การสอนดูจิตตอนนี้ ไม่ต่างไปจากท่านสัญชัยปริพาชกในครั้งพุทธกาล

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 6 พฤศจิกายน 2009.

  1. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    958
    ค่าพลัง:
    +1,699

    พอดีไปเห็นคำสอนของหลวงปู่หล้า ที่คุณเก่งนำมาแปะ เรื่องที่ 22
    ท่านตอบคำถามธรรมเรื่อง อนัตตา ในสังขตะธรรม กับในนิพพาน อยู่พอดี
    เลยนำมาฝากกัน ท่านเรียกอนัตตาในนิพาน ว่าอนัตตาฝ่ายสุข เป็นนิรมิสสุข
    แปลกใจมากนะ ปกติเห็นครูบาอาจารย์ที่กล่าวว่านิพพานเป็นอนัตตา อยู่น้อยท่านมาก (ก็ไม่น้อยเท่าไหร่นัก..) เพราะบางท่าน จะกล่าวว่า เป็นอัตตาก็ไม่ได้อนัตตาก็ไม่ได้ คือไม่ใช่อนัตตาฝ่าย อนิจจัง ทุกขัง ..



    หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
    ตอบปัญหาธรรมและการปฏิบัติธรรม (เรื่องที่ ๒๒)

    คำถาม :

    การปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิสงบมากที่ไม่สงบมีน้อย พอสงบแล้วโยมจะพิจารณาสังขาร แต่คิดไม่ถึงว่าจะส่งจิตน้อมไปไม่ถึง เหมือนกับมีความว่างมากีดกั้นระหว่างอยู่ พอสงบแล้วบางทีว่างๆ เหมือนบนท้องฟ้า ถ้าไม่มีเสียงอะไรแล้วเหมือนกับว่าโยมอยู่ในโลกนี้คนเดียว จิตก็ละเอียดๆๆ สั้นเข้าๆๆ แล้วก็ดับไปแล้วก็เกิดมา เกิดๆ ดับๆ ไม่คงที่อยู่ได้ โอ้อนิจจัง อนัตตาแท้หนอ ไม่มีอะไรคงที่ดีงามอยู่ได้ตลอดไป สมมติทั้งนั้นหนอสัพเพธรรมาอนัตตาทั้งนั้นหนอ

    ๑๘ มีนาคม ๒๕๓๘ ตอนบ่าย นั่งสมาธิก็สงบแล้วก็ว่างๆ พอออกจากสมาธิแล้วนึกถึงอะไรในการปฏิบัติ นึกถึงไปทางไหนทั้งศีล สมาธิ ปัญญา และอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรเลย มีแต่ว่างๆ นึกๆ อะไรก็ไปไม่ถึง ไม่มีอะไรมีแต่ว่างๆ จิตนี้ไม่ค่อยรับรู้อะไร เรื่องต่างๆ ก็รู้สึกเฉยๆ จะปฏิเสธก็ไม่ใช่จะรับก็ไม่ใช่ เพียงแต่ฟังๆ รู้ๆ จิตนี้มีแต่ละเอียดๆๆๆๆ แล้วก็ว่างๆๆๆ นึกไปถึงอะไรก็ไม่มี มีแต่ว่างๆ คิดถึงปัจจุบันก็ว่าง คิดถึงอนาคตก็ว่าง คิดไปไม่ถึงอีกว่างๆ พยามยาม ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๔ ก็ไม่ได้อีก เลยปล่อยให้ว่างๆ อีกราว ๓๐-๔๐ นาที จิตที่ว่างๆ อยู่ก็ค่อยๆ ถอยๆๆ ออก จนสามารถคิดอะไรได้เล็กน้อย แล้วดิ่งลงไปอีกได้ชั่วโมงกว่าๆ เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่นั่งสมาธิ

    ตอนนี้จิตที่เคยมีแต่ความละเอียดได้หมดไปหรือมีน้อย มีแต่ว่างๆมาแทนหรือเข้าสู่ความว่าง ออกจากความว่าง จิตไม่มีอะไร สลับกันไปสลับกันมา แต่ก่อนๆ พยายามหาวิธีต่างๆมาปฏิบัติ ก็ยังไม่หมดทุกข์ไม่หมดปัญหา คิดๆ ดูแล้วเหนื่อยไม่มีทางสิ้นสุด จึงเอาวิธีใหม่สัพเพธรรมาอนัตตา หรือรู้ก็สักแต่ว่ารู้ หรือเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยินตามที่หลวงปู่กรุณาสอนทางจดหมาย แล้วหมดเรื่องไปเลย ปฏิบัติได้ง่ายขึ้นถูกทางขึ้น โยมคิดว่าโยมได้ถึงพระอนาคามีแล้วจึงขอคำยืนยันจากหลวงปู่ว่าถูกต้องหรือไม่ ?

    หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ตอบ :

    น่าสงเสริมและยินดีด้วย เพราะพิจารณาถึงธรรมอันว่าง คำว่า “ว่าง” ไม่ใช่ว่างและสูญจนเลยเถิด ว่างเฉพาะไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่ธรรมอันว่างๆ มีอยู่ก็คือสัพเพ ธัมมา อนัตตานั่นเอง แต่ธรรมฝ่ายเกิดฝ่ายดับก็เป็นทุกข์อยู่ในตัว เพราะสิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นก็เป็นทุกข์อยู่ในตัวแล้ว คำว่า “เกิดดับ” ก็เหมือนกัน ธรรมฝ่ายไม่เที่ยงและเกิดดับว่างเพราะเหตุว่าไม่มีใครเป็นเจ้าของ มีอิทธิพลเกิดดับอยู่ตามธรรมชาติส่วนธรรมชาติอันไม่เกิดดับก็โดยนัยเดียวกันแต่เป็นธรรมชั้นสูงกว่ากันเท่านั้น คือสูงสุดในพระพุทธศาสนาเป็นอนัตตาธรรมฝ่ายสุข คำว่าสุขในที่นี้มิใช่สุขอิงอามิส เป็นนิรามิสสุข สุขไม่อิงอามิสเป็นสุขเที่ยงยั่งยืนด้วย

    และใครเป็นผู้เสวยสุขในพระนิพพานเล่า...... ก็พระนิพพานนั่นเองเสวยสุขในพระนิพพาน ไม่เป็นหน้าที่ของสังขารฝ่ายเกิดดับจะไปอาจเอื้อม และไม่เป็นหน้าที่ของความหลงแห่งกิเลสจะไปเอื้อมถึง ถ้าจะเอื้อมถึงก็เอื้อมถึงธรรมฝ่ายเกิดดับเท่านั้น แต่ก็คล้ายกับว่ากำแดดกำลมก็ว่างและหายไป ณ ที่นั้นเอง คำว่าว่าง ฝ่ายเกิดดับอนัตตา ฝ่ายเกิดดับก็ว่ามีความหมายอันเดียวกัน คำว่าว่างฝ่ายไม่เกิดดับคือ พระนิพพานก็เป็นธรรมาอนัตตา แต่จะไปตีคุณค่าเหมือนเกิดดับก็ไม่ได้ เพราะเป็นธรรมอันทรงคุณค่าสุดยอดแห่งธรรมทั้งหลาย จะว่าจบกิจพระพุทธศาสนาก็ถูก

    ฉะนั้นจึงไม่ควรไปถุ่มเถียงในเรื่องอนัตตาธรรม ผู้ขบอนัตตาธรรมไม่แตกก็คือขบความหลงของเจ้าตัวไม่แตกนั่นเอง เพราะยังยึดถืออันใดอันหนึ่งเป็นเจ้าหัวใจอยู่โดยใจความ ก็คือยึดถืออัตตวาทุปาทานความเห็นว่าตนๆ นั่นเอง เป็นเพียงแต่ไม่รู้ตัว ก็สำคัญตัวว่าหลุดพ้นแล้ว อ้ายที่แท้ความสำคัญตนนั่นเองเป็นอุปาทานอันละเอียด ความหลงอันละเอียด ชั้นนี้ไม่ใช่ของง่าย เราตีความหมายว่าเป็นน้ำที่ไม่มีตะกอน อ้ายที่แท้มันมีตะกอนอยู่ในตัวมันนั่นเอง

