กสินกองไหนฝึกง่ายที่สุดครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เอกภพ, 10 มีนาคม 2017.

  1. เอกภพ

    เอกภพ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +7
    ที่ได้สมาธิเร็วสุดครับเคยเพ่งไฟจากเทียนเเล้วพอหลับตาแสงจากไฟมันติดตาพอลืมตามันติดค้างมากลัวลูกตาจะมีปัญหาครับ

    ขอถามเพิ่มนะครับผมเคยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกแล้วมันมีความรู้สึกว่าร่างกายของเรามันบิดเบี้ยวรู้สึกเหมือนตัวเรากับสภาพรอบๆตัวมันเอียงบอกไม่ถูกครับ แล้วบางครั้งก็รู้สึกว่าลมหายใจของเรามันหายไปครับตอนแรกก็บริกรรม พุทธโธมาเรื่อยเสร็จแล้วมารู้ตัว
    ก็หายไปแล้วและรู้สึกสงบมากอย่างนี้ผมได้ ฌานหรือยังครับ

    ขอบพระคุณทุกท่านครับ
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    กองที่เราเคยทำมา ฝึกมาแล้วใน อดีตชาติ คับ ฝึกง่ายที่สุดคับ
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ลองอ่านดูครับ


    ของเก่า หรือกรรมฐานเก่า

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2017
  4. เอกภพ

    เอกภพ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +7
    ผมเพิ่งหัดเพ่งเทียนครับเเล้วรู้สึกเเสบตาครับมันมีแสงตกค้างตอนที่หลับตาครับพอลืมตามันก็ค้างอยู่ครับกลับตามีปัญหาครับ
     
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เตโชกสิณ เตโช แปลว่า ไฟ กสิณเพ่งไฟเป็นอารมณ์ กสิณนี้ท่านให้ทำดังต่อไปนี้ท่านให้จุดไฟ ให้ลุกโชน แล้วเอาเสื่อหรือหนังมาเจาะทำเป็นช่องกว้าง ๑ คืบ ๔ นิ้ว แล้ววางเสื่อหรือหนังนั้น ไว้ข้างหน้าให้เพ่งพิจารณาไปตามช่องนั้น การนั่งสูง หรือระยะไกล ใกล้ เหมือนกับปฐวีกสิณ การเพ่ง อย่าเพ่งเปลวไฟที่ไหวไปมา ให้เลือกเพ่งแต่ไฟที่มีแสงหนาทึบที่ปรากฏตามช่องนั้น เป็นอารมณ์ ภาวนาว่า เตโชกสิณัง ๆๆๆ หลาย ๆ ร้อยหลายพันครั้ง จนกว่านิมิตจะเป็น อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตปรากฏเป็นดวงเพลิงตามปกติ สำหรับปฏิภาคนิมิตนั้น มีรูปคล้ายผ้าแดงผืนหนา หรือคล้ายกับพัดใบตาลที่ทำด้วยทองหรือเสาทองคำที่ตั้งอยู่ในอากาศ เมื่อได้ปฏิภาคนิมิตแล้วท่านจงพยายามทำให้ถึงจตุตถฌานเถิด ผลที่ตั้งใจไว้จะได้รับสมความ ปรารถนา

    http://luangphorruesi.star009.com/2-Series/2-32.html
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    กสิณ เปนการจำภาพ มองเทียน ให้จดจำภาพ
    พอหลับตาใหม่ จิตจะจำภาพได้ เปลวอาจจะ
    ไหวๆหน่อย ทั้งนี้ จิตมองเทียนแต่อาจจะไปเหน
    ธาตุลม ไม่ใข่ไฟ

    พอไม่กี่วิ ระบบประสาทตามันจะหยิบผัสสะชา
    สัญญามาแทนภาพที่จิตจำได้ เกิดเปนรูปทรง
    เหมือนเปลวเทียน ปล่อยนานๆอาจจะเปลี่ยน
    เปนทรงกลม อันนั้นปล่อยไปเลย ลืมตาซะ
    ให้ไว จดจำภาพอีกครั้ง เอาแค่ เออะจำภาพ
    ได้แล้ว ก้หลับตาเลย ไม่ต้องจ้อง

