รวมโอวาทหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย อภิราม, 7 ตุลาคม 2010.

  1. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]


    การทำสมาธิ

    "สมาธิ" แปลว่า ตั้งใจ

    ถ้าตั้งใจรักษา ศีล ให้ครบถ้วน ตั้งใจทรงอารมณ์ในกรรมบถ ๑๐ ให้ครบถ้วน ก็เป็นสมาธิในศีลและกรรมบถ ๑๐
    ถ้ามีอารมณ์ทรงตัวโดยที่ศีลและกรรมบถ ๑๐ ไม่คลาดจากใจ คิดไม่ลืม
    ไม่มีการปฏิบัติผิดพลาด อย่างนี้ท่านเรียกว่า ผู้ทรงฌานในศีลและกรรมบถ ๑๐
    ท่านที่มีอารมณ์นับถือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์แน่นอน ไม่ปรามาสแม้แต่พูดเล่น
    อย่างนี้ท่านเรียกผู้นั้นว่า ผู้ทรงฌานในพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ
    ท่านที่มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ ต้องตาย ไม่ประมาทในชีวิต คิดทำความดี
    ละความชั่ว เป็นปกติ ท่านก็เรียกผู้นั้นว่า มีฌานในมรณานุสสติ รวมความแล้ว
    สมาธิ มีแก่ท่านที่ทรงอารมณ์อย่างนี้อยู่แล้ว จะนั่งขัดสมาธิภาวนาหรือไม่ก็ตาม
    ทำได้ในทุกอิริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดิน ได้ทั้งนั้น
    ถ้าทำคนเดียวอยู่ในที่พักของเราเอง สามารถนั่ง นอน ยืน เดิน ตามสบาย ที่ไม่ฝืนอารมณ์ใจใช้ได้เลย ถ้าฝืนอารมณ์ใจ จิตจะไม่เป็นสมาธิ เพราะเราฝึกที่ใจ ไม่ได้ฝึกที่กาย เว้นไว้แต่อยู่ในคนกลุ่มมากด้วยกัน ต้องทำตามระเบียบของสถานที่



    ที่มา: พ่อสอนลูกเล่ม ๑ หน้า ๑๘๑



    ***************************



    อภัยทาน

    อภัยทานนี้ เป็นธรรมทานอย่างหนึ่ง เป็นการให้ทานที่ไม่ต้องลงทุนด้วยวัตถุ และก็เป็นทานสูงสุด พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ใครเป็นผู้มีอภัยทานประจำใจ คนนั้นก็เป็นผู้เข้าถึงปรมัตถบารมีแล้ว คำว่าปรมัตถบารมีนี้ เป็นบารมีสูงสุด เป็นบารมีที่จะทำให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน คำว่าอภัยทาน ก็ได้ แก่การให้อภัยซึ่งกันและกัน หมายความว่าคนใดก็ตาม เขาทำให้เราขุ่นเคือง ทำให้เราไม่ชอบใจด้วยกรณีใดๆก็ตาม ถ้าหากเราคิดพิจารณา เข่นฆ่าจองล้างจองผลาญ
    ถ้าเขาด่าเรา เราคิดว่าโอกาสสักวันหนึ่งข้างหน้าเราจะด่าตอบ เขาลงโทษเรา เราจะลงโทษตอบ เขาตีเรา เราคิดว่าเราจะตีตอบ แต่โอกาสมันยังไม่มี คิดเข้าไว้ในใจว่า เราจะทำอันตรายตอบ
    อย่างนี้พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เป็นอาฆาต คือพยาบาท เป็นไฟเผาผลาญดวงจิต เพราะคนที่เรากำลังคิดจะฆ่าก็ดี คิดจะประทุษร้ายก็ดี นี่เขายังไม่ทันรู้ตัว เขามีความสุข เราคนที่คิดจะทำเขานั่นแหละ ตั้งแต่แรกหาความสุขไม่ได้ มันเป็นไฟเผาผลาญคนคิดนี่แหละ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพราะอำนาจโทสะเข้าสิงใจ นี่คือผลแห่งอำนาจโทสะหรือพยาบาท มันเริ่มเผาผลาญตั้งแต่คิดทีเดียวเลย



    ที่มา: คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่ม ๑๗
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  2. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    ตัวนิพพานคืออุปสมานุสติกรรมฐานถ้าจิตเรามั่นคงในพระพุทธเจ้าจริง ในพระธรรมจริง ในพระอริยสงฆ์จริง และก็มั่นคงในศีล ๕จริง จิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ คำว่ารักพระนิพพานนี่คิดไว้เสมอว่ามนุษย์ เทวดา พรหมไม่เอา จะตายเมื่อไรฉันไปนิพพานเมื่อนั้น ศีล ๕ ต้องมั่นคงจริงๆ อย่างนี้ท่านเรียก พระโสดาบัน พระสกิทาคามีนะ ขณะที่เจริญกรรมฐานจะให้ได้ดี ตัดสินใจว่าเวลานี้ ภาระกิจอะไรที่เรามีอยู่ในฐานะพ่อบ้าน แม่บ้าน ลูกบ้าน หลานบ้าน เหลนบ้าน อะไรก็ตาม หน้าที่นั้นมีอยู่เพียงไร เราจะทำให้ดีที่สุดในฐานะที่ชีวิตมันทรงอยู่เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุข แต่ว่าตายแล้วเลิกกัน เท่านั้นไม่ยาก

    ที่มา: รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน



    *************************************​



    คนตายได้ทุกสถานที่ถ้าถึงวาระที่มันจะตาย ต้องทราบว่าความตายเขากำหนดสถานที่และเวลาไว้แล้ว เราจะไปไหนไม่ต้องกลัวหรอก ถ้ายังไม่ถึงวาระที่เขากำหนด มันก็ไม่ตาย พอถึงวาระที่เขากำหนดไว้แล้วมันต้องตายแน่ เราจะไปคิดว่าตายนอกบ้าน ตายในบ้านไม่แน่นอน อยากจะรู้ก็ไปดูบัญชีที่ พระยายมขอท่านดูก็ได้ ว่าเราจะตาย เมื่ออายุเท่าไร เป็นโรคอะไร ตายที่ไหน อาการตายเป็นอย่างไร เวลาตายเวลาเท่าไร มันรู้ เขามีไว้ครบก่อนที่เราจะมาเกิด นี่เขาบอกเวลาตายไว้แล้ว เมื่อเราทราบอย่างนี้แล้วไม่ต้องคำนึงว่ามันจะตายเมื่อไร จะตายอย่างไรก็ช่าง จิตดวงนี้เรามุ่งนิพพานอย่างเดียว