    ที่คุณถามว่า “ดิฉันถึงพระอนาคามีหรือไม่” นั้น ข้อนี้จงเป็นผู้เห็นเองเพราะสันทิฏฐิโก และปัจจัตตังชั้นพระอนาคามี เป็นของละเอียดกว่าพระโสดาบันและพระสกทาคามี และให้สังเกตตนเองว่าเมื่อมีมดเข้าหูหรือเข้ารูจมูกเราๆ หงุดหงิดหรือไม่ ถ้าหงุดหงิดอยู่ก็ไม่ใช่พระอนาคามี และสังเกตกามารมณ์ของเราที่รบกวนเราแบบละเอียดละออให้ขณะจิตเรานึกจะเสพนั้นหรือไม่ ถ้ามีอยู่ก็ไม่ใช่พระอนาคามี พระอนาคามีไม่มีกามวิตก ความตรึกในทางกาม และไม่ส่งเสริมในใจของตนเองด้วยคือไม่กำหนัดนั่นเอง

    ความหงุดหงิดไม่มี ปองร้ายหมายขวัญไม่มีในพระอนาคามีเลย ขอให้เข้าใจว่ากามก็ดี โทสะก็ดีพระอนาคามีขาดไปแล้วไม่ขบถคืน อันนี้เข้าใจชัดกว่าที่พูดมาแล้วนั้น ส่วนโมหะความสำคัญตัวยังมีอยู่ ความสำคัญตัวเกี่ยวกับเรากับเขา เพราะมีเราเขาสัมปยุตอยู่ ดองอยู่ในหัวใจยังไม่ขาดไปได้ เพราะเป็นกิเลสอันละเอียดคล้ายๆ กับขวดน้ำปลาที่ล้างไม่ดียังมีกลิ่นน้ำปลาอยู่ ส่วนพระอรหันต์นั้นขาดไปแล้วไม่มีกลิ่นน้ำปลาอยู่ในขวดเลย ถ้าหากเทียบในทางไฟ พระอรหันต์นั้นเปรียบเหมือนไฟที่ดับไปแล้วไม่มีไออุ่น ด้วยเดชพระพุทธศาสนา พวกเราทั้งหลายจงข้ามทะเลหลงด้วยความไม่หลงอยู่ทุกเมื่อเทอญฯ




    http://palungjit.org/threads/มรณานุสสติ.227044/page-4#post2967653
     
  2. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เราตีความหมายว่าเป็นน้ำที่ไม่มีตะกอน อ้ายที่แท้มันมีตะกอนอยู่ในตัวมันนั่นเอง



    ประโยคนี้คมจริงๆเลย...สาธุ สาธุ สาธุ
     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป
    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา
    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา
    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย
    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ
    เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้น
    เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า
    ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว
    กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระสูตรนี้แล้ว
    พระปัญจวัคคีย์มีใจยินดี เพลิดเพลินภาษิตของผู้มีพระภาค.
    ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่
    จิตของพระปัญจวัคคีย์พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.

    อนัตตลักขณสูตร

    ครั้งนั้น มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖ องค์
    ^
    ^
    ในอนัตตลักขณสูตรนี้ เป็นพระสูตรชั้นต้นๆที่ทำให้พระรัตนไตรบริบูรณ์ขึ้นในครั้งกะนั้น
    มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์(พระอรหันต์)เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก

    ในพระสูตรก็บอกไว้ชัดเจนแล้วว่า อะไรบ้างที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
    ไม่เห็นมีตรงไหนเลยที่พระองค์ทรงตรัสถึง พระนิพพานเป็นอนัตตาไว้
    ถ้าพระนิพพานเป็นอนัตตาจริงแล้ว พระองค์ทรงต้องสอนให้ พระอาจารย์ปัญจวัคคีย์ให้ทราบ
    พระองค์ไม่ทรงนำมาแอบสอนในภายหลังหรอกว่า "พระนิพพานเป็นอนัตตา"

    แบบนี้ก็แสดงว่าท่านพระอาจารย์ปัญจวัคคีย์ก็เรียนไม่ครบสิ
    อะไรที่ไม่เที่ยง ย่อมเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาพึ่งพาอาศัยไม่ได้(เป็นกฏไตรลักษณ์)
    เมื่อพระนิพพานเป็นอนัตตาเสียแล้ว พระนิพพานก็พึ่งพาอาศัยไม่ได้เช่นกันสิ....

