การถวายเงินพระขัดกับพระวินัยหรือไม่ ?

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 8 มกราคม 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ReinForce

    ReinForce Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +51
    ตอบคุณ กัปปะ นะครับ
    ก่อนอื่นต้องบอกว่า ผมเองก็ไม่ได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับธรรมะมากนัก แต่ขอแสดงความคิดเห็นนะครับ

    ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับความคิดของคุณ กัปปะ นะครับ แต่ถ้าหากมองในความเป็นจริงปัจจุบัน มันยากมากที่จะทำอย่างนั้นได้

    ด้วยเหตุผลหนึ่งที่ว่า ในโลกของเรา ในประเทศของเรา มีหลากหลายศาสนา แต่ละศาสนาก็มีผู้ศรัทธาเคารพนับถือมากมาย เขาเชื่อในหลักคำสอนของเขา การกระทำของศาสนาหนึ่ง บางอย่างก็ขัดแย้งกับอีกศาสนา หรือเบียดเบียนศาสนาอื่น ดังนั้นเวลาจะทำอะไร ก็ควรคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับศาสนาอื่นๆ ด้วยครับ

    รายการที่อ้างอิงมานี้ หากจะทำ
    • ก็ต้องทำอย่างเดียวกันกับศาสนาอื่นๆ ที่มีในประเทศด้วย
    • แต่ละศาสนา เขาจะยอมรับศาสนาอื่นๆ ที่มิใช่ศาสนาของตนได้หรือไม่? และถ้าหากเป็นศาสนาที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันเท่าไร่ล่ะ?
    • รวมๆ แล้ว หน่วยงานของรัฐบาลจะสามารถรับภาระพวกนี้ได้หรือไม่?
    • นอกจากนี้ หากศาสนาเราทำเรื่องที่ว่านี้ได้ แล้วศาสนาอื่นล่ะ เขาก็มีสิ่งที่เขาอยากจะทำเหมือนกัน เราจะตอบสนองความต้องการของเขาได้ไหม?

    ผมยกตัวอย่างง่ายๆ
    คุณเป็นพุทธ หากมีคนมาอ้างถึงว่า พระเจ้าให้ทำอย่างนั้น อย่างนี้ คุณคิดว่า คุณจะเชื่อสิ่งที่เขาพูด และทำตามในสิ่งที่เขาร้องขอได้หรือไม่?
    ในทางกลับกัน คนในศาสนาอื่นๆ เขาก็คงมีความรู้สึกเดียวกับคุณ หรืออาจแตกต่างกันไป เพราะต่างคน ก็ต่างความคิด

    แต่ถ้าหากประเทศไทย มีศาสนาเพียงหนึ่งเดียวคือ พุทธศาสนา สิ่งเหล่านี้ที่คุณเสนอ ผมว่าไม่ยากเลยที่จะทำ
    เราควรเปิดกว้างกับทุกๆ ศาสนาครับ

    และผมก็เชื่อส่วนหนึ่งที่ว่า ทุกการกระทำ ไม่ว่าคนอื่นเขาจะมองอย่างไร แต่สิ่งที่สำคัญ คือ จิต ของเราเอง และศาสนาพุทธ ก็เป็นศาสนาที่สอนให้ฝึกจิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2011
  2. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,940
    ขออนุโมทนาสาธุการในข้อธรรมวินัยที่ถูกต้องตามพระไตรปิฎก อันเป็นเรื่องที่หายากในยุคปัจจุบัน.....

    พระอรหันต์ทั้งหลายย่อมมีปรกติสำรวมระวังไม่ละเมิดพระวินัยที่พระพุทธองค์ทรงตรัสบัญญัติไว้ขอรับ หากศึกษาในพระไตรปิฎก จะไม่พบเรื่องลักษณะที่พระอริยะบุคคลจะกระทำอะไรๆ อันเป็นเรื่องเบี่ยงเบน หรือตีความข้อธรรมวินัยเอาตามใจตน ท่านเหล่านั้นมีความเคารพในพระพุทธเจ้า และวินัยที่ทรงบัญญัติยิ่งกว่าอื่นใด น่าแปลกใจที่สมัยนี้ คนส่วนมากไม่เลื่อมใสในพระสัพพัญญุตตญานของพระพุทธเจ้า จึงไม่เห็นความสำคัญ ไม่ศรัทธาในพระวินัย ที่พระองค์ทรงวางไว้แล้ว เรื่องพระวินัยนี้ พีงทราบว่า ไม่ใช่วิสัยแห่งปุถุชนที่จะบัญญัติขึ้นเองได้.....นอกจากไม่รู้ไม่เข้าใจแล้ว ก็กระทำการจ้วงจาบพระไตรปิฎก อันจะนำผลคือการปิดกั้นตนจากการที่จะได้พบพระธรรมที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เรียกว่าฝังตนในสังสารวัฎจนหาทางออกไม่ได้ พึงสำรวมระวังครับ
     
  3. tuk_taar

    tuk_taar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2009
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +180
    อนุโมทนาบุญนะคะ
    ปกติใส่บาตร จะใส่ปัจจัยด้วยอ่ะค่ะ สงสัยต้องแก้ไขโดยด่วน
     
  4. makcloud

    makcloud เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    424
    ค่าพลัง:
    +535
    ข้อคิดเห็นส่วนตัว มิได้มาจากสิ่งใดทั้งสิ้น
    พุทธบริษัทถวายจตุปัจจัย แต่บางครั้งด้วยสิ่งที่เร่งรีบอาจจะไม่ได้จัดเตรียมสิ่งของมาอย่างครบถ้วน ก็จะถวายเงินแทน และคิดว่าถวายเงินแล้ว หลังจากจบชีวิตในชาตินี้ อาจจะเกิดเป็นเป็นเทวดา มีทรัพย์สินมากมาย และหลังจากใช้บุญหมดแล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์อีกก็จะเป็นเศรษฐี และปัจจุบันความคิดนี้ก็ฝังลึกเกือบจะทุกคนที่เป็นพุทธบริษัท ฉะนั้น พระท่านคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า จะรับหรือไม่รับ แต่อยู่ที่จิตว่าจะรับเพื่อไปทำอะไร ยกตัวอย่างนะครับ ขออภัยที่นำชื่อของท่านมาอ้าง เพราะเป็นตัวอย่างที่ดี หลวงตาบัว ท่านก็รับ แต่หลังจากรับแล้ว ท่านไม่ได้นำไปใช้ในกิจส่วนตัว แต่นำไปใช้ในกิจส่วนรวม และท่านก็ยังสอนสิ่งต่าง ๆ ไว้มากมาย และผมขอแสดงความคิดเห็นไว้เพียงแค่นี้ เพราะผมมีความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น โดยไม่ได้อ้างอิงจากสิ่งใดทั้งสิ้น และมันเป็นเพียงแค่มองต่างมุมกันเท่านั้นเอง
     
  5. tumsokpho

    tumsokpho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2010
    โพสต์:
    348
    ค่าพลัง:
    +469
    ธนาบัตรกับเงินต่างกันไหมครับ
     