    ที่มา: รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เล่ม๙
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  3. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    ไอ้จิตก็เหมือนเด็กๆนะ เด็กถ้าเราพาเดินไปจุดไหน มันก็ไปจุดนั้นไปจุดอื่นไม่ได้ อารมณ์ก็เหมือนกันอารมณ์ที่ตั้งไว้ที่จุดเดียวที่พระนิพพานเวลาที่อยู่ต้องใคร่ครวญต้องคิด ค่อยๆเกลา ว่าการไปนิพพานได้ต้องตัดความโลภ ความโลภคือการโกงชาวบ้านเขาใช่ไหม ไอ้การโกงเขานี่หรือลักขโมยเขานี่เป็นความโลภ ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเราได้มาด้วยสัมมาอาชีวะ รับราชการได้เงินเดือน ค้าขายมีกำไร ของดีบอกว่าดี ของเลวบอกว่าของเลว แต่เรื่องราคาเราขายตามปกติ มันก็ต้องมีกำไร ถือว่าได้มาโดยสัมมาอาชีวะ ไม่ใช่โลภหรือความโลภใช่ไหม จิตเราตั้งไว้ว่า ความโลภจะไม่มีในจิตของเรา
    ไอ้การตัดความโลภในจิตมันต้องตัดเป็นการให้ทาน ถ้าการให้นึกไว้ว่าเราจะไม่มีความโลภนี่ ยังไม่พอ มันจะต้องมีจิตที่คิดจะสงเคราะห์คนให้มีความสุข คนก็ดี สัตว์ก็ดีที่มีความทุกข์อยู่ เราจะสงเคราะห์ให้เขามีความสุข เรื่องทรัพย์เมื่อเรามีทรัพย์เราจะให้ทรัพย์ ถ้าทรัพย์ไม่มีเราจะให้กำลังกาย ถ้าเขาต้องการกำลังกาย ถ้าเราไม่มีกำลังกายไม่ไหว เราให้กำลังปัญญา ถ้าทั้ง ๓ อย่างนี้ยังไม่มีโอกาสสำหรับเรา เราก็ตั้งใจไว้ว่าจะสงเคราะห์ ไอ้จิตที่คิดจะสงเคราะห์นี่ เขาเรียกว่าจาคานุสติกรรมฐานอารมณ์ตั้งไว้อย่างนี้เป็นปกติมันจะทำลายความโลภทุกๆนาที


    ที่มา: รวมคำสอนธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เล่ม๙



    **************************


    ถ้ามีแขกมาคุยด้วยจะเป็นผู้หญิงก็ตาม จะเป็นผู้ชายก็ตาม ผมใช้อารมณ์เหมือนกัน
    คือ ดูคนที่มาคุย คนที่มาคุยเขาจะบอกอริยสัจผมเสร็จ
    อริยสัจที่เขาจะคุยให้ฟังก็คือคุยเรื่อง "ทุกข์"
    บางคนก็ทุกข์เงินไม่มีใช้บ้าง
    บางคนก็ทุกข์เรื่องผัวมีเมียมากเกินไปบ้าง
    บางคนก็ทุกข์ผัวกำลังจะนอกใจ
    บางคนก็ทุกข์มีเงินให้เขากู้ เขาก็ไม่จ่าย ไปทวงหนักๆเข้า ถึงเวลานัดไปเอาเขาก็ไม่ให้ ดีไม่ดีเขาก็ชวนทะเลาะไม่พูดกัน เลยทวงไม่ได้
    บางคนก็มาปรึกษาหารือเรื่องการป่วยไข้ไม่สบาย
    บางคนก็บอกหากินเท่าไรก็ไม่พอกิน
    ก็รวมความว่า ทุกคนเอาทุกข์มาแจกให้ผม มาเล่าให้ฟังว่าทุกคนน่ะมีทุกข์ไม่มีใครมีสุข


    ที่มา: มโนยิทธิและประวัติของฉัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  4. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    คนที่จะไปนิพพานได้เขาใช้อารมณ์แบบนี้ตั้งใจ ฟังนะแล้ว คิดตามไปด้วย แล้วก็ตั้งใจตัดไปให้เสร็จ
    จงคิดว่าร่างกายที่ประกอบไปด้วยธาตุ ๔ มีธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ รวมเรียกว่ากายก็แล้วกัน มันมีสภาพที่จะต้องตายแน่ ในเมื่อมันตายมันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ถ้ามันเป็นเราจริง เป็นของเราจริง มันต้องไม่ตาย เพราะเราไม่ต้องการให้มันตาย คิดว่าต้องตายกันแน่ ถ้าเราตายคราวนี้ไปนิพพาน คนที่ตายแล้วไปนิพพานเขาทำจิตกันอย่างไร คิดว่าไม่ห่วงใยในร่างกายของเรา ไม่ห่วงใยในทรัพย์สิน ไม่ห่วงใยในร่างกายผู้อื่น ตายไปแล้วไปห่วงทำเกลืออะไร ไม่มีแม่คนไหนตายไปแล้วมาหุงข้าวให้ลูกกิน ไม่มีพ่อคนไหนตายไปแล้วมาทำงาน ทำไร่ทำนารับบริการให้ลูก มันเป็นกฎธรรมดา ตายแล้วก็แล้วกันไป ขันธ์ห้าของคนอื่น วัตถุธาตุเราไม่ห่วง ไม่ห่วงตามความเป็นจริง ไปห่วงก็ไม่เกิดประโยชน์

    ที่มา: รวมคำสอนธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เล่ม๙



    ********************************************


    ขอเล่าถึงบุคคลอีกคน นั่นคือท่านโกมารภัจ บุคคลนี้เราไม่ควรละเลย ท่านโกมารภัจนี่สมัยเมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ท่านคิดเอาเปรียบพระพุทธเจ้า ท่านเป็นหมอรักษาพระพุทธเจ้าหายจากโรค ท่านคิดจะชลอให้ตายที่หลังท่านใช่ไหม หมอเสียอย่างถ้าพระพุทธเจ้าตายก่อนไม่มีที่พึ่ง ไม่มีใครแสดงธรรมให้เราฟังถ้าเราสงสัย ถ้าพระพุทธเจ้าตายทีหลัง เราตายก่อนเราได้เปรียบ ท่านตั้งใจตามนั้น แต่นี่พระพุทธเจ้าไม่ยอมฉันยา ถ้าฉันยานั้นไม่มีทางนิพพานจริงๆท่านโกมารภัจ เวลาที่เขาถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้าก็เสียใจมากก็คิดว่าเราไม่ควรมีชีวิตต่อไปในเมื่อเราสิ้นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ถือว่าสิ้นสุดทุกอย่าง ทรัพย์สินทั้งหมดไม่มีความหมายสำหรับเรา บุตร ธิดา ภรรยา ข้าทาสหญิงชายทั้งหมดไม่ความหมายสำหรับเราแม้แต่ร่างกายแสนจะเลวนี้ก็ไม่มีความหมายสำหรับเรา อันนี้เขาเรียกอารมณ์พระอรหันต์นะ ทุกคนจำไว้ให้ดี คนจะเป็นอรหันต์เริ่มต้นต้องมีอารมณ์แบบนี้