    ;aa24
     
  4. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    อ้างถึง หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ตอบญาติโยม

    ฉะนั้นจึงไม่ควรไปถุ่มเถียงในเรื่องอนัตตาธรรม
    ผู้ ขบอนัตตาธรรมไม่แตกก็คือขบความหลงของเจ้าตัวไม่แตกนั่นเอง
    เพราะยังยึดถืออันใดอันหนึ่งเป็นเจ้าหัวใจอยู่โดยใจความ ก็คือยึดถืออัตตวาทุปาทานความเห็นว่าตนๆ นั่นเอง เป็นเพียงแต่ไม่รู้ตัว

    ก็สำคัญตัวว่าหลุดพ้นแล้ว อ้ายที่แท้ความสำคัญตนนั่นเองเป็นอุปาทานอันละเอียด ความหลงอันละเอียด
    ชั้นนี้ไม่ใช่ของง่าย เราตีความหมายว่าเป็นน้ำที่ไม่มีตะกอน อ้ายที่แท้มันมีตะกอนอยู่ในตัวมันนั่นเอง


    คุณธรรมภูติโพสต์ถึง คำตอบหลวงปู่ฯ

    นพระสูตรก็บอกไว้ชัดเจนแล้วว่า อะไรบ้างที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
    ไม่เห็นมีตรงไหนเลยที่พระองค์ทรงตรัสถึง พระนิพพานเป็นอนัตตาไว้
    ถ้าพระนิพพานเป็นอนัตตาจริงแล้ว พระองค์ทรงต้องสอนให้ พระอาจารย์ปัญจวัคคีย์ให้ทราบ
    พระองค์ไม่ทรงนำมาแอบสอนในภายหลังหรอกว่า "พระนิพพานเป็นอนัตตา"

    แบบนี้ก็แสดงว่าท่านพระอาจารย์ปัญจวัคคีย์ก็เรียนไม่ครบสิ
    อะไรที่ไม่เที่ยง ย่อมเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาพึ่งพาอาศัยไม่ได้(เป็นกฏไตรลักษณ์)
    เมื่อพระนิพพานเป็นอนัตตาเสียแล้ว พระนิพพานก็พึ่งพาอาศัยไม่ได้เช่นกัน
    สิ....

    ความเห็นของผม.....

    หลวงปู่ฯท่านสอนว่า ไม่ควรไปถกเถียงเรื่องอนันตาธรรม
    เพราะไปยึดว่าเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งจะถูกหรือไม่ก็ตาม
    ท่านก็ไม่ได้บอกว่านิพพานเป็นอะไร ท่านบอกเพียงแต่วาง อย่าแบกไว้..


    แต่คุณธรรมภูติ...ก็ยังยึดถือความเห็นของตนเองว่านิพพานเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
    ที่ีจริงนั้น หากเชื่อตามพระสูตรว่านิพพานเป็นอย่างไรแล้ว ก็ควรรู้แล้ว วางลงเสีย
    ไม่ควรแบกพระสูตรไว้เป็นภาระให้กับใจตน


    มีคนสองคนคนหนึ่งรู้ตามพระสูตร แต่ก็ไม่ยึดถือ

    คนหนึ่งรู้เหมือนกัน และยึดถือตำราให้เป็นภาระกับใจ

    คนไหนสบายกว่ากัน....









     
  5. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ลองฟังหลวงปู่หล้าอีกครั้งครับ นิพพานเป็นอนัตตาที่ลึกซึ้ง



    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.863987/[/MUSIC]

    ฟังเต็มๆได้ที่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    โมทนา สาธุธรรม...

    ไม่สูญ ไม่เกิดไม่ดับ ว่างจากสัตว์ บุคคล สักว่ารู้ สักว่าธรรม
    ท่านตอบชัดเจนมาก....

