญา ทั้งสองคนพูดเสียงดัง มาก ประมาณว่าโต๊ะข้างๆได้ยิน(เรื่องอภิญญานี้แหละ )
กิริยาในการพูด ก็พูดเหมือนต้องการข่มคนอื่นว่าตัวเองดีกว่า เหนือกว่า (พูดเสียงดังๆให้คนอื่นได้ยิน ว่าฉันกำลังปฎิบัติเพื่ออภิญญาอยู่)

ในตอนนั้นรู้สึกในใจว่า ถ้าคุณจะเอาอภิญญาจริง ทำไมไม่ไปตั้งใจปฎิบัติ คุณกินข้าวเย็น นิวรณ์ก็เยอะขึ้น สมาธิก็เกิดยากขึ้น
ถ้าผู้เขียนจะปฎิบัติเอาอภิญญาจริง หรือ เพื่อไปนิพพานจริง คงไม่มานั่งคุยกับเพื่อน มานั่งกินข้าวเย็น
คงปฎิบัติเอาเป็นเอาตาย ไม่ใช่มานั่งสบายใจเฉิ่ม

ญาติผู้เขียนไปปฎิบัติธรรม แล้วได้ สมาธิขึ้นสูง(ลืมชื่อว่าเรียกอะไร) แล้วก็จะมาโม้ว่าตัวเองได้อย่างนั้นอย่างนี้
ของผู้เขียนนี้สู้ตัวเองไม่ได้ ของผุ้เขียนนี้ขั้นต่ำ พูดข่มสารพัด
ก็คิดในใจว่า นี้คือ mentality หรือแนวคิด/ปฏิภาณ ของคนปฎิบัติเพื่อพ้นทุกข์หรอ

ผู้เขียนเคยไปบวช ที่วัดจะมีพวกโยมผู้หญิง ที่อยู่ประจำวัด แต่ละคนก็บอกว่า ศาสนาพุทธดีที่สุด นี้คือของที่ดีทีสุด
แต่ก็ไม่เห็นปฎิบัติ เห็นมานั่งคุยกัน มานั่งนินทาพระในวัดกัน ว่ารูปนั้นดีไม่ดี
ไอ้คนที่ปฎิบัติมาก่อน ก็จะชอบโม้ มีป้าคนนึงโม้ทุกวันว่าตัวเองปฎิบัติมา ยี่สิบกว่าปี ปฎิบัติหนัก แต่ระหว่างวันก็นินทาคนอื่น
บอกตรงๆว่า สลดใจ เวลาเห็นคนพวกนี้