  6. pradet66728541

    pradet66728541 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +1,221
    ที่ใช้กันปัจจุบันมันกระดาษแต่เราไปเรียกกันว่าเงิน(เรียกปัจจัยดีกว่ามั้ยครับ)เราไปตีค่ามันเป็นเงิน แต่เงินที่จริงคือโลหะสีขาวมันวาว
    แล้วเราสมมุติให้กระดาษหรือภาษาฝรั่งเรียกว่าแบงค์ขึ้นมาแทน เงินเพราะพกพาง่าย ไม่หนัก เราเลยเรียกกันว่าเงิน แต่จริงๆเป็นเป็นแค่กระดาษที่เราสมมุติและตั้งค่ามันขึ้นมา แต่เราก็ต้องใช้มัน

    งงกับผมมั้ยนี่ครับ

    ถ้าเราทำบุญด้วยกระดาษหรือเงินเพื่อถวายสงฆ์แล้วตกนรกแต่เพื่อสร้างถาวรวัตถุ สร้างศาสนาสถานได้ค้ำชูพระพุทธศาสนา ได้ทำนุบำรุงพระสงฆ์ ถ้าถวายปัจจัยตรงนี้แล้วตกนรกผมก็ยินดีน่ะครับ เชื่อครูบาอาจารย์ท่านสอนดีกว่าเพราะเราเองก็โง่อยู่แล้วกี่ภพกี่ชาติโง่ต่อไปมันจะเป็นไร
     
  7. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ไม่รู้นะ...ผมไม่ได้ถวายเงิน ผมถวายธนบัตร ......

    บางครั้งผมก็มีสตางค์เหรียญ ผมก็ใส่ไป......ผมไม่ได้ถวายเงิน....ผมถวายเหรียญ......

    ผมว่ามันครือกันนั่นหละรับเองกับไม่รับ.....จะสอดไว้ใต้ที่นั่งจะเอาวางไว้(เจ้าตัวเห็นอยู่)หรือจะเอามือรับเอง....มันก็อันเดียวกัน......ความหมายมันก็คือรับนั่นหละ......

    สมัยนี้มันใช้หมดหนะครับ....ธรรมยุติมหานิกาย......พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านไม่มีแต่ไปอยู่ที่เลขาบ้าง พระเลขาบ้าง.....ถ้าจะใช้ก็ให้ไปเบิก.....ก็ถามว่ามันอันเดียวกันไม.....มันก็คลือกัน......

    สำคัญแต่ว่าเงินที่ได้เอาไปใช้อะไร.....ไม่ได้เอามาซื้อจีวรของตัวเองให้ดีกว่าคนอื่น....เอาไปให้ภรรยาเดิมใช้ ซื้ออาหารเย็นรับประทานเอง......มันก็ดีแล้ว......

    ก็เห็นหลวงตาท่านก็รับผ้าป่าช่วยชาติ กฐินผ้าป่าวัดป่า ถามว่า เอาใบมาแทนเป็นเงิน..เอาจีวรแทนเงิน....มันก็คือเงินนั้นหละ.....มันก็คลือกัน......

    ถ้าจะไม่เอาเงินเลย...นู่นครับป่าลึก(บางที่ป่วยก็ต้องใช้อยู่ดี)...ถ้าเกิดว่าอย่างไรต้องมีสัมพันธ์กับเมืองอยู่ไม่ว่าด้านใด....อย่างไรก็จำเป็นต้องใช้อยู่ดี.....

    หลอกอะไรได้อย่าหลอกตัวเอง....ตลก.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2011
  8. Pat_DArmy

    Pat_DArmy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2011
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +3
    คิดว่าน่าจะอยู่ที่การจัดการ
    มีหลายวัดได้ให้ฆราวาศ หรือคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นผู้จัดการเรื่องเงินๆทองๆให้
    ก็ดูเหมาะสมดี และไม่ทำให้พระผิดวินัย พร้อมกับควบคุมไม่ให้เกิดกิเลศ
    แต่เรื่องนี้ต้องแล้วแต่ทางพระสงฆ์กับฆราวาศจะตกลงกัน
     
  9. กัปปะ

    กัปปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +118
    คุณจะหลอกตัวเอง หรือใครจะหลอกตัวเอง มันไม่มีความหมายอะไร กับพุทธศาสนา เพราะแต่ละความเห็นของแต่ละคนมันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้โดยเร็ว เป็นเพียงแค่การถกปัญหา เพื่อขอความคิดเห็นของบุคคลทั่วไป โดยส่วนตัวก้อรู้อยู่ว่าเป็นไปได้ยากกับที่โพสออกไป เพราะ มันจะมีผู้ไม่เห็นด้วย และมีเหตุผลต่างๆนาๆ ซึ่งรวมถึงผลประโยชน์ที่จะเข้ามาข้องเกี่ยว ทำให้ย่อมต้องมีผู้แย้งตลอด แต่สิ่งที่ผมมองอยู่ ผมมองที่การขจัดเหลือบของพุทธศาสนาให้หมดไป ทุกวันนี้คุณอย่าหลอกตัวเองเลยว่า สมัยก่อนๆที่ยังไม่มีเทคโนโลยี่มากมายขนาดนี้ พระสงฆ์ อาจจำวัดในกุฎิไม้ไผ่ มีศาลาไม้ โบสถ์ไม้เก่าๆ ไม่มีไฟฟ้า ใช้เทียนแทน ไม่มีประปา ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า เวลาบิณฑบาตร ต้องเดินตามคันนาบ้าง บางองค์ที่เคร่งอาจจำวัดในถ้ำโดยปลีกวิเวก ทำให้สามารถปฎิบัติธรรมได้อย่างเต็มที่ แต่เปรียบเทียบกับปัจจุบันเป็นอย่างไร คงไม่ต้องพูดถึง พระหลายๆคน (ที่ไม่ใช้คำแทนว่าองค์ เพราะ เขาเหล่านั้นก้อเป็นมนุษย์ขี้เหม็นเหมือนเราๆท่านๆนั่นแหละ) ที่แสวงหาผลประโยชน์อยู่ดี สมัยก่อนยังอยู่กันได้ (ผมว่ายังน่าศรัทธามากกว่าปัจจุบันเสียอีก) แต่เดี๋ยวนี้ ระดับเจ้าอาวาส บางคน กุฎิเป็นบ้านเดี่ยว แอร์ทั้งหลัง เครื่องใช้ไฟฟ้าเพียบ (โครตสบาย จนอยากบวชเป็นพระบ้าง แต่ติดที่ยังละอายแก่ใจตัวเอง ทำให้ไม่สามารถทำแบบนั้นได้) ศาสนาไม่เสื่อม แต่สิ่งที่เสื่อมคือจิตใจมนุษย์ ซึ่งปัญหาที่เกิดคือมนุษย์ ฉะนั้นควรแก้ที่มนุษย์เรานี่แหละ
    หรือคุณจะหลอกตัวเองว่า ทุกวันนี้โลกมันเปลี่ยนไป เทคโนโลยี่มากขึ้น พระสงฆ์องค์เจ้า เลยต้องเปลี่ยนไป นั่นเป็นเพราะมนุษย์เป็นผู้ที่สร้างมันขึ้นมา และพยายามเปลี่ยนวิถี ยัดเยียด ให้กับศาสนา และสุดท้าย ถึงมีคำพูดที่ว่า ศาสนาเสื่อม ทั้งๆที่ศาสนา พูดไม่ได้ ไม่เคยขออะไรกับมนุษย์เลยแม้แต่น้อย มีแต่พระธรรมคำสอนที่ตกทอดสืบมาเพื่อให้มนุษย์เป็นตัวแทนในการถ่ายทอดสู่รุ่นต่อๆมา แต่มนุษย์ขี้เหม็นอย่างพวกเราเป็นผู้ที่พยายามทำลายศาสนาต่างหาก ช่วยกันทำลายตั้งแต่ พระบางรูปที่บวชเข้ามา ไม่ตั้งอยู่ในศีล แถมยังทำให้ศาสนามัวหมอง นี่คือปัญหาส่วนหนึ่งที่เรายังไม่เคยแก้ไขที่ต้นเหตุ มัวแต่แก้ที่ปลายเหตุ เช่น พระมั่วสีกา พอจับได้ ก้อให้สึก ก้อแค่นั้น นี่เป็นแค่ตัวอย่าง แต่สิ่งที่ทุกๆคนได้รับรู้มันมากกว่านี้อีกเยอะ และอย่าบอกว่าเป็นแค่ส่วนน้อย (นี่ขนาดส่วนน้อย ยังจัดการไม่ได้ แล้วจะแก้ภาพรวมได้อย่างไร) อย่างที่บอก ญาติโยมทั้งหลาย ที่ถวายปัจจัย นั่นยิ่งเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดกิเลส แล้วอย่างนี้เมื่อไร เราจะมีพุทธศาสนาที่ขาวสะอาดเสียที ถ้าพวกเราสามารถช่วยกันแก้ไขทำให้ศาสนากลับมาเหมือนสมัยก่อนๆโดยที่ไม่ยึดติดกับ วัตถุ ผมว่าถ้าทำสำเร็จ วันน้้ันเราคงเห็นรัศมีของศาสนาพุทธได้ปรากฎทั่วประเทศ ไม่ใช่เกิดขึ้นบางที่เหมือนปัจจุบันที่พระอริยสงฆ์บางรูปได้ทำไว้ แต่เจตนาผมแค่อยากเห็นศาสนาเราเจริญรุ่งเรือง เป็นที่เคารพของคนทั่วไป ไม่อยากเห็นภาพพวกมนุษย์หัวโล้นนุ่งผ้าเหลือง ทำให้ศาสนามัวหมองตามหน้าหนังสือพิมพ์ ผมเชื่อว่าสิ่งที่เจ้าของกระทู้โพสนั้น น่าจะช่วยให้เราได้เห็นพระที่ตั้งใจปฎิบัติธรรมอย่างแท้จริง เพราะพวกมนุษย์หัวโล้นที่คิดนุ่งผ้าเหลืองคิดหวังเพียงปัจจัยจากญาติโยมจะได้เลิกคิดเสียที อย่างน้อยถ้าทำได้จริง ก้อคงจะช่วยได้ในเบื้องต้น แล้วค่อยคิดแก้ปัญหาอื่นๆต่อไป
    ขอสนับสนุน ไม่ให้ปัจจัยกระพระภิกษุสงฆ์ เพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนา
     