    พิจารณาด้วยปัญญา แต่...
    อย่าเอาเข้าข้างกิเลสทิฐิของตัว พิจารณาด้วยใจเป็นกลาง ถึงเมื่อไหร่สัมผัสความมีอยู่แต่ไม่มีความเป็นตัวตนได้เมื่อไหร่ ประจักษ์แก่ใจ

    ดังนั้นมิควรเอาพระนิพพานมาเถียงกัน...
    มาทำเหตุกัน เร้วว....
    :):):)
     
  7. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    ดีแล้วครับพี่เสขะ


    ก้ถ้ากิเลสทิฐิของตัว มันน้อมไปในทางมรรคผล ที่ครูบาอาจารย์ท่านเข้าถึงแล้ว มันก็ไม่ผิดหรอก ก้ขอให้เดินตาม

    แต่ถ้าหากกิเลสทิฐิของตัวเองมันไม่น้อมไปในทางมรรคผล ที่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเข้าถึงแล้วไม่ได้สอนไว้ ก็ควรพิจารณา
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ธรรมเพื่อความหลุดพ้น น้อมลงที่ใจ
    หลวงปู่หล้า เขมปัตโต วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ)
    อ. คำชะอี จ. มุกดาหาร ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗

    ก็เป็นหน้าที่เจ้าตัวจะพิจารณาตัวเอง ของใครของมัน จะใส่ร้ายป้ายสีกันก็ไม่ได้ กายแก่เป็น ชราเป็น ตายเป็น แต่จิตตายไม่เป็น จิตตายมี ๒ อย่าง ตายจากความดีหนึ่ง เรียกว่าจิตตาย จิตตายชั้นสุดท้าย คือตายจากกิเลส ไม่มีกิเลส เรียกว่าตายสุดท้าย ไม่เกิดอีก ที่เรียกว่าจิตไม่ตายก็มีอยู่ ๒ ประเภท จิตไม่ตายเพราะศีลธรรม เพราะปฏิบัติศีลธรรมอยู่ จิตไม่ตายเพราะถึงพระนิพพาน ไม่มาเกิด แก่ เจ็บ ตายอีกอันนั้น
    ^
    ^
    อันนี้ท่านพระอาจารย์หลวงปู่หล้า ท่านกล่าวไว้ชัดเจนว่า จิตไม่ดับตายหายสูญไม่ไหน(ตายไม่เป็น)
    จิตไม่ตายเพราะศีลธรรม เพราะปฏิบัติศีลธรรมอยู่ จิตไม่ตายเพราะถึงพระนิพพาน ไม่มาเกิด แก่ เจ็บ ตายอีกอันนั้น

    จิตไม่ตายเพราะถึงพระนิพพาน ไม่มาเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกอันนั้น
    จิตไม่ตายเพราะถึงพระนิพพาน ไม่มาเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกอันนั้น
    จิตไม่ตายเพราะถึงพระนิพพาน ไม่มาเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกอันนั้น

    คุณเลิกคิดเองเออเองได้แล้วนะ ผมพูดไว้ที่ไหนว่าพระนิพพานเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
    เอาหลักฐานมาด้วยนะ ว่าผมพูดถึงพระนิพพานอย่างนั้นอย่างนี้ตามใจตนเองชอบ

    ใครหนะที่ควรรู้แล้ว วางลงเสีย? ถามไปไม่เคยได้คำตอบกลับมาเลย

    ผมถึงต้องนำเอาคำสอนของพ่อแม่ครูบอาจารย์ที่ท่านตอบไว้ชัดเจนแล้วมาให้ศึกษากัน
    ท่านพระอาจารย์หลวงปูหล้า กล่าวไว้ชัดเจนไม่ต้องตีความอะไรทั้งสิ้นว่า
    "จิตตายชั้นสุดท้าย คือตายจากกิเลส ไม่มีกิเลส
    เรียกว่าตายสุดท้าย ไม่เกิดอีก ที่เรียกว่าจิตไม่ตาย"

    ผู้ที่รู้แล้ววางจากกิเลส(ตายจากกิเลส)ทั้งหลายลงได้นั้น ใคร?
    ถ้าไม่ใช่จิตของตน ที่เป็นผู้อบรมฝึกฝนอริยมรรคมีองค์๘จนสำเร็จ แล้วเป็นจิตของใคร?
    อย่าบอกนะว่าไม่มีของใครอีก? เป็นแต่เพียงสภาวะเท่านั้น?

