การกลั้นหายใจมากๆ จะทำให้ขาดใจตายหรือไม่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เร่งธรรม, 16 มีนาคม 2017.

  1. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    ถ้าเข้าใจแบบนั้นก็ตามสะดวกเลยครับ
    เพราะผมก็รู้ไม่หมด
     
  2. คุณกันฌามี

    คุณกันฌามี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +65
    ครับแค่แวะมาเฉยๆ มายืนยันว่าลมไม่ได้ดับก่อนแค่นั้น

    อยากให้ลองทำสมาธิขณะลืมตาดูครับ ;)
     
  3. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    อ่า ถ้าจะแนะนำผมต้องขอขอบคุณมากๆเลยครับ
    คือที่ว่าส่วนหยาบดับก่อนแล้วส่วนละเอียดจะดับทีหลังเนี่ย
    ปฏิบัติไปก่อนเหมือนกันครับ แล้วเดี๋ยวจะเจอเอง
    รึไม่ก็ คุณปฏิบัติภาวนากับท่านใดก็ไปสอบทานกับท่านนั้นได้ครับ
    ขอบคุณที่ชี้แนะครับ
     
  4. เร่งธรรม

    เร่งธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2016
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +59
    ครับ หลายคนที่เข้ามาอยู่ที่นี่ก็คงจะหวังพึ่งพาอาศัยกันตรงนี้แหละครับ พี่บอกน้อง น้องปรึกษาพี่ ขอบคุณพี่ๆทุกท่านครับ
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    งั้น ฟัง อภิธรรม กันบ้าง

    ดับนี่ ดับอะไร

    รูปน่มปริเฉทญาน ปัญญาตัวแรก เอาะๆ
    จะเปนการแยกรูป แยกนาม

    แล้วตามด้วย ปัจจัยของการเกิดนามรูป

    ดับนี้ดับอะไร ทำสมาธิลืมตา เดินเหินปรกติ
    เวลาเกิดปัญญาญาน รูปนามปริเฉท เน้นว่า
    ปริเฉท คือ แยกกัน นี่ก้คทอ มันดับ

    พูดซื่อๆ กำหนดรู้ทุกอย่างลงเปน ขันธ์5
    โดยที่ไม่ ไปเหนนิพพานเสียก่อน เนี่ยะ
    คือ ดับความเหนผิดเปนตัวตน ไม่กระเดิด
    ไปเหนนิพพานเสียก่อนฝึก ดับ ข้ามฝากตาย

    หลังจากนั้นจึงจะวิจัยต่อ ปัจจัยให้เกิดนามรูแ

    วจี จะเกิดก้ต่อเมื่อ มีกาย จิตยังยึดถือกาย
    ทำให้ นักอภิธรรม อาสัย ปัจจัยตัวนี้ปรกปรำ
    นักบริกรรมว่า ยังฉวยกายอยู่เลย วางตรงไหน

    ถ้ามีบริกรรมอยู่ จะได้แค่สมถะ

    จริงๆ ก้เปนวิปัสสนาได้ แต่ต้อง ม้างกาย ยกกาย
    พิจารณาไม่ใข่เรา ไม่ใช่ของเรา บริกรรมก้จะ
    แสดงให้เหน ตัณหายึดถือกายไม่เลิก เอามาเปน
    การรื้อค้รเหนกิเลสตัวเบ้อเร้อ งมโข่ง

    จนกว่าจะเกิดไตรลักษณ์ญาณสัมปยุต เดินๆไป
    ในตลาด เหนกายตน กายคนอื่น สลายกลาย
    เปนกระดูกขี้เถ้า ก้ค่อยขึ้น อุทัพยญาณ แต่
    จะติดวิปัสนูปกิเลส สำคัญตนเปนอริยะ

    เหมือนบางกระทู้ บอกว่าตนอนาคามี แต่พอมี
    ลูกค้าคิ้วโค้ง ก้นโด่ง เอ้ย จมูกโด่ง ลงไปให้
    เขาเกี้ยว ก้ยังดีใจว่าตนมีสีลบริสุทธิ (ตัวเขา
    ไม่ได้ก่ สาวเขามาเอง)

    สรุป รูปนามปริเฉท ให้ได้ จะตามด้วย ญาน
    ดำหรดรู้ปัจจัย วจีจะเกิด บริกรรมจะมี แปล
    ว่า ตอนนั้นหลงกายอยู่ เอามาดำหนดรู้เผลอ
    ก้รู้ว่าเผลอ จิตจะตั้งมั่น แยกรูปแยกนามได้

