<VSN><<<ศรัทธาบารมี พ่อท่านสงวน อธิจิตโต สำนักสงฆ์ลานเสือ สตูล>>><NSV>

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย momotaro67, 27 กรกฎาคม 2016.

  1. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]


    พ่อท่านสงวน อธิจิตโต สิริอายุ80ปี วัดปากบารา ต.ปากน้ำ อ.ละงู จ.สตูล
    พระเถราจารย์ผู้คงแก่เรียนศิษย์เขาอ้อ ทำของ ถือของ เล่นของมาตั้งแต่อายุ15ปี
    ”สตูล สงบ สะอาด ธรรมชาติบริสุทธิ์ “ประชากร ส่วนใหญ่ร้อยละ67.8นับถือศาสนาอิสลาม รองลงมานับคือศาสนาพุทธร้อยละ31.9 ที่เหลือนับถือศาสนาคริสต์ สภาพภูมิประเทศของสตูลทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกเป็นเนินเขาและภูเขา สลับซับซ้อน โดยมีเทือกเขาบรรทัดและเทือกเขาสันกาลาคีรีเป็นเทือกเขาแบ่งเขตประเทศไทยกับ ประเทศมาเลเซีย พื้นที่ของสตูลค่อยๆลาดเอียงลงสู่ทะเลด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ โยมีภูเขา น้อยใหญ่กระจัดกระจายอยู่โดยทั่วไปตลอดถึงมีที่ราบแคบๆขนานไปกับชายฝั่งทะเล และมีพื้นที่ป่าชายเลยที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าแสมและป่าโกงกาง

    [​IMG]

    แม้ จะแตกต่างกันในศาสนาแต่ประชาชนในพื้นที่ก็ดำรงตนอยู่ร่วมกันอย่างรักใคร่ สามัคคี กลมเกลียวกัน เราจะได้เห็นมัสยิดและวัดอยู่ในแทบทุกพื้นที่อย่างกลมกลืนละหนึ่งในวัด จำนวน30แห่งของจังหวัด ที่วัดปากบารา ยังมีพระเถราจารย์รูปหนึ่งที่ดำรงตนอยู่อย่างสมถะ เรียบง่าย ที่พึ่งของพุทธศาสนิกชน ตลอดถึงศาสนิกชนต่างศาสนาที่เดินทางมา ขอความเมตตาสงเคราะห์ อนุเคราะห์เรื่องต่างๆของชีวิต บ้างมากราบขอพร ขอบารมี บ้างมากราบขอวัตถุมงคล เครื่องราง ของขลัง เพื่อนำไปบูชาติดตัวเป็นขวัญกำลังใจในการประกอบอาชีพและดำรงชีวิต และอีกจำนวนไม่น้อยที่เดินทางมาขอยาสมุนไพรโบราณเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย ซึ่งท่านก็เมตตาทุกคน ทุกเชื้อชาติ ศาสนา
    [​IMG]


    [​IMG]

    พ่อ ท่านสงวน อธิจิตโต เกิดวันอาทิตย์ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ2478 ที่บ้านคอกวัว ต.ชัยบุรี อ.เมือง จ.พัทลุง อายุ22ปีได้อุปสมบทที่วัดคอกวัว โดยมีหลวงพ่อคง วัดบ้านสวน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระสมุห์เหลือ วัดคอกวัว เป็นพระกรรมวาจาจารย์พระอาจารย์ระแบบ วัดป่าบอนต่ำ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลังจากบวชแล้วได้อยู่จำพรรษาที่วัดคอกวัวได้อยู่ปรณนิบัติรับใช้พระสมุห์ เหลือ วัดคอกวัวซึ่งเป็นศิษย์เขาอ้ออีกองค์หนึ่ง พ่อท่านสงวนท่านเป็นพระผู้คงแก่เรียน เมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่นท่านก็ได้ศึกษาวิชาอาคม เวทย์มนต์คาถามาจากพ่อเฒ่า(ตา)ของท่านคือพ่อเฒ่าหมวก ซึ่งเป็นฆารวาสศิษย์เขาอ้อ ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในพื้นที่บ้านคอกวัว บ้านท่าขนุน พ่อท่านสงวนท่านถือของขึ้นมาตั้งแต่ครั้งวัยรุ่นหนุ่มกระทง อายุ15ปีก็เล่าเรียนวิชา ปลุกของ ทำของ ถือของตลอดถึงศึกษาว่านยา แผนโบราณมาอย่างครบถ้วน ชีวิตวัยหนุ่มดำเนินชีวิตมาอย่างโชกโชนตามวิถีนักเลงลูกทุ่ง ตีรันฟันแทงมาตลอด แต่ไม่เคยได้รับอันตราย ทั่วทั้งกายไม่เคยมีแผลจากการใช้ชีวิตในวัยหนุ่ม ด้วยความที่ชอบเรื่องวิชาอาคม เวทย์มนต์คาถา ท่านจึงได้ศึกษามาอย่างมากมาย ศึกษากับหลวงพ่อคง วัดบ้านสวน กินเหนียว กินมัน แช่ว่านกับอาจารย์ปาน วัดเขาอ้อ ศึกษากับอาจารย์คลิ้ง วัดบ้านเหนือ และอาจารย์ระแบบ วัดป่าบอนต่ำตลอดถึงศึกษากับพ่อเฒ่า(ตา)หมวก ฆารวาสผู้เรืองวิชา พ่อท่านสงวนท่าน ศึกษาวิชาแผนโบราณ ปรุงยารักษาโรค เป็นหมอช่วยคนมาตั้งแต่วัยหนุ่ม ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชน เป็นหมอยาที่ช่วยเหลือชาวบ้านย่านนั้นมาต่อเนื่อง

    [​IMG]

    สาย เอว ตะกรุดของท่านสุดขลัง มากมายประสบการณ์พ่อท่านสงวน ในวัย80ปี ทุกวันนี้ท่านยังคงทำวัตถุมงคล เครื่องรางของขลังด้วยตัวท่านเอง อักขระเลข ยันต์ พัน คาถา ต่างๆที่บรรจงจารลงสู่แผ่นเงิน ทอง นาค หรือตะกั่ว ถูกประจุ แผ่มหาบารมีมาจากสมาธิอันแก่กล้า ทุกชิ้นสำเร็จ สำเร็จ สำเร็จ สมดังเจตนาที่ท่านเมตตาประสิทธิประสาทเวทย์วิทยาคมในการนั้น สายเอว ตะกรุด ของท่านที่เมตตามอบให้ศิษย์ ทั้งตำรวจ ทหาร ชายแดนใต้และศิษย์ทั่วไป ก่อเกิดเรื่องราวประสบการณ์ให้เล่าขานอย่างกว้างขลางถึงความเข้มขลัง เอกอุสุดบรรยาย ว่ากันว่าใครมีของท่าน”ไม่ตายโหง แมลงวันไม่ได้กินเลือด ยิงไม่แตก ยิงไม่ทุ ฟันแทงไม่เข้า”
    [​IMG]