    ตาจะไม่เสีย ภาพที่ตาเหนจะไม่ถูกก้อนแสง
    สว่างแต่ทึบบดบัง

    ทีนี้

    กลับสลับห้องกรรมฐาน อย่าให้เสียอารมณ์
    กสิณ ทบทวนในใจก่อน กสิณคือการเหน
    ภาพ ส่วนก้อนแสงทึบตันคือ อาการ ราคะสัญญา
    มันก้ำเกินกรรมฐาน

    พอวางจิตแบบนี้ บริกรรมก้เทียบกับ ก้อนแสงทึบ
    เปนราคะสัญญาอย่างนึง พอระลึกเหนสัญญา
    ในกองลมได้ จะเหมือนลมหายใจหาย แต่จริงๆ
    ร่างกายทำอาการสูบลมเข้า ออก ตามปรกติ

    ทำแบบนี้ พอกลับไป พิจารณากสิณ จะเหน
    จิตมันเลือกเฝ้น ธรรม ที่ถูกต้องกับกรรมฐาน
    ได้แหลมคมขึ้น ยิ่งมีปิติ จิตก้ยิ่งเฝ้นอารมณ์
    กรรมฐานได้แคล้วคล้องขึ้น

    พอแคล้วคล่องมากๆ ก้ไม่ต้องจุดเทียนแล้ว
    ขณะที่พิมพ์ตัวอักขระวิธีอยู่ จิตก้ยังระลึกภาพ
    เปลวเทียนได้ ราคะสัญญอันเกิดจากรูปที่
    เปนตาวัตถุเหน ก้ำเกินไม่ได้ แยกอินทรีย
    ความเปนใหญ่กันชัดเจน ตาก้จะกระจาย
    ออกเปน ตาเนื้อ ตาใน แล้ว ยังมีตาธรรม

    ตาธรรมอยู่ตรงไหน ตาธรรมอยู่ตรงเหน
    ตาเนื้อ ตาใน ไม่ก้ำเกินกัน ฝ่ายใดหาย
    ไปก้ไม่ตกใจ ตามเหนความไม่เที่ยงของ
    ตาทั้งสอง ไม่เลือกข้าง ไม่เมาตาภาค
    ใดภาคหนึ่ง ไม่เกิดอัสมิมานะ

    ตาธรรมจะแน่นหนา มั่นคงขึ้น เรื่อยๆ

    ทั้งนี้เพราะ ตาธรรมก้จะแสดงไตรลักษณ์
    ให้พิจารณา มีปิติ มีจิตตั้งมั่น เหนความ
    สิ้น ราคะสัญญา ทั้งหยาบ กลาง ละเอียด
    สมาธิพุทธ อยู่เหนือกว่าฌาณ หลายเท่า

    ไม่ใช่ธรรมเพื่อการเข้าหาภพน้อยใหญ่
    ไม่ใช่การคลุกคลีมากญาติ
    เปนของคนรู้เร็ว ไม่เนิ่นช้าผลัดผ่อน อ้างสะสม
    เพราะสงสัยผลานิสงค์แห่งการปฏิบัติ อ้าง
    ขอเหนผลตอบแทนก่อน จึงค่อยรู้บารมีเต็ม
    ไม่เต็ม ของเก่า ของใหม่ มีหมู่ให้เข้าหาอาสัย
    ล้วนเปน อดีตสัญญา อนาคตสัญญา ที่ร้อยสัตว์
    ให้ติดข้อง มีปัญญาทราม ไม่ใช่ปัญญาดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2017
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    กองที่มีสีหรือสะท้อนสีได้ง่ายหมด
    ปล ฝึกกสิณถ้าปั่นปฎิภาคนิมิตใน
    กำลังสมาธิระดับสูงยังไม่ได้
    ให้จำไว้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไร
    ทาง กาย จิต แสง สี เสียง
    แม้จะเห็นแบบตาเปล่าๆ
    ห้ามมมมมมมมมมม
    สนใจทุกๆกรณี
    ไม่งั้นชาตินี้หมดสิทธิ์
    ในระดับใช้งานได้ครับ

