สังฆทานที่ถูกต้อง

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย เฮียปอ ตำมะลัง, 12 สิงหาคม 2007.

  1. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129
    การทำบุญสูงสุดด้านอาหารที่แท้จริง ก็คือการทำบุญสังฆทาน

    วิธีปฎิบัติที่ถูกต้องมีดังนี้

    ๑.ต้องเป็นอาหารที่พระฉันได้ในเวลานั้น และต้องถวายก่อนเที่ยง ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับการที่เราถวายภัตตาหารเพลพระนั่นเอง (ส่วนของที่เป็นถัง ๆ หรือของอย่างอื่นเป็นได้แค่เพียงบริวารสังฆทานเท่านั้น)

    ๒.ต้องกล่าวคำถวายสังฆทาน ดังนี้
    อิมานิ มะยังภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณ ชะยามะ สาธุ โน ภันเต ๓กขุสังโฆ อิมานิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ ปะฎิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะฯ (ในหัตถบาสใช้อิมานิ นอกหัตถบาสใช้เอตานิ)
    หมายเหตุ ในคำกล่าวถวายนั้น ถ้าไม่มีคำว่า ภิกขุสังฆัสสะ ถือว่าการถวายนั้นไม่ใช่การถวายสังฆทาน

    ๓.พระตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป (พระ ๔ รูปเรียกว่าครบสงฆ์) จึงจะรับสังฆทานได้ เพราะคำว่าสังฆทานนั้นแปลว่า เป็นทานที่ถวายแด่สงฆ์ เป็นบุญสูงสุดด้านอาหาร ฉะนั้นพระ ๑ รูป ๒ รูป ๓ รูป ไม่สามารถรับสังฆทานได้ เป็นบาปและถือว่าหลอกลวง เพราะไม่ใช่สงฆ์ เป็นแค่เพียงบุคคลเท่านั้นต่อเมื่อพระครบ ๔ รูปจึงถือว่าเป็นสงฆ์ เว้นเสียแต่เป็นพระอรหันต์ ๑ องค์ก็สามารถรับสังฆทานได้ เพราะพระอรหันต์ ๑ องค์ถือว่าเป็นสงฆ์ ชาวพุทธทั่วไปยังไม่เข้าใจว่าพระสงฆ์แตกต่างจากสมมุติสงฆ์อย่างไร และทำไมถึงเรียกว่า ๑ รูปบ้าง ๑ องค์บ้าง(ขอให้ดูในรายละเอียดเรื่องไฟนรก ๗ กอง)

    ๔.จะต้องทำการอปโลกน์สังฆทาน หลังจากที่พระรับสังฆทานแล้วพระรูปที่ ๒ จะต้องทำการอปโลกน์ (คือการประชุมสงฆ์ เพื่อทำการแบ่งปันอาหารที่ได้รับถวายมาตามลำดับจนถึงให้ญาติโยม) แต่ถ้าพระไม่ทำการอปโลกน์อาหารทุกชิ้นถือเป็นของสงฆ์ทั้งสิ้น ญาติโยมจะไปกินไม่ได้เด็ดขาด ถึงเเม้ว่าพระบางรูปจะบอกยกให้ก็กินไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นบุคคลให้ ไม่ใช่สงฆ์ให้แม้แต่พระที่เป็นผู้รับสังฆทานเองกับมือก็จะฉันไม่ได้ ถ้าผู้ใดก็ตามขืนไปกินเข้าเมื่อตายไปจะต้องเกิดเป็นเปรต ๙๒ กัลป์ แม้แต่สุนัข มด แมลง ไปกิน ก็ต้องเป็นเปรตเหมือนกัน ซ฿งถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมากของชาวพุทธที่ไม่รู้ธรรมะ

    คำอปโลกน์สังฆทาน
    ยัคเฆ ภันเต สังโฆ ชานาตุ อะยัง ปะฐะมะ ภาโค มะหาเถรัสสะ ปาปุณาติ อะวะเสสา ภาคา อัมหากัง ปาปุณาติ

    จากหนังสือ ความสำเร็จที่มาจากพระพุทธเจ้า ของ อ.ศิริพงษ์ อัครศรียุกต์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 พฤศจิกายน 2007
  2. countdown

    countdown เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,018
    ค่าพลัง:
    +3,165
    เอ....แต่ผมว่าการให้ก็คือทานนะครับ เพราะบางทีผมไปวัดพระไม่อยู่ก็วางไว้ที่กุฎิละครับแล้วภาวนาเอาว่าให้วัดแล้วก็ได้บุญละ...
     
  3. namo_jindy

    namo_jindy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +131
    โห..ทำบุญจากสังฆทาน ยากจัง
     
  4. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129
    สังฆทานที่ถูกต้องจะให้ผลเกินความคาดหมายดังเช่น สุภัททาเทพนารี
    ในสมัยพุทธกาล มีคหบดีผู้หนึ่งเป็นผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา มีธิดาสองคน ธิดาคนพี่มีนามว่า ภัททา ส่วนธิดาคนน้องมีนามว่า สุภัททา นางภัททาผู้พี่นั้นมีปัญญาดี ทั้งจิตใจก็เลื่อมใสในพระพุทธศาสานา เพราะบิดาเป็นผู้อบรมสั่งสอน ต่อมาไม่ช้านางก็ไปสู่ตระกูลสามี แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ภัททาผู้พี่จึงบอกแก่สามีให้ไปรับสุภัททาน้องสาวมาอยู่ด้วยกันจักได้มีบุตรสืบสกุลต่อไป ครั้นสามีไปรับน้องสาวมาอยู่ด้วยกันแล้ว นางก็ให้โอวาทน้องสาวเสมอว่า "สุภัททาน้องรัก เจ้าจงหมั่นทำทาน จงประพฤติธรรมอย่าได้ประมาท ชีวิตของเราใช่ว่าจะยั่งยืน แม้เจ้าปราถนาจักได้ทิพยสมบัติในภายภาคหน้า จงเชื่อพี่เถิด สมบัตินั้นจักอยู่ในมือของเจ้าเป็นแน่แท้" พี่สาวเฝ้าตักเตือนสุภัททาน้องรักอยู่เนืองนิตย์