  10. raphiphan

    raphiphan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    511
    ค่าพลัง:
    +425
    ในเรื่องนี้ ท่านพระอาจารย์ศึกฤทธิ์ วัดนาป่าพงสายหลวงพ่อชา ท่านก็ได้กล่าวไว้เหมือนกัน

    แน่นอนว่าพระสงฆ์องค์นั้นต้องอาบัติปาจิตีย์ แต่ชาวบ้านที่ถวายไม่มีข้อห้ามไว้ ดังนั้นไม่ถือว่าผิด

    แต่อาบัติ ปาจิตีย์นี่ ท่านก็ได้บอกไว้ว่าพระท่านก็ปลงอาบัติได้ และเป็นอาับัติเบา เพียงปลงด้วยวาจาเท่านั้นเองด้วย

    กรรมขึ้นอยู่ที่เจตนา เจตนาผู้ให้ถ้าเลือกนาบุญที่ดี ถวายเป็นของสงฆ์ เพื่อชำระค่าน้ำ ไฟ และปัจจัยอื่นๆ

    คงไม่มีใครถวายเงินแล้วตั้งใจให้พระท่านเอาไปใช้ซื้อเหล้ามั้ง ตอนนี้แหล่ะ ที่ผู้ที่จะถวายเงินให้พระ ควรพิจารณาว่านาบุญนั้นสมควรให้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าเห็นเพียงสวมผ้าเลืองก็ให้ไปเรื่อย
     
  11. aero1

    aero1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +54
    #41

    พระอาจารย์คึกฤทธิ์ ไม่น่าจะพูดคำนี้น่ะครับ ว่า อาบัติเล็กน้อยพระไปปลงกันได้

    เพราะโดยส่วนใหญ่ของ พระที่รับเงิน ก็รับกันทั้งวัด

    อันนี้พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็น สภาคาบัติ คือเป็นอาบัติที่ปลงไม่ตก คือ ถึงแม้จะปลงก็เป็น โมฆะ

    โดย อรรถ แล้ว มันไม่ใช่ภูมิธรรม อย่างอาจารย์คึกฤทธิ์ หรอกครับ

    :boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2011
  12. กัปปะ

    กัปปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +118
    สงสัยจัง....การที่จัดการให้พระสะดวกในทุกเรื่องที่จำเป็น เพื่อที่จะให้พระเจริญภาวนาได้อย่างเต็มที่ แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ แล้วการที่เราจะสร้างบารมี ก้อสามารถทำได้ เช่น ใส่บาตร ถวายภัตตาหารเพล หรือ อื่นๆ ที่พิจารณาดูว่าทำได้โดยไม่ขัดต่อหลักของศาสนา รวมถึงเรื่อง งดให้ปัจจัยกับพระสงฆ์ ส่วนการทำทานบารมี ถ้ามีความตั้งใจจริง มีให้คุณทำเยอะแยะ ที่ไม่ใช่วัดก้อ สามารถทำทานบารมีได้ ศูนย์เด็กอ่อน พิการ คนยากจน (แต่อันนี้ต้องพิจารณาดูตามความเหมาะสม) อย่าไปนึกถึงแค่จะทำทานบารมี จะต้องทำที่วัดเท่านั้น
     
  13. วิญญูชนจอมปลอม

    วิญญูชนจอมปลอม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2008
    โพสต์:
    312
    ค่าพลัง:
    +1,124
    พุทธองค์ทรงบอกว่าพระภิกษุสงฆ์มีหน้าที่ 2 อย่าง
    1.คันธธุระ
    2.วิปัสสนาธุระ

    ก็แล้วท่านจะเลือกว่าท่านจะเลือกธุระอย่างไหน ก็แล้วแต่องค์ท่าน
    พระท่านรู้อยู่แล้วโดยตัวท่าน ว่าท่านยึดกับปัจจัยนี้รึเปล่า ให้ถามใจพระท่านที่รับปัจจัยดีกว่า
    ดีใจไม๊ที่ได้มา อยากได้มากกว่าเดิมรึเปล่า จะเอาปัจจัยไปซื้ออะไร? เพื่อพิมพ์หนังสือสวดมนต์
    เอาไปซื้อของบำรุงกิเลส ก็เต็มๆครับ พระบาปกว่าคนปกติหลายเท่า ปล่อยให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม

    ถึงแม้เราไม่ให้ปัจจัยท่าน ถ้าท่านยึด ถ้าท่านยังไม่ใช่อริยสงฆ์ จิตมันก็แสวงหาปัจจัยครับ
     
  14. วงบุญพิเศษ

    วงบุญพิเศษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +649

    เอาเป็นทีละกรณีน่ะ

    1 การที่จะจัดทำงบประมาณโดยรัฐ เพื่อการดำรงพระศาสนานั้นไม่

    สามารถเกิดได้จริง เพราะลำพังพระที่เรียนพระบาลีในโรงเรียนพระ

    ปริยัติธรรมนั้น ในปัจจุบันทุกรัฐบาลก็แทบมิได้ให้การสนันสนุนอยู่

    แล้ว แต่หากเป็นไปได้จริง คุณลองคิดดูน่ะว่ารัฐบาลจะให้งบ

    ประมาณมากพอหรือไม่ มิหนำซ้ำยังอาจเกิดกรณีที่ทำให้พุทธ

    ศาสนิกชนลดความศรัทธาลง+ข้อครหา เมื่อเห็นงบประมาณที่จัดให้

    พระศาสนา

    2 เมื่องบประมาณในการขยายงาน เผยแผ่พระศาสนา ตกอยู่ใน

    ความควบคุมของพรรคการเมือง กลายเป็นว่า พระ+งบประมาณ+

    การเมือง รวมอยู่ด้วยกัน แล้วอะไรจะเกิดขึ้น

    3 หากงบประมาณไม่พอซึ่งจริงๆแล้วน่าจะไม่พอจริงๆ ปัจจุบัน บาง

    อำเภอ บางตำบลยังไม่มีไฟฟ้า ไม่มีถนนที่ลาดยางด้วยซ้ำไป แล้วมี

    วัดหนึ่งเปิดรับบริจาคสร้างวิหารทาน เช่นเมรุ ก็อาจเป็นที่ครหาของ

    บางกลุ่มได้ว่า พระมีงบประมาณอยู่แล้วมิใช่หรือ ทำไมยังมาเรี่ยไร

    อีก งานพระศาสนาจะถูกครอบงำภายใต้รัฐสภา+การเมือง ซึ่งอาจ

    เป็นนโยบายหาเสียง จนอาจก่อให้เกิดสภาพพระภิกษุเดินขบวน

    ทั้งนี้เราไม่อาจคาดการอะไรทั้งสิ้นในรุ่นลูก รุ่นหลาน ดังนั้นไม่ควร

    มีกฎหมายฉบับนี้ หรือไม่ควรสร้างค่านิยมเช่นนี้

    4 ผมเป็นพุทธมามกะ ไม่แสวงบุญนอกบุญเขต ตามคำสอนครูบา

    อาจารย์แม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม ที่ท่านเคยว่า หากเรามีเงิน

    จะทำทาน ตอนแรกจะทำที่วัด ต่อมาเปลี่ยนใจทำที่วัดครึ่งหนึ่ง ทำ

    ที่โรงพยาบาลหรือสถานนุเคราะห์ต่างๆครึ่งหนึ่ง อย่างนี้แสดงว่ามาร

    เอาไปครึ่งหนึ่งแล้ว


    [​IMG]

    มีคนเกี่ยงว่าทำไมต้องทำบุญกับพระพุทธศาสนาสัมมาอาชีพถึงจะดี ก็ขอตอบย้ำกันอีกครั้งว่า เพราะพระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญ เงินที่เราได้มาถ้ามีพระสงฆ์เป็นผู้รับ เมื่อเอาไปใส่ในตู้บริจาคของค่าน้ำค่าไฟ ไม่ว่าพระสงฆ์จะทำอะไรก็แล้วแต่ เดี๋ยวนี้มันใช้ไฟทั้งหมดอันนี้พระสงฆ์อยู่ในการปฏิบัติที่ครบองค์สงฆ์ วันหนึ่งท่านทำกิจของท่านสิบอย่าง คนที่ควายค่าน้ำค่าไฟไว้ก็จะประสบความสำเร็จในเรื่องของการประกอบสัมมาอาชีพและไม่มีกรรม ไม่มีเศษกรรมตกมาที่ตัวเอง ต้องบอกเลยว่าคนทั้งโลกไม่รู้ว่าเงินที่ทำมาหากินแล้วทำไมอยู่มาถึงจุดหนึ่ง คนทุกคนในบ้านมีเหตุให้เป็นไป คือ มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนโดยที่ว่าก็ทำบุญนะ สร้างพระ สร้างศาลา ทำอะไรทุกอย่าง แต่ทำไมกรรมมันถึงยังเป็นตะกอนกรรมอยู่อีก ทุกคนแน่ใจไหมว่าแหล่งที่มาของเงินนั้นได้มาอย่างบริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์

