บทความ...กระดานเล่าสู่กันฟัง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 ตุลาคม 2014.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ความสุข...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    กลับคืนสู่ธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ
    กายและจิตล้วนเป็นเพียงธรรมชาติหนึ่งๆ
    มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
    ปรุงแต่ง...โลดแล่น...แล้วก็ดับ หมุนวนเป็นวงกลม

    "กังหันต้องลมหมุนวน...ไม่รู้กี่หนต่อวัน
    ดั่งใจคนหมุนเวียนเปลี่ยนผัน...ไม่รู้ว่าวันละกี่หน"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    หลับตาบริกรรมพุทโธ กำหนดให้เหลือแค่อารมณ์เดียว เป็นอารมณ์ภายใน มองเข้าไปภายใน มันจะมืดนะ มองฝ่าความมืดเข้าไป ลึกเข้าไปๆ จะปรากฏพระพุทธรูป

    จิตยิ่งนิ่ง ภาพพระพุทธรูปก็จะยิ่งชัดขึ้นๆ จากองค์เล็กๆ ก็จะใหญ่ขึ้นๆ บางครั้งก็เห็นองค์เดียว บางครั้งก็เห็นหลายองค์ ลอยอยู่ตรงกลางของความมืดนั้น....เรียกว่ากสิณนิมิต

    สมาธิจิตจะดำเนินไปเรื่อยๆ ตามลำดับฌาน เป็นการฝึกจิตให้เกิดความคล่องแคล่ว ชำนาญในการเข้าฌานออกฌาน โดยอาศัยนิมิตจากกสิณ เพิ่มพูนกำลังจิต

    เมื่อจิตมีกำลังทรงอารมณ์ฌานได้เองแล้ว ก็สามารถตรึกธรรม พิจารณาธรรมได้ตลอดเวลา เมื่อสามารถพิจารณาธรรม เห็นธรรมอยู่ตลอดเวลา ปัญญาธรรมก็เกิด เกิดได้ตลอดจนเต็มรอบ เกิดวิปัสสนาญานไปโดยลำดับ.....แค่นี้แล้วกัน

    พูดมากจะผิดมาก เอิ๊กๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ถ้อยรำพึง...

    จิตไม่อยู่กับกาย ส่งออกตลอดเวลา ส่งออกไปในรัก โลภ โกรธ หลง แล้วจะมีความสุขสงบได้อย่างไร

    ความหวังก็คือกิเลส ทำสิ่งใด คิดสิ่งใด ก็หวังผลไปในเรื่องราวของกิเลส

    จิตที่อยู่กับกาย จะเฝ้าดูอยู่ภายใน ดักจับกิเลสและเหตุแห่งทุกข์ ไม่ให้รุกรานเข้ามาสู่ภายในจนลุกลามไปเป็นทุกข์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ฉันช่วยอะไรใครไม่ได้หรอก ไม่มีเงิน ไม่มีสมบัติ ไม่มีตำแหน่งการงานทางสังคม ทำได้แค่บอกให้ปฏิบัติ นำธรรมะไปใช้ ธรรมอะไรใช้ตอนไหน เมื่อไหร่

    ช่วยปลดทุกข์ให้ใครไม่ได้ เพราะฉันเองก็ยังไม่พ้นทุกข์ การแผ่เมตตาของฉันเป็นการแสดงความรักต่อสรรพชีวิต สิ่งที่ได้รับคือการปิดกั้นอกุศลธรรมไม่ให้ไหลเข้ามาในจิตด้วยกำแพงเมตตา

    ความเห็นทุกความเห็น ถ้าเป็นความเห็นถูก ย่อมไม่ก่อทุกข์ให้กับตนเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เค้าเรียกว่าธัมมะวิจยะหรือเปล่าไม่รู้นะ

    เมื่อคืนนอนพิจารณาว่าเราฟุ้งซ่านมาหลายวันแล้ว จากการส่งจิตออกนอก ปรุงแต่งไปในเรื่องราวของผู้อื่นที่เราพูดคุยสนทนาทางไลน์ ทางแชท เพราะทุกคืนที่สวดมนต์จิตไม่ได้อยู่ที่คำสวดเลย ล่องลอยออกไปในเรื่องราวที่ได้พูดคุย จึงเพียรดึงจิตให้อยู่กับสติอันเป็นไปในกาย เพียรอยู่สามคิน

    จนมาถึงเมื่อคืน จิตพิจารณากายไปพร้อมๆ กับสวดมนต์ มีสติแนบแน่นอยู่กับคำสวด ส่งกุศลและแผ่เมตตา จากนั้นต่อด้วยบทจักรพรรดิ์ ขณะจิตหนึ่ง...จิตอุทานขึ้นว่ากายนี้คือก้อนทุกข์ก้อนธรรมนี่หว่า พอตรึกมาถึงตรงนี้เกิดสภาวะเหมือนถูกตรึงด้วยพลังงานมวลใหญ่ บอกเล่าอธิบายไม่ถูก แต่รู้สึกดีมาก จะเหมือนโล่งก็ไม่โล่ง จะเหมือนโปร่งก็ไม่โปร่ง คล้ายล่องลอยแล้วหยุดอยู่กลางมวลอากาศที่มีพลัง

    ปิติแต่ละปิติที่ผ่านมาเป็นสภาวะไม่เหมือนกันเลยสักครั้ง แต่ได้เห็นว่าเบื่อสุดขีด

    วันนี้ไปค้นหาเรื่องก้อนทุกข์ ก้อนธรรม ได้เจอจริงๆ ก็ลองอ่านกันดูนะ

    โอวาทธรรม
    ของ
    พระอาจารย์ขาว อนาลโย
    วัดถ้ำกลองเพล
    ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู

    ในเรื่องการนั่งสมาธิภาวนา หลวงปู่ท่านแนะนำไว้ดังนี้

    แล้วก็มาเตรียมนั่งสมาธิภาวนา โดยวิธีการนั่งก็ให้เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ทำกายให้ตรง ดำรงสติให้ตั้งมั่นเฉพาะหน้า ไม่ส่งจิตไปในอดีตอันผ่านมาแล้วให้หวนกลับมาในจิตอีกไม่ส่งจิตไปในอนาคตอันยังมาไม่ถึง หรือสร้างวิมานสวยหรูของอนาคตขึ้นในจิตใจ