    สุภัททาสาวคนน้องนั้น เธอเป็นคนเชื่อถือโอวาทแห่งพี่สาว ทั้งที่ตนเป็นคนรู้น้อย ไม่ค่อยพูดจา แต่มากด้วยศรัทธาเลื่อมใส มีจิตใจบริสุทธิ์ก็ประพฤติตามดุจคำพี่สอน วันหนึ่งจึงให้คนไปนิมนต์ พระเรวตะเถระ องค์อรหันต์ให้เข้ามาฉันภายในเคหสถานแห่งตน ฝ่ายพระคุณเจ้าเรวตะเถระผู้มีจิตกรุณาปราถนาจะยังกุศลให้เกิดแก่สุภัททาน้องสาวดดยยิ่ง จึงพาพระภิกษุ 7 องค์ล้วนแต่ทรงคุณเป็นพระอรหันต์ขีณาสพไป เพื่อจะให้นาง ถวายอุทิศแต่สงฆ์ชื่อว่าเป็นสังฆทาน สุภัททาเธอดีใจนักหนา อาราธนาให้นั่งบนอาสนะ แล้วทำการถวายภัตตาหารอันประณีตบรรจงด้วยน้ำมือตน ถวายพระเถระองค์อรหันต์ทั้งหลายด้วยดวงใจที่เลื่อมใสศรัทธา และต่อมาก็มีโอกาสได้บำเพ็ญมหากุศลขั้นอรหันตทานอีกมากหลาย ฝ่ายภัททาพี่สาวก็ประกอบกองการกุศลตามศรัทธา พอถึงอายุขัย ทั้งสองนางก็ทำกาลกิริยาตายไปตามธรรมชาติของสังสาร

    มีต่อ
     
  5. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129
    ต่อ

    ภัททาอุบาสิกาซึ่งเป็นพี่สาวไปอุบัติเกิดเป็นบาทบริจาริกาแห่งท้าวโกสีย์อมรินทราธิราชในไตรตรึงษ์สวรรค์ ฝ่ายสุภัททาอุบาสิกซึ่งเป็นน้องสาวนั้นมาบังเกิดในปราสาททองอันเป็นวิมาน ณ สรวงสวรรค์ชั้น นิมมานรดี นี้เป็นเทพนารีทรงรัศมีรุ่งเรืองงดงามนักหนา จึงมาพิจารณาดูสมบัติแห่งตนว่าได้มาด้วยบุญกุศลอันใด ครั้นดูไปก็รู้แจ้งว่าเพราะได้ถวายทักขิณาแด่อริยสงฆ์องค์อรหันต์ เป็นสังฆทานซึ่งมีพระเรวะเถระเจ้าเป็นประธานตามโอวาทของภัททาพี่สาว จึงได้เสวยสมบัติเห็นปานนี้ ครั้นพิจารณาต่อไปก็ทราบว่าบัดนี้ภัททาพี่สาวไปบังเกิดในไพชยนต์ปราสาท เป็นบาทบริจาริกาแห้งท้าวสักกะจึงลงมาจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดีแล้วเข้าไปหา

    "พี่ภัททาเทพธิดา"
    ภัททาเทพธิดาประหลาดใจนัก จึงถามว่า

    "ท่านรุ่งเรืองด้วยรัศมี ทั้งเป็นผู้เรืองยศ ย่อมรุ่งเรืองโรจน์ล่วงเทพเจ้าชาวดาวดึงส์ทั้งหมด ด้วยรัศมี ดิฉันไม่เคยเห็นท่าน เพิ่งมาเห็นในวันนี้เป็นครั้งแรก ท่านมาจากเทวโลกชั้นไหน จึงมาเรียกดิฉันโดยชื่อเดิมว่าภัททาดังนี้เล่า"

    นางสุภัททาเทพธิดาผู้น้องสาวตอบว่า

    "ข้าแต่พี่ภัททา ฉันชื่อว่าสุภัททา ในภพก่อนครั้งเป็นมนุษย์อยู่ ฉันได้เป็นน้องสาวของพี่ ทั้งได้เคยเป็นภริยาร่วมสามีเดียวกับพี่มาด้วย ฉันตายจากมนุษย์โลกนั้นมาแล้ว ได้มาเกิดเป็นเทพธิดาประจำสวรรค์ชั้นนิมมานรดี"

    นางภัททาเทพธิดาจึงถามต่อไปว่า

    "ดูกร แม่สุภัททา ขอเธอได้บอกการอุบัติของเธอในหมู่เทพเจ้า เหล่านิมมานรดี
    ซึ่งเป็นที่ที่สัตว์ได้สั่งสมบุญกุศลไว้มาก แล้วจึงได้มาบังเกิด เธอได้มาในที่นี้ เพราะทำบุญกุศลสิ่งใดไว้ และใครเป็นครูผู้แนะนำสั่งสอนเธอ เธอเป็นผู้เรืองยศ และถึงความสุขพิเศษไพบูลย์ถึงเช่นนี้ เพราะได้ให้ทานและรักษาศีลเช่นไรไว้ ดูกรแม่เทพธิดา ฉันถามเธอแล้ว นี่เป็นผลแห่งกรรมอะไร โปรดตอบฉันด้วยเถิด"

    มีต่อ

     
  6. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129
    ต่อ

    นางสุภัททาเทพธิดาตอบว่า

    "เมื่อชาติก่อน ดิฉันมีใจเลื่อมใส ได้ถวายบิณฑบาต 8 ที่แก่สงฆ์ผู้เป็นทักขิไณยบุคคล 8 รูป ด้วยมือของตน เพราะบุญกรรมนั้น ดิฉันจึงมีวรรณะงามเช่นนี้ ฯลฯ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ เพราะบุญกรรมนั้น"

    นางภัททาเทพธิดาได้ถามต่อไปอีกว่า

    "พี่ได้เลี้ยงดูพระภิกษุทั้งหลาย ผู้สำรวมดี ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวและน้ำ ด้วยมือของตนเองมากกว่าเธอ ครั้นให้ทานมากกว่าเธอแล้ว ก้ยังได้บังเกิดในเหล่าเทพเจ้าต่ำกว่าเธอ ส่วนเธอได้ถวายทานเพียงเล็กน้อย อย่างไรจึงมาได้ผลอย่างพิเศษไพบูลย์ถึงเช่นนี้เล่าแม่เทพธิดา ฉันถามเธอแล้ว นี่เป็นผลแห่งกรรมอะไร โปรดตอบฉันด้วยเถิด"