    ไม่งั้นจะต้องเปลี่ยนแนวเอานิมิตที่เกิด
    มาเป็นแนวทางเดินปัญญาแทนครับ
    จนจิตคลายตัวได้เองตามธรรมชาติ
    แล้วมาลุ้นเอาว่าในจิตเรา
    เคยมีเชื้อทางกสิณมาไหม
     
  8. เอกภพ

    เอกภพ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +7
    ขอบพระคุณพี่ๆทุกท่านมากครับ

    ขอถามเพิ่มนะครับแล้วตอนที่ผมกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกแล้วมันมีความรู้สึกว่าร่างกายของเรามันบิดเบี้ยวรู้สึกเหมือนตัวเรากับสภาพรอบๆตัวมันเอียงบอกไม่ถูกครับ แล้วก็รู้สึกว่าลมหายใจของเรามันหายไปครับตอนแรกก็บริกรรม พุทธโธมาเรื่อยๆเสร็จแล้วมารู้ตัวก็หายไปแล้ว บ้างครั้งก็รู้สึกว่าตัวเราหายไปด้วยครับแบบนี้ผมเข้าใกล้ฌานบ้างหรือยังครับ
     
  9. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    ขณิกสมาธิครับ
    ที่มันถอนออกมาเพราะไปกังวลเกี่ยวกับร่างกายครับ
    จิตเลยไม่ละภายนอกเข้าสู่ภายใน
    สรุปง่ายๆ กลัวตายครับ
     
  10. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    การทำกสิณของ ท่าน จขกท ถูกต้องแล้ว
    หลับตานิมิตของดวงกสิณต้องติดตามไปแบบนั้น
    ปัญหาต่อมาคือ จะทำอย่างไรให้มีความตั้งมั่นในดวงกสิณนั้นขณะหลับตา ครับ
    ประมาณนี้
     
  11. เอกภพ

    เอกภพ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +7
    ถูกต้องเลยครับเวลามีอาการอะไรแปลกๆผมจะตกใจกลัวต้องรีบเลิกทำสมาธิเลยคร
    มีวิธีไหนบ้างครับช่วยลดความกลัวบ้าง
    ขอบคุณครับ
     
  12. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    คำว่า ดำรงสติให้มั่นเป็นเช่นนั้นเอง
    คำว่า เดนตายเป็นเช่นนี้นี่เอง
    สู้ๆครับ
     
  13. นะมัตถุ โพธิยา

    นะมัตถุ โพธิยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +2,268
    สำหรับคนไม่เคยทำมาแต่อดีตชาติ

    กสิณที่ง่ายที่สุด
    และพระพุทธเจ้าตรัสว่า เลิศกว่ากสิณทั้งปวง คือ

    วิญญาณกสิณ

    ง่ายมากๆ ลองทำดูสิ ครับ
     
  14. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    อานาปานสติ คือ กรรมฐานที่ทำได้ง่ายที่สุด เพราะ ลมหายใจมีอยู่แล้ว และ ไม่ต้องเคลื่อนไหวร่างกาย แค่สนใจกับลมตนเอง เพียรส่งใจไปรู้ลมไม่ขาดช่วง และคอยเอาใจใส่สังเกตุรายละเอียด ลมหยาบ ละเอียด
    การสนใจลมตนเอง ให้เหมือนกับคนดูภาพยนต์ จิตจะเริ่มเพลิดเพลินในการดูลมตนเอง ว่าสั้นบ้าง ยาวบ้าง สบายบ้าง แน่นบ้าง เบาบ้าง เมื่อจิตสงบตัวลงจะเกิดเบาสบาย ระงับเวทนาทั้งปวง และเมื่อชำนาญแล้วจะใช้ลมนั้นรักษาโรคภัยตามอวัยวะน้อยใหญ่ได้
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    แก้ความกลัวต้องฝืน ในกิริยานั้นๆที่เคย
    ทำให้เรากลัว ฝืนไป ๔ ถึง ๕ ครั้งจิตจะมีกำลัง
    และไม่กลัวได้ของมันเอง...
    เรื่องที่ส่งผลต่อกายแล้วคือมันปรุงไปแล้ว
    ทำบ่อยๆเด่วเราจะชินไปเอง ข้อดีคือ
    มันทำให้เราเห็นอารมย์ได้ชัด