    ไม่เหนนิพพานก่อนฝึก
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ส่วนตัวคาดว่าหลายคนในนี้
    เข้าถึงสภาวะที่ลมหายใจเหมือนไม่มีได้
    ตามด้วยสภาวะจิตสงบอยู่อย่างนั้น
    แต่ไม่รู้ว่าจะไปต่อกันอย่างไร
    หรือไม่แน่ใจว่าสภาวะปัจจุบันของคน
    มันใ้ห้ประโยชน์หรือนำมาใช้งานอะไรได้
    ที่เป็นประโยนช์แห่งตนเองหรือผู้อื่นได้
    ประมานนี้หละครับ.

    พูดง่ายๆ ไปยังไงต่อดีว๊าาา
    ทำให้รู้สึกว่าสมาธิเรามันยังไม่
    รู้จักจบเป็นซักที
    ทั้งๆที่สมาธิถ้าได้เเล้ว
    มันควรจะจบเป็น

    อยากทราบแนวทางไปต่อ
    ก็คุยกันได้ครับ ไม่มีอะไร
     
  7. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ลมหายใจดับไป จะมีเฉพาะในสภาวะฌาณ 4
    อาการคือ ไม่มีลมหายใจปรากฎ และไม่มีอาการเอะใจ เพราะจิตทรงสภาวะอุเบกขาและ เอกคตาอยู่ แต่ถ้ามีอาการเอะใจนั้นน่ายังอยู่ในสภาวะจิตสงบเบื้องต้น และลมหายใจแผ่วเบาไปจนเจ้าของคิดว่าไม่หายใจ ยังไม่อยู่ในสภาวะฌาณ

    การก้าวหน้าทางธรรมนั้น ไม่ใช่ว่า จะนั่งสมาธิอย่างไรให้ก้าวหน้า
    แต่ควรตั้งคำถามว่า ทำอย่างไรให้ความเป็นสมาธินั้นตั้งมั่นได้ ทรงตัวได้ มีสุขได้ แม้กระทั่งไม่ได้ทำสมาธิ

    การนั่งสมาธินั้น ก็เพื่อตัดการรับรู้ภายนอก เพื่อให้กระแสจิตนั้นไม่ส่งออกนอกทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่มาจรดจ่อกับคำบริกรรม จนเป็นเอกคตา
    เมื่อนั่งสมาธิจน มีรู้จักสมาธิแล้ว เริ่มต้นที่ปฐมฌาณ ดับนิวรณ์ทั้งปวงไปแล้ว เจ้าของจะรู้จัก กุศลจิต คือ จิตที่ประกอบไปด้วยสมาธิ สามารถจำแนกได้ว่า จิตอย่างไรเต็มไปนิวรณ์ จิตอย่างไรที่เป็นสมาธิ อันเป็น จิตตานุปัสสนา มหาสติปัฎฐาน
    จากนั้นจึงใช้จิตที่สามารถทรงตัวได้ เป็นอาจิณนั้น จนเป็น พละ และ อินทรีย์ อันบ่มเพาะดีแล้ว ใช้สำหรับ พิจารณา สิ่งต่างๆที่เข้ามากระทบใจ ให้กระเพื่อม จนเกิดเป็น วิปัสสนาญาณ

    ให้พิจารณาตามนี้ครับ
     
  8. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    นั่งจนมีความชำนาญในสมาธิระดับต่างๆแล้ว
    ก็เพิ่มอิริยาบทเดินให้มากขึ้น
    มั้งนะครับ
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    แบบที่คุณ รโชหรณัง พูดส่วนตัวกำลังนึกจะพูดอยู่เหมือนครับ
    ถามว่า ถ้าจะไปต่อ คือไปต่อในระดับที่จบเป็นนะครับ
    จบทางสมาธิเป็นนะครับ ซึ่งในขณะที่ยังไม่จบ
    ใช้วิธีของคุณ รโชฯ ก็ได้ซึ่งต่อไปมันจะเอื้อให้จบเป็น
    ได้เช่นกัน เด่วอ่านต่อจะเข้าใจ ส่วนของคุณผ่านมาเฉยๆ
    นอกจากจะใช้เสริมกำลังสมาธิได้ดีแล้ว
    ยังใช้แก้ปัญหาในกรณีที่กำลังสมาธิเราตก(คือยังไม่เสถียร์ได้ครับ) แม้แต่ในระดับใช้งานได้แล้ว
    แต่กำลังดันตก ก็ใช้วิธีการนั่งสลับกับเดินได้ครับ....