    ที่มา: รวมคำสอนธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เล่ม๙
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  5. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    ท่านโกมารภัจ ท่านนอนเฉย หลับตาภาวนานึกถึงพระพุทธเจ้า(ภาวนาว่าอย่างไร)
    ท่านบอกว่า ท่านไม่ภาวนา พุทโธ(มายืนขัดคอ)
    บอกว่าไม่ได้ภาวนาพุทโธ คิดว่าร่างกายไม่มีความหมาย ตัดตัวเดียว
    ร่างกายไม่มีความหมาย ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันจะพังก็เชิญพัง
    มันเป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ เราไม่ต้องการมันอีก ท่านแนะนำเพียงนี้นะ


    ที่มา: รวมคำสอนธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เล่ม๙



    **********************************************



    ร่างกายนี้ไม่ไช่เรา ไม่ไช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นธาตุทั้งสี่
    มาประชุมกันเพียงชั่วคราว มี่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ มาประชุมกันครบอาการ ๓๒
    มนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี เราไม่ต้องการ
    เราต้องการเพียงจุดเดียว คือ พระนิพพาน เท่านั้น นิพพานสุขัง นิพพานสุขัง
    นิมิตรจิตติ นิมิตรจิตตา นิพพานะจิตติ นิพพานะจิตตา

    ที่มา: พ่อรักลูก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  6. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]


    การเจริญพระกรรมฐานสำหรับท่านที่ได้แล้ว ก็ให้รักษาอารมณ์เดิม อันดับแรกก่อนภาวนาขอให้ใช้ปัญญาพิจารณาตามความเป็นจริง การเกิดในโลกมนุษย์มันเต็มไปด้วยความทุกข์ ต้องใช้ปํญญาหาทุกข์ให้พบ ทุกข์จากความเกิดก็คือ
    ๑. ความแก่ เราแก่ทุกวัน เราแก่มากเท่าไรความทุกข์ก็มากเท่านั้น เพราะร่างกายไม่คล่องตัว
    ๒. ความป่วยไข้ ไม่สบายเราก็ทุกข์
    ๓. ความประกอบกิจการงานต่างๆเหนื่อยยาก ก็ทุกข์
    ๔. ความปรารถนาไม่สมหวังก็ทุกข์
    ๕. ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็ทุกข์
    ๖. ในที่สุดเราก็ต้องตาย ก่อนจะตายความทุกข์ก็หนัก เพราะทุกขเวทนามีมาก
    ก็ตัดสินใจสั้นๆว่า ถ้าเราเกิดในโลกมนุษย์อีกกี่ชาติ มันก็ทุกข์แบบนี้ เราไม่ควรจะเกิดในโลกมนุษย์ต่อไป ต่อไปก็มาพิจารณาสวรรค์กับพรหม เทวดาก็ดี พรหมก็ดีไม่มีความแก่ ความป่วยไข้ไม่สบายก็ไม่มี การปรารถนาไม่สมหวังก็ไม่มี การพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็ไม่มี แต่ในที่สุดพรหมกับเทวดาก็ต้องจุติ คือตายเหมือนกัน เมื่อตายจากความเป็นเทวดาหรือพรหม ก็ต้องกลับมาเป็มนุษย์บ้าง บางคนทำบาปไว้ มากก็ตาม น้อยก็ตาม หรือว่าก่อนจะตายจิตนึกถึงบุญก่อนก็ไปเกิดเป็นพรหมหรือเทวดาก่อน เมื่อหมดบุญเมื่อไรก็พุ่งหลาวลงนรกเมื่อนั้น
    ก็รวมความว่า การเกิดเป็นเทวดาก็ดี การเกิดเป็นพรหมก็ดี ไม่พ้นทุกข์ เมื่อรวมความแล้วว่า การเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ไม่เป็นที่ปรารถนาของเรา เราต้องการความสุข ไม่มีความเสื่อมก็คือ พระนิพพาน

    ที่มา: รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม ๙



    **************************



    คนที่เป็นพระโสดาบันนี่จะสร้างบาปอกุศลมาแล้วสักเท่าไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าทุกคนไม่สามารถลงอบายภูมิได้ (ขณะที่ตายนะ ฮื่อ เคยลงมาบ่อยๆ ลงไม่ได้น่าเสียดายไหม เสียดายนะ ตายลงไปอีกที เอ้า) หรือว่าบาปอกุศลมากเท่าไหร่ก็ตามจะไม่สามารถดึงลงอบายภูมิได้ ทั้งนี้เพราะอะไร พอลงไปนรกขุมไหนไฟขุมนั้นดับ เขาเลยกีดกันไม่ให้ลง ก็มีทางเดียวเดินเข้าไปหานิพพาน จึงขอย้ำอีกทีว่าคนที่เป็นพระโสดาบันจริงๆ น่ะ เขาทรงคุณธรรม จิตเขาทรงแบบนี้คือ
    ๑. เคารพพระพุทธเจ้าจริง
    ๒. เคารพในพระธรรมจริง เชื่อพระธรรม
    ๓. เคารพพระอริยสงฆ์จริง อย่าลืมนะท่านใช้ศัพท์ว่า พระอริยสงฆ์ ไม่ใช่คนห่มผ้าเหลืองแล้วจะเป็นทุกคน ต้องเป็นพระอริยเจ้าแล้วก็
    ๔. มีศีล ๕ บริสุทธิ์
    ๕. จิตต้องการจุดเดียวคือนิพพาน เพียงแค่นี้ท่านเรียกว่าพระโสดาบัน เป็นของไม่ยาก ถ้าทุกคนสามารถทรงอารมณ์เป็นพระโสดาบันได้ ก็ขอยืนยันว่าถ้าตายจากชาตินี้จากความเป็นคน ถ้าไปนิพพานไม่ได้ทันทีทันใด จะไม่ตกอบายภูมิ

    ที่มา: รวมคำสอนธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เล่ม๙
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  7. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    เมื่อตื่นใหม่ๆ ยังไม่ต้องลุกไปไหน ถ้ายังไม่ปวดอุจจาระปัสสาวะ ยังไม่ต้องตั้งท่า ไม่ต้องลุกขึ้นมานั่งก็ได้ ไม่จำเป็นจิตจะเคลื่อน นอนแบบนั้น หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ ถ้าทำอย่างนี้เป็นปกติจนกระทั่งเกิดอาการชิน ต่อไปวันไหนไม่ได้ทำ วันนั้นมีความรำคาญ จำเป็นต้องทำอย่างนี้ท่านถือว่าเป็นผู้ทรงฌานในพุทธานุสสติกรรมฐาน เวลาจะตาย บาปต่างๆจะไม่สามารถเข้ามาควบคุมจิตได้ จะมีแต่บุญอย่างเดียวเข้ามาอยู่กับจิต เมื่อบุญเข้ามาอยู่กับจิต บาปก็เข้าไม่ได้ บุญต่างๆที่เราทำไว้ อาจจะยังไม่ปรากฏภาพ แต่ภาพที่ปรากฏจริงๆ ก็คือพระพุทธเจ้า เราจะเห็นพระพุทธเจ้าก่อนตาย ถ้าเราเห็นพระพุทธเจ้าก่อนตายถ้าจิตทรงตัวอย่างนั้น ตามบาลีท่านบอกว่าไม่ได้เกิดบนสวรรค์ เป็นพรหม ถ้าถึงเวลาจิตรำคาญไม่ทำไม่ได้นี่จะต้องทำ ได้มากก็ได้ น้อยก็ได้ต้องทำหน่อย อย่างนี้ท่านบอกว่าจิตทรงฌานตายป็นพรหม