    แก้ความไม่เข้าใจในกิริยาต่างๆทางด้านนามธรรม
    ให้เราลืมไปเลยว่ามันเคยมี
    ถ้าเราไม่เข้าใจตอนนั้นและให้มาเจริญสติ
    ให้ต่อเนื่องเพิ่มขึ้น เด่วจะย้อนรู้ที่ผ่านมาในอดีตได้เอง

    แก้กิริยาต่างๆที่ส่งผลกระทบถึงกายในขณะนั่งสมาธิ
    ถ้าเป็นในลักษณะ
    ของ ปิติ ไม่ว่าตัว พอง โยก ลอยถอยหลังแนวราบ ฯลฯ
    ให้ปล่อยให้สุดๆ ถ้าทำได้ครั้งต่อไปจะไปเป็นอีก

    แก้กิริยาที่ส่งผลกระทบถึงกายเมื่อออกจากสมาธิแล้ว
    ให้มาสะสมกำลังสมาธิให้ต่อเนื่องขึ้น ด้วยการทำบ่อยๆ
    ในระหว่างวัน แต่ไม่ต้องนาน ครั้งละ ๕ ถึง ๑๐ นาทีพอ
    เอาแค่สงบ แต่ทำบ่อย ร่วมกับการเจริญสติให้ต่อเนื่อง
    จะได้มีความเข้าใจในกิริยานั้นๆด้วยตัวเอง
    และภูมิต้านทานร่างกายจะดีขึ้นตามลำดับ


    คำว่าภูมิต้านทานร่างกายดี ก็คือ ไม่ว่าเราจะสัมผัส
    อะไร ไม่เหลือผลกระทบกับร่างกายในเวลาปกติครับ

    กสิณวิญญาน เป็นกสิณที่ดี แต่จิตจะต้องทิ้งกายได้
    ในขณะที่เข้าถึง เพราะมันเป็นลักษณะของจิตที่จะส่ง
    ตัววิญญานการรับรู้ไปเชื่อม ไปสัมผัสวัตถุภายนอก
    หรือนามธรรมภายนอกต่างๆ ดังนั้นภูมิต้านทาน
    ต้องดีพอตัว ทำได้ง่าย ด้วยเพียงการระลึก...
    ถ้าทำได้ จะสามารถมองเห็นเส้นสายได้แม้กระทั่งตาเปล่าๆ
    โดยมากในอดีตจะใช้วิธีนี้ ในการเข้าถึงกระแสพลังงาน
    พระพุทธฯ(เข้าถึงสูงได้ การเข้าถึงที่ต่ำกว่าจะง่ายครับ)
    ดังนั้น อยู่ที่พฤติกรรมทางจิตและความสามารถที่จิต
    ตัดกับกายเรานะครับ ถึงจะทำได้...

    และถ้าจะฝึกให้เข้าถึงได้ ควรใช้ระบบหายใจแบบอาปาฯ
    คือหายใจเข้าให้ลึกจนท้องพอง หายใจออกจนท้องยุบ
    และให้ทำความรู้สึกรับรู้ ว่ามีลมกระทบหยุดที่ปลายจมูก
    เวลาหายใจเข้าและออกครับ
    ระบบหายใจแบบนี้ ควรพัฒนาให้เป็นระบบหายใจปกติ
    ในชีวิตประจำวันด้วย เพราะถือว่าเป็นระบบหายใจพื้นฐาน
    สำหรับกรรมฐานทุกกองครับ