    ให้กำหนดในปัจจุบัน ว่าเรากำลังนั่งสมาธิ
    น้อมเอาคุณพระพุทธเจ้ามาไว้ที่ใจ
    น้อมเอาคุณพระสงฆเจ้าเข้ามาไว้ที่ใจ

    ตั้งจิตไว้ที่จิต ตั้งใจไว้ที่ใจ โดยใช้ตัวสติเป็นตัวบังคับให้นิ่งอยู่กับคำบริกรรมว่า พุทโธ อารมณ์เดียว จนกว่าจิตจะลงรวมแล้วก็พักผ่อนอยู่ในความสงบอันนั้น

    เมื่อครั้งจิตถอนออกมา ให้ใช้ปัญญาค้นคว้าในกายนี้ลงสู่ ไตรลักษณ์ จนเห็นแจ้งประจักษ์ในไตรภพ ลงสู่ไตรลักษณ์อันเดียว

    ผลงานค้นคว้า คือ จิตของเราจะรู้สึกสลดสังเวช เป็นเหตุให้เกิด นิพพิทาญาณ การเบื่อหน่ายในชาติ - ความเกิดชรา - ความแก่ พยาธิ - ความเจ็บไข้ได้ป่วย มรณะ - ความตาย ความพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหลาย เห็นโทษของ สมุทัย ใจ ตัณหา พาเราเกิดตายอยู่บ่อยๆ ความเกิดทั้งหลายเป็นทุกข์หลาย หาความสุขไม่มี มีแต่ทุกข์เกิดแล้ว ตั้งอยู่ ดับไป ตกอยู่ในไตรลักษณ์ มีเกิดเป็นเบื้องต้น กลางก็เปลี่ยนแปลง ท้ายสุดก็นอนทับพื้นปฐพี ให้ปลวกมากินตา ให้หมากินไส้ ถ้าไม่ฝังเอาไว้ ฝูงแร้งฝูงกาก็เป็นลาภของมัน

    อาหาระลาภะปัจจะโย สัตว์ทั้งหลายเป็นอยู่ด้วยอาหาร
    อาหารจึงเป็นปัจจัยสำคัญของสัตว์ พิจารณาดูว่า สรรพสัตว์ที่เกิดมาแล้วต้องหากินอยู่ ค่ำไม่ได้กิน คืนไม่ได้นอน ตากแดดตากฝนทนทุกข์ทรมาน

    อาหาระปริเยสิทุกขัง ทุกข์เพราะ้ต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อันเป็นปัจจัยสำคัญยิ่ง เพราะฉะนั้นทุกคนต้องระวังปากระวังท้อง

    ถ้าจะพูดกันจริงๆ ละก็ บอกว่า ถ้าข้าวไม่ตกถึงท้องอย่ามายุ่งนะ ผัวเมียเกิดศึกหิวข้าวก็ตอนนี้ ลูกฆ่าแม่ก็เรื่องนี้
    เรื่องปากมันหิว เรื่องท้องมันอยาก ถึงจะมีอาหารการกินดีแสนดีอย่างไรก็ตาม ก็ไม่พ้นเรื่องทุกข์ แต่ก็พากันหลงระเริงสำคัญว่า มันมีความสุข

    ถ้ามาพูดความจริงของสภาวธรรมแล้ว
    กายนี้เป็นก้อนทุกข์ก้อนธรรมทั้งหมด
    ตั้งแต่หัวจรดเท้า หาช่องสุขในระหว่างกลางมิได้เลยแม้แต่น้อยนิด
    จึงเรียกว่า กองทุกข์

    คือ ทุกข์ทั้งหลายมันมากองอยู่ในขันธ์ ๕
    จึงสามารถแยกทุกข์ออกเป็นกองๆ แล้วได้ถึง ๕ กอง
    กองหนึ่งรวมอยู่ที่รูป กองสองอยู่ที่เวทนา กองสามอยู่ที่สัญญา กองที่สี่อยู่ที่สังขาร กองสุดท้ายกองห้าอยู่ที่วิญญาณ...ฯลฯ

    จาก หนังสือหลวงปู่ขาว อนาลโย
    โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๔ หน้า ๓๓๐-๓๓๑

    ...หวังว่าจะมีประโยชน์กับผู้อ่านนะคะ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    "ไม่มีใครน่าสงสารมากไปกว่าจิตที่หลงเข้าไปยึดความสงสาร"
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ

    นั่นคือคำประกาศตนเป็นพุทธมามกะ มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่งอันประเสริฐ แล้วจริงๆ เรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งจริงหรือไม่ ลองตรองกันดู
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    นิมิต ล้วนเป็นอนัตตา
    สภาวธรรม ล้วนเป็นอนัตตา
    สภาพธรรม ล้วนเป็นอนัตตา

    ธรรมทุกธรรม ล้วนเป็นอนัตตา
     
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ไขปริศนาเรื่องคนทรง คนมีองค์

    วันนี้ พบคำเฉลยที่แก้ข้อสงสัยมานานของเราได้บางส่วนแล้ว จากหนังสือคำสอนของหลวงพ่อวิริยังค์ ดังนี้