    อ้าว…ยังมีคนไม่อยากทำบุญกับพระพุทธศาสนา อยากทำบุญสร้างโรงพยาบาล อยากทำบุญกับเด็กด้อยโอกาส อยากทำบุญกับคนที่ไม่มีจะกิน นั่นก็ถือว่าเงินของคุณยังไม่ถึงกับบุญที่เรียกว่าทำบุญกับผู้มีศีล
    เพราะว่าทำบุญกับคนที่ไม่มีศีล 100 ครั้ง ไม่เท่ากับทำบุญกับคนที่มีศีลครั้งเดียว ทำบุญกับคนที่มีศีล 100 ครั้ง ก็ไม่เท่ากับทำกับสามเณรครั้งเดียว
    ทำบุญกับสามเณร 100 ครั้งก็ไม่เท่ากับทำบุญกับพระสงฆ์ครั้งเดียว
    ทำบุญกับพระสงฆ์ 100 ครั้ง ก็ไม่เท่ากับทำกับพระอรหันต์ครั้งเดียว
    ทำบุญกับพระอรหันต์ 100 ครั้งก็ไม่เหมือนกับทำกับพระพุทธเจ้าครั้งเดียว
    ทำบุญกับพระพุทธเจ้า 100 ครั้งก็ไม่เท่ากับทำสังฆทานครั้งเดียว
    <O:p</O:p
    สังฆทานยิ่งใหญ่มากเหรอ ทำไมถึงทำบุญกับพระพุทธเจ้าถึง 100 ครั้ง ยังไม่เท่ากับ ทำสังฆทานเพียงครั้งเดียว มันใหญ่มากเพราะว่าสังฆทานเนี่ย พระทุกที่ทั้ง 4 ทิศสามารถใช้สังฆทานนี้ได้ จึงเรียกว่า มหาสังฆทาน”
    <O:p</O:p
    อย่างแม่ชีทำบุญที่สนามหลวงแม่ทำบุญกับคนที่ไม่มีศีล ถามว่าแม่เบิกบานใจไหมแม่ก็เบิกบานใจ แต่ถามว่าแม่ได้อะไรจากตรงนั้นไหม แม่ได้ความสุขใจแป๊บนึง แต่พอแม่มาทำบุญกับพระหลายๆ รูป เป็นพันๆ องค์ หมื่นๆ องค์ แม่รู้สึกเลยว่าแม่สัมผัสได้ว่าเราน้ำตาไหลไม่หยุด น้ำตาเราไหลไม่หยุด มันเหมือนกับเราปีติ เวลาพระให้พรทีนึงเรารู้ได้เลยว่าเราได้ แล้วการนั่งสมาธิหรือว่าการพูดหรือการรู้ มันก็แบบว่ากว้างไปอีก กว้างออกไปอีก ตัวรู้นะ ตัวปัญญานะ มันกว้างออกไปอีก ธรรมดาเราก็รู้อยู่แล้ว พอเราทำบุญกับพระ ปีหนึ่งทำบุญกับพระอย่างเช่น พุทธมณฑลอย่างนี้ จะมีพระรับปริญญาทั่วโลกที่มาที่พุทธมณฑล พอแม่ทำครั้งหนึ่ง 4 วัน เช้าเพล เช้าเพล เช้าเพล พอหลังจากทำเสร็จ แม่ก็มานั่งเจริญกรรมฐาน กรรมฐานแม่เปลี่ยนไปเลยนะ… กรรมฐานจากที่เรานั่งเราก็นิ่งอยู่แล้วเราก็ปรกติอยู่แล้ว แต่มันทำให้สมาธิเราคมชัดมากขึ้นอีก
    <O:p</O:p
    ลูกศิษย์ที่รู้ว่าแม่ทำบุญเขาจะมาช่วยแม่ประมาณ 300-400 คน เพราะแม่ทำคนเดียวไม่ได้ ใน 300-400 คน ก็มีบุญร่วมกัน คนนี้เป็นหนี้มากแม่บอกว่าไปล้างหม้อ ล้างชามแล้วอธิษฐานไป เป็นหนี้กรรมกับใครเรื่องการเงิน เป็นหนี้เรื่องกรรมอะไรอย่างนี้ ขอล้างถ้วยล้างชาม ในการปฏิบัติกับพระสงฆ์ในครั้งนี้ ส่งผลเป็นบุญให้คนที่เคยเป็นหนี้รับบุญด้วย แล้วหลังจากที่ทำแล้วเขาประสบความสำเร็จนะ หนี้เขาก็หลุด ชีวิตเขาก็ดีขึ้น เขาทำงานแค่วันละ 200 นะ เขาทำงานแค่วันละ 200 แล้วมาเจอกันใหม่ เขาสดใสขึ้น ดีขึ้น ทุกคนก็จะจ้องมาว่า แม่จะมีอะไรให้ทำ คนนี้ปอกผลไม้ ปอกกันตั้งแต่ตี 2 เช้าขึ้นมาบุญที่เราทำ พระจะต้องมาฉันเช้าตอนประมาณ 7 โมง 6 โมงของทุกอย่างต้องขึ้นโต๊ะ 400 กว่าโต๊ะ ซึ่งแม่ทำคนเดียวไม่ได้ แล้วทุกคนไม่ง่วง ไม่ง่วงเพราะบุญ บุญของพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ไม่ง่วงไม่ต้องกินกาแฟ ไม่ต้องกินอะไร แต่ว่าเพราะบุญทำให้ไม่ง่วง
    <O:p</O:p
    ส่วนคนที่เลือกทำกับอย่างอื่นก็ยังได้บุญอยู่ แต่ว่าผลของบุญนั้นมันน้อย เห็นเขามีกินแล้วสุขใจก็ถือว่าเป็นบุญ แต่บุญของพระพุทธศาสนา บุญของพระสงฆ์ที่เป็นเนื้อนาบุญ มันมากกว่าเพราะว่าพระท่านนุ่งห่มผ้าเหลือง ท่านเจริญวิปัสสนากรรมฐานอย่างนี้ ส่งผลเป็นบุญมหาศาล แม่เห็นในขณะที่พระนั่งฉันอยู่ แม่ก็นั่งอยู่ข้างล่างพระท่านนั่งอยู่ที่อาสน์สงฆ์ ก่อนที่ท่านจะฉันข้าว ท่านจะถวายข้าวพระพุทธก่อน พอถวายข้าวพระพุทธเสร็จแล้วท่านถึงจะลาข้าวพระพุทธเพื่อให้ท่านฉัน ถ้าแปลเป็นความหมายว่าอาหารที่ได้มาไม่ได้ฉันเพื่อความเมามันกำลัง ฉันไปเพื่อการประพฤติดีปฏิบัติชอบ พอท่านฉันเสร็จ พระรูปแรกที่อยู่หัวแถว จะพูดเป็นภาษาบาลีว่า ยถา” พอ ยถา” ตรงนี้ปุ๊บอาหารที่ท่านฉันไปเป็นเหมือนสายน้ำ เป็นแม่น้ำเลยนะ เป็นน้ำเป็นสายเลย แล้วใครที่ใส่บาตรไว้ บุญมันสำเร็จเลย
    <O:p</O:p
    แต่คนที่ใส่บาตรมักจะไม่ค่อยกรวดน้ำ คนที่ใส่บาตรเสร็จแล้วมักจะไม่ค่อยกรวดน้ำ ถามว่าไม่กรวดน้ำแล้วโมฆะ ไม่โมฆะ กรวดวันนี้ก็ได้ ใส่บาตรมา 10 ปีไม่เคยกรวดน้ำ มันก็เหมือนว่า เอ๊..เราใส่บาตรทุกวันทำไมเราทำดีแล้วยังไม่มีคนเห็นในความดีของเรา ก็เพราะเราไม่ได้ยินดีในบุญที่เราทำ เราต้องยินดีในบุญที่ทำไม่ใช่ว่า ทำเพราะเขาทำกันมานานแล้ว ถ้าวันไหนไม่ใส่ก็รู้สึกว่าไม่สบายใจ อะไรอย่างนี้ มันเป็นกิจวัตรที่จะต้องทำ แต่ไม่ได้ใส่ใจในบุญ ต้องใส่ใจในบุญว่า บุญที่ใส่ไป เราต้องกรวดน้ำ แต่ว่าถ้าการนั่งกรรมฐานไม่ต้องใช้น้ำกรวด อ่านหนังสือเบิกบุญแม่แล้วเขาบอก กรวดน้ำตั้งหลายขวดกว่าจะหมดเพราะมันยาว ถ้าหนังสือแม่ไม่ต้องกรวดน้ำใช้อธิษฐานเอา แต่บุญที่ถวายสังฆทานหรือบุญที่ทำบุญกับพระสงฆ์ด้วยอาหาร ต้องกรวดน้ำบุญมันจะได้สำเร็จเลย


    โดย ดร.แม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม</O:p
    <O:pจากหนังสือ ธรรมะ ค้าขายดี</O:p
    <O:pคู่มือชีวิต ปิดทางจน สำหรับคนทุกอาชีพ</O:p

    <!-- google_ad_section_end --><HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2011
  15. กัปปะ

    กัปปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +118
    ที่ผมกล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงแค่แสดงความคิดเห็น ส่วนจะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า อยู่ที่พุทธศาสนิกชนเห็นด้วยหรือเปล่า โดยส่วนตัวเพียงแค่อยากเห็นศาสนาพุทธเราเป็นศาสนาที่ปฎิบัติอย่างแท้จริง และไม่มีเหลือบศาสนามาคอยกัดกิน แต่ถึงแม้จะมี มันก้อไม่สามารถทำอะไรศาสนาพุทธได้เพราะ ผมยังเชื่อมั่นในหลักคำสอนของศาสนา ไม่ได้เชื่อในพระสงฆ์ หรือ แม่ชี ที่อวดอุตริ แต่ก้อนับถือพระสงฆ์ หรือ แม่ชี ที่ยึดมั่น ถือมั่น ในคำสอนของพระพุทธองค์เท่านั้น
    ส่วนที่ว่าจะมีการเมืองมายุ่งเกี่ยว อันนี้คงต้องรอให้สามารถทำให้เป็นรูปธรรมได้จริงก่อนเถอะ แล้วค่อยให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่มีความจริงใจในเรื่องนี้ช่วยกันแก้ไข และที่บอกว่า อาจถึงขนาดพระเดินขบวน ถ้าขนาดนั้น คุณยังเห็นเขาเป็นพระอยู่อีกเหรอ...แสดงว่าคุณไม่ได้เข้าใจในเรื่องศาสนาอย่างแท้จริง ทำเพียงแค่ ตัวกูนับถือใคร เขาพูดอะไร กูเชื่อหมด หลักคำสอนบอกอยู่แล้ว ว่า พระควรละกิเลส ง่ายๆแค่นี้ ถ้าขนาดพระเดินขบวน หมายถึงอะไรล่ะ เดินขบวนเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่ตัวเองอยากได้ หรือ ได้น้อยไปจนต้องออกมาเดินขบวนเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ถ้าจำพวกนี้ สมควรบวชอยู่ในศาสนาอยู่หรือ...ส่วนที่อ้างว่า ทำบุญกับพระครึ่งนึง กับโรงพยาบาลครึ่งนึง แสดงว่า มารเอาไป , ทำบุญกับคนที่ไม่มีศีล 100 ครั้ง ไม่เท่ากับทำบุญกับคนที่มีศีลครั้งเดียว ทำบุญกับคนที่มีศีล 100 ครั้ง ก็ไม่เท่ากับทำกับสามเณรครั้งเดียว , ]ทำบุญกับพระสงฆ์ 100 ครั้ง ก็ไม่เท่ากับทำกับพระอรหันต์ครั้งเดียว , หรือ ไปช่วยแม่ชีล้างหม้อ ล้างไห ชีวิตก้อดีขึ้นทันตาเห็น
    ขอโทษนะครับ สิ่งเหล่านี้ มีอะไรที่สามารถยืนยัน หรือ มีสิ่งที่พอจะเป็นรูปธรรม บอกได้ว่า เป็นจริงตามที่กล่าวอ้าง เอาอะไรมาวัดได้ว่า ทำกับพระสงฆ์จะได้เท่านี้ หรือทำกับเณรจะได้เท่านี้ ผมว่าทุกสิ่งอยู่ที่มนุษย์ขี้เหม็นอย่างเราๆ ท่านๆ เป็นผู้กำหนดมาทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ใจมากกว่า ขอเพียงมีความตั้งใจที่จะทำเท่านั้น ไม่ว่าจะล้างถ้วย ล้างชาม หม้อ หรือไห หรืออะไรอื่นๆ ทุกอย่างถ้าเราคิดว่าทำแล้วสบายใจ นั่นก้อสามารถทำให้ใจเราเป็นสุขได้อยู่แล้ว อย่าไปให้อะไรมากำหนดในตัวคุณเลย ให้ใจของตัวคุณเองเป็นผู้กำหนด แต่ถ้าใจมีความเชื่อที่จะเชื่อใครมันก้อไม่ผิดอะไร ถ้ามันอยู่บนพื้นฐานของการไม่เบียดเบียนตัวเอง ญาติพี่น้อง หรือคนอื่นๆ ได้รับความเดือดร้อนกับการกระทำของคุณ ก้อทำไปเถอะ ส่วนที่หวังว่าชาติหน้าจะได้สบายไม่ลำบาก นั่นก้อแสดงว่าคุณกำลังทำเพื่อหวังประโยชน์ เพราะกลัวชาติหน้าลำบาก แต่ถ้าอยากทำอย่างนั้นก้อแล้วแต่ ไม่มีใครไปบังคับใครได้ ยกเว้นเสียแต่ว่า จะโดนหลอกไปเหมือนวัดบางวัดที่ยังเกิดขึ้นในทุกวันนี้ แล้วแต่พิจารณาครับ ส่วนตัวยังใส่บาตรประจำ และไม่เคยถวายปัจจัยกับพระ และเมื่อมีโอกาสจะนำสิ่งของไปบริจาคเป็นทาน แต่จะบริจาคเป็นเงินกับสถานสงเคราะห์บางครั้งเล็กน้อย (จะให้เป็นของมากกว่า)
     
  16. วงบุญพิเศษ

    วงบุญพิเศษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +649
    ทำบุญกับคนที่ไม่มีศีล 100 ครั้ง ไม่เท่ากับทำบุญกับคนที่มีศีลครั้งเดียว ทำบุญกับคนที่มีศีล 100 ครั้ง ก็ไม่เท่ากับทำกับสามเณรครั้งเดียว
    ทำบุญกับสามเณร 100 ครั้งก็ไม่เท่ากับทำบุญกับพระสงฆ์ครั้งเดียว

    ทำบุญกับพระสงฆ์ 100 ครั้ง ก็ไม่เท่ากับทำกับพระอรหันต์ครั้งเดียว
    ทำบุญกับพระอรหันต์ 100 ครั้งก็ไม่เหมือนกับทำกับพระพุทธเจ้าครั้งเดียว
    ทำบุญกับพระพุทธเจ้า 100 ครั้งก็ไม่เท่ากับทำสังฆทานครั้งเดียว
    <O:p</O:p
    เนื้อหาตรงนี้อยู่ในพระไตรปิฎก ชัดเจนครับ

    ส่วนเรื่องพระสงฆ์เดินขบวนนั้น ผมเพียงห่วงอนาคตพระศาสนาว่าการออก

    กฎหมายเช่นนี้ หากมีเหตุการณ์ "ขาด-เหลือ" ขึ้นมา อาจทำให้งานขยาย

    พระศาสนาหยุดชะงัก


    เอาง่ายๆ ตอนนี้แค่ไม่มีกฎหมายฉบับนี้ คุณก็ไม่ถวายปัจจัยแล้ว แต่ก็ไม่เป็น

    อะไรน่ะเพราะคนอื่นเค้ายังถวายอยู่ แต่ถ้าวันใด ตื่นขึ้นมาไม่มีใครถวายปัจจัย

    ไม่ว่าจะตั้งแต่ใส่บาตร ถวายสังฆทาน ผ้าป่า กฐิน สร้างวิหาร สร้างพระ

    สร้างโรงเรียนปริยัติธรรม แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น งานพระศาสนาจะตามไม่ทัน


    โลกภายนอก งานพระศาสนาจะหยุดชะงักลงทันที แล้วหากเป็นแบบนี้สัก

    เดือน คงเห็นสัญญาณบางอย่างแน่



    เพราะฉะนั้นใครจะถวายปัจจัยหรือไม่ แล้วแต่อัธยาศัย แต่เรื่องผิดวินัยสงฆ์

    นั้น ครูบาอาจารย์ที่มีญาณทัศนะท่านยืนยันกันแล้ว


    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    ส่วนเรื่องแม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ธรรมที่มีการ "เปิดกรรม" นั้น ไม่มีปัญหา