    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อ วัดท่าซุง เล่ม๔



    ***************************



    เอาอย่างนี้นะ ทุกวันถ้ามีเวลาน้อย ก็ใช้เวลาก่อนจะหลับ เมื่อศรีษะถึงหมอน นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เราชอบ นี่สำหรับท่านที่ไม่ได้มโนยิทธินะ พวกที่ได้มโนยิทธินี่เขาได้กำไรมาก นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เราชอบ คิดว่าองค์นี้คือพระพุทธเจ้า แล้วภาวนาว่าพุทโธ หายใจเข้านึกว่าพุท หายใจออกนึกว่า โธ สัก ๒-๓ ครั้งก็ได้ตามความพอใจ มากก็ได้น้อยก็ได้แล้วก็หลับไป พอตื่นขึ้นมาใหม่ๆ ก็นึกถึงพระพุทธรูปองค์นั้นอีก แล้วก็ภาวนาว่าพุทโธอีก ทำอย่างนี้ทุกวัน จนกระทั่งถึงวันไหนถ้าเราไม่มีโอกาสจะทำ วันนั้นรำคาญต้องทำ
    วิธีทำก็ไม่ต้องไปนั่งขัดสมาธิก็ได้ กลางวันทั้งวันเราเหนื่อยยากในการงานมากก็นอน เวลาจะนอนกราบหมอนสัก ๓ ครั้ง นึกกราบพระพุทธเจ้า กราบพระธรรม กราบพระอริยสงฆ์ หลังจากนั้นเมื่อหัวถึงหมอนก็นอนภาวนา พุทโธ ทำอย่างนี้เพียง ๒-๓ ครั้งแล้วก็หลับ แล้วตื่นขึ้นมาใหม่เอาอีกแหละ จนกระทั่งอาการชิน วันไหนถ้าไม่ได้ภาวนาพุทโธ วันนั้นรำคาญไม่สบายใจ ไม่ได้ ต้องภาวนา อย่างนี้ถือว่าทรงฌานในพุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้าอารมณ์ของท่านทรงฌานใน พุทธานุสสติกรรมฐานแล้ว ถึงแม้ศีลมันจะขาด มันจะบกพร่องบ้าง ถึงอย่างไรก็ตาม ตายแล้วต้องไปสวรรค์แน่นอน เอาแค่สวรรค์ก่อนนะ

    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อ วัดท่าซุง เล่ม๔
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  8. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    เอาพระห้อยคอแล้วอย่าโง่

    เมื่อเราเกิดเป็นมนุษย์ พุทธบริษัททุกคน ควรตัดสินใจเสียเวลานี้ จนกว่าจะถึงวันตาย เวลาทำความดีทุกอย่าง ไอ้มือ ๑๐ นิ้วนี่มันไม่สึกเวลาไหว้พระ เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้า ยังไม่มีเรื่องอะไร กราบพระที่หมอนก็ได้ ไม่ต้องลุกไปที่ห้องพระก้ได้ ใจนึกถึงพระที่ไหน พระก็ถึงเราที่นั่น เคารพพระพุทธเจ้า ด้วยความเคารพ ด้วยความจริงใจ แล้วตั้งใจอธิษฐานว่า "เวลานี้พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ข้าพระพุทธเจ้าขอไปที่นั่น ถ้าตายแล้ว" เอากันแค่นี้ เวลาใส่บาตร เวลาทำบุญ ทำทุกอย่าง ทำหวังนิพพานทั้งหมด ไม่ต้องการหวังผลตอบแทน ให้ข้าวกับคน จะทำงานตอบแทนหรือไม่ ก็ช่างหัวมัน เราต้องการนิพพาน อะไรก็ตาม เราต้องการนิพพาน
    เมื่อทำอย่างนี้ ทุกคนตายไปแล้วอย่างต่ำ ต้องเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า ต้องเป็นทุกคน ยกเว้นแต่คนดื้อ คนที่คิดว่าตนเองฉลาด ก็อย่างคนที่เอาพระห้อยคอแล้วอย่าโง่ อย่าห้อยแบบโง่ จงห้อยแบบฉลาดๆ คือก่อนเอาพระห้อยคอตอนเช้า ก่อนออกจากบ้าน ให้ยกมือ สาธุ ตั้งนโม ๓ จบ แล้วนึกด้วยความเคารพว่า ต้องการผลอะไรวันนี้ จะตั้งใจอย่างไรก็ตามใจชอบ จะด้านทำมาค้าขายหรือเมตตามหานิยมอะไรก็ว่ากันไปเถอะ ทุกอย่างบารมีพระพุทธเจ้า ย่อมช่วยได้ ถ้าไม่เกินวิสัย ถ้าทำอย่างนี้ทุกวัน ทุกคนมีพุทธานุสสติ ประจำใจเสมอ
    เมื่อเวลาจะตายลงไปปั๊บ ภาพพระจะปรากฏเบื้องหน้า อันดับแรกแหงนหน้าอยู่มองไม่เห็น จะเห็นพระที่คอ ต่อไปพระก็จะกลายเป็นพระสงฆ์ หรือเป็นพระพุทธรูปก่อนก็ได้ แล้วกลายเป็นพระสงฆ์ ไม่ช้าถ้าเราตายในขณะนั้น อารมณ์จิตเราอย่างต่ำ เราก็ไปสวรรค์ เอาแค่อย่างต่ำก่อน


    ที่มา: ธรรมสัญจรเล่ม ๔ หน้า ๓๐๒



    ****************************



    " ...เรายังเมาในร่างกายอยู่หรือเปล่า ?
    เราคิดถึงความตายบ้างไหม
    เมื่อความเจ็บไข้ไม่สบายมาถึงตัวเรา
    เรามีความหวาดหวั่นมาก
    หรือมีความหวาดหวั่นน้อย
    เวลาความเจ็บไข้ไม่สบาย ความแก่เข้ามาถึง

    เราเสียดายชีวิตไหม ?
    ถ้ามันยังเสียดายมาก แสดงว่า
    เรายังเป็นทาสตัณหาอยู่มาก
    ถ้าความเสียดายไม่มี หรือ มีน้อยนิดหนึ่ง
    มันกระทบบ้าง แล้วก็หายไป
    อันนี้ควรจะดีใจว่า
    เราเข้าถึงคำสั่งสอน
    ขององค์สมเด็จพระจอมไตรแล้ว.. "



    ที่มา: ธัมมวิโมกข์ ฉบับ ก.พ. ๒๕๔๖
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  9. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    " ...ตั้งใจไว้เลยว่า ร่างกายไม่ดี
    เป็นดินแดนของความทุกข์
    ถ้าเราเกิดอีกกี่แสนชาติ
    มันก็ทุกข์อย่างนี้..
    ถ้าเราวางสังขารร่างกายเสียได้ เราวางได้เมื่อไร
    เรามีความสุขเมื่อนั้น
    เพราะถ้าเราไม่เกิดเสียอย่างเดียว
    มันก็มีความสุข
    แล้วเราก็ตั้งใจไว้ว่า เราจะไม่เกิดอีก..."


