ร่องรอยอภิญญาใหญ่ โรดแมปสู่อภิญญาสาธารณะ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 15 พฤศจิกายน 2007.

  1. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    นับตั้งแต่ที่พวกเราได้ตั้งจิตอธิฐานเปิดอภิญญาใหญ่กันในงานพุทธภูมิสโมสร ก็นับว่าแปลกที่ปรากฏร่องรอยของท่านที่ได้อภิญญาใหญ่ชัดเจน จะๆกันมากขึ้น มีฆราวาสชาวต่างประเทศที่ได้อภิญญาใหญ่แสดงอิทธิวิธีต่างๆ กลางที่สาธารณะจริงๆ อย่างที่หลวงพ่อท่านได้พยากรณ์ไว้ เพียงแต่เขาผู้นี้ แสดงอภิญญาในรูปแบบมายากล(ที่ไม่ใช่เดวิด คอปเปอร์ฟิลล์)

    ในประเทศไทยของเราเองอันเป็นแดนพระพุทธศาสนานั้น ก็ได้ปรากฏพระและฆราวาสหลายๆท่านที่ท่านเป็นผู้ทรงอภิญญา เพียงแต่ยังไม่ปรากฏต่อสาธารณะ

    พระใหญ่ซึ่งท่านเป็นผู้เมตตาดูแลเรื่องการฝึกอภิญญา ก็คือ "หลวงปู่เทพโลกอุดร" ซึ่งท่านดูแลพระธุดงค์ผู้ทรงอภิญญาในป่า และท่านเมตตามาโปรดคนที่วาระเกี่ยวพันผูกพันกันกับท่าน

    พระอาจารย์หลายท่าน หลายๆสายก็ล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ของท่านด้วยกันทั้งสิ้น

    เหตุแห่งการปรากฏของอภิญญาใหญ่นั้น ที่จริงก็เป็นไปเพื่อการใช้ความสามารถด้านอภิญญานั้นในการช่วยเหลือผู้คนทั้งหลายที่มีวาระจะรอด ในยามเกิดภัยพิบัติ

    ข่าวล่าสุดที่ได้รับมาตอนนี้ ก็คือผู้ที่มีเกณฑ์ที่จะได้อภิญญาใหญ่นั้น พระท่านบอกในเร่งปฏิบัติ ปรับความบริสุทธิ์ของจิตเอาไว้ให้ดี เพราะได้เวลารับอภิญญาใหญ่ในเวลาไม่นานนี้แล้ว

    ร่องรอยต่างๆของอภิญญาใหญ่จะทะยอยนำลงต่อไป
     
  2. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    เหมือนจะอยู่ไกลและใกล้ในเวลาเดียวกัน

    เตรียมตัวกันอย่างไรหนอ
    ฝึกกำลังสมาธิให้เข้มแข็งก่อน
     
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เคยอ่านในที่ไหนก็จำไม่ได้แล้ว ว่าหลวงปู่เทพโลกอุดร จะเน้นเรื่องฝึกมหาสติปัฏฐาน 4 เป็นหลักคือให้มีสติรู้กายใจ ตามรู้ให้ทันอารมณ์ที่เข้ามาปรุงแต่งจิตอยู่ตลอดเวลา อันจะทำให้จิตบริสุทธิ์เป็นพื้นฐานให้ฝึกกำลังอภิญญาต่อไปได้ครับ ท่านคงไม่ได้ต้องการให้เรามาคร่ำเคร่งทรงฌาณ 4 แบบฤาษีชีไพร เพราะพวกเรายังต้องมีภาระเรื่องครอบครัว และการทำมาหากินกันอยู่ จะผิดหรือถูกอย่างไรต้องขออภัยไว้ ณ.ที่นี้ด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2007
  4. golf208

    golf208 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +5,454
    สาธุ... ขอให้ใช้กันในทางที่ถูกอย่าใช้เพื่อทางโลกที่เป็นประโยชน์แต่ตัวเองแล้วสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น
    ใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ดำรงในความดี แล้วกลับมาบำรุงศาสนาให้รุ่งเรือง
     