    ทุก วันนี้ถนนทุกสายของคนนิยมขลังมุ่งหน้าไปหาท่าน นอกจากเครื่องรางของขลังที่เลืองลือแล้ว ศิษยานุศิษย์ต่างทราบดีว่าวิชาเมตตามหานิยม ของท่านก็เด็ดขาดสุดพรรณนา ว่ากันว่าใครได้ให้ท่านลงนะเมตตามหานิยมแล้ว ร้อยทั้งร้อยเสน่ห์ล้นตัว ใครเห็นใครรัก นิยมชมชอบ วิชาสะเดาะเคราห์ แก้เคราะห์ กันแก้ ถอดถอน คุณไสย์ ไสยศาตร์มนต์ดำต่างๆ ทั้งของไทย เขมร อิสลาม ท่านก็เชี่ยวชาญชำนาญยิ่งนักช่วยคนมานักต่อนัก

    [​IMG]

    สาย เอวตะกรุด9ดอก เครื่องรางมากประสบการณ์ ทั้ง9ดอกประกอบไปด้วยดอกที่1.กันอันตราย ดอกที่2.กันปืน ดอกที่3.กันของมีคม ดอกที่4.มหาอุด ดอกที่5.กันไข้ เจ็บป่วยไร้สาเหตุ ดอกที่6.กันภูตผีปีศาจ ดอกที่7.กันเสนียดจัญไร ดอกที่8.คงกระพัน ชาตรี ดอกที่9.เมตตามหานิยม ตะกรุดทุกดอก เชืกทุกเส้น ท่านจารเอง ถักเอง เสกเอง บรรจงสร้างสรรค์ให้ศิษยานุศิษย์ทุกท่านได้ใช้ของจริงด้วยตัวท่านเองทุก กรรมวิธีซึ่งในปัจจุบันหาได้ยากแล้วที่พระเกจิอาจารย์อายุขนาดนี้จะมานั่งทำ ทุกอย่างด้วยมือท่านเอง เวลาใช้สายเอวตะกรุด9ดอกของท่านให้ว่าดังนี้ นะโม 3 จบ เวลาผูกว่าพุทธังรัตติ ธัมมุงรัตติ สังฆังรัตติ เอามือขวาไว้บนมือซ้ายที่บริเวณสะดือภาวนา พุทธังประสิทธิ ธัมมังประสิทธิ สังฆังประสิทธิ แล้วเอาหัวแม่มือขวาปิดที่สะดือ ภาวนานะโมพุทธายะ 3 จบ ยกมือขึ้นลูกหัว แคล้วคลาด ปลอดภัยจากสรรพภยันอันตรายทั้งปวง

    [​IMG]


    ก่อน ที่ท่านจะประสิทธิ์ประสาทมงคลวัตถุเครื่องรางของขลังให้ใครแล้ว ท่านจะกล่าวย้ำเตือนสติอยู่เสมอว่า ห้ามคึกคะนอง เพราะความคึกคะนองคือความพินาศ และห้ามประมาท เพราะความประมาทคือความตาย ให้หมั่นทำบุญทำกุศลเจริญสมาธิ ระลึกถึงคุณบิดา มารดาและครูบาอาจารย์ เพียงเท่านี้ชีวิตก็จะเป็นไปด้วยความสุข ความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ทุกวันนี้นอกจากผู้คนจะเดินทางมากราบสักการะ และเพื่อต้องการบูชาเครื่องรางของขลังและ ในทุกๆวัน จะมีผู้คนเดินทางมาขอเมตตาท่านให้ช่วยแก้คุณไสย์ มนต์ดำ ลมเพ ลมพัด แก้เคราะห์ ตรวจดวงชะตา และมาขอให้ท่านปรุงยาแผนโบราณต่างๆ ซึ่งไม่เพียงแต่ชาวพุทธเท่านั้นที่เดินทางมาขอให้ท่านปรุงยาให้ ยังมีศาสนิกชนต่างศาสนาทั้งอิสลาม คริสต์ ซึ่งท่านก็เมตตาสงเคราะห์ ช่วยเหลือทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เคยเลือกแบ่งชั้น วรรณะหรือศาสนา ทุกวันนี้ในแต่ละวันผู้คนจากที่ต่างๆเดินทางมาหาท่านมากมาย บ้างมาเพื่อช่วยตรวจดวงชะตา ราศี บ้างก็มาเพื่อถอด ถอน กัน แก้ คุณไสย์มนต์ดำ ลมเพ ลมพัด ที่ถูกกระทำ บ้างก็มาเพื่อบูชาเครื่องรางของขลัง ทั้งตะกรุด สายเอว9ดอก และสังวาล และอีกมากมายที่เดินทางมาเพื่อขอให้ท่านปรุงยาแผนโบราณ เพื่อนำไปต้มกินรักษาอาการเจ็บป่วย ซึ่งเป็นการใช้ภูมิปัญญาโบราณผสานอักขระเวทย์มนต์ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ

    [​IMG]

    นอก จากตะกรุด สายเอวตะกรุด9ดอกแล้ว สังวาลย์ของท่านก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องรางที่ท่านเมตตาสร้างให้ศิษยานุศิษย์ นำไปบูชาติดตัว คุ้มครองป้องกันภัย แต่ต้องใช้เวลาเพราะกว่าที่จะได้ในแต่ละเส้น ท่านต้องใช้สมาธิและเวลาในยามค่ำคืนเพื่อกำหนดจิต ภาวนา ผ่านอักขระเลขยันต์ ผ้าที่นำมาใช้ เชือกที่นำมาถัก ต้องทำพิธีบัดพลี ก่อนนำมาลงอักขระเลขยันต์ครูจำนวนมากถึง11ยันต์ ครบถ้วนทั้งเมตตา มหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน ชาตรี หัวใจหนุมาน มหาอุด มนตราป้องกันศาสตราวุธฯลฯ ซึ่งกว่าที่ใครจะได้มาบูชากันสักเส้นต้องลงชื่อจองกันเพราะความต้องการของ ศิษย์มีมาก เคยมีศิษย์ขอเสนอให้ท่านอนุญาตให้ใครจารอักขระ เลขยันต์ และถัก กลึง คลึงม้วน แล้วนำมาให้ท่านเสก ประจุพุทธาคม แต่ท่านปฏิเสธ บอกไม่ได้ เพราะเป็นการผิดครู ทุกอย่างต้องสำเร็จด้วยตัวท่านเอง จากเจตนาตั้งแต่เริ่มทำ ของทุกชิ้นจึงจะสมบูรณ์ครบถ้วนตามที่ได้ศึกษามาจากครูบาอาจารย์ ใครได้สังวาลของท่านไปต่างหวงแหนเพราะรู้คุณค่าเป็นอย่างดีว่ากว่าจะได้มา ยากเพียงใด ตลอดถึงพุทธคุณมากมายเป็นที่ประจักษ์ชัด เหล่าทหารหาญๆ ที่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่สามจังหวัดชายแดนใต้คนแล้ว คนเล่าต่างมีเรื่องราวมาเล่าขานถึงความขลังศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสาย เอวตะกรุด9ดอกและสังวาลย์แห่งพ่อท่าน

    [​IMG]