    สมาธิที่จบเป็น คือสมาธิที่เป็นสมาธิโดยธรรมชาติ
    ของมันได้เองครับ และเป็นไปของมันเองโดยอัตโนมัติครับ
    คือ ไม่มีการกด ขี่ ห่มเหง บังคับ
    ตั้งท่า หรือใช้วิธีการใดๆ ในการเข้าสมาธิครับ
    วิธีการที่จะเข้าถึง สมาธิจบเป็นนี้ ดีที่สุดคือ
    ๑.การมาเดินปัญญาลด ละ คลาย กิเลส นั่นหละครับ
    แต่กว่าจะถึงจุดที่เริ่มจบได้ คือไม่ใช่ว่า มีปัญญาทางธรรม
    อย่างเดียวจะพอนะครับ นี่แค่พื้นฐาน ต้องมาเพิ่มความเพียร
    และมีสัจจะในการ ลด กิเลส ตัวนั้นๆด้วยครับ
    จนกระทั่งมีปัญญาทางธรรม ที่มากพอจะตัด
    การที่จิตจะส่งตัววิญญานไปรับรู้ดึงเอาภายนอก
    เข้ามาจนเป็นกิเลสหรือแม้กระทั่งไม่ปรุมร่วมและตัด
    ตัวกิเลสที่ขึ้นมาจากตัวจิตเองได้ของมันก่อนครับ...
    แต่ตรงนี้ก็ยังไม่พอครับ เพราะจะได้แค่ความนิ่ง
    ความสงบครับ ยังไม่จบครับ และต้องมาหัดสังเกตุเพิ่มเติมต่อ
    สร้างสติให้มากขึ้น ด้วยการสังเกตุเพิ่มเติมว่า จิตเกิดตอนไหน
    มันเกิดเพราะอะไร และมันวางไปตอนไหน และมันวางไปเพราะ
    อะไร ให้สังเกตุกิริยาที่ทำให้มันเกิดนะครับ (ไม่ใช่มันเกิด
    ตอนนั้นโน้นนี่ และวางเพราะนี่โน้นนั้นนะครับ อย่างนี้
    เป็นการปรุงแต่งอยู่)ถึงจะเริ่มสังเกตุ เห็นตัวผู้ดู ที่ทำหน้าส่ง
    ออกไปรับรู้ ไปเชื่อมภายนอกต่างๆที่เข้ามาได้
    จนกระทั่งปรุ่งแต่งได้ครับ...พอเริ่มสังเกตุตรงนี้ได้แล้ว
    แต่ไปจิตมันจะเข้าใจในกระบวณการที่ทำให้เรื่องนั้น
    หรือกิเลสตัวนั้นเกิดครับ. เราจะต้องมาถึงสภาวะนั้นๆ
    ในกิเลสเรื่องนั้นนะครับ จิตก็จะคลายตัวเองได้โดยธรรมชาติ
    ของมันเอง จิตเราก็จะเริ่มเข้าสู่สภาวะที่จะเริ่มจบเป็นแระ...

    ตรงนี้ถ้าเราทำได้จริง ความเข้าใจทางนามธรรมเราจะดีขึ้นครับ
    ไอ้กิริยาทางนามธรรมต่างๆที่เรา เคยสัมผัสไม่ว่าทางอายตนะ
    ตัวไหนๆ เราจะมีเครื่องย้อนรู้ได้เองทุกเรื่องครับ
    ของแค่ให้มันเกิดได้จริงๆเหอะครับ แค่ไม่กี่วินาที
    คุณภาพและความสามารถทางจิตเราจะดีขึ้นอย่าง
    ไม่น่าเชื่อครับ ที่เล่ามาคือวิธีที่ดีที่สุด แต่อย่างว่าหละครับ
    เรายังอยู่ร่วมกับโลกอยู่ครับ ไม่ได้ห่มเหลืองนะครับอย่าลืม
    ส่วนความสามารถต่างๆที่จิตเราเคยทำได้
    มันจะผุดขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องไปฝึกให้เมื่อตุ้มครับ
    รับประกันได้ครับ...มันจะผุดขึ้น ตามระยะเวลา
    ที่จิตเราสามารถคลายตัวได้เป็นธรรมชาติ
    นานมากน้อยแค่ไหนในระหว่างวันครับ
    ซึ่ง ก็แล้วแต่ว่า คุณๆ จะสะสมบารมีมาทางด้านไหน
    ถ้าคุณมาทางด้านปัญญา คุณก็จะ ปรูดปร้าดทางด้าน
    ปัญญา คุณมาทางด้านการสอน คุณก็จะปรูดปร้าดด้านการสอน
    ถ้าคุณมาด้าน กรรมฐานต่างๆ คุณฝึกกรรมฐานอะไร
    หรือทำกรรมฐานอะไรก็ง่ายๆ ซึ่งแล้วแต่ดวงจิตใครดวงจิตมัน
    แท้จริงๆแล้ว มันจะกลับไปสู่เนื้อหาเดิมแท้ของจิตดวงนั้นๆ
    นั่นหละครับ