    บางทีเราจะพบกับผู้ทำสมาธิเกิดตัวสั่นเหมือนผีเข้า อย่างนี้เป็นกิริยาอาการหนึ่งของใจ ความสั่นนี้จะเกิดขึ้นจากการทนไม่ไหวในการที่จิตกำลังจะเข้าสู่อาทิสมานกาย เมื่อจิตละความรู้สึกของกายหยาบสู่อาทิสมานกาย ความเป็นตัวของตัวเองจะไม่มี เพราะอาทิสมานกายนั้นยังไม่ได้ถูกจุดพลังอำนาจดำเนินการ จึงต้องคล้อยไปตามอารมณ์อุปาทานที่คั่งค้าง เพราะขาดจุดพลังอำนาจที่ได้ฝึกให้เกิดพลังแห่งความสามารถบังคับอาทิสมานกายได้ ณ เวลานั้น เป็นความสำเร็จขั้นสำคัญของสมาธิ แต่บุคคลไม่ได้ผ่านการทำสมาธิ หรือผ่านแต่ไม่ถึงจุดพลังอำนาจ การเป็นไปของอาทิสมานกายจะต้องไปตามอารมณ์และอุปาทาน เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงต้องเคลิ้มไปตาม เนื่องจากจิตได้เคลียร์ปลายสุดประสาทของกายหยาบได้แล้ว กายหยาบก็หมดสิทธิ์ที่จะทำงาน จึงเป็นหน้าที่ของอาทิสมานกายในการสั่งการไปตามอารมณ์และอุปาทาน จิตของคนเรานั้นเป็นตัวสะสมทุกสิ่งทุกอย่างที่มันได้ประสบมา เมื่อประสบพบเห็นก็ฉายเข้ามาเก็บเอาไว้นานัปการ ครั้นเมื่อจิตเข้าภวังค์ จิตที่ฉายเอาไว้หรือเท่ากับถ่ายเป็นฟิล์มเก็บไว้ที่จิต ก็จะถูกอัดรูปออกมา เป็นไปด้วยอารมณ์อุปาทานนั้นๆ ด้วยเหตุนี้ กายหยาบจึงแสดงวิธีหรืออาการต่างๆ ออกมาอย่างไร้สติ เป็นสิ่งที่ถูกกดดันจากอทิสมานกายให้พูดสำเนียงต่าง ๆ อักขระต่างๆ อารมณ์อุปาทานติดค้างเจ้าพ่อเจ้าแม่อยู่ในใจแต่ก่อนก็จะแสดงวิธีหรืออาการเหล่านี้ออกมา ซึ่งผิดปกติธรรมดา ไม่เหมือนคนที่มีสติโดยทั่วไป การแสดงออกเหล่านี้ทำให้คนที่มีสติปกติเข้าใจว่าเทพบ้าง ปิศาจบ้าง เจ้าพ่อบ้าง วิญญาณต่างๆ บ้าง เกิดมีความเชื่อด้วยความประสงค์ต้องการให้ช่วยเหลือต่างๆ นานา เป็นต้นว่า ดูชะตา ดูคู่ ดูเมียน้อยเมียหลวง รักษาโรคภัยไข้เจ็บ ดูอนาคต ให้ช่วยในหน้าที่การงาน ค้าขายให้มีโชคลาภ

    ด้วยประการใดก็ตาม หรือด้วยความประสงค์ของประชาชนเอง ตลอดความเชื่อที่ยังไม่ได้รับการกลั่นกรองของผู้คนทั้งหลาย หาที่พึ่งอื่นไม่ประสบความสำเร็จ ก็ต้องมาเอาสิ่งที่ไม่มีตัวตนเป็นที่พึ่ง โดยคิดว่ามันก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร ประชาชนมาคิดกันอย่างนี้ การที่จิตเข้าภวังค์ด้วยความโน้มน้าวของอารมณ์ อุปาทานจึงเกิดขึ้นแล้วตั้งเป็นกลุ่มตามความที่บุคคลมิได้มีการกลั่นกรองให้ทราบและเข้าใจในกรณีเช่นนี้

    (จากหนังสือหลวงพ่อ หน้า ๑๔ – ๑๕)

    เมื่อได้แก้ข้อสงสัยไปเป็นส่วนใหญ่แล้วดังนี้ ถือเป็นอุทาหรณ์สำหรับเราเองว่าไปภายหน้า หากพบเห็นปรากฏการณ์อะไรที่แปลกไปจากความสามารถรู้เห็นปกติของเรา ก็อย่าเพิ่งรีบไปให้ราคามันว่าเป็นสิ่งวิเศษมหัศจรรย์ และอย่าได้รีบโยงเข้ามาเป็นเรื่องในพุทธศาสนาอย่างเด็ดขาด อย่าได้รีบทึกทักว่าเป็นทางเดียวกับสิ่งที่เรากำลังปฏิบัติอยู่อย่างเด็ดขาด

    ที่มา ... http://oknation.nationtv.tv/blog/ditto/2011/10/04/entry-1
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อย่าเพียรเฝ้าหลอกตัวเองอยู่เลยว่าเราสุขสงบ เพราะถ้าเราสุขสงบอย่างแท้จริง คงไม่ดิ้นรนค้นหาความสงบ จงยอมรับความจริงเพื่อก้าวต่อไป แก้ไข ปรับปรุง พัฒนาตนเองไปให้สุดปลายทาง หากใจยังวกวนกับโลกกับธรรม มันก็หมุนวนดั่งล้อเกวียนที่เดินหน้าถอยหลัง คงหมุนไปไม่ถึงฝั่ง ไม่ถึงปลายทางสักที วัวเทียมแอกทั้งหนักและเหนื่อยล้า.....
     
  12. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เอาตำนานมาฝากจ้า

    ตำนาน"พระอุปคุต"เถระสมัยพระเจ้าอโศกที่ยังมีชีวิต หากใครถึงฌานสมาธิ สามารถไปกราบท่านใต้เกษียรสมุทร หนึ่งในต้นตำนาน"พระโลกอุดร"

    เรื่องราวของหลวงปู่เทพโลกอุดร พระผู้มีฤทธิ์อภิญญาสูง แต่ทว่ายังไม่นิพพานไป เพราะตั้งมั่นจะอยู่ดูแลพุทธศาสนา คอยเผยแผ่พระพุทธศาสนา นอกเหนือจาก หลวงปู่เทพโลกอุดรแล้ว ยังมี"พระปิณโฑละวัชชะ" ที่ได้กล่าวไปแล้ว และ "พระอุปคุต" ที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังวันนี้

    ตำนานพระอุปคุตหนึ่งในต้นตำนานพระโลกอุดรยุคปัจจุบัน

    จากการสันนิษฐานตามตำนาน “พระเถระอุปคุต” น่าจะเป็นชาวเมืองปาตลีบุตร เมื่อบวชแล้วบำเพ็ญเพียร จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ สำเร็จอภิญญาต่างๆ จนสามารถแสดงอภินิหาร เป็นที่เล่าลือมาจนทุกวันนี้ มีปฏิปทาดำเนินไปในทางสันโดษ มักน้อย นัยว่าท่านเนรมิตปราสาททำด้วยแก้วเก้าประการ สูง ๙ ชั้น ขึ้นในท้องทะเลหลวง (สะดือทะเล) เป็นเวียงวังพญานาคมีพญานาคพิทักษ์รักษาอยู่อย่างมั่นคง พระองค์เข้าฌานสมาบัติอันละเอียดอ่อนที่สุดนานทีปีหนจึงขึ้นมาบิณฑบาตโปรดมนุษย์สักครั้ง หรือ เมื่อมีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นในพระศาสนา เมื่อมีพิธีกรรมใหญ่ๆ มีผู้นิมนต์ ท่านก็จะขึ้นมาช่วยเหลือด้วยความเต็มใจเสมอ