    นางสุภัททาเทพธิดาตอบว่า

    "เมื่อชาติก่อน ดิฉันได้เห็นพระภิกษุผู้อบรมทางจิตใจเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่จึงได้นิมนต์ท่านรวม 8 รูปด้วยกัน มีพระเรวตะเถระเป็นประธานด้วยภัตาหาร ท่านพระเรวตะนั้นมุ่งจะให้เกิดประโยชน์ อนุเคราะห์แก่ดิฉัน จึงบอกดิฉันว่า จงถวายทานแด่สงฆ์เถิด ดิฉันได้ทำตามคำของท่าน ทักขิณาของดิฉันนั้นจึงเป็น สังฆทาน ดิฉันเข้าตั้งไว้ในสงฆ์เป็นทานที่ไม่อาจปริมาณผลได้ว่ามีอยู่เท่าไร ส่วนทานที่คุณพี่ได้ถวายแด่ภิกษุด้วยความเลื่อมใสเป็นรายบุคคล จึงมีผลไม่มาก"

    นางภัททาเทพธิดาเมื่อจะรับรองความข้อนั้นจึงกล่าวว่า

    "พี่เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าการถวายสังฆทานนี้มีผลมาก ถ้าว่าพี่ได้ไปบังเกิดเป็นมนุษย์อีก จักเป็นผุ้รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ปราศจากความตระหนี่ ถวายสังฆทานและจะไม่ประมาทเป็นนิตย์

    มีต่อ


     
  7. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129
    ต่อ

    เมื่อสนทนากันแล้ว นางสุภัททาเทพธิดาก็กลับไปสู่ทิพยวิมานของตนบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี เสวยสุขทิพยสมบัติอยู่ ณ ปราสาททองอันเป็นวิมานของตน มีอายุยืนนานนับได้ 8,000 ปีทิพย์ นับได้สองร้อยสามสิบโกฎิสี่ล้านปี(2,304 ล้านปี) ด้วยการคำนวณปีแห่งมนุษย์โลกเรานี้

    ท้าวสักกะเทวราชได้ทรงสดับการสนทนานั้น เมื่อนางสุภัททาเทพธิดากลับไปแล้ว จึงตรัสถามนางภัททาเทพธิดาว่า

    "ดูกรนางภัททาเทพธิดา ผู้นั้นเป็นใคร มาสนทนาอยู่กับเธอย่อมรุ่งเรืองกว่าเทพเจ้าเหล่าดาวดึงส์ทั้งหมดด้วยรัศมี"

    นางภัททาเทพธิดาเมื่อจะบรรยายข้อที่สังฆทานของเทพธิดาผู้น้องสาวว่ามีผลมากจึงว่า

    "ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมเทพ เทพธิดาผู้นั้นเมื่อชาติก่อนยังเป็นมนุษย์อยู่ในโลกเป็นน้องสาวของหม่อมฉันและได้ร่วมสามีเดียวกันกับหม่อมฉันด้วย เธอสั่งสมบุญกุศลคือถวายสังฆทาน จึงได้ไพโรจน์อย่างนี้เพคะ"

    สมเด็จอมรินทราธิราชเมื่อจะทรงสรรเสริญสังฆทานจึงตรัสว่า

    "ดูกรนางภัททา น้องสาวของเธอไพโรจน์กว่าเธอ ก็เพราะเหตุในปางก่อนคือการถวายสังฆทานที่ไม่อาจจะปริมาณผลได้ อันที่จริงแล้วฉันได้ทูลถามพระพุทธเจ้าครั้งประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ถึงผลแห่งไทยธรรมที่ได้จัดแจงถวายในเขตที่มีผลมากของมนุษย์ทั้งหลายผู้มุ่งบุญให้ทานอยู่ หรือทำบุญปรารภเหตุแห่งการเวียนเกิดเวียนตาย จะถวายในบุคคลประเภทใดจึงจะมีผลมาก พระพุทธเจ้าตรัสตอบข้อความนั้นแก่ฉันอย่างแจ่มแจ้งว่า "ท่านผู้ปฎิบัติเพื่ออริยมรรค 4 จำพวก และท่านผู้ตั้งอยู่ในอริยมรรค 4 จำพวก พระอริยะบุคคล 8 จำพวกนี้ชื่อว่าสงฆ์เป็นผู้ปฎิบัติตรงดำรงมั่นในปัญญาและศีล เมื่อมนุษย์ทั้งหลายผู้มุ่งบุญถวายทานในท่านเหล่านี้ หรือทำบุญปรารภการเวียนเกิดเวียนตาย ทานที่ถวายในสงฆ์ย่อมมีผลมาก พระสงฆ์นี้เป็นผู้มีคุณความดีอันยิ่งใหญ่ ยังผลให้เกิดแก่ผู้ถวายทานในท่านอย่างไพบูลย์ ยากที่ใครจะปริมาณว่าเท่านี้ ๆ ได้
    เหมือนทะเลยากที่จะคาดคะเนได้ว่ามีน้ำเท่านี้ ๆได้ ฉะนั้นพระสงฆ์เหล่านี้แลเป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นแหล่งสร้างแสงสว่างคือญาณของชาวโลก ได้แก่ นำเอาแสงสว่างคือ สัทธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศไว้แล้วมาชี้แจ้ง ปวงชนที่ใคร่ต่อบุญเหล่าใด ถวายทานมุ่งตรงต่อสงฆ์ ทักขิณาของเขาเหล่านั้นชื่อว่าเป็นทักขิณาที่ถวายดีแล้ว เป็นยัญวิธีที่เซ่นสรวงถูกต้อง จัดเป็นบูชากรรมที่บูชาแล้วชอบเพราะทักขิณานั้นจัดเป็นสังฆทานมีผลมาก อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลกทรงสรรเสริญชนเหล่าใดยังท่องเที่ยวอยู่ในโลก มาหวนระลึกถึงบุญเช่นนี้ เกิดปีติโสมนัสก็จะกำจัดมลทิน คือ ความตระหนี่พร้อมทั้งความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความลังเลในใจ และการตีตนเสมอท่าน อันเป็นมูลฐานเสียได้ทั้งจะไม่เป็นผู้ถูกผู้ถูกผู้รู้ติเตียน แต่นั้นก็จะเข้าถึงที่ที่เป็นแดนสวรรค์"