    ครับ ผิดตรงไหน แม้พระวินัยก็ห้ามสงฆ์ มิได้ห้ามแม่ชี
     
  17. cmhadtong

    cmhadtong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    429
    ค่าพลัง:
    +2,040
    บุคคลที่สั่งสมบุญบารมีมาดีแล้ว ย่อมเดินถูกทาง เห็นถูกทาง นั่นแล
    ปุถุชนย่อมคิดพิจารณาแบบปุถุชน
    พระย่อมเข้าถึงซึ่งความเป็นพระ
    อริยะย่อมเป็นอริยะ

    ปล.พระในที่นี้หมายถึง ตั้งแต่ โสดาบันเป็นต้นไป
    อย่าสนใจในจริยาของคนอื่น สนใจความดีหรือไม่ดีในใจเรา
    วันเวลาล่วงไปๆ ทุกวินาที มีความดีอะไรอยู่ในใจเราบ้าง

    เข้าใจว่าทุกท่านก็รักและห่วงใยพระพุทธศานาเช่นเดียวกัน โมทนาบุญนะ
     
  18. กัปปะ

    กัปปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +118
    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ...
    สำหรับตัวผมเองอาจจะมองอะไรที่เป็นธรรมชาติเกินไป เพราะตามความคิดอยากให้พุทธศาสนาอยู่คุ๋กับชาวพุทธอย่างเราๆไปให้นานที่สุด จึงอยากให้พุทธศาสนากลับมาใช้ความสมถะ เรียบง่าย ตัดกิเลสในใจให้หมด เพื่อสร้างศรัทธาของคนให้กลับมาหาพุทธศาสนาให้มากที่สุด จึงเล็งเห็นวิธีที่จะสร้างความศรัทธากลับมาโดยการ งดให้ปัจจัยกับพระ น่าจะเป็นวิธีการเบื้องต้น ส่วนหลังจากนั้น จะทำอย่างไรต่อไป คงได้แต่หวังพึ่งคนที่เข้าใจ มีความรู้ มีบารมี ช่วยกันจรรโลงศาสนาพุทธให้กลับมาสร้างศรัทธาอีกครั้ง ส่วนจะทำได้หรือเปล่า ก้อคงต้องแล้วแต่ว่าชาวพุทธในประเทศจะคิดอย่างไร
     
  19. กัปปะ

    กัปปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +118
    ส่วนเรื่องพระสงฆ์เดินขบวนนั้น ผมเพียงห่วงอนาคตพระศาสนาว่าการออก

    กฎหมายเช่นนี้ หากมีเหตุการณ์ "ขาด-เหลือ" ขึ้นมา อาจทำให้งานขยาย

    พระศาสนาหยุดชะงัก


    เอาง่ายๆ ตอนนี้แค่ไม่มีกฎหมายฉบับนี้ คุณก็ไม่ถวายปัจจัยแล้ว แต่ก็ไม่เป็น

    อะไรน่ะเพราะคนอื่นเค้ายังถวายอยู่ แต่ถ้าวันใด ตื่นขึ้นมาไม่มีใครถวายปัจจัย

    ไม่ว่าจะตั้งแต่ใส่บาตร ถวายสังฆทาน ผ้าป่า กฐิน สร้างวิหาร สร้างพระ

    สร้างโรงเรียนปริยัติธรรม แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น งานพระศาสนาจะตามไม่ทัน


    โลกภายนอก งานพระศาสนาจะหยุดชะงักลงทันที แล้วหากเป็นแบบนี้สัก

    เดือน คงเห็นสัญญาณบางอย่างแน่

    ส่วนเรื่องแม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ธรรมที่มีการ "เปิดกรรม" นั้น ไม่มีปัญหา

    ครับ ผิดตรงไหน แม้พระวินัยก็ห้ามสงฆ์ มิได้ห้ามแม่ชี

    ปกติ พระตอนเช้า บิณฑบาตร แล้วกลับไปทำวัดเช้า ฉันเพล ทำวัดเย็น หรืออื่นๆในบริเวณวัด ฯลฯ หรืออาจรับกิจนิมนต์ (โดยส่วนใหญ่ ญาติโยมเป็นผู้มารับ-ส่งเองไม่ใช่หรือครับ) แล้วยังขาดเหลืออะไรอีกครับ หรือขาดปัจจัยเงินหรือครับ ที่ว่าขาด ขาดอะไรครับ เหลืออะไรครับ อย่าลืมสิครับ การเข้ามาบวช จุดประสงค์คืออะไร ย้ำอีกครั้งว่า ให้ตัดกิเลส ไม่ใช่หรือครับ ในเมื่อถ้าตั้งใจเข้ามาบวชแล้ว ถ้ายังไม่คิดละกิเลส ผมว่าควรพิจารณาให้ดีก่อนที่จะเข้ามาบวชดีกว่าไหมครับ จะได้เตรียมตัวก่อนที่จะบวชจริง ส่วนที่ว่าถวายปัจจัย ในกระทู้นี้เขากำลังพูดถึง เงินนะครับ ไม่ได้รวมถึง สังฆทาน หรือ การใส่บาตร หรือถวายสิ่งของที่ไม่ใช่เงิน จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะ พูดกันง่ายๆ พระไม่อดตายแน่นอน (ขอโทษที่อาจใช้คำที่ไม่สุภาพ) ส่วนเรื่องการขยายศาสนา คงอยู่ที่พระว่าสามารถเรียกศรัทธาได้มากน้อยแค่ไหน อันนี้คงอยู่ที่วัดแต่ละแห่งมั๊งครับ เพราะคงหวังพึ่งใครไม่ได้ เพราะวัดย่อมใกล้ชิดญาติโยมมากกว่า
    ส่วนเรื่องแม่ชี นั้นผมไม่กล้าก้าวล่วงหรอกครับ อยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล ใครจะเชื่ออย่างไร คงไม่มีสิทธิ์ไปห้ามหรอกครับ สำหรับเรื่องวินัยสงฆ์นั้น อยู่ที่การพิจารณาของผู้กระทำว่าสิ่งที่กระทำอยู่ผิดหรือไม่ หลอกลวงคนอื่นอยู่หรือเปล่า เพราะทุกวันนี้มีพระสงฆ์อวดอุตริอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ถึงแม่ชีจะใช้วินัยสงฆ์ เพิ่มอีกคนนึงก้อไม่น่ามีปัญหาอะไร
     