    สรุปรวมความได้ว่า ท่านเป็นพระเถระสำคัญองค์หนึ่ง ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีลูกศิษย์เป็นพระอรหันต์ถึง ๖ หมื่นองค์ หลังจากที่ท่านโปรดจนได้พระผู้วิมุตติมากถึงเพียงนี้ท่านจึงชำแรกแผ่นดินไป สันโดษอยู่ใต้ท้องทะเลลึกแต่เพียงพระองค์เดียว พระอุปคุตเป็นผู้นำกองทัพธรรมแผ่กระจายไปทั่วโลก เป็นพระเถระผู้เปี่ยมด้วยพุทธานุภาพ และฤทธิ์เดชเกรียงไกร สามารถปราบพญามารและกำจัดสิ่งชั่วร้าย ที่จะมาทำลายพิธีกรรมใหญ่ๆ มาแต่ครั้งโบราณ

    เรื่อง ราวก็มีอยู่ว่า เมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๒ หลังพุทธปรินิพพาน ณ นครปาตลีบุตราชธานี (ปัจจุบันคือเมืองปัตนะ ภาคใต้อินเดีย) พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ครองราชสมบัติในขณะนั้น ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ตามตำนานกล่าวว่า ได้ทรงสร้างพระวิหารและพระสถูป มากมายทั่วทั้งชมพูทวีป (เค้าว่ามากถึงแปดหมื่นสี่พันองค์) เป็นผู้รวบรวมและขุดค้นพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อจะนำไปบรรจุในสถูปที่พระองค์ทรงสร้างไว้ทุกแห่ง

    เมื่อการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงปรารภ ที่จะจัดให้มีการฉลองสมโภช พระสถูปเจดีย์ทั้งหมดนั้น เป็นการมโหฬารยิ่ง ตลอด ๗ ปี ๗ เดือน๗ วัน และเพื่อให้การฉลองสมโภช เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ปราศจากอุปสรรค จึงใคร่จะอาราธนาพระสงฆ์ขีณาสพ ที่ทรงอิทธิฤทธิ์ มาเป็นผู้คุ้มครองงาน ให้ปราศจากการรบกวนจากมารร้ายต่างๆ

    แต่พระสงฆ์ในนครปาตลีบุตร ไม่มีรูปใดที่จะสามารถเป็นผู้คุ้มครองงานมหกรรมอันยิ่งใหญ่นี้ให้พ้นจากภัยทั้งหลายทั้งปวงได้ (โดยเฉพาะภัยจากพญาวัสสวดีมาร ผู้มีฤทธิ์ยิ่งกว่าภูตผีปีศาจทั้งหลาย) นอกเสียจากพระอุปคุตเถระผู้เดียวเท่านั้น พระสงฆ์ทั้งปวงจึงตั้งตัวแทน ๒ รูป ลงไปอาราธนาพระอุปคุตเถระผู้เรืองฤทธิ์ มาช่วยรักษาความปลอดภัยในงานสมโภชครั้งนี้ ซึ่งกล่าวกันว่า พระอุปคุตเถระองค์นี้ มีปกติสันโดษอยู่องค์เดียว เข้าฌานสมาบัติเสวยวิมุตติสุข อยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ภายในปราสาทแก้วที่เนรมิตขึ้น เหนือรัตนะบัลลังก์ จะออกจากสมาบัติ เหาะขึ้นมาบิณฑบาตในโลกมนุษย์ในวันพุธเพ็ญกลางเดือนเท่านั้น

    และในครั้งนี้เอง พระอุปคุตเถระ ถูกพระภิกษุสองรูป ผู้ได้อภิญญาสมาบัติชำแรกมหาสมุทร ลงมาถึงตัวท่านแจ้งว่า ให้ท่านจงเป็นธุระ ป้องกันพญามารอย่าให้รบกวนงานฉลองพระสถูปเจดีย์ ของพระเจ้าอโศกมหาราชได้

    เมื่อพระอุปคุตเถระได้รับนิมนต์ ก็เดินทางมานมัสการ และรายงานตัวต่อคณะสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น พระเจ้าอโศกมหาราช จึงได้เสด็จเข้ามานมัสการคณะสงฆ์ เพื่อขอทราบเรื่อง ผู้จะที่จะมาทำหน้าที่รักษาการ งานฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ เมื่อพระองค์ทรงทราบ ว่าผู้ที่จะมาทำหน้าที่นี้ คือพระอุปคุตเถระ ก็ทรงนึกแคลงพระทัย เนื่องจากพระอุปคุตเถระนั้น มีร่างกายผ่ายผอมดูอ่อนแอ ก็ทรงไม่แน่ใจ เกรงจะทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์ แต่ไม่ทรงตรัสว่ากระไร

    ครั้นรุ่งเช้าวันใหม่ ขณะที่พระอุปคุตหาเถระ ออกบิณฑบาตในนครปาตลีบุตรนั้น พระเจ้าอโศกมหาราช ใคร่จะทดสอบฤทธิ์พระเถระ จึงทรงปล่อยช้างซับมัน (ช้างตกมัน) ให้เข้าทำร้ายพระเถระ พระมหาอุปคุตเถระเห็นดังนั้น จึงสะกดช้างที่กำลังวิ่งเข้ามา ให้หยุดอยู่กับที่ไม่ไหวติงประดุจช้างที่สลักด้วยศิลา พระเจ้าอโศกมหาราช ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ทรงเลื่อมใส จึงเสด็จไปขอขมาพระเถระ พระมหาอุปคุตเถระก็ให้อภัยทั้งแก่พระเจ้าอโศกมหาราชและพญาคชสาร