    ที่มา: ธัมมวิโมกข์ ฉบับ ก.พ. ๒๕๔๖



    ************************



    การพิจารณาเหตุผลถึง ราคะ ความกำหนัดยินดี
    โลภะ ความโลภ โทสะ ความโกรธ
    โมหะ ความหลง ว่ามันเป็นปัจจัยของ
    ความสุข หรือความทุกข์
    ถ้าเห็นว่ามันเป็นความทุกข์ ก็รีบตัด
    ตัดด้วยอะไร ?
    ตัดด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
    หรือว่า ตัดด้วย ทาน การให้ทำลายความโลภให้หมดไปจากจิต
    ตัดด้วย ศีล คือทำลายความโกรธให้หมดไป
    ตัดด้วย ปัญญาใหญ่
    เห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
    ไม่สนใจในร่างกายของเราด้วย
    ไม่สนใจในร่างกายของบุคคลอื่นด้วย
    ไม่สนใจในวัตถุธาตุต่างๆ
    จิตมุ่งพระนิพพานเป็นอารมณ์


    ที่มา: ธัมมวิโมกข์ ฉบับ ก.พ. ๒๕๔๖
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  10. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    พระนิพพานมีดินแดนไหม นี่บางท่านคิดว่ายังจะต้องเถียงใจของท่านอยู่ แต่เพื่อความมั่นใจในคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมครู ว่าพระนิพพานนี่เป็นดินแดนเอกันตบรมสุข เป็นสุดยอดเยี่ยมยิ่งกว่าดินแดนใดๆ จงทำใจของท่านให้เข้าถึงฌานสมาบัติ ฝึกหัดทิพจักขุญาณ หรือมโนยิทธิให้ได้ แล้วหลังจากนั้นทำใจของท่าน อย่างเลวหรือต่ำสุดก็คือโคตรภูญาณ หรือว่าถึงพระโสดาบัน ตอนนั้นท่านจะเข้าใจพระนิพพานได้ดี


    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม๔



    *****************************



    การไปพระนิพพานเขาทำอย่างไร ก็ไปตัดร่างกาย เอาจิตตัดร่างกาย ให้รู้สภาพตามความเป็นจริงด้วยปํญญา คิดว่าโลกนี้เราไม่ต้องการ ร่างกายพังแล้วรึ เชิญพังจ้ะ เธอจะป่วยก็เชิญป่วย ฉันห้ามเธอไม่ได้ เธอจะแก่ก็เชิญแก่ เป็นเรื่องของเธอ เธอจะมีทุกขเวทนาใดๆเกิดขึ้น ถือว่านั่นเป็นเรื่องของเธอ ฉันห้ามไม่ได้ เธอพังเมื่อไรฉันพร้อม ที่จะไปพระนิพพาน เธอกับฉันมีชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่มีอะไรที่เราจะมีการผูกพันกันอีก ถือว่าเรามีสัญญาหย่ากันเด็ดขาด ฉันโง่มาแล้วหลายแสนชาติ แต่ชาตินี้ขอฉลาดสักชาติหนึ่ง แล้วก็เธอจะใช้ฉันได้แต่เพียงชาตินี้ชาติเดียว ชาติต่อไปเธอกับฉัน ไม่มีความหมายสำหรับฉัน นี่ ตัดแค่นี้ก็เป็นอรหันต์ คิดแค่นี้หน่อยเดียวเป็นอรหันต์ เป็นแน่นอน แต่ให้มันได้จริงๆ อย่าสักแต่ว่าคิด อย่าสักแต่ว่านึกจงจำไว้ให้ดี


    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อ วัดท่าซุง เล่ม๔
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  11. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    และเมื่อบรรดาท่านทั้งหลายกำหนดลมหายใจเป็นอย่างงี้เป็นปกติอะไรที่ไหนมันจะเกิดขึ้นสิ่งที่มันจะเกิดก็คือฌาน สมาบัติ ตั้งใจกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่เสมอ นั่งอยู่ นอนอยู่ เดินอยู่ ทำงานอยู่ พูดอยู่หรือว่ากินอยู่ก็ไม่ยอมละกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกถ้าพอใจในคำภาวนาก็ภาวนาไปด้วยอย่างนี้ฌาน โลกีย์ จะบังเกิดขึ้นกับท่านในอันดับของฌาน ๔ อย่างเลวที่สุดในระยะ ๑ เดือน
    ทุกท่านจะทรงฌาน ๔ หมดถ้าจะถามผมว่าผมรู้ได้อย่างไร ก็ต้องขอตอบว่าผมทำมาแล้ว และก็ทำในวันที่สามของการอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ผมเองนี่แหละกับเพื่อนอีกสองคนเข้าถึงฌาน ๔ ด้วยกันทั้งหมด แล้วพวกท่านจะมาเถียงว่าทำไม่ได้หนะมันเป็นไปไม่ได้เพราะผมทำมาแล้ว ที่ทำได้ก็ไม่ใช่ผู้วิเศษวิโส เพียงแต่เอา จริงเอาจังตามคำสอนของครูอาจารย์สอนเท่านั้น