    เหรียญ รุ่นแรกพ่อท่าน ศิษยานุศิษย์ต่างรบเร้าให้ท่านสร้างเหรียญรุ่นแรก มานานหลายปีเพื่อต้องการมีไว้สักการบูชาคุ้มตัว แต่ท่านก็ไม่อนุญาต ท่านกล่าวเพียงว่ารอก่อน ครบ7รอบ84ปีก่อนค่อยทำ แต่แล้วโฮกาสมงคลของเหล่าศิษย์ก็มาถึงเมื่อท่านเจริญอายุ80ปี ท่านเมตตาอนุญาตให้คณะศิษย์สร้างเหรียญรุ่นแรกของท่าน สร้างความปิติ ดีใจมายังศิษย์ยิ่งนัก เหรียญรุ่นแรกของท่านเป็นเหรียญรูปไข่ ด้านหน้าเป็นรูปท่านครึ่งองค์ พร้อมชื่อ ฉายา และคำว่าเจริญพร เป็นคำพรที่เป็นมงคลยิ่งนัก คิดการใดก็เจริญด้วยประการทั้งปวงด้วยบารมีแห่งครู ด้านหลังจารึกชื่อวัดปากบารา อ.ละงู จ.สตูล และยันต์ครูที่ท่านใช้ประจำตัว เส้นสายลายยันต์ กระดูกยันต์ถูกบรรจงผูก ขมวด กรึง คลึง เป็นยันต์ พร้อมหัวใจแห่งพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ นะ โม พุท ธา ยะและ หัวใจแห่งมนตรา อะ อำ มะ อะ ที่เป็นหัวใจย่อ ของยันต์ครูที่ท่านใช้บูชามาตลอด รูปแบบเหรียญ เส้น สายลายยันต์ ถูกออกแบบอย่างลงตัว สวยสดงดงามเพียบพร้อมทั้งพุทธศิลป์และเต็มเปี่ยมด้วยพุทธคุณ




    [​IMG]



    เหรียญ รุ่นแรกมีจำนวนการสร้างที่น้อยมาก 1.เนื้อเงิน สร้าง30เหรียญ 2. เนื้อนวะโลหะ สร้าง30เหรียญ 3.เนื้ออัลปาก้า สร้าง90เหรียญ 4.เนื้อตะกั่วหลังเรียบ จารมือ ติดจีวร สร้าง99เหรียญ 5.เนื้อตะกั่วหลังยันต์ สร้าง500เหรียญ 6.เนื้อทองแดงผิวไฟ สร้าง2,000เหรียญเหรียญ ทุกเนื้อ ทุกรายการมีโค๊ดและหมายเลขกำกับทุกเหรียญและบล็อกได้ทำลายแล้วและเก็บรักษา ไว้ที่กุฏิท่าน พลันที่ข่าวการสร้างเหรียญรุ่นแรกของท่านเผยแผ่ออกไป ศิษยานุศิษย์ต่างรีบจับจองเสาะหามาบูชา เพราะเป็นโอกาสมงคลที่ท่านเมตตาสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะได้มีวัตถุมงคลไว้บูชา เพื่อความเป็นสิริมงคล
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]

    เหรียญ รุ่นแรกของท่านเมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วคณะศิษย์ได้นำไปกราบขอพร ขอบารมีพระเกจิเถราจารย์อาคมขลังเลือดเนื้อเชื้อไข ของสำนักตักศิลาเขาอ้ออันเกรียงไกร อธิษฐาน จิตปลุกเสกร่วมสร้างมหาบารมีกับพ่อท่าน ซึ่งเป็นศิษย์ร่วมสำนัก เขาอ้อ เพื่อเชิดชู เผยแผ่บารมีครูบาอาจารย์ให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรสืบต่อไป องค์แรกที่เมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสกคือพระเกจิเถราจารย์เทพเจ้าของชาวสุราษฏร์ ธานีนามพ่อท่านจ่าง วัดน้ำรอบ สุราษฏร์ธานีพลันที่แผ่มหาบารมีประจุเวทย์วิทยาคม วิทยาคมขลังสู่วัตถุมงคลแล้ว ท่านกล่าวว่า ดี ดี ดี เหนียว ร้อน แรงดี เขากับเราศิษย์เขาอ้อเหมือนกัน
    [​IMG]
    องค์ ที่สองพ่อท่านห้อง วัดเขาอ้อ พัทลุง พ่อท่านห้องเมตตากล่าวสักการะอาราธนาอัญเชิญครูบาอาจารย์ตลอดถึงสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ทุกชนิดทั่วอาณาบริเวณให้มาประสิทธิ์ประสาท ร่วมอำนวยอวยพร และนั่งแผ่บารมีอย่างเต็มที่ จากนั้นท่านได้กล่าวว่าของดี ขลังมากนะเหรีญญนี้ เก็บกันไว้บ้าง เราทำให้ครบแล้วและขออนุโมทนาด้วยนะ
    [​IMG]
    องค์ ที่สามพระเดชพระคุณพระเถราจารย์อาวุโส พ่อท่านช่วง วัดควนปันแต พัทลุง พ่อท่านช่วงถือเป็นพระเถราจารย์อาวุโสที่ศิษย์สายเขาอ้อให้ความเคารพนับถือ เพราะท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยภูมิรู้ ภูมิธรรม เชี่ยวชาญสรรพวิชาของสำนักเขาอ้อเป็นที่สุด ในอดีตทุกพิธีงานปลุกเสกวัตถุมงคลจะขาดท่านไม่ได้ แต่เนื่องด้วยในปัจจุบันท่านมีสุขภาพทรุดโทรมลงท่านจึง ยกเลิกกิจนิมนต์ต่างๆ เมื่อท่านเมตาประสาทเวทย์วิทยาคมสู่มงคลวัตถุเสร็จแล้ว ท่านว่า ดีแล้วลูก ของดี ดีทั้งนอก ดีทั้งใน นำไปบูชาขอให้เจริญพร สมดังคำบนเหรียญ
    [​IMG]




    [​IMG]

    [​IMG]
    พิธี เสกเหรียญรุ่นแรก วันพฤหัสบดีที่9มกราคม2557 ขึ้น9ค่ำ เดือนยี่ ที่สำนักสงฆ์ลานเสือ ต.น้ำผุด อ.ละงู จ.สตูล ซึ่งท่านมาอยู่จำพรรษาเป็นประธานสงฆ์ ที่นี่เป็นที่สัปปายะเงียบสงบ ช่วงเช้าได้มีพิธีบวงสรวงบอกกล่าวครูบาอาจารย์ทุกสายวิชาที่พ่อท่านได้ศึกษา เล่าเรียนมา ทั้งครูหมอ ครูหนัง ครูว่าน ครูยา ครูเวทย์มนต์คาถา ทุกสายวิชาทั้งเขาอ้อและสายวิชาอื่นๆ พิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกเหรียญรุ่นแรกของท่านเริ่มเมื่อเวลา16.09น. พระสงฆ์จำนวน8รูปที่สำนักสงฆ์ลานเสือ ได้เจริญพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เจริญพระปริตรและมนต์ตราต่างๆ จากนั้นท่านได้นั่งปรกปลุกเสกเดี่ยวอย่างเต็มที่ เต็มกำลังเป็นเวลานานถึง1ชั่วโมง29นาที ตลอดเวลาท่านได้นั่งเจริญจิตภาวนาชักประคำตามโบราณจารย์แห่งพรสายวิชาเขาอ้อ ด้วยมหามนตรานะโม29 เป็นจำนวนถึง540จบ และยังประจุเวทย์วิทยาคมต่างๆอย่างครบถ้วน หลังจากที่ท่านชักประคำเสร็จแล้วท่านได้ขยับเข้าไปใกล้กองวัตถุมงคล ก่อนที่จะเอามือทั้งสองข้างวางลงที่บนเหรียญรุ่นแรกของท่าน นั่งภาวนา เสก เป่า อยู่อีก15นาที ก่อนที่ท่านจะประพรมน้ำพระพุทธมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่มงคลวัตถุ หลังจากที่ท่านพรมน้ำมนต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว


    [​IMG]
    พระ ลูกศิษย์ทั้งหมดจำนวน7รุป ที่ได้นั่งอยู่ในบริเวณนั้นได้ เข้าไปเพื่อม้วนเก็บด้ายสายสิญจน์และเก็บของ พลันที่มือไปถูกถุงเหรียญ เสียงร้องก็ดังขึ้น ท่ามกลางความตกใจของทุกคนที่นั่นทั้งพระและญาติโยม เหตุที่ทำให้ท่านร้องขึ้นมาเพราะ เหรียญที่มือท่านไปถูก ร้อนทุกเหรียญ ร้อนถึงขนาดถุงที่ใส่เหรียญอยู่หงิกงอ จากนั้นทุกคนก็ฮือกันเข้าไปเพื่อสัมผัส และทุกคนก็ได้รู้ว่า ร้อนจริงๆ เป็นที่ฮือฮา และตลอดพิธีที่ท่านเริ่มพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกเหรียญรุ่นแรกของท่าน มีเหตุการณ์ที่น่าบันทึกไว้ดังนี้ เนื่องด้วยสถานที่ ที่ใช้ประกอบกิจของสงฆ์ มีเพียงศษลาไม้เก่าๆ เล็กๆเพียงหลังเดียวซึ่งไม่มีข้างฝา เมื่อลมพัด ธูป เทียนที่หน้าพระประธานไม่สามารถจุดได้ เพราะลมแรงมาก เนื่องด้วยพื้นที่สำนักสงฆ์ลานเสือคือป่า ลมที่พัดตึงอย่างต่อเนื่องทั้งวันกลับสงบลงทันที เมื่อท่านนั่งอฐิษฐานจิต และลมสงบนิ่งตลอดระยะเวลา และกลับมาพัดเหมือนเดิมเมื่อพิธีเสร็จสิ้นลง และขณะที่ท่านกำลังประพรมน้ำพระพุทธมนต์ ฝนได้โปรยลงมา ท่ามกลางฟ้าสว่างสดใสแดดจ้า สร้างความแปลกใจยิ่งนัก ซึ่งท่านกล่าวว่าครูบาอาจารย์ เทพเทวาเขามาอำนวยอวยพร
    [​IMG]


    [​IMG]

    หา โอกาสกันสักครั้งไปเยือนเมืองสตูลท่ามกลางเทือกทิวเขาน้อยใหญ่ที่เมืองเล็กๆ ริมฝั่งทะเลอันดามัน หากท่านมีโอกาสไปเยือนสักครั้งทุกท่านจะติดใจในวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ผู้คนน่ารัก บ้านเมืองสงบ สะอาด เรียบร้อย ธรรมชาติมากมายทั้งภูเขา น้ำตก ถ้ำ และทะเลสวยๆ ชาวบ้านดำรงชีวิตกันอย่างรักใคร่สามัคคี ทั้งชาวพุทธ มุสลิมและคริสต์ศาสนิกชน มีโอกาสไปกราบสักการะขอพร ขอบารมีพ่อท่านสงวน อธิจิตโต แห่งปากบารา ไปสัมผัสพระแท้ พระที่พึ่งของชาวบ้าน ในแต่ละวันท่านเมตตาสงเคราะห์ อนุเคราะห์ญาติโยมในทุกเรื่องอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยเป็นมิ่งขวัญกำลังใจของเห ล่าศิษยานุศิษย์และชาวบ้านย่านนั้นเป็นที่สุด
    [​IMG]
     
  2. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    ห้องนี้มีไว้ให้เพื่อนสมาชิกชาวขลัง ศิษท์พ่อท่านทุกคนมาร่วมวงสรวลเส กันนะครับ
     
  3. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    นอกจากท่านมีวิชาเอกอุในการเสกตะกรุดเครื่องรางแล้ว ท่านยังเชียวชาญในงานลบผงพุทธคุณเป็นอย่างยิ่ง

    [​IMG]
    เรื่องของผง...คงมีชาวขลังเป็นจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าผง...ที่เคยได้ยินได้ฟังหรือได้อ่านมาตามหน้าหนังสือว่าแท้จริงแล้วคืออะไร...บ่อย ครั้งที่ผมมักจะได้รับคำถามว่าอำนาจความเชื่อและความขลังศักดิ์สิทธ์ต่างๆ เกิดจากอะไร เรื่องทำนองนี้ถูกตั้งคำถามว่าเป็น อิทธิปาฏิหารย์ ไสยศาสตร์ ความงมงาย หรืออำนาจพุทธคุณ กันแน่...อักขระและเส้นสายในรูปแบบต่างๆที่ถูกจารลงเป็นลายยันต์ นอกเหนือจากรูปลักษณ์ที่ได้เห็นยังแฝงไว้ด้วยซึ่งการสืบทอดพระธรรม...อักขระ เลขยันต์ตำรับต่างๆโบราณซึ่งสืบทอดมาแต่สมัยบรรพกาลนั้น แท้จริงล้วนแล้วแต่สะท้อนถึงแก่นธรรมด้วยกันแทบจะทั้งสิ้น ระบบเลขยันต์ต่างๆที่บูรพาจารย์โบราณต่างๆท่านรจนาไว้ เกิดจากการบูรณาการแนวคิดทางพระพุทธศาสนา เข้ากับเลขยันต์จนกลายเป็นแบบแผนเฉพาะตัวที่ซ่อนนัยยะอันลึกซึ้งไว้มากกว่า ที่เราได้เห็นเป็นรูปลักษณ์ต่างๆ

    ตำรับตำราและอักขระยันต์ต่างๆคือมรดกชาติ เป็นภูมิปัญญาโบราณที่น่าหวงแหนและช่วยกันรักษาไว้ให้คงอยู่คู่แผ่นดินสืบ ต่อไป ในปัจจุบันนี้ถูกคนหัวสมัยใหม่มองอย่างดูถูกดูแคลน เต็มไปด้วยคำถามคลางใจในเชิงที่ว่า ยันต์เป็นเรื่องไร้สาระ เป็นเรื่องของคนที่ขาดปัญญา แต่แท้จริงแล้วบูรพาจารย์ที่คิดประดิษฐ์เลขยันต์เอาไว้ เป็นกุศโลบายที่แยบคาย เพราะอันที่จริงแล้วสิ่งที่มุ่งหวังที่แท้จริงของบูรพาจารย์โบราณมันมากกว่า สิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตาเปล่าและสิ่งที่ซ่อนอยู่ในยันต์นั้นลึกซึ้งเกินกว่า ที่ คนไทยสมัยใหม่ (หัวเกาหลี หัวญี่ปุ่นไม่รู้ว่าเป็นบรรพบุรุษฝ่ายไหน) จะเข้าใจได้เสียมากกว่า