    สรุป

    ดังเรื่องเล่าที่อยู่ในพระไตรปิฏกนี้ จะเห็นว่าภัททาพี่สาวที่มีศรัทธาและความขยันในการตักบาตร ต้องตี่นนอนแต่เช้าเพื่อมาทำอาหารถวายพระแต่น่าเสียดายที่ภัททาพี่สาวไม่รู้ธรรมะลึกซึ้ง จึงได้แต่ทำทานขั้นต่ำซึ่งผิดกับสุภัททาน้องสาวที่มีโอกาสได้ทำทานขั้นสูง เป็นสังฆทานที่ถูกต้อง คือบุญสูงสุดด้านอาหาร ทำให้ผลที่ได้นั้นแตกต่างกันมากมายเหลือเกิน


    สวัสดี
     
  8. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    ผมว่าการทำสัฆทานก็ไม่ยากครับเอาแบบหลวงพ่อฤาษีท่านบอกสังฆทานคือการที่ทำบุญให้กับของที่พระสงฆ์ใช้รวมกันอ่ะครับเอาเป็นว่าไปวัดเห็นตู้ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเล่าเรียนภิกษุ สามเณร ค่าบำรุงพระพุทธรูปหรือพระอุโบสถ เราก็อาเงินไปใส่ตู้เหล่านี้ก็เป็นสังฆทานแล้วอ้อใส่บาตรหน้าบ้านทุกเช้าไม่เจาะจงว่าพระรูปนั้นรูปนี้มาเราจะใส่ก็เป็นสังฆทานแล้วครับ ไม่ยุ่งยากหรอกครับ
     
  9. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff colSpan=2 height=65>
    อานิสงส์ถวายสังฆทานและวิหารทาน [​IMG]

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=61 bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top width=435 bgColor=#ffffff>ถ้าเราตั้งจิตจะถวายสังฆทาน แต่ว่าไม่ได้บอกเล่าคะ ?
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ถ้าตั้งจิตแต่ไม่ได้บอกก็ไม่ได้ยิน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าพระนั่งฉันอยู่ตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไปหนูเอาของไปถวายเอาน้ำไปถวายถ้วยเดียว ก็เป็นสังฆทานทันที ไม่ต้องบอก ถ้ามีพระตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไปนะ ถ้าองค์เดียวต้องบอก แล้วเขาจะเก็บไว้เป็นสังฆทานเลย จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างอื่นคนรับก็ไปนรกซิ ผู้ให้ไปสวรรค์เพราะว่าถวายทานเป็นส่วนบุคคลกับถวายเป็นสังฆทาน อานิสงส์มันต่างกันหลายแสนเท่า แล้วก็ยังมีอีกเวลาหนึ่ง ถ้าพระออกจากสมาบัติ นี่คูณหนักเข้าไปอีกไม่รู้เท่าไร การถวายสังฆทานนี้มีอานิสงส์มาก ความจริงถ้าจะพูดถึงอานิสงส์กันจริง ๆ ละก็ รู้สึกว่าจะมากกว่าจัดงานที่บ้านที่วัดตั้งเยอะแยะ ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าถวายสังฆทาน เราทำกันแบบเงียบ ๆ ไม่มีกังวลการบำเพ็ญกุศลแต่ละคราว ถ้ามีกังวลมากอานิสงส์มันก็น้อย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าจิตที่เราเข้าสู่กุศล มันห่วงงานอื่นมากกว่า ไม่ตั้งจิตโดยเฉพาะและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการถวายสังฆทาน คำว่าสังฆทานก็หมายความว่า ถวายสงฆ์ในหมู่ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตามพระวินัยท่านเรียกกันว่าคณะสงฆ์ ถ้าต่ำกว่านั้นเป็นคณะบุคคล ถ้าบุคคลเดียวเป็นปาฏิปุคคลิกทาน ทานโดยเฉพาะ ทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระสงฆ์เป็นหมู่นี้มีอานิสงส์มาก

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>การที่เราทำบุญใส่บาตร ตามหน้าบ้านกับพระที่เรารู้จักตามวัด แล้วไปทำที่วัด อันไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากันเจ้าคะ.....?</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ถ้าฉันตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไป เป็นสังฆทานมีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ถ้าหากท่านฉันตั้งแต่ ๑ องค์ ถึง ๓ องค์ อย่างนี้เป็น"ปาฏิปุคคลิกทาน</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>มีอานิสงส์มากไหมคะ......?</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>"มีโยม ถ้าเป็นปาฏิปุคคลิกทาน ถ้าวัดกันตามลำดับแย่นะ ไล่เบี้ยตั้งแต่ให้ทานกับ คนไม่มีศีล จนถึง พระอรหันต์ มีอานิสงส์ไม่เท่ากัน แต่จะพูดสรุปโดยย่อว่า
    ให้ทานกับพระอรหันต์ ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับ พระพุทธเจ้า ๑ ครั้ง
    ให้ทานกับพระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง
    และถ้า ถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับ ถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง
    คือสร้างวิหาร มีการก่อสร้างเช่นสร้างส้วม ศาลา การเปรียญ กุฏิ โบสถ์ วิหาร เป็นต้น
    การถวายสังฆทาน ๑ ครั้งในชีวิต และก็ถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์มีศรัทธาแท้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลของสังฆทานนี้จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวายเกิดไปทุกชาติขึ้นชื่อว่าความยากจน เข็ญใจไม่มี ในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขัดสน คนที่ถวายสังฆทานแล้ว จะไม่เกิดในที่นั้นผลที่ให้ไปไกลมาก กล่าวว่า แม้แต่พระพุทธญาณเองก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวายสังฆทาน
    คำว่าไม่เห็นที่สุดของการถวายสังฆทาน หมายความว่า แม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทาน บำเพ็ญบารมีแล้ว แล้วเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม จนกระทั่งเข้าพระนิพพาน อานิสงส์นั้นก็ยังไม่หมด คำว่าอานิสงส์ ยังไม่หมดก็เพราะว่าถ้าบุคคลใดบูชาบุคคลผู้ควรบูชา นี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทาน
    ทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระ มีผลไม่เสมอกันอยู่อย่างหนึ่งคือ หมายความว่าถวายทานแก่พระที่มีจิตกำลังฟุ้งซ่านไปด้วยอำนาจของนิวรณ์ ๕ ประการ อย่างนี้เราถวายกี่หมื่นกี่แสน อานิสงส์มันก็ไม่มาก ถ้าหากว่าถวายแก่ท่านผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าหากเข้าถึงจิตบริสุทธิ์ เรื่องบริสุทธิ์แค่ไหนก็ช่าง อย่างน้อยที่สุดก็มีขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ บางท่านก็เข้าถึงฌานสมาบัติ บางท่านที่เป็นพระอริยเจ้า ก็เข้าถึงผลสมาบัติ เป็นต้นอย่างนี้มีผลมาก"
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรมเล่ม1
     
  10. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff colSpan=2 height=65>
    ปัญหาการใส่บาตร [​IMG]

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=61 bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top width=435 bgColor=#ffffff>การที่เราทำบุญใส่บาตร ตามหน้าบ้านกับพระที่เรารู้จักตามวัด แล้วไปทำที่วัด อันไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากันเจ้าคะ.....?
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>คือว่าการใส่บาตรตามหน้าบ้าน ถือว่าเป็นสังฆทาน คือไม่เจาะจง ใช่ไหมล่ะ ทีนี้ไปใส่บาตรตามพระที่ชอบ ใช่ไหม......?