  5. Rattanaporn

    Rattanaporn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +13,348
    พี่เปี๊ยกค่ะ...ฝึกอาณาปานุสติกรรมฐาน...กำหนดลมหายใจเข้า-ออก...ตลอดเวลาที่สติระลึกรู้...ตามเก็บทุกอิริยาบทให้เป็นผู้ทรงฌานตั้งฐานให้มั่นก่อนค่ะ...(คุณ*9*...พยายามทำอยู่ค่ะ...)....เอาใจช่วยซึ่งกันและกันนะคะ...พี่ ๆ
     
  6. ขิก

    ขิก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,338
    ค่าพลัง:
    +18,756
    [b-wai] [b-wai] [b-wai]
     
  7. Rattanaporn

    Rattanaporn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +13,348
    หลวงพ่อพระราชพรหมยานแนะนำการฝึกอภิญญาหก


    <CENTER>การฝึกอภิญญา </CENTER>
    <CENTER>( ๑๘ ก.พ. ๒๕๒๘ )</CENTER><CENTER> </CENTER>
    การที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตั้งใจจะมาฝึกพระกรรมฐาน พระกรรมฐานที่บรรดาท่านฝึกอยู่นี่ เป็นการเตรียมตัวเพื่อ " อภิญญาหก " คือ มันสูงกว่าวิชชาสาม กรรมฐานนี่ความจริงถ้าเราจะฝึกกันจริง ๆ ตามแบบ มันก็มีหลายพันแบบด้วยกัน แต่ว่าทุกแบบต้องมาลงใน ๔๐ แบบ ที่เรียกว่า " กรรมฐาน ๔๐ "
    กรรมฐาน ๔๐ นี่เป็นต้นแบบใหญ่ อย่าลืมว่ากรรมฐานไม่ได้มีแบบเดียวนะ แล้วแต่ละ ๔๐ แบบ แยกเอาการฝึกออกไปเป็นข้อปลีกย่อยได้เป็นพัน ๆ จะเป็นการฝึกข้อปลีกย่อยกี่พันแบบ หรือต้นฐาน ๔๐ แบบก็ตาม ก็ย่อเป็นกรรมฐาน ๔ หมวด ต้องเข้าหมวดใดหมวดหนึ่งให้ได้ ถ้าเข้าหมวดใดหมวดหนึ่งไม่ได้ นั่นคือ ไม่ใช่กรรมฐานของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้