    ปล.จำไว้ อะไรที่เริ่มต้นง่ายๆ ต่อไปมันจะยาก...
    กสิณดูเหมือนจะง่ายในช่วงแรก....
    และจำเอาไว้เลยว่า ในระดับอุคคนิมิต
    คือปรากฏเป็นภาพอะไรก็ได้ ที่เราเรียกมันได้
    เช่น วงกลม สี่เหลี่ยม หรือมีรูปร่างชัดเจน
    มีภาษาเรียกได้ มันเป็นโทษได้หมด
    โทษคือทำให้ช้า เพราะไปยึดติด ไปสงสัย
    ไปอยากรู้คำตอบ..และกสิณ
    ถ้าจะถึงระดับใช้งานได้ ไม่มีคำว่าฝลุ๊ก
    เพราะจะต้องเจอบทสอบทางใจอีกหลายอย่าง
    จากภาคส่วนภพภูมิ(ฟังไว้ก่อนเล่นๆ)
    ถ้าสมมุติจะแนะนำเจ้าของกระทู้
    และขอเว้าแบบ ตรงๆกันไปเลยนะ..
    ควรไปฝึกกสิณที่มันใสๆดีกว่า
    เพื่อฝึกสร้างสายตาพิเศษก่อน
    ควรจะขึ้นด้วยกสิณลม เพราะถ้า
    ลมได้ไฟจะตามมาและอื่นๆจะตามมาเอง
    ขึ้นด้วยน้ำก็ไม่เหมาะเพราะกำลังจะไม่พอ
    ดึงให้กองอื่นๆขึ้นมามีกำลังเท่าๆกันอีก
    ขึ้นด้วยไฟบอกตามตรงว่าจะไปกันใหญ่
    นอกจากที่ขึ้นมาจะไม่อยู่ในเกณฑ์ออกงานได้
    กว่าจะฝึกได้สำเร็จก็คงอีกนานโข..
    เผลอๆจะกลายพันธ์ซะก่อน


    ปล.อะไรที่เริ่มต้นแบบคิดว่าจะทำให้ตัวเองหล่อๆ เท่ห์ๆ
    โดยไม่ตั้งเป้าเพื่อประโยชน์ทางธรรมและผู้อื่น
    ต่อไปมันจะทำให้เรากลายพันธ์
    อะไรที่เริ่มต้นเหมือนง่ายๆ ต่อไปมันจะยาก
    ถ้าสนใจจริงๆ ช่วงแรกต้องฟิตและสม่ำเสมอหน่อย
    กรรมฐานพวกนี้ถ้าได้แล้วมันได้เลย
    มันจะยากช่วงแรกๆนี่หละครับ

    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง...
    ส่วนตัวไม่เชื่อว่า ผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพองค์ปัจจุบัน
    จะกล่าวว่า กสิณใดเป็นเลิศที่สุดครับ
    มันเป็นลักษณะของคำพูดที่ไม่เป็นกลางครับ
    เพราะระดับกสิณกองนี้ อดีตพระมหาฤาษีท่านแรก
    ที่เคยเป็นอาจารย์สมัยที่ท่านยังไม่เป็นพระพุทธฯ
    ท่านก็สำเร็จแล้ว ส่วนท่านพระมหาฤาษีองค์ที่ ๒
    ท่านก็ไม่ไกลกว่ากสิณวิญญานมากแล้ว
    ตัวอดีตเจ้าชาย ยังต้องออกมาแสวงหาพ้นทุกข์ต่อ
    แล้วการที่ สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว น่าจะเน้นแต่
    เรื่องปัญญาทางธรรมเป็นหลักครับ และไม่น่ามีความคิด
    ในลักษณะฟังธงขึ้นมาได้ในระดับนี้...

    ในทางภพภูมิสอนให้สำเร็จคือ ท่านที่ห่มสีเหลือง
    สอนเทคนิคการใช้งานคือพระมหาฤาษีต่างๆ
    สอนต่อทางอรูปฯคือ ท่านที่อยู่ในดง..
    สอนเน้นปัญญารักษาความดี คือพระพุทธฯ
    พูดให้ฟังเป็นข้อสังเกตุเฉยๆนะครับ...