    เส้นสายหรืออักขระขอมที่เหมือนจะคุ้นตาแต่อ่านไม่ออกนั้น จริงๆ แล้ว คือการย่อหัวใจของพระพุทธศาสนาลงมาใส่ไว้เพื่อสืบทอดมิให้พุทธศาสนาตกหล่น สูญหายไป โดยใช้ความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหารมาเป็นสิ่งล่อใจสิ่งที่ถูกเรียกว่าเลขยันต์ และคาถาอาคมนั้น แฝงด้วยปรัชญาอันลึกซึ้งที่สะท้อนถึงคำสอนทางพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจน เช่น คัมภีร์ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร ในตอนท้าย บทสรุปที่เป็นมนตร์สำหรับใช้ท่อง แท้ที่จริงก็คือ อุบายล่อใจให้ผู้มีศรัทธาสนใจในพระสูตร เพราะพระสูตรกล่าวถึงความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหารที่ผู้ท่องนึกว่าเป็นมนต์ หรือคาถา แต่หากเข้าใจในเนื้อความของพระสูตรได้ จิตของผู้ท่องบ่นภาวนาย่อมดำรงอยู่ในกุศลธรรม..การท่องบ่นภาวนาตามพระสูตร ถึงผู้ภาวนาจะไม่เข้าใจ แต่การที่เราให้ท่องจนขึ้นใจนั้นอย่างน้อยก็ยังสืบทอดพระสูตรให้ยังคงอยู่ สืบต่อไปและตกทอดไปถึงหูผู้รู้ตลอดถึงผู้ที่ฟังแล้วเข้าใจไม่วันใดก็วันหนึ่ง

    ว่ากันเรื่องตำรายันต์และวิชชาลบผงสำหรับใครที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่อง เครื่องรางของขลัง ทั้งยังไม่เคยรู้ว่ากว่าจะได้มาซึ่งยันต์นั้น ผู้เขียนยันต์ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างไรจึงจะสามารถจารอักขระมนตราเลขยันต์ ต่างให้เข้มขลังจนเกิดเป็นยันต์ได้ การฝึกหัดเขียนยันต์ได้ถูกพัฒนาเป็นคัมภีร์ 5 เล่มคือ คัมภีร์ปถมัง คัมภีร์อิธะเจ คัมภีร์ตรีนิสิงเห คัมภีร์มหาราช และ คัมภีร์พุทธคุณ อันเป็น 5 คัมภีร์ตำรายันต์โบราณแบ่งออกตามเนื้อหาสาระที่สำคัญของขั้นตอนและส่วน ประกอบต่างๆของการเขียนยันต์เป็นหมวดหมู่ทำให้ผู้ที่ศึกษาเข้าใจในความเป็น มาของระบบยันต์ต่างๆได้เป็นอย่างดี

    คัมภีร์ปถมัง คือตำราเก่าแก่เล่มแรกในการเล่าเรียนเรื่องเลขยันต์ที่ต้องเรียนก่อน เนื้อความในคัมภีร์กล่าวถึงการอุบัติของพระเจ้าทั้ง 5 พระองค์ การบำเพ็ญบารมี จนถึงสูญนิพพาน โดยผู้ศึกษาจะต้อง เขียน และ ลบ สัญลักษณ์ต่างๆ เริ่มต้นจาก พินทุ จากนั้นเกิดเป็นส่วนประกอบทั้ง 5 สำเร็จเป็นตัว นะ เรียกกันว่า นะพินทุ จากนั้นก็นมัสการ เสก แล้วลบเป็นอักขระ นะโมพุทธยะ จากนะโมพุทธายะ เป็น องค์พระภควัม เป็น มะอะอุ เป็น อุณาโลม ตามคัมภีร์ปถมังเรื่อยไปตามลำดับจนกว่าจะถึงสูญนิพพานเป็นอันสิ้นสุดตามตำรา โดยทั้งหมดจะต้องเขียนและลบบนกระดานเรื่อยไปจนจบ ลบครั้งหนึ่งกินเวลาหลายชั่วโมง ได้ผงเพียงไม่เกินหนึ่งช้อนเท่านั้น..ผงปถมังที่ลบเสร็จแล้ว คนโบราณเชื่อว่ามีอานุภาพทางอยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาดกำบังกาย ตลอดจนล่องหนหายตัว เป็นตบะเดชะ จังงังป้องกัน เภทภัยภยันตรายทุกประการ

    คัมภีร์อิธะเจ หรืออิทธิเจ เป็นการลบผงตามสูตรพระมูลกัจจายน์ ซึ่งเป็นตำราไวยากรณ์บาลีโวราณ ตามวิธีการทำรูปศัพท์ของบาลีไวยากรณ์ อ้างสูตรบริกรรมทำตัวสระ พยัญชนะมา สมาสสนธิกันจนสำเร็จเป็น อิ ธะ เจ ตะ โส ทัฬ หัง คัณ หา หิ ถา มะ สา (โส) กรณีที่ใช้กับหญิงหรือชายต่างกันหรือเรียกกันว่าตัวผู้ตัวเมียสูตรนี้ทำให้ ผู้ศึกษามีความเข้าใจในเรื่องสระ พยัญชนะที่มีอยู่ในยันต์ต่างๆ ทำให้สามารถเรียนสูตรอักขระในยันต์ได้ไม่พลาด และยังช่วยให้เข้าใจการออกเสียงในคาถาบทต่างๆ ได้ถูกต้องมากขึ้น ผงอิทธิเจนี้ เป็นที่สุดแห่งเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ อย่างที่สุด

    คัมภีร์ตรีนิสิงเห คัมภีร์นี้มีหลักสำคัญอยู่ที่กลเลข 12 ตัว แบ่งเป็น 4 ชุด ชุดละ 3 ตัวและทุกชุดจะบวกกันได้เท่ากับ 15 ได้แก่ "375, 465, 195, 285" มีความหมายใช้แทนคุณพระตลอดจนเทพยดาในโลกธาตุ ผู้ศึกษาคัมภีร์ตรีนิสิงเหนี้จะสามารถเข้าใจถึงที่มาของตัวเลขต่างๆ ที่มีอยู่ในยันต์ต่างๆได้เป็นที่สุด ผงที่ลบจากกลเลขในคัมภีร์ตรีนิสิงเห เชื่อกันว่ามีอานุภาพใช้ป้องกันคุณไสยและภูตผีปีศาจ การกระทำย่ำยีทั้งคุณผีคุณคนได้ทุกประการ ทั้งยังเป็นตบะเดชะมหาอำนาจ คงกระพันชาตรีทั้งคมอาวุธและป้องกันสัตว์ร้าย ผู้ใดสำเร็จผงตรีนิสิงเหจะเป็นสีหนาท สามารถกำราบภูติผี ถอนทำลายอาถรรพ์ต่างๆ ได้ทุกรูปแบบ