    เมื่อเห็นว่าพระอุปคุตเถระ มีฤทธิ์เดชมาก พระเจ้าอโศกมหาราช ก็ทรงวางพระทัย ตรัสสั่งให้เตรียมฉลองสมโภช พระสถูปเจดีย์ทั้งหมด ด้วยการปลูกปะรำร้านโรง ประดับธงทิว และประทีปโคมไฟ ตลอดระยะทางกึ่งโยชน์ ทำให้ตามแนวฝั่งแม่น้ำคงคา สว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ

    บรรลุฤกษ์งามยามดีตามที่กำหนดไว้ บรรดาพระสงฆ์ขีณาสพ และพระสงฆ์ปุถุชน ตลอดจนพุทธศาสนิกชน ทั้งในนครปาตลีบุตร และต่างแดนจากจตุรทิศ ก็เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่บริเวณงาน พร้อมเครื่องสักการบูชา เพื่อร่วมพิธีฉลองสมโภช พระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ในมหาเจดีย์ และเจดีย์ทั้งแปดหมื่นสี่พันองค์ ด้วยความเลื่อมใส ศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง

    และในเวลานี้เองพญามาร (พญา วัสสวดีเทพบุตรมาร) ก็มุ่งหน้าเข้ามาในงานกับเค้าเหมือนกัน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะก่อความวุ่นวายต่างๆ นานา ทั้งบันดาลให้เกิดลมพายุ ทั้งแปลงร่างเป็นสัตว์ป่า และสัตว์หิมพานต์ แต่ทุกครั้งก็โดนพระอุปคุตเถระ กำราบได้หมด และสุดท้ายเพื่อให้พญามารออกไปจากบริเวณพิธี พระอุปคุตเถระจึงเนรมิตร่างหมาเน่าขึ้นมาตัวหนึ่ง แล้วดึงประคตจากเอวของท่าน ออกมาผูกร่างหมาเน่านั้น คล้องคอพญามารไว้ แล้วสำทับว่าไม่ว่าใครก็ตาม (นอกจากท่านเอง) จะเอาหมาเน่านี้ออกจากคอพญามารไม่ได้ แล้วขับพญามารออกไปจากบริเวณงานทันที

    ด้วยความอับอายพญามารก็ออกมาจากบริเวณงาน และพยายามแก้ร่างสุนัขเน่า ออกด้วยฤทธานุภาพ แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถแก้ได้ เพราะเมื่อเอามือทั้งสองต้องสายประคตที่คล้องคอทีไร ต้องมีไฟลุกขึ้นไหม้คอและมือทันที สุดจะแก้ไขด้วยตนเองได้ ก็ไปหาที่พึ่งอื่น (ที่คิดว่าน่าจะช่วยได้)

    แต่ถึงแม้จะไปหาท้าวมหาราชทั้งสี่ พระอินทร์ ท้าวยามา ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมิตเทวราช ตลอดจนท้าวสหัสบดีพรม ก็ไม่มีใครสามารถช่วยได้ ต่างได้แต่แนะนำว่า ให้พญามารไปขอขมาและขอความเมตตาจากพระเถระผู้นั้นเสียดีกว่า

    พญามารเห็นดังนั้น จึงจำใจต้องกลับไปหาพระเถระ อ้อนวอน ให้ช่วยเอาซากหมาเน่าออกจากคอให้ แล้วจะไม่มารบกวนการจัดงานอีก พระอุปคุตเถระก็อนุโลมตามแต่ยังไม่ไว้ใจพญามารนัก เกรงพญามารจะกลับมาทำลายพิธีในภายหลัง จึงเดินนำพญามารไปยังเขาใหญ่ลูกหนึ่ง แล้วเอาร่างหมาเน่าทิ้งลงเหวและเนรมิตให้สายประคตยาวขึ้นแล้วพันคอพญามารไว้กับเขาลูกนั้น พร้อมทั้งแจ้งว่า เมื่อเสร็จพิธีฉลองสมโภชพระมหาเจดีย์สิ้นสุดลงแล้วจึงจะแก้โซ่ออก ปล่อยให้พญามารเป็นอิสระ

    เวลา ผ่านไปตามที่ตกลงกัน การจัดงานสมโภชน์ ก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พระอุปคุตเถระจึงกลับมาหาพญามาร โดยแอบอยู่ห่างๆ เพื่อฟังเสียงพญามารว่าละพยศร้ายหรือยัง พญามารเองเมื่อจากทิพยวิมานอันบรมสุข มารับทุกขเวทนาเช่นนี้ก็ละพยศร้ายในสันดาน หวนนึกถึงพระพุทธโคดม จึงกล่าวสดุดีในความเมตตากรุณา ของพระพุทธเจ้า ในเรื่องที่ทรงมีมหากรุณาธิคุณ อันยิ่งใหญ่ว่า

    “ทรงบำเพ็ญสิ่งอันเป็นที่สุดหามิได้ เป็นที่พึ่งพำนักแก่สัตว์โลกทั้งมวล ในกาลทุกเมื่อ พระองค์นั้น เป็นผู้ประเสริฐหาผู้เสมอเหมือนมิได้ อนึ่ง ในกาลก่อน ข้าพเจ้าได้ทำร้ายพระองค์โดยประการต่างๆ แต่พระองค์ก็ยังทรงมหากรุณาธิคุณ มิได้กระทำการโต้ตอบแก่ข้าพเจ้าเลย มาบัดนี้ สาวกของพระองค์นามว่าอุปคุต ไม่มีเมตตาแก่ข้าพเจ้าเลย กระทำกับข้าพเจ้าให้ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส และได้รับความอับอายเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าข้ายังมีบุญกุศลที่ได้สั่งสมไว้แต่กาลก่อน ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐานปรารถนาเป็นพระสัพพัญญูในอนาคต ดังเช่นพระองค์ต่อไป”

    จากเหตุการณ์ครั้งนั้น พระเจ้าอโศกได้ทำ “ธาตุนิธาน” คือทั้งรวมรวบพระบรมสารีริกธาตุทั้งปวง และสร้างพระเจดีย์ธาตุทั้งฉลองพระบรมธาตุทั้งปวงสำเร็จ เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ยิ่งใหญ่ในพระพุทธศาสนา ส่วนพระอุปคุตได้รับการยกย่องจากมหาชนทั้งปวงว่าเป็นพระอรหันต์ปราบมาร เป็นประเพณีสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ ว่าหากจะทำบุญใหญ่ ทำบุญสำคัญอันใด ให้แห่พระอุปคุตหรือนิมนต์พระอุปคุตเป็นพิธีเสียก่อนเพื่อให้บารมีพระอุปคุตนั้นขจัดเสียซึ่งอุปสรรคทั้งปวงอันจะมีมาได้ ป้องกันมารไม่ให้มาทำลายพิธีดังนี้