    ที่มา: คู่มือปฏิบัติคู่วัดท่าซุง เล่ม ๑



    *********************************



    บารมี นี่แปลว่า เต็ม

    คราวนี้มาว่ากันถึงการปลดร่างกาย จะมานั่งปลดกันเฉย ๆ จะมองทุกข์กันเฉย ๆ มันก็มองไม่เห็น
    มองเห็นเหมือนกันแต่ไม่ชัด องค์สมเด็จพระสวัสดิโสภาคย์ได้แสดงกฎของการปลดทุกข์ คือ
    ปลดอารมณ์แห่งความทุกข์ สร้างอารมณ์ความสุขให้เกิดขึ้นกับใจ มีอยู่ ๑๐ อย่าง ด้วยกันคือ
    (๑) ทานบารมี
    (๒) ศีลบารมี
    (๓) เนกขัมมบารมี
    (๔) ปัญญาบารมี
    (๕) วิริยบารมี
    (๖) ขันติบารมี
    (๗) สัจจบารมี
    (๘) อธิษฐานบารมี
    (๙) เมตตาบารมี
    (๑๐) อุเบกขาบารมี
    คำว่า บารมี นี่แปลว่า เต็ม เมื่อเต็มแล้วก็ต้องเต็มจริง ๆ
    เป็นอันว่าถ้าบารมีทั้ง ๑๐ ประการนี้เต็มครบถ้วนบริบูรณ์ ที่เรียกว่า ปรมัตถบารมี สำหรับพระสาวกนะ
    ไม่ใช่อันดับขั้นพระพุทธเจ้า สำหรับขั้นพระสาวกนี้ใช้อารมณ์ต่ำ อารมณ์ไม่สูงนักไม่ใช่ขั้นพระพุทธเจ้า
    ถ้าหากว่าบารมีทั้ง ๑๐ ประการนี้เป็น ปรมัตถบารมี
    คำว่า ปรมัตถบารมี หมายความว่า มีอารมณ์ทรงสูงอย่างยิ่ง คำว่าอย่างยิ่งก็หมายความว่าไม่เคลื่อนไป อารมณ์ที่มีอาการตรงกันข้ามไม่เกิดขึ้นกับจิตใจของเรา


    ที่มา: เร่งรัดปฏิบัติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2010
  12. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    " ...พระต้องการอย่างเดียว คือ
    คนใช้ปัญญา แล้วปฏิบัติตาม
    ก่อนจะปฏิบัติตาม
    ใช้ปัญญาพิจารณาเสียก่อนว่า
    ธรรมที่พระพูดมานี่ ควรหรือไม่ควร
    ดีหรือไม่ดี จริงหรือไม่จริง
    สมเหตุสมผลไหม? ..."


    ที่มา: (คำสอนของหลวงพ่อ)



    *************************



    สมถะ เป็นจุดเริ่มต้นทำจิตให้เป็นสมาธิ มีความหมายว่า ทำจิตให้สงบจาก นิวรณ์ ๕ สำหรับวิปัสสนา เป็นการใช้ปัญญาพิจารณา ร่างกายเพื่อตัดกิเลส ... มันต่างกันตรงนี้
    การทำจิตให้เป็นสมาธิ ก็เพื่อไม่ให้จิตวุ่นวาย แล้วใช้ปัญญาพิจารณา คือ " ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง " เกิดมาแล้วมันก็ต้องแก่ เมื่อทรงชีวิตอยู่มันก็ป่วยไข้ไม่สบาย มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ เมื่อมีชีวิตอยู่ต้องมีการนินทาสรรเสริญกระทบกระทั่ง และในที่สุดเราก็ตาย นี่เป็นของธรรมดา
    ถ้าอาการอย่างนี้มันเกิดขึ้นกับเรา
    เราจะไม่หวั่นไหวในอารมณ์
    ถือว่ามันเป็นธรรมดาของการเกิด


    ที่มา: หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ๑
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  13. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    อย่าลืมนะ มารนี่ไม่ใช่ใคร เราเองก็เป็นมารได้ มาระแปลว่าผู้ฆ่า ความเข้าใจผิดคิดว่าความชั่วเป็นความดี อันนี้เป็นอารมณ์ของมาร มารนอกไม่สำคัญ ระวังมารในใจ คือตัวเราเอง ใจของเราเองเป็นมาร ระวังให้มาก ทีนี้ที่เข้าใจว่าพระนิพพานสูญก็มารเหมือนกัน ฉะนั้นองค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงได้ขึ้นไปในสำนักของท้าวผกาพรหม โต้ตอบกันด้วยวาทะต่างๆ ท้าวผกาพรหมก็เลยบอกว่า ท่านอย่ามาคุยเลย ท่านมันก็ไอ้แค่มนุษย์ มันจะมาดีกว่าพรหมยังไง องค์สมเด็จพระจอมไตรก็เลยท้าลองฤทธิ์กัน ลองเล่นซ่อนหากัน ให้ท่านผกาพรหมซ่อนก่อน อาศัยที่อรหันต์มีสภาวะเหนือกว่าอำนาจของพรหม อรหันต์ธรรมดา ถึงแม้ว่าจะเป็นพรหมอนาคามีก็เถอะ ยังไม่ถึงอรหันต์ มีความละเอียดกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยแล้ว อรหันต์ขนาดไหนก็แตะไม่ติด เพราะว่าเป็นจอมอรหันต์


    ที่มา: ไตรภูมิ-พรหมชั้น ๑๒-๑๖ และพระนิพพาน



    ***********************



    ความมุ่งหมายในการใช้พระคล้องคอ โดยมากพวกเรามักจะเข้าใจผิดกัน ที่พระท่านทำพระไว้ให้คล้องคอ ก็หมายถึงว่า บุคคลใดที่มีใจเคารพในพระพุทธเจ้า มีใจเคารพในพระธรรม มีใจเคารพในพระอริยสงฆ์ แต่ทว่ามีกำลังใจที่เข้าถึงพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการยังอ่อนอยู่ ฉะนั้นจึงได้ทำรูปเปรียบของพระพุทธเจ้าก็ดี รูปเปรียบของพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ดี ที่เป็นที่เคารพนับถือห้อยคอไว้ ถ้าหากว่าเรานึกถึงพระท่านไม่ออก จะได้นำพระท่านขึ้นมาดู รูปนี้เป็นรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแนะนำให้เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามระบอบแห่งความดีที่เรียกกันว่า "พระธรรมวินัย" นี่ความจริงเป็นความมุ่งหมายของผู้ทำ ต้องการอย่างนี้ หมายความว่า คนที่มีพระห้อยคอ ควรจะทำใจอย่างพระ หรือควรจะทำตามที่พระแนะนำให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่ว่าพวกเราก็กลับมาพลิกแพลงเสีย เอาพระไปตีกับชาวบ้านเขา ไปยุให้พระตีกัน พระที่นำมาห้อยคอนี่ พระท่านทำขึ้นมาก็ด้วยอาศัยอำนาจของพระพุทธานุภาพนะ อำนาจของพระพุทธานุภาพนี่ สามารถที่จะช่วยคนที่ไม่ถึงอายุขัยให้พ้นจากอันตรายได้


    ที่มา: หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษเล่ม๑
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  14. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]




    "...สิ่งใดที่แก้ไขไม่ได้
    อย่าไปแก้มัน
    อย่าไปแก้ในสิ่งนั้น
    อย่าไปแก้ที่วัตถุ
    อย่าไปแก้ที่บุคคล
    เราแก้ที่ใจเรา..."