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ไม่ใช่ชอบคะ คือว่าศรัทธาค่ะ</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ชอบกับศรัทธาก็คือกันละ ถ้าศรัทธา ถ้าฉันตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไป เป็นสังฆทานมีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ถ้าหากท่านฉันตั้งแต่ ๑ องค์ ถึง ๓ องค์ อย่างนี้เป็น"ปาฏิปุคคลิกทาน</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>มีอานิสงส์มากไหมคะ......?</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>"มีโยม ถ้าเป็นปาฏิปุคคลิกทาน ถ้าวัดกันตามลำดับแย่นะ ไล่เบี้ยตั้งแต่ให้ทานกับ คนไม่มีศีล จนถึง พระอรหันต์ มีอานิสงส์ไม่เท่ากัน แต่จะพูดสรุปโดยย่อว่า
    ให้ทานกับพระอรหันต์ ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับ พระพุทธเจ้า ๑ ครั้ง
    ให้ทานกับพระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง
    และถ้า ถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับ ถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง
    คือสร้างวิหาร มีการก่อสร้างเช่นสร้างส้วม ศาลา การเปรียญ กุฏิ โบสถ์ วิหาร เป็นต้น
    การถวายสังฆทาน ๑ ครั้งในชีวิต และก็ถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์มีศรัทธาแท้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลของสังฆทานนี้จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวายเกิดไปทุกชาติขึ้นชื่อว่าความยากจน เข็ญใจไม่มี ในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขัดสน คนที่ถวายสังฆทานแล้ว จะไม่เกิดในที่นั้นผลที่ให้ไปไกลมาก กล่าวว่า แม้แต่พระพุทธญาณเองก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวายสังฆทาน
    คำว่าไม่เห็นที่สุดของการถวายสังฆทาน หมายความว่า แม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทาน บำเพ็ญบารมีแล้ว แล้วเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม จนกระทั่งเข้าพระนิพพาน อานิสงส์นั้นก็ยังไม่หมด คำว่าอานิสงส์ ยังไม่หมดก็เพราะว่าถ้าบุคคลใดบูชาบุคคลผู้ควรบูชา นี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทาน
    ทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระ มีผลไม่เสมอกันอยู่อย่างหนึ่งคือ หมายความว่าถวายทานแก่พระที่มีจิตกำลังฟุ้งซ่านไปด้วยอำนาจของนิวรณ์ ๕ ประการ อย่างนี้เราถวายกี่หมื่นกี่แสน อานิสงส์มันก็ไม่มาก ถ้าหากว่าถวายแก่ท่านผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าหากเข้าถึงจิตบริสุทธิ์ เรื่องบริสุทธิ์แค่ไหนก็ช่าง อย่างน้อยที่สุดก็มีขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ บางท่านก็เข้าถึงฌานสมาบัติ บางท่านที่เป็นพระอริยเจ้า ก็เข้าถึงผลสมาบัติ เป็นต้นอย่างนี้มีผลมาก"

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>เห็นพระบางองค์ดูลักษณะไม่สำรวม ท่านวนเวียนคอยรับบาตรบ้านคนโน้นคนนี้แล้วก็ถ่ายใส่ถัง ถ้าเราไม่ใส่บาตรพระแบบนี้เราจะเป็นบาปไหมคะ......?</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>"บาปเขาแปลว่าชั่ว บุญแปลว่าดี ถ้าเราไม่ใส่ก็ไม่ชั่วตรงไหนนี่ เพราะว่ามันเป็นทรัพย์สินของเรา ถ้าเราให้เขาเขาแสดงอาการ ไม่เป็นที่เลื่อมใส เราไม่ให้ก็ไม่เห็นจะแปลก เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า การให้ทานก็จะต้องเลือกให้เหมือนกัน เพราะผู้รับถือว่าเป็น"เนื้อนาบุญ" ถ้าหว่านพืชลงในนาลุ่มก็ท่วมตาย ถ้าดอนเกินไปน้ำไม่ถึงก็ตายต้องหว่านในเนื้อนาที่เหมาะ ถ้าเราเห็นนามันไม่ควรเราก็ไม่ให้ ทำไม่เหมาะไม่สม ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ถ้าให้ก็เป็นการเลี้ยงโจร
    แต่ว่าถ้าพูดถึงทานการให้เจตนาเราจะตั้งอย่างไรก็ตาม ตัวนี้มันเป็นผล ตัดโลภะอยู่ตลอดเวลา ส่วนใหญ่จริง ๆ ที่มีอานิสงส์สูงสุดคือตัดโลภะ ความโลก เพราะคนที่มีความโลภนี้ให้ทานไม่ได้ เงินที่จะให้ทานได้นี่มันตัดความสุขของเจ้าของ หากว่าเจ้าของเขาไม่ให้ เขากินเขาใช้ก็มีความสุข เขาอุตส่าห์ตัดความสุขของเขาส่วนนี้ออกไป เป็นการตัดโลภะ ความโลกเป็นก้าวหนึ่งที่จะถึงพระนิพพาน อันนี้เขาไม่ต่ำ มันเป็นจาคานุสสติกรรมฐาน
    จาคานุสสติกรรมฐาน นี่ไม่ต้องไปภาวนา จิตคิดว่าจะให้ทานทุกวัน ๆ นี่นะ จิตคิดว่าถึงเวลานั้นเราจะใส่บาตรมากหรือน้อยก็ตาม อันนี้เป็นจาคานุสสติกรรมฐาน และการใส่บาตรหน้าบ้าน เขาถือว่าเป็นสังฆทาน ถ้าพระองค์ไหนมีจริยาไม่สมควร เราไม่ให้มันก็๋ไม่แปลกการถวายสังฆทานมันก็มีผลสำหรับพระผู้รับ ถ้าผู้รับไม่ดีก็ลงอเวจีไปเอง"