    ท่านพระอาจารย์หลวงปู่หล้า ท่านเกรงว่าคนอ่านจะตีความกันไปเอง ท่านจึงกล่าวไว้ชัดเจนว่า
    จิตไม่ตายเพราะศีลธรรม เพราะปฏิบัติศีลธรรมอยู่ จิตไม่ตายเพราะถึงพระนิพพาน ไม่มาเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกอันนั้น

    จิตไม่ตายเพราะถึงพระนิพพาน ไม่มาเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกอันนั้น
    จิตไม่ตายเพราะถึงพระนิพพาน ไม่มาเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกอันนั้น
    จิตไม่ตายเพราะถึงพระนิพพาน ไม่มาเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกอันนั้น

    ;aa24
     
  9. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    อย่าเบี่ยงเบนประเด็นสิ...คุณธรรมภูติ

    ประเด็นที่กล่าวก็คือ...หลวงปู่หล้าท่านสอนว่า

    ไม่ควรไปถกเถียงเรื่องอนันตาธรรม

    ท่านบอกเพียงแต่วาง อย่าแบกไว้..

    เพราะคนเถียงล้วนย่อมยึดมั่นในความคิดของตัวเอง

    เหมือนเห็นว่า น้ำนั้นไม่มีตะกอน ทั้งที่..ตัวน้ำเองนั่นแหละตะกอน


    ส่วนคุณเองยกพระสูตรมา...ว่านิพพานเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้

    ทั้งที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกหยกๆว่า จะเป็นอย่างไรก็ช่าง ไม่ควรไปขบคิด

    เพราะคนคิด...จะไปติดความถือมั่นในความคิดนั่นเอง


    ไม่ได้บอกว่า...คุณคิดว่านิพพานเป็นอย่างไรที่ไหน

    เพียงแต่บอกว่าอย่าแบกพระสูตร( คัมภีัร์ ) ให้เป็นภาระของจิตเท่านั้น

    ปฏิบัติให้เห็นเองเสียบ้าง จะได้เข้าใจว่าความถือมั่นเป็นตัวตนอย่างหนึ่ง




    คุณธรรมภูติ ...พูดไปพูดมาก็พูดสิ่งเดิมๆ...ว่าใครรู้ ว่าใครหลุดพ้น

    ตรงนั้นก็ไม่ใช่สาระสำคัญอีกเช่นกันครับ

    สาระสำคัญอยู่ที่ว่า...หลุดพ้นแล้วยังมีความยึดมั่นถือมั่นในตัวจิตอีกหรือไม่



    มีคนสองคน

    คนหนึ่งแม้รู้หรือไม่รู้ต้องตรงตามพระสูตรก็ตาม หากแต่ก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตัวเอง

    คนหนึ่งคิดว่าตัวเองรู้ตามพระสูตร( ด้วยการอ่่าน ) และยึดถือความรู้นั่น( ใบลานเปล่า )

    ให้เป็นภาระกับใจ คนไหนจะสบายกว่ากัน....ครับ



     
  10. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    958
    ค่าพลัง:
    +1,699
    ใครทำเหตุดีแล้ว
    ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ไปได้ดี ไม่ต้องห่วงเขาอีกเลย

    ส่วนผู้ที่คิดว่าตนทำเหตุดี แต่มันไม่ใช่อย่างที่คิด
    ก็เพราะไม่เห็นกิเลสสในตน
    ความรักในธรรมของเขาย่อมเป็นเหตุเภทภัยต่อศาสนาอย่างยิ่ง..
    เพราะเป็นแค่เพียงรักกิเลสสในตนเท่านั้นเอง
     
  11. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    958
    ค่าพลัง:
    +1,699
    มีคนบอกเราว่า พระอริยะไม่ชอบยุ่งกับใครที่ไร้ประโยชน์เกินสามครั้ง
    แต่ที่ยุ่งกันเกินๆ นี่ คาดว่าเจตนาคงเพราะส่วนรวม เป็นส่วนหนึ่ง

    ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2010
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณโป ใครกันแน่ที่เบี่ยงเบนประเด็น พูดแต่สิ่งเดิมๆว่า อย่ายึดมั่นในจิต?
    เมื่อคุณพูดแบบเดิมๆ ผมก็ต้องถามแบบเดิมๆว่า ใครที่ไม่ยึดมั่นในจิต?
    เมื่อมีสิ่งที่ถูกยึด ก็ต้องมีผู้ยึดใช่มั้ย?
    เมื่อมีสิ่งที่ไม่ถูกยึด ก็ต้องมีผู้ปล่อยวางได้ใช่มั้ย?