    คัมภีร์มหาราช เป็นการลบนามของคนทั้งหลายที่กำหนดใช้แทนมนุษย์ทั้งปวง โดยตั้งเป็น เจ้า นาง ออ สัพเพชนา พหูชนา นามทั้ง 5 นี้เป็นสิ่งสมมติใช้แทนมนุษย์หญิงชายทิ้งปวงในโลก จากนั้นลบเป็น นะ โม พุท ธา ยะ ลบเป็น มะ อะ อุ ลงเป็น อุโองการ แล้วลบเป็นยันต์มหาราช ประกอบด้วยอักขระ งะ ญะ นะ มะบูรพาจารย์โบราณเรียกว่า หัวใจสนธิอันเป็นพยัญชนะตัวที่สุดวรรคและตัวพยัญชนะนาสิกในบาลีไวยากรณ์ การฝึกลบผงมหาราชจะทำให้ผู้ศึกษามีความเข้าใจเรื่องวิธีการลากเส้นของยันต์ ต่างๆ รวมถึงการนำเอาอักขระเข้าไปไว้ในยันต์ โดยผงที่ได้จากการลบยันต์ตามคัมภีร์มหาราช เชื่อกันว่ามีอานุภาพทางด้านมหานิยม อำนวยความเจริญรุ่งเรือง และเป็นเสน่ห์แก่ชนทั้งหลาย

    คัมภีร์พุทธคุณ เป็นการลบอักขระจาก อิติปิโส บทต้นห้องพระพุทธคุณโดยใช้ พระอิติปิโสรัตนมาลา 56 บท ตั้งเป็นทีละอักขระ นับแต่ อิ ติ ปิ โส ภะ คะ วา เป็นต้นจนถึง ภะ คะ วา ติ ลบเป็น นะ โม พุ เป็น มะ อะ อุ แล้วลบเป็น อิ สวา สุ และลบเป็น โส ธา ยะ จากนั้นทำเป็นองค์พระ เสกด้วย พระคาถาพุทธนิมิต เรียกว่า ผงพุทธคุณ การฝึกลบอักขระตามคัมภีร์รัตนมาลาจะ ช่วยให้ผู้ศึกษาเข้าใจถึงอักษรในหมวดพุทธคุณที่ลงในยันต์ต่างๆ ส่วนผงที่ได้จากการลบอักขระในคัมภีร์พุทธคุณเชื่อกันว่ามีอานุภาพครอบ จักรวาล ทั้งทางคุ้มครองป้องกัน แล้วยังเป็นเมตตามหานิยมอีกด้วย

    วิชาการลบผงลงยันต์ต่างๆทำกันเป็นแรมปีแรมเดือน ถึงจะได้ผงนั้นมาสร้างพระเครื่องต่างๆได้ การลบถมผงนั้นคือการเจริญสมาธิอย่างเอกอุ จะต้องกระทำพร้อมกันทั้งองค์สาม คือทางกายใช้มือขีดเขียนตัวอักขระลงไป พร้อมกับทางวาจา บริกรรมท่องบ่นสูตรภาวนาคาถาไปพร้อมกับกิริยาที่เขียน ทางใจต้องสำรวมจิตสมาธิควบคุมเพ็งเล่งตัวอักขระอักษรที่ลงมิให้ผิดเพี้ยนผิด พลาด องค์สามต้องสำเร็จเสร็จสิ้นพร้อมกัน มือเขียน ปากว่าภาวนาต้องสำเร็จเสร็จพร้อมกันเสร็จแล้วลบ ลบแล้วเขียนอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ประมาณว่าเป็นเครื่องล่อใจในการทำสมาธิไม่ใช่สักแต่ว่าเขียนอย่างเดียว เขียนเสร็จบังเกิดขึ้นแล้ว ก็ลบเสีย เขียนให้เกิดขึ้นอีกใหม่ต่อไปเรื่อยๆ

    ตำราอักขระเลขยันต์ทั้ง 5 เล่มนี้แม้ว่าปัจจุบันจะยังมีวางขายตามท้องตลาด แต่กลับหาคนที่รู้ในความหมายที่แท้จริงและอ่านตำราได้แตกฉานน้อยนัก ขณะที่พระสงฆ์ สามเณรซึ่งถูกคาดหวังว่าจะสามารถอ่านบาลีสันสกฤตตลอดจนอักษรขอมโบราณได้ วันนี้ก็แทบจะไม่มีแล้ว
    พระสงฆ์โดยแท้จริงแล้วท่านต้องรักษาเอกลักษณ์เอาไว้ก็คือจะต้องอ่านภาษาบาลี ออก ในปัจจุบันพระสงฆ์ สามเณรที่เรียนในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาจะอ่าน เขียนบาลีไม่ค่อยได้ นี่คือ จุดบอดหากพระสงฆ์ สามเณรอ่าน เขียน ไม่ได้ก็จะไม่ใช่ศาสนทายาทที่จะมาสืบทอดหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ดังนั้นการรักษาศาสนทายาทได้ พระสงฆ์ สามเณรจะต้องอ่าน เขียน ได้เพื่อไว้ใช้ศึกษาพระไตรปิฎกที่เป็นภาษาบาลี

    การสืบทอดพระธรรมผ่านอักขระเลขยันต์ที่ถูกคิดค้นชนิดกลซ้อนกลของบูรพาจารย์ โบราณนั้น สุดท้ายได้กลายเป็นดาบสองคมย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง เพราะแทนที่จะหลอกล่อหรือจูงใจให้ผู้คนท่องบ่นภาวนาพระสูตรอย่างกว้างขวาง เช่นในแต่ก่อน ทำไปทำมาคนที่ท่องคาถาได้ในวันนี้แทบจะไม่มีเหลือ ยังไม่ต้องพูดถึงคนที่เขียนอักขระได้อย่างรู้จริงนับวันแทบจะหาไม่พบ...และ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือความจริงที่ว่าในปัจจุบันถือกำเนิดอาจารย์ผู้น่าเกรง ขามหลายต่อหลายท่านซึ่งตั้งตนเป็นเจ้าตำหนัก สำนักสักยันต์มากมายเกลื่อนเมือง แท้ที่จริงน่าจะเรียกว่าเป็น "อาจารย์บ่มแก๊ส วัดหน้าละ 7000 บาทค่าหนังสือ" เสียมากกว่า เพราะวิชาคาถาอาคมที่ทำได้จริงๆคือลอกลายให้เหมือน แต่ไร้ซึ่งแบบแผนของการลงอักขระตามตำรับโบราณแท้ๆ

    แต่อะไรก็ไม่น่าเศร้าไปกว่าการที่ได้ยินและได้เห็นความคิดความ เชื่อผิดๆ ของคนไทยในยุคนี้ ที่เกิดอาการเห่อบวกฮิตไปกับปรากฏการณ์เฟื่องฟูของ สิ่งที่จะช่วยให้ฝันเป็นจริงโดยง่าย ตามที่สำนักต่างๆโฆษาณาชวนเชื่อไว้ อยากให้ชีวิตง่ายและดีขึ้นแบบไม่ต้องเหนื่อยแรงผู้ที่มียันต์โน่นนี่นั่น ติดตัวจะมีโชคลาภ สมบูรณ์พูนสุข อยากได้รถเป็นรถ อยากได้บ้านเป็นบ้าน เหมือนคาถาที่อาจารย์ท่านนั้นว่าไว้...ว่าแล้วจึงปรี่เข้าสำนักสักยันต์ขอ ให้อาจารย์จัดให้สักหนึ่งลาย สองลายก็ว่ากันไป