    หมวดที่ ๑ เรียกว่า " สุกขวิปัสสโก " บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายฝึกกันเป็นปกติ หมวดนี้ไม่มีความเป็นทิพย์ของจิต ไม่สามารถเห็นสวรรค์ เห็นเทวดา เห็นพรหมโลกได้ ไม่สามารถจะไปได้ แต่ว่ามีฌานสมาบัติได้ เป็นพระอริยเจ้าได้ ไปนิพพานได้
    หมวดที่ ๒ เรียกว่า " เตวิชโช " หมวดนี้พอจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิแล้ว แล้วก็ฝึก ทิพจักขุญาณ เมื่อฝึกทิพจักขุญาณได้แล้ว ต้องเข้าไปฝึก ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ระลึกชาติได้ เมื่อได้ทั้ง ๒ ประการแล้ว ใช้กำลังญาณทั้ง ๒ ประการเข้าช่วยวิปัสสนาญาณเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ เรียกว่า " พระวิชชาสาม " หมวดนี้สามารถเห็นสวรรค์ นรก เห็นพรหมโลก หรืออะไรก็ได้ทั้งหมด แต่ไปไม่ได้ ได้แต่เห็นอย่างเดียว นั่งตรงนี้คุยกับเทวดาหรือพรหมก็ได้ นั่งตรงนี้คุยกับสัตว์นรกก็ได้ อย่างนี้เรียกว่า " วิชชาสาม "
    หมวดที่ ๓ ที่บรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติกันอยู่นี่ เป็นหมวด" อภิญญาหก " อภิญญาหกนี่เราไปไหนไปได้ตามใจชอบ จะไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพาน ไปนรก เปรต อสุรกาย ไปได้หมด ประเทศต่าง ๆ ไกลแสนไกลแค่ไหน ประเทศในมนุษยโลกนี่มันไม่ไกลหรอก เราสามารถไปได้ ดวงดาวต่าง ๆ ที่ฝรั่งจะไปเราก็ไปได้ไม่ต้องลงทุน อย่างนี้เป็น " อภิญญาหก "
    สำหรับ หมวดที่ ๔ " ปฏิสัมภิทาญาณ " นี่มีความรู้ฉลาดมาก ปฏิสัมภิทาญาณมีความสามารถคลุมหมด คลุมสุกขวิปัสสโกด้วยเอาไว้ในตัว เอาวิชชาสามเข้าไว้ด้วย แล้วเอาอภิญญาหกเข้าไว้ด้วย แล้วก็ฉลาดมาก คือว่า ฉลาดในธรรมะขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกอย่าง เรียกว่า " ปฏิสัมภิทาญาณ "
    สำหรับในตอนนี้ขอนำเรื่องของ " อภิญญาหก " มาแนะนำแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท คือว่า ทุกคนเวลานี้เป็นการเตรียมตัวเพื่ออภิญญาหก " มโนมยิทธิ " นี่เขาถือว่าเตรียมตัวเพื่ออภิญญาหก เหมือนกับนักเรียนเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย เตรียมตัวไว้ก่อนซ้อมไว้

    <CENTER>อภิญญาหกจริง ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัท อาจจะทำได้จนเป็นสาธารณะ ต่อเมื่อถึง " พ.ศ. ๒๕๔๓ "
    </CENTER>ตอนนั้นถ้าคนไม่ขี้เกียจ จะสามารถทำอภิญญาหกได้ เวลานี้จะได้เป็นบุคคลบางคน อย่างนักเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบ เวลานี้เธอสามารถใช้กำลังอภิญญาหกได้บางส่วน คือ ไปไหนก็ไปทั้งตัว จะไปนรก ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ก็ยกตัวร่างกายไปเลย แต่ว่ากำลังของอภิญญาหกจริง ๆ ยังใช้หมดไม่ได้ ใช้ได้เฉพาะไปแค่รู้


    <CENTER>เพราะกำลังจริง ๆ จะเข้ามาถึง " พ.ศ. ๒๕๔๓ " ถ้าถึง " พ.ศ. ๒๕๔๕ อันนี้เป็นสาธารณะจริง ๆ</CENTER>
    สำหรับอภิญญาหก บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็เราก็ไปกันอย่างที่เราฝึกนี่แหละ! เราสามารถแสดงฤทธิ์แสดงเดชได้ ต้องการจะทำอะไร แค่นึกมันก็เกิดขึ้นทันที ถ้าเราเป็นคนแก่ อยากจะให้คนอื่นเห็นเป็นคนหนุ่มสาว นึกว่าให้เห็นอย่างคนขนาดนั้น อายุแบบนั้น รูปร่างแบบนี้มันก็เป็นทันที เอากันแค่นึก ...
    อภิญญาหกนี่เขาใช้แค่นึกเท่านั้นนะ ไม่ใช่ไปนั่งเข้าสมาธิเสียเวลา ๑ นาที อันนี้ใช้ไม่ได้ แค่นึกปั๊บมันจะเป็นทันที นึกอยากจะไปไหนร่างกายถึงทันทีทันใด มันเร็วกว่าลัดนิ้วมือหนึ่ง จะไปสวรรค์ จะไปนรก จะไปประเทศไหนก็ตาม พอนึกปั๊บมันจะไปถึงเลย นี่เป็นกำลังของอภิญญาหกส่วนหนึ่ง
    วันนี้ก็ขอแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัท ในด้านการเตรียมตัวก่อน การเตรียมตัวเวลานี้เราใช้กำลังของมโนมยิทธิยังไม่เต็มกำลัง ที่ใช้เวลานี้เป็นกำลังส่วนหน้า ส่วนหน้าที่ขึ้นเป็นกำลังของวิชชาสาม ถ้าใช้กำลังของอภิญญาจริง ๆ เราไปกันไม่ได้ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำให้ลดกำลังส่วนหน้าลง คือ ใช้กันแค่ " อุปจารสมาธิ "