    คุณเล่นเบี่ยงประเด็นที่จะไม่ตอบ แต่คุณกลับเอาพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาบังหน้า
    เหมือนใครบางคนที่ชอบทำเป็นนิสัย ที่ชอบแอบอ้าง

    เมื่อคุณปฏิเสธพระพุทธพจน์(พระสูตร)ที่ผมนำเสนอ ก็เท่ากับคุณปฏิเสธพระพุทธเจ้า
    แม้พ่อแม่ครูบาอาจารย์เอง ที่ขานนาคเข้ามาเพื่อสืบทอดพระศาสนา
    ท่านยังต้องศึกษาจากพระสูตร อย่าบอกนะว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นไม่เคยอ่านถูกเลย

    คุณพูดได้ยังไงว่าว่าใครรู้ ว่าใครหลุดพ้น ตรงนั้นก็ไม่ใช่สาระสำคัญ
    แล้วสาระสำคัญของการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา อยู่ตรงไหน?
    คุณเลี่ยงที่จะไม่ตอบเพราะกลัวความจริงว่าที่คุณรู้มาหนะเป็นสิ่งผิดใช่มั้ย?
    ถ้าไม่ใช่คุณควรเป็นคู่สนทนาที่อาจหาญกล้าหน่อย ตอบที่ผมถามซะ...อย่าเลี่ยง

    พวกคุณเล่นตีความคำพูดพ่อแม่ครูบาอาจารย์แบบเข้าข้างตนเองแบบนี้
    ทำให้ผมเห็นต้นแบบของคุณที่สอนให้อย่าเชื่อพระสูตร(ตำรา=ปิฎก)
    แต่กลับกล่าวหาผู้อื่นว่าใบลานเปล่า ใครกันแน่ที่ใบลานเปล่า
    ไม่เคยพูดถึงสภาวะจิตที่แท้จริงได้ถูกต้องเลย ยกแต่ตำรามาอ้าง(ใบลานเปล่า)...

    จำไว้นะ ถ้าเห็นว่าไม่ควรถกเถียงเรื่องอนัตตาธรรมจริงๆแล้ว
    พระพุทธองค์ท่านคงไม่อบรมสั่งสอนท่านพระอาจารย์ปัญจวัคคีย์
    เรื่องอนัตตลักขณสูตร(เรื่องที่ว่าด้วยลักษณะของอนัตตา)หรอก

    ท่านพระอาจารย์หลวงปู่หล้าที่ท่านเทศน์นั้น ก็เพื่อเตือนเหล่าลูกศิษย์ลูกหาของท่านเองในขณะนั้น
    ท่านไม่ได้ห้ามพุทธบริษัทอื่นทั้งหลายที่ใฝ่ธรรม ต้องการถกธรรมเพื่อสัจจะธรรมที่แท้จริงเลย

    ขอเถอะ อย่าเอาพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาเป็นโล่ห์บังหน้าอีกเลย ไม่งามหรอก

    ;aa24
     
  13. peach-1974

    peach-1974 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +2
    ได้อ่านแล้ว ข้อความความเห็นแต่ละท่าน ขัดแย้งกันไปมาดูแล้วตีความคำสอนตามความเห็นของแต่ละท่าน ครับ แต่ก็ดีใจครับที่ได้รู้คำสอนจากหลวงพ่อครูบาอาจารย์หลายท่านในบอร์ดเรื่องนี้
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณpeach-1974
    ท่านพระอาจารย์หลวงปู้หล้า เขมปัตโต ท่านกล่าวชัดเจนขนาดนี้
    โดยไม่ต้องตีความใดๆอีกเลย ชัดเจนอยู่ในตัวอยู่แล้ว
    แม้แต่คนที่ไม่รู้เรื่องศาสนายังเข้าใจได้เลยนะ....