    อีกวิธีการหนึ่ง ๒. ปฏิบัติกรรมฐานอะไรก็ได้ซักกอง
    เอามันสำเร็จถึงระดับใช้งานได้จริงๆ
    ต้องใช้งานได้จริงๆนะครับ ไม่งั้นมันจะเสื่อมได้ครับ
    และ ในเวลาลืมตาปกติ
    ให้มันได้ซักกองนะครับ. ซึ่งเราต้องเกร๊งกล้ามตะรูดพอควร
    ขาดอะไรเสริมตรงนั้น เพื่อหนุนให้กรรมฐานกองนี้เราสำเร็จ
    ให้มันได้ครับ....และถ้าทำได้แล้ว ให้ใช้งานต่อไปอีกซักพักครับ
    เพราะเมื่อทำได้แล้ว จิตมันจะไม่มีทางวางทันทีครับ
    มันจะต้องใช้งานไปอีกซักพักก่อนครับ
    จนกระทั่ง จิตมันรู้สึกว่า เกิดเวทนา ทีนี้หละครับ
    มันจะรู้เองว่า ควรใช้เฉพาะที่ควร. ใช้แล้วก็แล้วไป
    จิตมันถึงจะเริ่มเข้าสู่การวางที่เคยฝึกสำเร็จมาก่อนหน้านั้น
    ได้ของมันเองครับ

    ซึ่งต่อไปจะพบว่า ยิ่งวาง ยิ่งเบา ยิ่งคล่อง ยิ่งใช้งานง่าย
    ไม่เหนื่อย ได้ผลดีกว่า ตอนที่เริ่มใช้งานได้ใหม่ๆครับ

    สมาธิที่จบเป็นมี ๒ วิธี ขึ้นอยู่กับว่า
    เราจะเลือกแบบไหนครับ

    ถ้าคุณเป็นคนไม่ชอบทางด้านพิเศษเลย
    คุณจะเลือก ๑ เพราะแม้มีความสามารถอะไรขึ้นมา
    ก็หนุนไปใช้ทางด้านปัญญาอย่างเดียว
    อย่างนี้ก็มีให้เห็นครับ..

    ถ้าคุณห้าว บ้าพลัง อยากทำโน้นนี่นั้นได้แบบพิเศษ
    คุณก็ต้องเลือก ๒ ไว้ก่อน

    ถ้าบังเอิญว่าคุณมีสัมผัสอะไรพิเศษบ้างหรืออยากมีบ้าง
    แต่ก็จะต้องเดินปัญญาเพื่อลดกิเลสด้วย คุณ
    ก็ต้องเลือก ๑ คู่ กับ ๒ ครับ

    ถ้าคุณใช้งานทางจิตได้แล้วอยากจะพัฒนาต่อ
    คุณก็ต้องเลือก ๑ อย่างเดียวครับ

    แต่ถ้าคุณ เลือก ๒ แล้วถึงระดับใช้งานได้
    คุณไม่มาปฏิบัติ ๑ ประกันได้ว่า สมาธิและสิ่ง
    ที่คุณทำได้จะเสื่อม และคุณจะต้องกลับไปฝึกซ้ำแล้ว
    ซ้ำอีกเพื่อให้มันใช้งานได้และ
    โอกาสที่จะติด ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    มีมาก และคุณจะหลงตัวเอง ความสามารถที่ทำได้
    ก็ไม่ดี เหนื่อย ใช้เวลานาน
    แต่คุณจะหลงตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    แต่ถ้าคุณเลือก ๑ แล้วดันไปกวนบาทากลับ ๒ ที่ใช้งานได้แล้ว
    ก็ถือว่าเป็นเรื่องของคุณนะครับ
    ตัวใครตัวมันนะครับ ๕๕๕

    ปล.ประมาณนที่เล่าให้ฟังครับ
    ถ้าจะเข้าถึงในระดับที่จบเป็นนะครับ โชคดีครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...