    ยังมีตำนานข้างพม่าอีกว่าครั้งหนึ่งเมื่อพันกว่าปีที่แล้วพม่ามีกษัตริย์ที่ทรงอิทธิฤทธิ์สามารถไปไหนมาไหนโดยพรมวิเศษ นั่งแล้วพรมก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศพาเสด็จไปยังสถานที่ต่างได้ตามพระราชหฤทัย ครั้งหนึ่งพระราชากำลังเสด็จโดยทางอากาศแลเห็นพระอุปคุตมีรูปร่างผิวดำ ผอมกระหร่อง เดินอยู่ริมชายหาด เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยโคลน ขณะนั้นพระอุปคุตกำลังช่วยเหลือปูปลาที่มาเกยติดชายฝั่งอยู่ พระราชาเห็นแล้วก็นึกในใจว่า “สมณะสกปรก” คิดเพียงแค่นั้นพรมวิเศษที่ลอยอยู่กลางอากาศก็เสื่อมฤทธิ์ตกลงมายังพื้นดิน พระราชาคิดในใจว่าคงเป็นเพราะเราไปดูถูกพระรูปนั้นเข้า ชะรอยท่านคงเป็นพระอริยเจ้าเป็นแน่ จึงเข้าไปขอขมาท่านพรมวิเศษจึงมีฤทธิ์ดังเก่า

    ิ ิ อีกเรื่องหนึ่งเล่าว่าพระอุปคุตจำพรรษาในเกษียรสมุทรนานๆ จึงออกจากนิโรธสมาบัติมารับอาหารฉันสักคราว ครั้งหนึ่งพระอุปคุตออกจากฌานขึ้นมาบิณฑบาตในเมืองพม่าตอนเที่ยงคืน กระยาจกผู้หนึ่งได้ใส่บาตรท่าน พอหันหลังกลับบ้าน ปรากฏว่ามีทองคำเพชรนิลจินดาเต็มไปหมด เหตุนี้ใครๆ ก็เลยอยากทำบุญกับพระอุปคุตเพราะเชื่อกันว่าท่านเป็นพระแห่งโชคลาภ

    คนพม่าเชื่อว่าพระอุปคุตนั้นท่านแบ่งภาคไปอยู่ในมหาสมุทรทิศต่างๆ ทั้ง ๘ ทิศ และอยู่กึ่งกลางมหาสมุทรอันเป็นทะเลน้ำนมด้วย การบูชาพระอุปคุตของพม่าจึงมักบูชา ๔ องค์ ๘ องค์ เป็นต้น

    พระอุปคุตท่านนี้เป็นพระอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุดและมีพฤติกรรมใกล้เคียงกับ “หลวงปู่โลกอุดร” ครูบาอาจารย์หลายท่านยืนยันว่าท่านก็คือหลวงปู่โลกอุดรพระองค์หนึ่งด้วยที่ชอบมาในรูปของ “หลวงตาดำ” ใส่จีวรแบบขอไปที ดูตลกๆ พระอุปคุตท่านนี้ได้อธิษฐานจิตไว้ว่าจะดำรงสังขารอยู่ดูแลพระพุทธศาสนาของพระสมณะโคดมจนครบ ๕ พันปี ดังนั้น ในทุกวันนี้พระอุปคุตท่านก็ยังดำรงคงสังขารไว้ ผู้ได้ฌานสมาธิก็สามารถถอดจิตไปกราบท่านใต้เกษียรสมุทรได้



    ผู้แต่ง : ทิพยจักร

    จากหนังสือ บารมีเหนือโลก หลวงปู่เทพโลกอุดร
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    กรรมเก่า กรรมใหม่ ความดับแห่งกรรม ปฏิปทาอันเป็นเครื่องให้ถึงความดับแห่งกรรม กรรมสูตร

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงกรรมทั้งใหม่และเก่า
    ความดับแห่งกรรม และปฏิปทาอันเป็นเครื่องให้ถึงความดับแห่งกรรม ท่านทั้งหลายจงฟังจงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมเก่าเป็นไฉน จักษุ อันบัณฑิตพึงเห็นว่าเป็นกรรมเก่า อันปัจจัยทั้งหลายปรุงแต่งแล้ว สำเร็จด้วยเจตนา เป็นที่ตั้งแห่งเวทนา หู...จมูก...ลิ้น...กาย...ใจ อันบัณฑิตพึงเห็นว่าเป็นกรรมเก่าอันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว สำเร็จด้วยเจตนา เป็นที่ตั้งแห่งเวทนา ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า กรรมเก่า ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมใหม่เป็นไฉน กรรมที่บุคคลทำด้วย กาย วาจา ใจ ในบัดนี้ นี้เราเรียกว่า กรรมใหม่ ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ความดับแห่งกรรมเป็นไฉน
    นิโรธที่ถูกต้อง วิมุตติ เพราะความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม นี้เราเรียกว่า ความดับแห่งกรรม ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลายปฏิปทาอันเป็นเครื่องให้ถึงความดับแห่งกรรม เป็นไฉนอริยมรรคมีองค์ ๘ ประการคือ
    สัมมาทิฏฐิ ๑ สัมมาสังกัปปะ ๑ สัมมาวาจา ๑ สัมมากัมมันตะ ๑ สัมมาอาชีวะ ๑ สัมมาวายามะ ๑ สัมมาสติ ๑ สัมมาสมาธิ ๑

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่าปฏิปทาอันเป็นเครื่องให้ถึงความดับกรรม ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย กรรมเก่า กรรมใหม่ ความดับแห่งกรรม และปฏิปทาอันเป็นเครื่องให้ถึงความดับกรรม เราได้แสดงแล้วแก่ท่านทั้งหลายด้วยประการดังนี้แล กิจใดแล อันเราผู้ศาสดา ผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล ผู้อนุเคราะห์แก่สาวกทั้งหลาย พึงทำ กิจนั้นเราทำแล้วเพราะอาศัยความอนุเคราะห์