    ออกนอกตำรากันจนกู่ไม่กลับเข้ารก เข้าพงไปถึงขนาดหันมายกย่องนับถือ "ชูชก" ขอทานจรจัดผู้ซึ่งก่อเวรสร้างกรรมไว้นับไม่ถ้วน หนำซ้ำยังจบชีวิตอย่างน่าสยดสยอง โดยจัดให้ชูชกเป็นตัวแทนของความสมปรารถนา "ขออะไรก็ได้" นัยว่าเรื่องความสบาย บูชาชูชกแล้วได้สิ่งที่ต้องการโดยไม่ต้องเปลืองแรงดูจะเป็นที่ถูกอก ถูกใจพี่น้องชาวไทยเป็นพิเศษจนทำให้ชูชกขึ้นแท่นติดชาตร์ท็อปฮิตกลาย เป็น'ซุปตาร์'ในข้ามคืน เพราะความฝันที่อยากจะเป็นอยากมีเหมือนอย่างตัวละครในนิยายก็เลยกลายเป็นว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยในทุกวันนี้บ้าคลั่งลายยันต์เรียกโชคลาภกันถึงขนาด ไม่รู้เหตุรู้ผล ไม่รู้เหนือ รู้ใต้ ไม่รู้ขาว ไม่รู้ดำและประการสำคัญคือไม่รู้ "ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี"

    ทั้งๆ ที่หากย้อนกลับไปดูที่จุดเริ่มต้นของการหัดเขียนยันต์แล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นไปตามคัมภีร์โบราณฉบับไหน ต่างก็ต้องมีขั้นตอนสำคัญที่การ "ลบผง" เพื่อสะท้อนถึงพระธรรมขั้นสูงสุด อันเป็นความหมายที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความเชื่อ ความศรัทธาของผู้คนนั่นก็คือ "ความว่างเปล่า"เพราะในทางธรรมการฝึกลงอักขระยันต์ ก็ได้แก่การบำเพ็ญจิตของผู้ฝึก จนกว่าจะถึง "นิพพาน" เป็นขั้นสุดท้าย สะท้อนถึงสัจธรรมในพระพุทธศาสนาที่ว่าคือ สูญตา เท่านั้นเอง...เพชรฉลูกัณฑ์

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2016
  4. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    มงคลขลัง ยุคต้นที่ท่านสร้างมาเพื่อสงเคราะห์สานุศิษท์

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]

    "สายเสก สายสิญจน์ สายมงคล"

    ใครสักกี่คนที่จะรู้ว่าสิ่งที่เห็นมีอะไรมากกว่าแค่ด้ายดิบสีขาว...สายสิญจน์คือ ด้ายดิบที่นำมาเข้าเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่สำคัญในพิธีปลุกเสก อีกในหนึ่ง สายสิญจน์นั้นก็คือสายเสกนั้นเอง มีคุณวิเศษทางป้องกันภยันอันตรายและเกิดสิริมงคล โบราณจารย์ท่านกำหนดให้ใช้สายสิญจน์นี้วงรอบปริมณฑลในพิธีมงคลต่างๆ อาจแสดงถึงเขตแห่งความสวัสดิมงคล และเพื่อเป็นการกั้นกางมิให้ความไม่เป็นมงคล ภูติผีปีศาจเข้ามาสู่ภายในพิธีนั้น แต่ก่อนที่จะขึงสายสิญจน์เป็นปริมณฑลแวดล้อมสถานที่ต่างๆนั้น

    โบราณจารย์ท่านมีวิธีทำสายสิญจน์ดังนี้ สายสิญจน์นั้นจะต้องจับจากด้ายดิบที่มีขายเป็นกลุ่ม ผู้จับต้องจับเป็น ความหมายคือหมายถึงการรวมเส้นด้าย 3 เส้น หรือ 9 เส้นให้มาเป็นเส้นเดียวกันเรียกกันว่า "จับสายสิญจน์" การจับสายสิญจน์ ในเบื้องต้นควรจะกะประมาณดูก่อนว่าในพิธีนี้จะต้องใช้ด้ายสายสิญจน์เท่าไหร่ คิดเป็นด้ายรวมกี่เข็ด เพื่อที่จะได้หาด้ายดิบมาใว้เสียให้พอในคราวเดียว ผู้จับด้ายสายสิญจน์นั้น ต้อง 2 คนด้วยกัน (แต่ส่วนมากนิยมทำคนเดียว) คือเป็นคนจับ 1 คน เป็นคนป้อนเส้นด้ายให้จับ 1 คน ทั้งสองนั่งห่างกันประมาณ 4 ศอก หันหน้าเข้าหากัน เมื่อเริ่มพิธี ผู้จับสายสิญจน์พึงหยิบด้ายทั้งหมดที่ต้องจับมาประนมมือ ว่านะโม 3 จบ แล้วว่า พุทธํ สรณํ คฺจฉามิ ฯลฯไปตามแบบพระไตรสรณาคมน์ แล้วว่าบท สัมพุทโธ แล้วว่าบท อิติปิโส ภควา ไปจนจบพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ

    ขณะว่าพึงน้อมใจระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ตามลำดับพึงยึดหน่วงเอาเป็นอารมณ์ ตั้งใจให้แน่วแน่ดีแล้ว พึงส่งเข็ดด้ายไปให้ผู้ป้อนเส้นด้ายคล้องไว้ที่มือทั้งสองข้าง ขึงไว้ให้ตึงและป้อนเส้นด้าย พึงควรระวังในการป้อน โดยเบี่ยงบ่ายมือให้เข้าจังหวะกับผู้จับอยู่ตลอดเวลา ผู้จับนั้นเมื่อเลือกหาเส้นด้ายอันเป็นต้นขั้ว แยกออกมาจากเข็ดได้แล้ว ขณะแรกพึงว่า พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ แล้วทบเส้นด้ายเข้าด้วยกัน เพื่อให้เป็นวงพอมือลอดได้สะดวก ขณะทบเส้นด้ายว่า ธฺมมํ สรณํ คจฺฉามิ แล้วถือไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ใช้มืออีกด้านหนึ่งลอดเข้าในวง จับเส้นด้ายดึงกลับมาทางตัว ขณะดึงว่า สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ด้ายสามเส้นก็จะสมทบเกี่ยวกันประสานกันเป็นสายสิญจน์ อันสำเร็จด้วยพระไตรสรณคมน์