    ตำรามีการเสริมเติมมาเยอะแล้วครับ
    ตังแต่ช่วงปลายอยุธยา..สังเกตุไหมว่า
    หนังเรื่องพระพุทธเจ้าที่ ทำเป็นซีรีย์
    ถึงไม่มีเรื่อง ผี เทวดา ฯลฯ
    นี่ก็พูดให้ฟังเป็นข้อสังเกตุนะครับ

    คำว่าญานระดับโน้นนี่นั้น ถ้าโลกนี้
    สมัยนั้น ผู้เป็นเลิศด้านทิพย์จักขุท่าน
    ไม่ไล่ดูตอนพระพุทธฯท่าน เสด็จปรินิพพาน
    เราจะไม่ได้ยินคำว่า ญานแน่นอนครับ
    ดังนั้นพึ่งพิจารณาให้ดีว่า อะไรควรยึดไม่ควรยึดครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2017
  16. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    อ้อ..กสิณวิญญาณนี่เอง ยาวหน่อย แต่ขออธิบายตามที่เห็นอยู่นะครับ อาจเรียกไม่ถูก ใช้ภาษาไม่ตรง ไม่เป็น ก็ขอให้เข้าใจว่า เป็นภาษาที่พอจะนึกได้และใช้สื่อถึงสิ่งที่ปฏิบัติอยู่ และตามประสบการณ์ที่ผ่านมาครับ

    กสิณวิญญาณ ผมเพิ่งเก็ท มันเป็นแบบนี้นี่เอง คือพอไปแจ้งในสภาพธรรมอันที่ปัจจัยปรุงแต่งไปไม่ถึงแล้ว เรียกว่าถ้าจะปรุงก็คือคนเห็นนั่นแหละที่จะปรุงแต่งไปเอง แล้วก็หลงสำคัญมั่นหมายเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา พอแจ้งแล้ว ก็แจ้งในความเป็นวัฏฏะและวิวัฏฏะไปด้วย แจ้งในส่วนที่เป็นสาระและไม่ใช่สาระ แจ้งในอวิชชา (ความไม่รู้) เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร (ความปรุงแต่ง)ฯ แจ้งในความหลงโลกหลงกระทำ

    ปัญญาญาณมันเกิดแล้ว ทีนี้เวลาเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส เกิดเวทนาขึ้น เมื่อเกิดเวทนาขึ้นแล้ว เดิมทีก็สัญญา สังขารต่อ ว่ากันยาวๆ ตามความหลงเลยทีเดียว วิญญาณก็อยู่ด้วยกันนั่นแหละ

    ทีนี้มารู้แล้วว่า ทุกข์มันเกิดตอนที่รับรู้อะไรแล้ว ไม่วาง ชอบลากยาว ปรุงต่อยาวๆ ไม่มีสติ ไม่รู้ตัว หลงสังขารไปเองแบบนี้ ก็เลิกปล่อยการรับรู้ (วิญญาณ) ไปตามยถากรรมอีก ตรงนี้ก็คือการตัดกระแส ละอาสวะไปโดยปริยาย

    ขันธ์ ๕ ทำงาน เวทนาเกิด รู้ว่าจะหลง จิตจะเกิดยาว ก็ตัดกระแสการเชื่อมต่อทางวิญญาณเสียแต่เนิ่นๆ อย่าไปปล่อยให้ลากไปยาว ๆ ทุกข์เปล่าๆ มันเป็นความประมาทอย่างหนึ่ง เอาสุญญตามาเป็นวิหารธรรม อยู่ด้วยสุญญตา นิพพานก็อยู่ตรงนั้น เราไม่ได้หลงกระทำแล้วนี่ รู้วัฏฏะ/วิวัฏฏะแล้ว อยู่แบบไหนมันถึงจะอยู่สุขก็อยู่ไป อยู่ด้วยความไม่ประมาท ไร้ความสำคัญมั่นหมายเป็นตัวเป็นตน

    คือตัดกระแสแล้วก็ให้จบลงที่ตรงนั้น อย่าไปนึกไปคิดต่อ เกิดตรงไหนก็ให้จบตรงนั้น อย่าไปแบกหามเอามาเป็นอัตตาตัวตนอีก มันเป็นแบบนี้นี่เอง

    เข้าใจละ ครูบาอาจารย์เคยพูดว่า จิตเกิด ถ้าเราไม่ดับ มันจะวิ่งเกิดอยู่อย่างนั้น จริง..เห็นอยู่ อาสวะยังมียังไงก็เกิด อีกอย่างท่านพูดว่าให้ดับตัววิญญาณการรับรู้ เมื่อก่อนงง วิญญาณไปดับได้เหรอ ขันธ์ ๕ ยังมี อ๋อ (ขออธิบายตรวนี้หน่อยนะครับ)