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่างเปล่า เธอทั้งหลายจงพยายาม อย่าประมาท อย่าได้เป็นผู้มีความเดือดร้อนใจในภายหลัง นี้เป็นอนุศาสนีของเราเพื่อ
    เธอทั้งหลาย ฯ

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๘
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
     
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    แวะเอานิทานมาฝากค่ะ

    นิทานสอนใจ พระกับขอทาน

    นิทานเรื่องนี้ดีนะ…อ่านเถอะคุ้มค่าจริงๆ…

    กาลครั้งหนึ่ง มีขอทานคนหนึ่งออกขอทานทุกวัน เขาอยากจะมีชีวิตเหมือนคนปกติ เพราะฉะนั้น เขาจึงมักจะขอทานเสบียงกรังและตุนไว้ แต่ว่าเขากักตุนเสบียงมาหลายปี ยุ้งฉางของเขาก็มีเพียงข้าวสารนิดหน่อย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจค้นหาสาเหตุ

    คืนวันหนึ่ง เขาแอบอยู่มุมหนึ่งของบ้านและจ้องไปที่เสบียง ในที่สุด เขาเห็นหนูตัวใหญ่มาขโมยกินเสบียงของเขา เขาโกรธมาก ตะโกนไปที่เจ้าหนูว่า “บ้านคนรวยมีอาหารเยอะแยะ แกทำไมไม่ไปกินทำไมเจาะจงมากินอาหารข้าที่กักตุนมาด้วยความลำบาก” เจ้าหนูพูดขึ้นว่า “ชะตาของเจ้ามีข้าวสารได้แค่8ส่วน เดินให้ทั่วหล้า ก็ไม่สามารถมีข้าวได้ครบถัง” ขอทานถามเจ้าหนู “ทำไมเป็นเช่นนั้น” เจ้าหนูตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้ เจ้าไปถามพระพุทธองค์สิ

    ขอทานจึงตัดสินใจ เดินทางไปทางทิศตะวันตกเพื่อถามพระพุทธองค์ ว่าเหตุผลอันใดถึงมีชะตาชีวิตเช่นนี้

    เจ้าขอทานก็ออกเดินทาง เขาขอทานระหว่างทาง เดินทางไปไกลมาก วันหนึ่ง เขาเดินจนฟ้ามืดถึงจะพบบ้านคนหลังหนึ่ง รีบไปเคาะประตู มีพ่อบ้านเดินออกมาถามว่ามีเรื่องอะไร เขาบอกขอข้าวกินหน่อย พอดีเศรษฐีเจ้าของบ้านออกมาเห็นเข้า เลยถามขอทานว่า มืดอย่างนี้แล้วทำไมยังเดินทางอยู่อีก ขอทานจึงเล่าชะตาชีวิตให้เศรษฐีฟัง บอกว่าจะไปถามเหตุผลกับพระพุทธองค์ เศรษฐีได้ยินดังนั้น รีบเชิญขอทานเข้าไปนั่งในบ้าน ให้เสบียงกรังและเงินกับเขาจำนวนหนึ่ง ขอทานถามว่าทำไมทำเช่นนั้น เศรษฐีจึงเล่าเหตุผลให้ฟังว่า ลูกสาวข้าอายุ16แล้ว ยังพูดไม่ได้ ขอร้องให้เจ้าช่วยถามเหตุผลกับพระพุทธองค์ด้วย

    เศรษฐีเคยสาบานว่าใครก็ตามที่ทำให้ลูกสาวพูดได้ เขาก็จะให้ลูกสาวแต่งงานกับคนนั้น ขอทานได้ฟังเช่นนั้น คิดว่าไหนๆก็จะไปหาพระพุทธองค์อยู่แล้ว เราก็ถือโอกาสช่วยถามให้เขาก็ได้ ขอทานจึงรับปากจะถามให้

    ขอทานเดินทางต่อไปผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า เดินถึงเขาลูกหนึ่ง เห็นวัดแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ก็เลยเข้าไปขอน้ำดื่ม เห็นพระแก่รูปหนึ่งถือไม้เท้าดีบุก ท่าทางแก่มาก แต่ดูกระฉับกระเฉง พระชราให้น้ำเขาดื่มและบอกให้เขาพักผ่อนสักครู่ แล้วถามเขาว่าจะไปไหน ขอทานบอกจุดหมายที่จะไป พระชรารีบจับมือขอทานไว้และพูดว่า ขอร้องเจ้าต้องช่วยถามพระพุทธองค์ให้หน่อย ข้าเข้าฌานฝึกฝนมา 500 กว่าปีแล้ว ตามหลักควรจะขึ้นสวรรค์แล้ว ทำไมยังบินขึ้นไปไม่ได้ ขอทานก็เลยรับปากพระชรา

    เดินไปข้างหน้า ผ่านหนทางทั้งห้วยหนองคลองบึง ขอทานมาถึงริมแม่น้ำสายหนึ่ง ในแม่น้ำไม่มีเรือสักลำ ขอทานร้อนรนใจ จะทำอย่างไรดี จะข้ามไปยังไง ขอทานร้องไห้และพูดว่า หรือว่าชีวิตข้าจะต้องลำบากเช่นนี้หรือ ทันใดนั้น เต่ายักษ์แก่ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นเหนือน้ำ เต่าแก่พูดภาษาคนได้ ถามขอทานว่ามาร้องไห้ที่นี่ทำไม ขอทานเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เต่าแก่พูดกับเขาว่า ข้าได้เข้าฌานปฏิบัติตนมา 1000 ปีแล้ว ตามหลักน่าจะกลายเป็นมังกรบินไปแล้ว ทำไมยังเป็นแค่เต่าแก่ๆตัวหนึ่ง ถ้าเจ้าไปพบพระพุทธองค์ช่วยถามให้ข้าด้วย ข้าจะให้เจ้าขี่ข้ามแม่น้ำไปฝั่งตรงข้าม ขอทานรับปากด้วยความดีใจ

    ขอทานเดินไปจำไม่ได้ว่าอีกกี่วัน แต่ก็หาพระพุทธองค์ไม่เจอ คิดในใจว่าพระพุทธองค์อยู่ไหนนะ แดนสุขาวดีน่าจะถึงแล้ว ขอทานเสียใจมาก เลยผลอยหลับไปแบบงุนงง