    ต่อไปเส้นด้ายที่จับดึงเข้ามาก็จะจับวางตามเดิมอีก แล้วถึงจับเส้นด้ายดึงด้ายด้วยมือข้างหนึ่ง ม้วนด้ายที่จับแล้วด้วยมืออีกข้างหนึ่ง สองมือทำหน้าที่ไปพร้อมๆกัน ฝ่ายผู้ป้อนด้ายก็พึงกระทำหน้าที่ป้อนไปตามจังหวะมือของผู้จับ เมื่อด้ายหมดเข็ดหนึ่งๆ ก็เอาด้ายเข็ดอื่นเข้าต่อไปและจับต่อไป จนกว่าจะหมดด้ายทุกๆเข็ด ขณะจับสายสิญจน์อยู่นี้ทั้งผู้จับและผู้ป้อนเส้นด้าย พึงบริกรรมภาวนาอยู่ในบทพระไตรสรณคมน์และพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ตามบทบาลีและว่า สพฺเพ พุทธา พลปฺปตฺตา ปจฺเจกา นญฺจ ยํ พลํ อรหนฺตา นญฺจ รกขํ พนฺธามิ สพฺพโส พึงตั้งใจให้แน่วแน่ ว่าซ้ำอยู่อย่างนี้ จนกว่าจะแล้วเสร็จ ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าได้พูดได้เจรจากันเลย

    เมื่อจับเสร็จในครั้งนี้ยังเป็นเพียงจับ 3 คือมีด้ายเพียง 3 เส้น เมื่อเห็นว่ายังเล็กอยู่เกรงว่าจะขาด ก็พึงจับซ้ำอีกอีกครั้งหนึ่งเรียกว่าจับ 9 คือจับจาก 3 เส้นให้เป็น 9 เส้น ผู้จับพึงม้วนด้เายเข้ากลุ่มเรียบร้อยเสียก่อน แล้วพึงจับปลายด้ายไว้ส่งกลุ่มไปให้ผู้ป้อนด้วย คอยระวังป้อนอยู่ตามเดิม ขณะแรกจับปลายให้ว่า พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ ฯลฯ ขณะทบให้เข้าวางว่า ทุติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ ฯลฯ ขณะจับด้ายลอดวงมาทางตัวว่า ตติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ ฯลฯ แล้วจับต่อไป ทั้ง 2 คน พึงภาวนาบทพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณเหมือนในครั้งแรก แล้วว่า อสฺวิ สุโลปุสพุภ แล้วว่าบท สพฺเพ พุทธา พลปฺปติตา ไปจนจบ และหากจะว่ามงคลจักรวาล หรือพระพุทธมนต์ในเจ็ดตำนาน สิบสิงตำนานโดยตลอด หรือบทใดๆ ที่ยังจำได้ขึ้นใจอยู่ก็ยิ่งดีมากขึ้น

    เมื่อจับหมดด้ายในครั้งนี้แล้ว พึงม้วนด้ายเข้ากลุ่มเหมือนในครั้งก่อน ผู้ม้วนด้ายและผู้ระวังกลุ่มด้ายพึงว่า" สพฺพทุกขา วีนสฺสนฺต สพฺพกยา วินสฺ สนฺตุ สพฺพโรคา วินสฺสนฺต พุทธเตเชน ธมฺมํเตเชน สงฺฆเตเชน" จนกว่าจะม้วนด้ายเข้ากลุ่มเสร็จเรียบร้อยจึงเสร็จพิธี เมื่อการจับด้ายสายสิญจน์เป็นการเรียบร้อยแล้ว ต่อมานั้นก็นำไปวงรอบบ้านหรือรอบมณฑลพิธี โดยเริ่มจากองค์พระพุทธรูปผู้เป็นประธานในพิธี โดยทำการวงเป็น "ปทักษิณ" คือวงจากซ้ายมาขวา ขณะเริ่มวงสายสิญจน์ผู้เป็นหัวหน้าพึงหยิบกลุ่มด้ายขึ้นนั่งประนมมือตั้งนะ โม 3 จบแล้วว่า

    พุทธฺ สตฺตปากร อมฺหาก สรณ คจฺฉามิ สตุตปากร อมหาก สรณ คจฺฉามิ มิพุทธ สตฺตปากร อมฺหาก สรณ คจฺฉามิ สพฺเพพลปปตฺตา ปจเจกานญจ ย พล อรหนตานญจเตเชน รกขพน ธามิ สพฺพโส เมื่อขณะที่ทำการวงไปรอบๆนั้น ท่านกำหนดให้ผู้ช่วยวงต้องบริกรรมคาถานี้ไปจนเสร็จการวงด้าย นอกจากสายสิญจน์จะมีความสำคัญในพิธีมงคลต่างๆศาสนิกชนยังได้นิยมนำด้ายสาย สิญจน์ในพิธีนี้เป็นเครื่องรางติดตัว ถือกันว่านำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต แต่สายสิญจน์ที่ใช้ทำเครื่องรางดังกล่าวนี้ มักใช้สายสิญจน์ในพิธีมงคลการปลุกเสกและพิธีหล่อพระประธาน พระเครื่อง ซึ่งพิธีนี้จักต้องทำภายในพระอุโบสถ โดยมีพระประธานในพระอุโบสถนั้นเป็นประธานสำคัญ สายสิญจน์ก็จะต้องวงจากองค์ท่านนั้นโยงมายังพุทธสาวก แล้วโยงไปยังเทียนชัย ซึ่งเป็นเทียนมงคลในพิธีมีตู้กระจกครอบ จากเทียนชัยนี้ก็จะโยงไปล้อมรอบมณฑลพิธีต่อไป

    และระหว่างสายสิญจน์ที่โยงมาจากพระประธานมาสู่ตู้เทียนชัย จะมีสายแยกอีกทางหนึ่งลงมาล้อมวัตถุมงคล และวัสดุในพิธีที่วางไว้ต่อหน้าพระประธานนั้น และในที่สุดของสายสิญจน์ในพิธีก็จะไปถึงพระสงฆ์ผู้สวดพระพุทธมนต์ในพิธีและ พระเกจิเถราจารย์๋ต่างๆที่มานั่งปรกปลุกเสกวัตถุมงคล และการวงสายสิญจน์นี้ก็ใช้เช่นเดียวกันกับการสวดพระพุทธมนตืในงานมงคลตาม บ้านเรือน สายสิญจน์ในพิธีนี้จะนำไปเป็นเครื่องราง การนำสายสิญจน์นั้นมาใช้บูชาอาราธนาติดตัว จะใช้ของมีคม"ตัดไม่ได้" เพราะถือกันมาแต่โบราณกาลว่า ผู้ที่ต้องการจะต้องเอามือเด็ดเอาทีละเส้นๆ จนกว่าสายสิญจน์นั้นจะขาด สั้นยาวแค่ไหนก็ตามที่ตนจะกะเด็ดเอา........

    แต่ทุกวันนี้พอเสร็จพิธีก็ดึง หรือไม่ก็มีดตัดกันแล้ว ผมหวังใจว่าข้อความที่กล่าวมาทั้งหมดคงทำให้ทุกๆท่านเข้าใจและรู้ถึงความยาก ลำบากที่กว่าจะได้เป็นสายมงคลที่ใช้ในมณฑลพิธีนั้นไม่ใช่ของง่าย...แต่จะมี ใคร ที่ไหนที่ยังคงสืบสานตามโบราณกาลที่ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาสอนสั่งสืบทอดกัน มา..ทุกวันนี้เน้น ง่าย ไว เท่านั้นพอ...เอวัง...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...