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>แล้วอย่างการใส่บาตรโดยเราลงมือใส่เองกับให้ลูกจ้าง คือเด็กของเราใส่แทน อย่างไหนจะได้บุญมากกว่าคะ..?</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>เราไปไม่ได้แต่ให้คนอื่นไปได้บุญเท่ากัน แต่เราใส่เองเกิดความปลื้มใจอันนี้ได้กำไรอีกนิด แต่ผลของทานมันเสมอกัน</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>เวลาเราใส่บาตรไปแล้ว ถ้าหากว่าพระไม่ได้ฉันอาหารของเรา เราจะได้บุญไหมคะ..?</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>บุญมันเริ่มได้ตั้งแต่คิดว่าจะให้แล้วนะ พระจะฉันหรือไม่ฉันไม่ใช่ของแปลก คือการให้ทาน ตัวให้นี่มันตัดความโลภ และตัวให้นี่กันความจนในชาติหน้าอันดับรองลงมา"ทานัง สัคคโส ทานัง" "ทานเป็นบันไดให้เกิดในสวรรค์"
    ทีนี้พอเราเริ่มให้ปั๊บ มันเริ่มได้ตั้งแต่เราตั้งใจ การตั้งใจน่ะ มันตัดสินใจเด็ดขาดแล้วนะ เช่น คิดว่าพรุ่งนี้จะใส่บาตร ข้าวขันนี้เราไม่กินแน่นอนคิดว่าเราจะไม่กินเอง ตั้งแต่วันนี้ คิดว่าจะใส่บาตรนี่บุญมันเกิดตั้งแต่เวลานี้
    แต่พอถึงพรุ่งนี้ต้องใส่จริง ๆ นะ อย่านึกโกหกพระไม่ได้นะ ไม่ใช่แกล้งนึกทุกวัน ๆ คิดว่านึกได้บุญ เลยไม่ได้ใส่บาตรสักที นี่ดีไม่ดีฉันพูดไปพูดมาเสียท่าเขานะ
    แต่คิดว่าจะทำจริง ๆ นะ คือพรุ่งนี้จะใส่บาตรแน่ ๆ แต่ว่าวันนี้เกิดตายก่อน นี่ได้รับ ๑๐๐ % เลย ก็อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านบอกนั่นแหละ
    "เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ"
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าตัวตั้งใจเป็นตัวบุญ"
    พระพุทธเจ้าบอกว่ามันมีผลตั้งแต่การตั้งใจเริ่มสละออก พอคิดว่าเริ่มจะทำ อารมณ์มันตัดตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว ถือว่าไม่ได้เป็นของเราแล้ว มันได้ตั้งแต่ตอนนั้น

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรมเล่ม8
     
  11. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff colSpan=2 height=65>
    อานิสงส์ถวายสังฆทานให้แก่สัตว์ป่วย [​IMG]

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=61 bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top width=435 bgColor=#ffffff>อ๋อ..เข้าใจแล้วครับ ที่นี้เรื่องการถวายสังฆทานนะครับ ถ้าสังฆทานแมวได้หรือเปล่า.?</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>เอาแมวมาถวายสังฆทานเหรอ..พระไม่รับหรอก</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ไม่ใช่อย่างนั้นครับหลวงพ่อ คือที่บ้านผมมีแมวชื่อ “มงคล”ป่วยเพราะถูกแมวใหญ่กัด ไม่กินข้าวหลายวันแล้ว ก็นึกว่าทิ้งไว้ไม่ได้แน่ทำท่าจะตาย ก็เลยขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ มีวัดท่าซุงเป็นที่สุด และบอกว่าถ้าหากว่าเจ้าหายละก้อ..พ่อจะถวายสังฆทาน</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>อ๋อ..ถวายสังฆทานให้แมว</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ครับ</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>เจตนาเป็นกุศลใช้ได้</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ทีนี้ก็เลยสงสัยว่า ถ้าบ้านใครมีหมู หมา กา ไก่ เจ็บไข้ได้ป่วยหรือใครป่วย ถ้าถวายสังฆทานแล้ว อุทิศส่วนกุศลให้อย่างนี้จะมีผลไหมครับ..?</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>มีผล แต่ผลจะมีจริงๆคือผู้ถวายสังฆทานมีผล ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ อาศัยเมตตาบารมีในพรหมวิหาร ๔ ตัวนี้มันก็สร้างความดี เขาจะดีขึ้นเองได้เหมือนกัน เขาดีกันเยอะแล้วนี่ บางที่เขาป่วยๆเขาถวายสังฆทาน พอกลับไปอีกทีคนป่วยสบายขึ้นตั้งเยอะ เห็นหลายรายเข้าจึงแนะนำ นั่นฉันไม่ได้หมายความว่าฉันเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์นะ เพราะความดีเขานะ</TD></TR></TBODY></TABLE>
    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรมเล่ม8
     
  12. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff colSpan=2 height=65>
    อานิสงส์ใส่บาตรวิระทะโย - เอาของไม่ดีใส่บาตร [​IMG]

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=61 bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top width=435 bgColor=#ffffff>หลวงพ่อคะการใส่บาตรวิระทะโย มีอานิสงส์อย่างไรคะ....?
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>อานิสงส์เท่ากับถวายสังฆทานธรรมดา ไม่ต่างกัน อานิสงส์เหมือนกันหมด แต่ว่าใช้วิระทะโย(คาถาภาวนากันจน) มันมีผลปัจจุบัน ชาตินี้ทำให้เงินไม่ขาดตัว ถ้าใส่บาตรทุกวัน สวดมนต์อยู่เสมอ ถ้าจะหมดก็มีมาต่อจนได้ ถ้าแบ่งเวลาทำสมาธิละก็ขลังมาก รวยมากหน่อย