    ที่มา: ธัมมวิโมกข์ ฉบับ ก.พ. ๒๕๔๖



    **************************



    "..องค์สมเด็จพระชินวร จึงได้ทรงแนะนำว่า การจะไปพระนิพพานได้
    ตัดกิเลสตัวเดียว คือ อวิชชา อวิชชานี่ท่านแปลว่า ไม่รู้
    แต่ว่า สมเด็จพระพุทธาจารย์ (โต) ท่านบอกรู้ แต่มันรู้ไม่ครบ ถูกของท่าน ท่านบอกไอ้คนที่มันเกิดมาแล้ว ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยน่ะ มันไม่มี รู้หิว รู้หนาว รู้เจ็บ รู้ปวด รู้จักพ่อ รู้จักแม่
    ท่านบอกว่ารู้ แต่ว่ารู้ไม่ครบ คำว่ารู้ไม่ครบ คือไม่รู้ทุกข์ในอริยสัจ
    ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำ ให้ตัดอวิชชา การตัดอวิชชาน่ะมันแยกมาเป็นสอง คือ ฉันทะ กับ ราคะ
    ฉันทะ พอใจว่าร่างกายนี้มันดี ก็จะเห็นว่ามันทุกข์แล้วนี่
    เราก็ไม่ชอบแล้ว ใช่ไหม
    ราคะ เห็นว่าร่างกายมันสวย สวยที่ไหนได้ ขี้เยี่ยวเต็มหมด ใช่ไหม เต็มไปด้วยความสกปรก นี่แหละตัดตัวต้น แล้วผลที่สุด
    ก็เห็นว่าร่างกายมีสภาพยั่งยืนทรงตัว ไม่ทรุดโทรม ก็ไม่มีแล้ว ใช่ไหม
    ตัวนี้เป็นตัวปัญญา อันนี้ วิปัสสนาญาณแท้ แล้วเราก็ตัดอารมณ์เสีย
    คือไม่ต้องการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา หรือพรหมอีก เราต้องการพระนิพพาน"


    ที่มา: ธัมมวิโมกข์ฉบับ๑๔๔ ก.พ. ๒๕๓๖
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  15. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    ... "พ่อ" ขอแนะนำว่า
    ตัดสักกายทิฏฐิตัวเดียวลูกรัก
    คือ อย่าสนใจในรูป รูปเราก็ดี รูปเขาก็ดี
    รูปวัตถุธาตุก็ดี ตัดกันเสียที
    เรื่องการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม
    ... เลิกกัน เราไม่ต้องการมันต่อไป
    เพราะว่ามันเป็นของไม่ดี
    เราไปนิพพานกันดีกว่า


    ที่มา: พ่อรักลูกพิเศษ



    ***********************


    "...ใช้ปัญญาพิจารณาหาความจริง
    คือว่าอย่าฝืนความจริงเท่านั้น
    ความจริงมียังไง ใช้ปัญญาพิจารณาดูให้ครบ
    คนเกิดเท่าไรตายหมดเท่านั้น สัตว์เกิดเท่าไรตายหมดเท่านั้น
    สมบัติในโลกไม่มีอะไรทรงตัว มีการเกิดขึ้น มีการเสื่อมไป และมีการสลายตัวไปในที่สุด
    ความเกิดเป็นโทษ เป็นทุกข์ เราไม่ต้องการมัน
    สิ่งที่ต้องการนั้นคือ ตัดต้นเหตุของการเกิดเสีย
    นั่นได้แก่ ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง
    นี่ใช้ปัญญาพิจารณาให้มันเห็นว่า มันเป็นโทษเป็นทุกข์..."


    ที่มา: ธัมมวิโมกข์ ฉบับ มิ.ย. ๒๕๔๑
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  16. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    คำสอนง่ายๆและสั้นๆเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน

    สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปฐมทรงตรัสว่าเจ้าจงใคร่ครวญอย่างนี้
    จงคิดว่าเราเป็นผู้ไม่มีอะไรเลย ทรัพย์สินก็ไม่มี ญาติ เพื่อน ลูก หลาน เหลน ก็ไม่มี
    แม้ร่างกายเราก็ไม่มี เพราะทุกอย่างที่กล่าวมามีสภาพพังหมด
    เราจะทำกิจที่ต้องทำตามหน้าที่ เมื่อสิ้นภาระคือร่างกายพังแล้วเราจะไปพระนิพพาน
    เมื่อความป่วยไข้ปรากฏจงดีใจว่า วาระที่เราจะมีโอกาส
    เข้าสู่พระนิพพานมาถึงแ ล้วเราสิ้นทุกข์แล้ว คิดไว้อย่างนี้ทุกวัน จิตจะชินจะเห็นเหตุผล
    เมื่อจะตายอารมณ์จะสบายและจะเข้านิพพานได้ทัน



    ******************************


    ผู้ถาม : "คำว่า สมถกรรมฐาน กับ วิปัสสนากรรมฐาน มีความหมายแตกต่างกันอย่างไรครับ ?"

    หลวงพ่อ : " สมถะ นี่เป็นจุดเริ่มต้นทำจิตให้เป็นสมาธิ ท่านให้ความหมายว่าทำจิตให้สงบจากนิวรณ์ ๕ สำหรับ
    วิปัสสนา เป็นการใช้ปัญญาพิจารณาร่างกายเพื่อตัดกิเลส .. มันต่างกันตรงนี้
    การทำจิตให้เป็นสมาธิ ก็เพื่อไม่ให้จิตวุ่นวาย เมื่อจิตไม่วุ่นวายแล้ว
    ก็ใช้ปัญญาพิจารณาคือ ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง
    เกิดมาแล้วมันก็ต้องแก่ เมื่อทรงชีวิตอยู่มันก็ป่วยไข้ไม่สบาย มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ เมื่อมีชีวิตอยู่ต้องมีการนินทาสรรเสริญ การกระทบกระทั่ง ในที่สุดเราก็ตาย นี่เป็นของธรรมดา
    ถ้าอาการอย่างนี้มันเกิดขึ้นกับเรา เราจะไม่หวั่นไหวในอารมณ์ ถือว่ามันเป็นของธรรมดาของการเกิด"


    ที่มา: หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม๑
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  17. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    เวลาที่จะบูชาพระพุทธเจ้า ก็ต้องนึกว่าพระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ สงเคราะห์เราให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์ไม่ใช่ประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมุ่งหมายที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพวกเรา ที่บำเพ็ญบารมีมาถึง ๔ อสงไขยกับแสนกัป โดยเฉพาะองค์ปัจจุบันท่านมีความมุ่งหมายอะไร ความมุ่งหมายของท่านจริงๆ คือ
    ต้องการจะรื้อขนสัตว์ให้เข้าสู่พระนิพพาน นี่เป็นความมุ่งหมายที่แท้จริง
    ร่างกายเป็นเรือนร่างที่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น เหมือนกับบ้านเช่า ถ้าหมดเวลาเช่าเขาก็ไล่เราไป
    เราคือจิต ฉะนั้นขอให้พวกเราทั้งหมดจงอย่าเอาจิตเข้าไปติดในร่างกายของเรา ร่างกายของบุคคลอื่น หรือวัตถุธาตุทั้งหมดถ้าจิตเราไม่ติดในร่างกายของเรา ไม่ติดในร่างกายของบุคคลอื่น ไม่ติดในร่างกายวัตถุธาตุทั้งหมด
    เราตายแล้วเราก็ไปนิพพาน