  20. วงบุญพิเศษ

    วงบุญพิเศษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +649
    ปกติ พระตอนเช้า บิณฑบาตร แล้วกลับไปทำวัดเช้า ฉันเพล ทำวัดเย็น หรืออื่นๆในบริเวณวัด ฯลฯ หรืออาจรับกิจนิมนต์ (โดยส่วนใหญ่ ญาติโยมเป็นผู้มารับ-ส่งเองไม่ใช่หรือครับ) แล้วยังขาดเหลืออะไรอีกครับ หรือขาดปัจจัยเงินหรือครับ ที่ว่าขาด ขาดอะไรครับ เหลืออะไรครับ อย่าลืมสิครับ การเข้ามาบวช จุดประสงค์คืออะไร ย้ำอีกครั้งว่า ให้ตัดกิเลส ไม่ใช่หรือครับ ในเมื่อถ้าตั้งใจเข้ามาบวชแล้ว ถ้ายังไม่คิดละกิเลส ผมว่าควรพิจารณาให้ดีก่อนที่จะเข้ามาบวชดีกว่าไหมครับ จะได้เตรียมตัวก่อนที่จะบวชจริง ส่วนที่ว่าถวายปัจจัย ในกระทู้นี้เขากำลังพูดถึง เงินนะครับ ไม่ได้รวมถึง สังฆทาน หรือ การใส่บาตร หรือถวายสิ่งของที่ไม่ใช่เงิน จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะ พูดกันง่ายๆ พระไม่อดตายแน่นอน (ขอโทษที่อาจใช้คำที่ไม่สุภาพ) ส่วนเรื่องการขยายศาสนา คงอยู่ที่พระว่าสามารถเรียกศรัทธาได้มากน้อยแค่ไหน อันนี้คงอยู่ที่วัดแต่ละแห่งมั๊งครับ เพราะคงหวังพึ่งใครไม่ได้ เพราะวัดย่อมใกล้ชิดญาติโยมมากกว่า
    ส่วนเรื่องแม่ชี นั้นผมไม่กล้าก้าวล่วงหรอกครับ อยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล ใครจะเชื่ออย่างไร คงไม่มีสิทธิ์ไปห้ามหรอกครับ สำหรับเรื่องวินัยสงฆ์นั้น อยู่ที่การพิจารณาของผู้กระทำว่าสิ่งที่กระทำอยู่ผิดหรือไม่ หลอกลวงคนอื่นอยู่หรือเปล่า เพราะทุกวันนี้มีพระสงฆ์อวดอุตริอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ถึงแม่ชีจะใช้วินัยสงฆ์ เพิ่มอีกคนนึงก้อไม่น่ามีปัญหาอะไร<!-- google_ad_section_end -->



    ผมจะแยกเป็น2กรณีน่ะ

    1 กรณีที่มีกฏหมายให้พระฟรีทุกอย่าง
    กรณีนี้ผมชี้ชัดไปแล้วว่าติดขัดที่ การเมือง+งบประมาณ+และกรณ๊ที่อาจขาดเหลือ

    กรณีที่อาจขาดเหลือ นี้นี่เองที่ผมเห็นว่าจะทำให้การขยายงานพระศาสนาหยุด

    ชะงัก เหตุเพราะปัจจัยทุกสิ่งอย่างมันไม่เอื้ออำนวย ผมแน่ใจไปเลยว่ารัฐให้งบ

    ไม่พอ คุณดูนโยบายเรียนฟรีหรือรักษาพยาบาลฟรีซิ มันกระท่อนกระแท่นกัน

    ขนาดไหน แล้วยังจะมีงบมาที่ศาสนาอีกหรือ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วหากมีการ

    บอกบุญเพิ่มก็จะมีข้อครหาว่ามีงบแล้วทำไมไม่พอ


    2 กรณีปัจจุบันที่ไม่มีกฎหมายให้พระฟรีทุกอย่าง

    เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ในปัจจุบันเราปฎิเสธไม่ได้เลยว่าค่าน้ำ-ค่าไฟ-แม้กระทั่ง

    หนังสือนักธรรม ล้วนต้องใช้ปัจจัยที่เรียกในปัจจุบันว่าเงิน ฉะนั้นอย่างที่บอก

    ตอนนี้มีแต่คุณ+บางคนที่ไม่ถวายปัจจัย ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นกันหมดทั้งแผ่น

    ดิน เอาสัก1เดือน งานพระศาสนาหยุดชะงัก


    ทีนี้มาที่ กรณีจุดประสงค์การบวชเพื่อตัดกิเลส

    นี่จริงน่ะ ไม่อาจปฎิเสธ กรณีที่คุณพยายามชักจูงไปคือให้เห็นว่าพระนั้นไม่

    ขาดเหลืออะไร แต่ที่ผมว่าขาดเหลือ คือกิเลสนั้น ไม่ใช่ ผมหมายถึงขาด

    ความคล่องตัวในการขยายงานศาสนาทั้งโดยปราณีต โดยหยาบ กล่าวคือ

    มนุษย์บางคนเข้ามาศึกษาศาสนาโดยมีวัตถุเป็นเครื่องชักจูง

    มนุษย์บางคนเข้ามาศึกษาศาสนาโดยมีอรรถธรรมบางบทเป็นเตรื่องชักจูง เช่น พรรณาสวรรค์ พรรณาโทษของกาม พรรณาการบวช จนกระทั่งอภิธรรมต่างๆ


    กรณีที่ มนุษย์บางคนเข้ามาศึกษาศาสนาโดยมีวัตถุเป็นเครื่องชัก

    จูง นี่เป็นปัญหาของการขยายงานในอนาคต เพราะพระศาสนาจะตาม

    เทคโนโลยีสมัยใหม่ไม่ทันในด้านการขยายงานสู่คนยุคโลกาภิวัฒน์

    เอาหล่ะคุณอาจยังไม่เห็นภาพ เดี๋ยวก็มาเถียงผมอีกว่าวัดป่าหลายๆวัดทำไมอยู่

    ได้ คุณต้องเข้าในจิตวิทยาคนน่ะ ว่าบางคนชอบแบบนั้น แต่บางคนก็ชอบ

    แบบ...เห็นภาพง่ายๆ แบบวัดพระธรรมกาย(วัดแบบนี้มีมากน่ะ แต่นี่เห็นง่ายดี)

    เพราะฉะนั้นความคล่องตัวในการสร้างวัตถุเช่นเจดีย์ โบสถ์ องค์พระสวยๆ

    การทำCDธรรมะ การจัดทำหนังสือธรรมะ เป็นต้น ทั้งหมดเพื่อการชัดจูงคน

    โดยอาศัยจิตวิทยา ให้คนเข้าวัด แล้วจะได้บรรลุธรรมที่ละเอียดไปเรื่อยๆ ใน

    พุทธกาลก็มีcase study แล้วคือพระภิกษุรูปหนึ่งที่ปรารถนาในสวรรค์ เหตุ

    เพราะนางเทพอัปสร พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าให้บำเพ็ญธรรมแล้วจักได้ครอบ

    ครองกามสุขเหล่านั้น ภิกษุนั้นก็ดีใจตั้งใจปฎิบัติธรรม จนกระทั่งถึงพระ

    อรหัตผล นี่เองเป็นตัวอย่าง อนึ่งผู้ที่มาบวชในพระศาสนามิใช่จะเป็นผู้มีบารมี

    พอจะนิพพานชาตินี้เสมอไป ฉะนั้นหากเข้ามาบวชก็ควรกระทำประโยชน์ใน

    ส่วนอื่นเช่น การเผยแผ่ศาสนาไปทั่วโลก การสร้างถาวรวัตถุเพื่อยังศรัทธาจิต

    เพื่อธรรมที่ละเอียดไปเรื่อยๆ เพราะทั้งพระทั้งโยมมีหลากหลายจริต ตามกำลัง

    บารมี




    ฉะนั้นการฟันธงไปว่า ไม่ถวายปัจจัยเด็ดขาด อย่างนี่สุดโต่ง
    ฉะนั้นการฟันธงไปว่า ให้ถวายปัจจัยเป็นจำนวนมาก อย่างนี่สุดโต่ง
    ฉะนั้นการฟันธงไปว่า ให้ปฎิบัติตามจริตอัธยาศัยนั้น อย่างนี่มัชฌิมาปฏิปทา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2011
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...