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>กระผมอยากทำบุญใส่บาตรเหมือนกันครับ แต่คิดว่าของที่จะใส่บาตรทำบุญมันไม่ดี ก็เลยอายไม่อยากใส่ กะไว้ว่าถ้ามีอาหารดีเมื่อไรจะใส่บาตร ผมคิดอย่างนี้ถูกไหมครับ....?</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>การทำบุญทำไมจะต้องอาย เคยมีนักเทศน์เขาถามกัน มียายกับตา ๒ คน แกหุงข้าวแฉะแล้วแฉะอีกไอ้แกงก็เปรี้ยวแล้วเปรี้ยวอีก แกกินไม่ลง ของมันกินไม่ได้ เวลาพระมาบิณฑบาตแกก็บอกใส่บาตรดีกว่า พระนักเทศน์เขาก็ถามกันว่า "อย่างนี้จะได้อานิสงส์ไหม....?" ก็ตอบว่า "ได้อานิสงส์" แต่ผลที่เขาจะได้รับก็เป็นทาสทาน
    คำว่าทาสทาน หมายความว่า ให้ของเลวกว่าที่เรากินหรือให้ของที่เลวกว่าที่เราใช้ ถ้าให้ของเสมอที่เรากินอยู่หรือที่เราใช้อยู่ เขาเรียกว่า สหายทาน ให้ของที่ดีกว่าที่เรากินที่เราใช้ เขาเรียกว่าสามีทาน สามีทานเขาไม่ได้ แปลว่า ผัวทานนะ สามีเขาแปลว่า นาย
    ถ้าจะถามว่า ทาสทานมีอานิสงส์ไหม ก็ต้องดูตัวอย่างท่านอาฬวีเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐โกฏิ พระราชาตั้งเป็นมหาเศรษฐี แต่ว่าผ้าที่แกนุ่งนี่ ผ้าใหม่แกนุ่งไม่ได้ นุ่งผ้าช้ำแล้ว ใกล้จะขาดแกจึงนุ่งได้ ข้าวที่จะกินเม็ดสวย ๆ ก็กินไม่ได้ต้องเป็นข้าวหัก หรือปลายข้าวแกจึงจะกินได้ ของทุกอย่างที่แกใช้ต้องเป็นของเลว แต่อย่างลืมว่าเขาก็เป็นมหาเศรษฐีได้นะ
    การตั้งใจว่าจะใส่บาตรด้วยของดี ๆ น่ะดี แต่ว่าวันไหนมีอาหารที่เราคิดว่าไม่ดีก็ใส่บาตรได้
    การให้ทาน พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าให้เบียดเบียนตัวเอง ถ้าเบียดเบียนตัวเองเป็น อัตตกิลมถานุโยคเป็นการทรมานตัว
    และการให้ทานพระพุทธเจ้าให้ดูอีกว่าควรให้หรือไม่ควรให้ ถ้าให้ในเขตของคนเลวอานิสงส์ก็น้อย อาจจะไม่มีเลยรู้ว่าคนนี้ควรจะให้เราก็ให้ ถ้าไม่ควรให้เราก็ไม่ให้ ให้แล้วไปกินเหล้าเมายา ไปสร้างอันตรายกับคนอื่น เราไม่ให้ดีกว่า เป็นการต่อเท้าโจร ให้พลังแก่โจร เวลาจะให้ท่านวางกฏไว้ดังนี้
    ๑. ผู้ให้บริสุทธิ์
    ๒. ผู้รับบริสุทธิ์
    ๓. วัตถุทานบริสุทธิ์
    ของดีก็ตาม ของเลวก็ตามมีอานิสงส์มาก อานิสงส์คือความดี ความชื่นใจมาก
    ถ้าผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ วัตถุทานไม่บริสุทธิ์ ความดีก็ลดน้อยลง
    แต่ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับไม่บริสุทธิ์ วัตถุทานไม่บริสุทธิ์ ให้บาทหนึ่ง จะได้สังสตางค์หรือเปล่าก็ไม่รู้
    รวมความว่าต้องบริสุทธิ์ ๓ อย่าง ถ้าลดไปอย่างใดอย่างหนึ่ง อานิสงส์ก็ลดตัวลงมา ถ้าลดเสียหมดเลยก็ไม่มี
    แต่ว่าการให้ทาน พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อีกประเภทหนึ่งต้องให้ครบ ๓ กาล จึงจะมีอานิสงส์สูง
    มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยหนึ่ง เมื่อท่านอนาถบิณฑกเศรษฐีจนลง เพราะเคราะห์กรรมบางอย่างทำลายท่าน เงินที่เขากู้ไปก็ถูกโกง ไอ้คนที่อยู่ภายในบ้านมันก็ขโมยของ ทรัพย์ที่ฝังไว้ชายทะเลชายแม่น้ำ แผ่นดินก็พังทรัพย์จมไปหมด ท่านจนขนาดข้าวเป็นเม็ดแทบไม่มีกิน ต้องกินปลายข้าว แต่ว่าศรัทธาท่านยังไม่ถอย ท่านนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมไปด้วยพระสงฆ์ไปฉันภัตตาหารที่บ้าน ท่านก็เอาปลายข้าวละเอียด เรียกว่าข้าวปลายเกวียนต้ม แล้วก็เอาน้ำผักดองเปรี้ยว ๆ เค็ม ๆ ทำเป็นกับมาถวายพระพุทธเจ้า ก็ฉันแบบนี้เหมือนกัน เวลาที่พระพุทธเจ้าฉันอยู่ท่านก็นั่งอยู่ใกล้ ๆ กราบทูลพระพุทธเจ้า
    "เวลานี้ทานของข้าพระพุทธเจ้าเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้า ถามว่า"เธอมีเจตนายังไง ก่อนจะให้เธอมีความรู้สึกยังไง..?"
    ท่านจึงบอกว่า"ก่อนจะให้เต็มใจพร้อมเสมอ เตรียมใจไว้ก่อนแล้ว"
    พระพุทธเจ้าก็ถามว่า"ในขณะที่ให้เธอก็มีความรู้สึกยังไง...?"
    ท่านก็บอกว่า"ในขณะที่ให้ก็ปลื้มใจ พระพุทธเจ้า ข้า"
    พระพุทธเจ้า ก็ถามว่า"เมื่อให้แล้ว เป็นยังไง..?"
    ท่านก็บอกว่า"ให้แล้วเกิดความเลื่อมใส ดีใจว่าให้แล้ว"
    พระพุทธเจ้า จึงได้ตรัสว่า"ดูก่อนมหาเศรษฐี ลูขังวา ปะณีตัง วา"
    ลูขัง แปลว่าเลว, ปะณีตัง แปลว่าดี หรือประณีต
    ท่านตรัสว่า ถ้าคนให้ทานมีเจตนาพร้อมเพรียงทั้ง ๓ กาล คือ
    ๑. ก่อนจะให้ก็ตั้งใจว่าจะให้
    ๒. ขณะที่ให้ก็ดีใจ
    ๓. เมื่อให้แล้ว ก็เกิดความเลื่อมใส
    อย่างนี้ ของดีก็ตามของเลวก็ตาม ย่อมมีอานิสงส์เลิศมีอานิสงส์สูง
    แต่ที่ท่านอนาถบิณฑกเศรษฐีท่านทำนั้น ท่านถวายพระพุทธเจ้า และพระที่ฉันก็เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด นับเป็นยอดของทาน
    ถ้าหากว่าเราไม่รู้จะเลือกยังไง องค์นี้จะเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์หรือเปล่า หรือเป็นพระโปเก พระเชียงกง ถ้าเราไม่รู้ก็ถวายเป็นสังฆทาน เลย เพราะสังฆทานมีอานิสงส์สูงมาก รองจากวิหารทาน
    พระพุทธเจ้า ท่านว่าไว้ตอนหนึ่งบอกว่า สมัยพระพุทธกัสสปท่านเทศน์อย่างนี้ คือ
    "บุคคลใดทำบุญด้วยตนเอง ไม่ชักชวนคนอื่น ถ้าเกิดในชาติต่อไปจะร่ำรวยโภคสมบัติ แต่ขาดเพื่อนขาดบริวารสมบัติ"
    "ถ้าดีแต่ชักขวนเขา ไม่ทำเอง ชาติต่อไป มีเพื่อนมาก แต่ตัวเองจน"
    "ถ้าทำบุญด้วยตนเองด้วย ชักชวนผู้อื่นด้วย รวยด้วย มีพรรคพวกมากด้วย"
    นี่ท่านเทศน์แบบนี้นะ ถ้าเราทำคนเดียวได้ก็ทำ ทีนี้ถ้าเราชวนเขาด้วย แต่ว่าการชวนนี้ก็ลำบากนะ ถ้าชวนเขาทำบุญด้วยก็อย่าหวังว่าเขาจะให้เรานะ คิดว่าเขาให้หรือไม่ให้ก็เป็นเรื่องเขา คือแนะนำเขาว่า เวลานี้เราทำโน่นทำนี่ จะทำบุญร่วมด้วยไหม.....ถ้าบังเอิญเขาไม่ทำร่วมด้วยก็อย่าไปโกรธ เราถือว่าเราชวนเขาทำความดี ถ้าเราโกรธเขาเข้า บุญเราจะด้อยลงไปเพราะตัวโกรธเข้ามาตัด