    ที่มา: ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑๘




    ************************



    "เราทิ้งอัตภาพมาขนาดนี้แล้ว ร่างกายเต็มไปด้วยความทุกข์
    ขณะที่เราเกิดเราก็คิดว่าเราไม่ตาย แต่ทุกชาติเราก็ตาย
    ทำไมชาตินี้เราจะห่วงใย อะไรต่อไปอีกรึ ยังคิดว่าเราจะเกิดต่อไปรึ
    เห็นไหม.. แต่ละอัตภาพที่เกิดมาน่ะ มันก็เต็มไปด้วยความทุกข์
    แล้วการเกิดแต่ละชาติ มันไม่ใช่เป็นมนุษย์เสมอไป
    ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน จากสัตว์เล็กไปถึงสัตว์ใหญ่ก็มี
    บางคราวเกิดเป็นเทวดาก็มี เป็นพรหมก็มี เป็นสัตว์นรกก็มี
    แต่ไอ้เทวดากับพรหมน่ะ มันน้อยกว่าสัตว์นรกและสัตว์เดรัจฉาน
    แล้วคุณจะหวังเกิดมาทำไมล่ะ ...? "


    ที่มา: อภิญญา เล่ม ๒
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  18. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    คนที่มีศีลบริสุทธิ์ย่อมเป็นที่รักสำหรับคนเหมือนกัน
    โดยเฉพาะคนเหมือนกันเขาก็รักคนที่มีศีลบริสุทธิ์
    แม้แต่สัตว์เดรัจฉานที่ไม่รู้จักภาษามนุษย์ก็รักคนที่มีศีลบริสุทธิ์เหมือนกัน
    ยิ่งไปกว่านั้นเทวดาก็ยังรักคนที่มีศีลบริสุทธิ์
    ฉะนั้น คนที่มีศีลบริสุทธิ์นี่จึงกล่าวว่าเป็นคนที่มีความสำคัญ
    ศีลเป็นปัจจัยกันอบายภูมิด่านแรก
    ถ้าศีลของเราบกพร่อง แสดงว่าเราเปิดโอกาสให้เราลงอบายภูมิ


    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่ม ๓



    ************************



    ศีลของเราจะบริสุทธิ์ได้ก็อาศัยเรามีสมาธิ สมาธิจะทรงตัวได้ก็อาศัยศีลบริสุทธิ์
    เป็นอันว่าอะไรเป็นเหตุเป็นผลกัน ฉะนั้นถ้าเราจะถือเหตุจริงๆก็ต้องถือปัญญา
    คนใดถ้าเป็นคนไร้ปัญญาคนนั้นหาศีลไม่ได้ และคนใดไร้ศีลบุคคลนั้นก็จะมีสมาธิไม่ได้


    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๓
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  19. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]



    การฝึกไม่ได้เพราะกลุ้ม ที่ไม่ได้เพราะเวลาฝึกอยากได้มากเกินไป ไอ้ตัวอยากได้เป็นนิวรณ์ ตัวที่ ๕
    คือ นิวรณ์นี่มี ๕ ตัว แล้วเวลาที่ฝึกจริงๆ ถ้านิวรณ์ตัวใดตัวหนึ่งเข้าสิงใจ มันจะกั้นความดีให้เราไม่ได้สมาธิ
    ให้เราไม่ได้ฌาน ต้องทำใจให้สบายๆวาระมันยังไม่ถึงนี่ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ทำจิตให้เป็นสุข ถือว่าจะเห็นได้ไปได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ ถ้าใจฉันสบายฉันมีสิทธิ์ไปสวรรค์ก็ได้ ไปพรหมก็ได้ ไปนิพพานก็ได้ อย่างนี้ไม่ช้าก็ได้


    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๓



    ********************************



    จิตไม่มัวเมาในชีวิต มีความรู้สึกคิดอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย
    แต่ก่อนที่เราจะตาย ถ้าเราเป็นคนเราก็ขอเป็นคนดี ถือว่าเราเป็นคนดีแล้ว ถ้าตายเป็นผีเราก็เป็นผีดี
    ผีดีเขาอยู่กันที่ไหนบ้าง เขาก็อยู่ในเขตของเทวดาบ้าง อยู่ในเขตของพรหมบ้าง ที่เรียกกันว่าเทวดาหรือนางฟ้า
    ถ้าดีถึงที่สุด ก็ไปพระนิพพาน องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงกล่าวอย่างนี้


    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๓
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010
  20. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    [​IMG]




    ถ้าศีลบริสุทธิ์ ถึงแม้ว่าเรายังไม่เป็นพระอริยเจ้า ถ้าจิตมีความมั่นคงในศีล
    ก็แสดงว่าชาตินี้หนึ่งชาติละ ที่เราไม่ลงอบายภูมิมีนรก เป็นต้น


    ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๓



    **************************


    การเจริญกรรมฐานขั้นพระนิพพาน
    ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายมีความรู้สึกว่าการเกิดเป็นคนเต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ ถ้าเราเกิดไปอีกกี่ชาติ เราก็จะพบกับความทุกข์อย่างนี้อีก และคิดว่าการตายของเราคราวนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ฉะนั้นทุกคนก่อนจะหลับให้คิดง่าย ๆ ดังนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นเทวดาก็ดี พรหมก็ดี จะไม่มีสำหรับเราอีก การตายคราวนี้เราขอไปพระนิพพาน และก็ภาวนาต่อท้ายสักเล็กน้อยว่า
    "นิพพานัง สุขัง นิพพานัง สุขัง นิพพานัง สุขัง"
    ภาวนาอย่างนี้สัก ๓ ครั้งด้วยความเต็มใจ การทำอย่างนี้ได้ชื่อว่า เจริญพระกรรมฐานขั้นพระนิพพาน เวลาที่ท่านจะตายบุญกุศลทั้งหลายที่ทำแล้วจะรวมตัวทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ได้ มโนมยิทธิ คืออภิญญาและวิชชาสามควบกัน ก่อนจะหลับเมื่อศีรษะถึงหมอน เอาจิตไปตั้งไว้ที่พระนิพพาน ไปที่วิมานพระพุทธเจ้าก็ได้ หรือไปที่วิมานของเราก็ได้ ถ้าไปวิมานของเราให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก็จะพบท่านทันที แล้วตัดสินใจว่าร่างกายนี้ตายเมื่อไรขอมาที่นี่เมื่อนั้น เพียงเท่านี้ แต่ต้องทำทุกวันนะ ตายเมื่อไรไปพระนิพพานเมื่อนั้น


    ที่มา: หนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...