    หมายถึงตัววิญญาณที่หลงส่งออกไปคลอเคลียอยู่กับเวทนา หลงตามเวทนา แล้วสัญญาสังขารกันไม่เลิกนั่นเองครับ แล้วทีนี้ให้ดับแล้วก็วางคือ ไม่ไปยึดไปแบกไปหามเอามาเป็นตนอีก ดับวิญญาณก็เป็นสุญญตา คือความไม่สำคัญตน ไม่มีอะไรติดใจนั่นไง นิพพานก็อยู่ตรงนั้น มันเป็นเช่นนี้เองครับ
     
  17. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ในกรณีที่ผู้ปฏิบัติยังไม่แจ้งในธรรมในส่วนที่เป็นอสังขตธรรม

    ความเป็นกลางหรือมัชฌิมาปฏิปทาจำเป็นมาก จำเป็นอย่างยิ่ง ท่านต้องเพียรรู้ความเผลอหลงทั้งกุศลและอกุศลให้ดี สมาทานการรู้ตามความเป็นจริงไปเรื่อยๆ รู้จักสร้างสัปปายะให้ตัวเอง เหตุปัจจัยพร้อม ย่อมแจ้งในธรรมได้

    ปัญหาอันหนึ่งที่พบเจอคือ บางทีเรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่มารบกวนจิตใจ ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องสำคัญอะไรเลย แต่เราก็ไปหลงพะวงอยู่ตรงนั้น หรือไม่ก็ไปติดเรื่องไร้สาระต่างๆ กลายเป็นว่าไปขวางมรรคผลตนเองเฉยเลยซะงั้น ตรงนี้ดูกันให้ดีครับ ถ้าไม่ติดพวกนี้ ก็แทบจะไม่มีอะไรน่าห่วง ทำความเห็นให้ตรงไปเรื่อยๆ ก็พอ ธรรมเป็นอกาลิโกครับ ย้ำเสมอ อกาลิโก
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    พี่ทีคร้าบบบบบ อย่า ด้นเด้า เดา เอา จิฮับ

    วิญญาณไปรับรู้เนี่ยะ เวทนาเกิดก็จริงอยู่

    แต่อะไรที่เป็น กุศล เขาให้เสพให้มากๆ ไม่ใช่ไป คิดเอา จะตัดโน้น ตัดนี้

    ทีนี้ ภาวนายังไง ถึงจะชื่อว่า เห็น อุบายนำออก

    พระพุทธองค์ตรัส ถามว่า เวทนาเที่ยง หรือไม่เที่ยง

    ดังนั้น เสพฌาณ สิ่งที่เป็นกุศล เกิดบ่อกสิณชนิดต่างๆ เกิด อายตนะชนิดต่าง
    ไล่ไปตามชื่อของฌาณ ก็ดูลงไป จิฮับ เวทนาเที่ยง หรือไม่เที่ยง

    ไม่ใช่ไป ด้นเด้า เดาเอา จะตัดโน้น ตัดนี้ ตัดทำแป๊ะอะไร !?
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    สมมติ นะ สมมติ

    สมมติ พี่ที เอาหละ หลายวันก่อน ขอนิสัยการภาวนาไปจาก สมาชิชื่อ ขาจอน

    ยกอาการไหว ไหล (โมหะมูลจิต) ที่กลางอก ( ไม่เอา โทษะมูลจิต ที่มันมีความไว)
    เอาแค่อาการไหลหนึบๆ หนับๆ จี่ๆ

    ถ้าพี่ทีไม่โหลยโถ้ยเหมือนที่ ทักไปคราวที่แล้วคือ พ้นพยาบาทวิตก พ้นวิหิงสาวิตก
    ไม่หลงไปตรึก กรรมเวร เจ้ากรรม เจ้าเวร อะนั่นนกเขาจูกุ๊ก ทักโน้น ทักนี้ มันจะ
    จี่จนไตรลักษณ์ญาณมันสัมปยุต เพราะจิตจำสภาวะธรรมได้แม่น แม้นเป็น นามธรรม
    ละเอียดแต่ยกขึ้นเห็นเกิดดับ(วิปัสสนา)ได้เหมือนตาเห็นรูป จิตจะเกิด ปิติ มหาศาล
    ที่เป็น ปิติ5 ที่เอาไว้ผลิกไปเป็นอภิญญาจิต