    ทันใดนั้นพระพุทธองค์ปรากฏองค์ขึ้น ขอทานดีใจมาก พระพุทธองค์ถามขอทานว่า เจ้ามาไกลขนาดนี้ น่าจะมีคำถามอะไรที่สำคัญมากใช่ไหม ใช่เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะถามคำถามหลายคำถาม หวังว่าท่านจะอธิบายให้ข้าน้อยเข้าใจได้ พระพุทธองค์ตอบว่า ได้สิ แต่มีเงื่อนไขหนึ่งนะเจ้าถามได้สูงสุดแค่ 3 คำถามเท่านั้น เพราะว่าไม่เคยมีใครถามเกิน 3 คำถามมาก่อน ขอทานตอบตกลง คิดในใจว่า ข้าจะถามคำถามไหนดีขอทานรู้สึกว่าคำถามของตนเองช่างไม่มีความสำคัญเลย

    เต่าแก่เข้าฌานมา1000ปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่าย คำถามเขาน่าจะลองถามดู

    พระชราปฏิบัติมา500ปี ก็ลำบากมาก คำถามเขาก็น่าจะถามดู

    ลูกสาวเศรษฐีช่างน่าสงสารนัก พูดไม่ได้แล้วจะแต่งงานได้ยังไง

    คำถามของเขาก็น่าจะถามดู และแล้วขอทานจึงไม่ลังเลที่จะถามคำถามที่1

    พระพุทธองค์ตอบเขาว่า เต่าแก่ไม่ยอมสละกระดองของมัน ก็เลยไม่สามารถกลายเป็นมังกรได้ ในกระดองของเต่ามีไข่มุกราตรีอยู่24เม็ด ถ้ามันยอมสละกระดอง มันก็จะกลายเป็นมังกรได้

    คำถามที่2 ท่านตอบว่า พระชราถือไม้เท้าวิเศษทั้งวัน ในใจพะวงแต่ไม้เท้าว่าเป็นของวิเศษ ใช้ไม้เท้าเคาะบนพื้น1ที บนพื้นก็จะกลายเป็นธารน้ำใส ถ้าหากพระชรายอมโยนไม้เท้าทิ้ง เขาก็จะขึ้นสวรรค์ได้แล้ว

    ขอทานดีใจมาก จึงถามคำถามที่3 ท่านตอบว่า ถ้าเด็กสาวได้พบคนที่เธอรัก เธอก็จะพูดได้เอง และทันใดนั้นพระพุทธองค์ก็หายไป?

    ขอทานรู้สึกว่า ปัญหาของตัวเองไม่มีอะไรสำคัญ กลับไปขอทานตามเดิมดีกว่า แล้วจึงรีบเดินทางกลับ ขอทานกลับมาถึงริมแม่น้ำ เต่าแก่คำนวนว่าขอทานน่าจะมาถึงแล้ว จึงรีบถามว่าพระพุทธองค์ตรัสว่ายังไง ขอทานพูดว่า เจ้าพาข้าข้ามแม่น้ำไปก่อน ข้าจะเล่าให้ฟัง เต่าพาขอทานข้ามแม่น้ำไป ขอทานเล่าสาเหตุให้ฟัง เต่าฟังแล้วเข้าใจทันที จึงถอดกระดองออกยกให้ขอทานและพูดว่า ในนี้มีไข่มุกราตรี24เม็ด เป็นของที่หาค่ามิได้ สำหรับข้าไม่มีประโยชน์แล้ว ข้าขอยกให้เจ้า เต่าแก่จึงกลายเป็นมังกร บินหายไป

    ขอทานเอาไข่มุกราตรี24เม็ด รีบเดินทางกลับมาถึงบนเขาพบกับพระชรา พระชรารีบถามว่าพระพุทธองค์ท่านตรัสว่าอย่างไร ขอทานเล่าสาเหตุให้ฟัง พระชราได้ฟังดีใจมาก จึงมอบไม้เท้าวิเศษให้แก่ขอทาน พระชราจึงขี่เมฆบินขึ้นท้องฟ้าหายไป

    ขอทานเดินทางมาถึงหน้าบ้านเศรษฐี ทันใดนั้น มีหญิงสาววิ่งออกมาและตะโกนเสียงดังว่า คนที่ไปถามพระพุทธองค์กลับมาแล้ว เศรษฐีก็วิ่งออกมา เขาตกใจมากที่อยู่ๆลูกสาวเขาพูดได้ ขอทานถ่ายทอดคำตรัสพระพุทธองค์ เศรษฐีดีใจมาก จึงให้ลูกสาวแต่งงานกับขอทาน....จบ

    ปล. ลงภาพในกระทู้ไม่ได้ค่ะ เป็นที่เวปปรับปรุงใหม่หรือเป็นที่เราก็ไม่รู้เหมือนกันนะ
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,678
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    ขอทานมีจิตใจดีที่ไม่เห็นแก่ตัว สาธุ
    ขอกอปเรื่อง ลพ วิริยังค์นะคะ
    เรื่องใส่ภาพ ต้องฝึกบ่อยๆค่ะ เคยเป็นเหมือนกัน ...:)
     
  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สาธุ ยินดีค่ะคุณ Supatorn :D
     
  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พรรษานี้ปั้นพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ปางเปิดโลกสำเร็จไป 2 องค์ค่ะ

    องค์ที่ 1 มีส่วนสูงรวมฐาน 68 cm.
    องค์ที่2 มีส่วนสูงรวมฐาน 45 cm.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ช่วงนี้ไม่ว่างเข้ามาโพสต์อะไรให้อ่าน ติดงานปั้นนะคะ ปั้นพระแม่อุมา-ลักษมี กับพระศิวะ-พระนารายณ์ เป็นภาคอวตาร รายละเอียดค่อนข้างเยอะ เสร็จไปแล้วหนึ่งองค์ ขนาดสูง 12 นิ้วค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2017
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อวตารพระศิวะ-พระนารายณ์ หรือพระหริหระ อยู่ระหว่างการปั้น ยังไม่เสร็จสมบูรณ์นะคะ นำภาพมาให้ชมกันก่อน หน้าตักกว้าง 7 นิ้วค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เสร็จไป 80% ค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...