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรมเล่ม1
     
  13. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff colSpan=2 height=65>
    ทำบุญแค่เพียงเล็กน้อย [​IMG]

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=61 bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top width=435 bgColor=#ffffff>หลวงพ่อคะ แล้วอย่างทำบุญแค่เพียงเล็กน้อย เช่นการสร้างโบสถ์ นี่นะคะ คือไม่ได้ทำทั้งหลังค่ะ ทำเฉพาะประตูไม้ เขามาเรี่ยไรก็ร่วมทำบุญไปกับเขาค่ะ อย่างนี้บุญคงน้อยกว่าการทำบุญทั้งหลังใช่ไหมคะ?
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ถ้าเราทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างวิหารสร้างกุฏิ สร้างศาลา ทั้งหมดนี่เราไม่ได้ทำเต็มหลัง คือราคาไม่เต็มหลัง แต่ว่าไม่ใช่เราได้นิดเดียวนะ เราก็ได้เต็มหลัง วิมานจะปรากฏเลย ถ้าเราได้มโนมยิทธิจะสามารถไปเที่ยวได้

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>รู้สึกว่าสมบัติที่เราทำไปมันน้อย ก็คิดว่าบุญคงได้น้อย</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>สมบัติมันเล็กน้อยก็จริง แต่ว่าอานิสงส์มันไม่เล็กน้อย ก็แบบซื้อล๊อตเตอรี่ใบเดียว ถูกรางวัลที่หนึ่งนะ อย่างทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างอาคาร สร้างส้วม เขาเรียกว่าวิหารทาน อันนี้จัดเป็นบุญสูงสุด
    ตัวอย่างตอนที่พระพุทธเจ้าเป็นมาฆมานพ ท่านกับเพื่อนอีก ๓๒ คน ช่วยกันทำศาลาหนึ่งหลัง มีช้างสำหรับลากไม้หนึ่งเชือก มีนายช่างหนึ่งคน
    เวลาตายไปแล้ว ท่านมาฆมานพก็ไปเป็นพระอินทร์เพื่อนอีก ๓๒ คน ก็ไปเป็นเทวดา มีวิมานคนละหลัง นายช่างไปเป็นวิษณุกรรมเทพบุตร ช้างที่ลากไม้เป็นเอราวัณเทพบุตร มีวิมานคนละหลังเหมือนกัน
    เห็นไหม.....สร้างศาลาหลังเดียวก็มีวิมานคนละหลัง นี่เป็นเรื่องของอานิสงส์นะ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม เล่ม1
    ก็นำมาให้อ่านเสริมความเข้าใจในเรื่องสังฆทานครับ
     
  14. Rodent

    Rodent เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +155
    ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดเวลาทำสังฆทาน คือ ทำบุญด้วยใจบริสุทธิ์ครับ
    ป.ล. ผมคิดเอง เออเอง นะครับ...
     
  15. aek_nida7

    aek_nida7 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +699
    ขอบคุณทุกคำตอบครับ อ่านแล้วนึกถึงทานที่เคยทำมาแล้วเกิดปิติสุขขึ้นทันทีเชียว

    ขออนุโมทนา กับธรรมทานในคำตอบของทุกท่านด้วยครับ
     
  16. จิ้งจอกขาว

    จิ้งจอกขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +420
    สังฆทานถือว่าเป็นทานที่มีอานิสงส์มากที่สุด
     
  17. Enigma

    Enigma เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2005
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +314
    เราว่าบุญอยู่ที่เจตนาและศรัทธานะ
     
  18. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    เหนือกว่าสังฆทานก็คือวิหารทานเหนือกว่าวิหารทานคือธรรมทาน โดยพระพุทธวจนะทรงตรัสไว้ว่า สัพทานัง ธรรมะทานัง ชินาติ การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง
     
  19. สุริยันจันทรา

    สุริยันจันทรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    766
    ค่าพลัง:
    +4,588
    อนุโมทนาครับ...ทานใดที่เราเต็มใจให้ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ก็ได้บุญมากครับ
     
  20. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    ร่วม [​IMG] อนุโมทนาบุญด้วยครับ.^./|\.^. [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...