    ;aa24

    ;aa2
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    งั้นผมจะแปลประโยคนี้ให้ฟัง

    จิตไม่ตายเพราะถึงพระนิพพาน ไม่มาเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกอันนั้น

    ตรงนี้ ไม่ได้พูดขึ้นเพื่อชี้ว่า จิตมันเป็นธรรมชาติที่ไม่ตาย แต่เป็น
    การพูดเพื่อให้เห็นว่า เดิมที จิตมันมีธรรมชาติ เกิดและตาย

    ทำไมมันถึงมีตาย เขาก็ให้สนใจพุ่งเป้าไปที่ การเกิด

    ทำอย่างไรไม่ให้จิตมันเกิด.....ทำให้จิตไม่เกิดได้ มันก็ไม่มีจิตให้ตาย

    สภาวะที่ไม่มีจิตเกิดอีก คือ การที่ปฏิบัติจนแจ้งนิพพาน

    เมื่อแจ้งนิพพานแล้ว เป็นอันรู้แล้วว่า ทำอย่างไรไม่ให้จิตเกิดอีก

    เมื่อนิพพานแล้ว จิตไม่เกิดอีกแล้ว จึงสรุปลงมาที่ว่า จิตไม่ตาย

    เหตุคือ แจ้งนิพพาน ผลคือ ไม่มีจิตเกิดให้ต้องไปตายอีก(พูดสั้นๆคือ ภพชาติสิ้น)
     
  16. peach-1974

    peach-1974 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +2
    ขอบคุณครับ คุณนิวรณ์ ที่ช่วยอธิบายเพิ่มเติมครับผม ขอบคุณธรรมภูตครับที่ช่วยคัดลอกมาให้ผมได้อ่านอีกครั้งหนึ่ง ผมยอมรับครับว่าได้ความรู้จากในบอร์ดครับ ส่วนให้ตีความทางธรรมผมคงต้องอ่านจากในบอร์ดนี้ละครับ ผมถนัดด้านระเบียบกฎหมายทางโลกมากกว่าครับผม ขอบคุณทั้งสองท่านมากนะครับผมโดยเฉพาะคุณนิวรณ์ อธิบายได้เข้าใจขึ้นครับผม
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านพระอาจารย์หลวงหล้า..."กายแก่เป็น ชราเป็น ตายเป็น แต่จิตตายไม่เป็น จิตตายมี ๒ อย่าง ตายจากความดีหนึ่ง"

    อ่านเปรียบเทียบกันเองนะ

    ;aa24
     
  18. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ขนาดภิกษุณีที่เป็นนักบวช ฐานะสูงกว่าฆราวาส พระพุทธเจ้า ท่านยังกำหนดไว้ในครุธรรม 8 เลยว่า ไม่พึงด่าหรือบริภาษภิกษุ ไม่ว่ากรณีใดๆ หากฆราวาส ทำเช่นนั้น เท่ากับไม่เคารพพระพุทธเจ้า ทำให้ศาสนาเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น

    และการสอนดูจิตแบบนี้ หลวงพ่อพุธท่านก็เคยสอนในหลวง ร9 แบบเดียวกับที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนดังนี้

     บางท่านเมื่อจิตไม่ตรงกับนิสัยบริกรรมภาวนาเป็นปีๆ จิตไม่สงบก็มีอุบาย ที่จะปฏิบัติได้ คือ ต้องกำหนดรู้ดูความคิดของตนเองตลอดเวลาว่าเราคิดอะไรก็รู้ สิ่งที่คิดมันหายไปก็รู้ อันใหม่เกิดขึ้นมาก็รู้ กำหนดรู้ตามไปเรื่อยๆ เมื่อจิตมีสติกำหนดตามรู้ความคิคกำหนดทันความคิดของจิตเมื่อใด เมื่อนั้นจิตจะสงบเป็นสมาธิได้

    http://palungjit.org/posts/3816935
     
  19. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ลองดูที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นะ

    ร่างกาย อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ บ้าง จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ก็ฉัน นั้นแล ฯ

    อัสสุตวตาสูตรที่ ๑

    หรือดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน

    สมุทยสูตร    ว่าด้วยการเกิดดับแห่งสติปัฏฐาน ๔        ว่า ความเกิดแห่งจิตย่อมมี เพราะความเกิดแห่งนามรูป ความดับแห่งจิตย่อมมี เพราะความดับแห่งนามรูป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ธันวาคม 2012
  20. จิตเปโม

    จิตเปโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2012
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +253
    ของดีไม่ต้องโฆษณา ถ้าของปลอมปฎิบัติแล้วสติปัญญาไม่เกิดเดี๋ยวคนหนีเอง
    ท่านอาจารย์ไม่ได้บังคับใครให้ปฎิบัติตาม

    ใครชอบทางใหนก็ปฎิบัติไปครับ ให้พ้นทุกข์ก็พอ จะเอาอะไรอีกหล่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...