    ทีนี้อย่าไปสนใจ อภิญญา ต้องอดเปรี้ยวไว้กินหวานนนนนนนนนจ๋อย

    ภาวนาข้ามพยาบาทวิตกได้ วิหิงสาวิตกได้ จะเหลือความเสียวๆ อีกนิดหน่อย
    ที่หากไม่เคยข้ามฝากตาย มันจะแฉลบไปโอภาสเสียหมด ( พระพุทธองค์
    จะตรัสเรื่อง แสง และ นามรุป หายไม่หาย หายทำยังไง ไม่หายทำยังไง
    จะเป็นเรื่อง ปฏิปักษ์(เสี้ยนหนาม) หรือ อัปปนาโกศล10(วิสุทธิมรรคดัดแปลง) )

    ถึงจะข้ามเสียวๆ ได้ บ่อยๆ จะเหมือน คนตัวลอยในที่สูงงงงงงงมักแล้วเสียว
    แต่ไม่ตกอกตกใจแล้ว ภาวนาแบบนั้น ตามเห็น กองเวทนาไม่เที่ยงให้เป็น
    อีกสักพัก ค่อยมาสรุปว่า เห็น " นามกาย " ไหม

    พอเห็น "นามกาย" ชำนาญกองเวทนาได้ที่ อันนี้แล้วแต่ ธาตุ แล้ว
    ถ้า ธาตุใด สามารถใช้ นามกายเข้าส่องเสพฌาณได้ ก็ลุยไปเลย ไม่ติดแล้ว
    (เพราะ มาด้วยอำนาจวิปัสสนา ไม่ต้อง ทักระวังติด ฌาณ แฌณ ฮาเฮว
    อะไรกันอีก ลุยโลดดดด )

    แต่ถ้า ยกนามกายไม่เป็น ก็เอาแค่ สัมผัส Touch วิโมก ไปเรื่อยๆ พระสารีบุตร
    กล่าวเถระกถา ขอเทินพ่อคุณใส่หัวเลย

    แล้วค่อยจำแนกออก สติปัฏฐาน โพชฌงค์ สัมโพชฌงค์ วิจัยธรรมไป
    หากเก่งมากๆ ก็ อิทธิบาท4 จะกางออกวิจัยไปด้วย อะไรเป็นประธาน
    ยกขึ้นมา ไม่ใช่ ไปด้นเด้า เดาเอา ตัดโน้น ตัดนี้ งอมืองอเท้าไม่ประกอบ
    สมาธิจิต เดี๋ยวพระวัดป่า ถี โต กุ ฏี เอา !!! ว่างๆ ว่างๆ ว่าง อะ ระ ขะ มึ !!!
     
  20. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    คุณนิวรณ์ คุณเป็นคนที่มีปฏิภาณดี ช่างสังเกต และผมก็ได้เห็นตามที่คุณกล่าวแล้ว อารมณ์ ความคิดปรุงแต่ง ต่างก็เป็นของไม่เที่ยง หัวค่ำคิดอย่างหนึ่ง ตกดึกคิดอีกอย่าง จิตเกิดมันคิดไปได้หลากหลาย พอไม่เกิด เป็นกลางๆ กลับเห็นความไม่เที่ยง ปล่อยช้างเข้าป่า

    ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ ขออนุญาตถามต่อนิดนึง จริงๆ ผมเห็นด้วยกับคุณแล้วนะ พยาบาทวิตกๆ ทีนี้หากผมภาวนาไปแบบก่อนที่คุณจะติงมาไปแบบนั้น ผมจะราคะ ถึงซึ่งเจโตวิมุติได้ไหม เจโตวิมุติพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ละราคะได้น่ะครับ ถามเป็นความเข้าใจไปเท่านั้น ไม่มีอะไร
     

แชร์หน้านี้

Loading...