    <CENTER>ถ้าเป็นกำลังของอภิญญาจริง ๆ ต้องใช้กำลังของ " ฌาน ๔ " เป็นพื้นฐาน</CENTER>
    แต่ว่าถึงแม้จะได้ครึ่งกำลังก็ถือว่าเป็นการเตรียมตัวเหมือนนักเรียนเตรียมปีแรก ต่อไประหว่างพรรษานี้จะเริ่มฝึกเต็มกำลัง ใครทำได้ก็ได้ ไม่ได้ก็แล้วไป ครูมีหน้าที่สอนเป็นเรื่องความฉลาดของคน ใครโง่มากก็ไม่ได้เลย โง่น้อยก็ได้บ้าง ถ้าไม่โง่เลยได้ทั้งหมด ถ้าหากว่าฝึกเต็มกำลังได้ นี่ถือว่ากำลังจิตของเราได้ครึ่งหนึ่งของอภิญญาหก พอหลังจากนั้นก็ไปฝึกฝนอภิญญาหกต่อไป ค่อย ๆ ฝึก
    สำหรับเบื้องต้น บรรดาท่านพุทธบริษัทที่ได้แล้วก็ดี เพิ่งจะฝึกก็ดี หรือตั้งใจจะมาฝึกก็ดี ให้ใช้กำลังใจตามนี้ไว้ก่อน รักษาความดีไว้ คือ :-
    ๑. พยายามไม่สนใจในจริยาของบุคคลอื่น ใครเขาจะดีใครเขาจะเลวแบบไหน มันเรื่องของเขา เราสนใจเฉพาะกำลังใจของเราเอง กำลังใจของเรามันดีหรือมันเลว ถ้าเรายังสนใจในจริยาของบุคคลอื่น แสดงว่าเรายังเลวมาก เพราะเราไมได้ห่วงตัวเอง เราไปห่วงคนอื่นเขาประโยชน์อะไรจะเกิดกับเรา คนอื่นเขาเลวก็เป็นเรื่องของเขา คนอื่นเขาดีก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าเราไปสนใจเขา เราก็ทิ้งความดีไปหาความเลว
    อันดับแรก ให้ห่วงใจตัวเอง ว่าเวลานี้กิจที่เราจะพึงทำน่ะมันพร้อมแล้วหรือยังที่จะรักษาความดี คือ มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา คำว่ามีศรัทธาในพระพุทธศาสนานี่ ความเชื่อในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ของเราพร้อมแล้วหรือยัง ถ้าวันไหนมีความสงสัยขึ้นมาให้ชื่อว่าเราเลวเสียแล้ว...
    การกำจัดความชั่วด้านความโลภ คือ การคิดอยากได้ในทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นเขามาเป็นของตนโดยไม่ชอบธรรม และจิตไม่คิดในการเผื่อแผ่มันเกิดขึ้นกับใจของเรา ถ้ามีก็เตือนใจบอกเราเลวไปแล้ว คือ กำลังใจของเรามี ให้คิดว่า ขึ้นชื่อว่าทรัพย์สมบัติของใครก็ตามที เราไม่สามารถจะได้มาโดยชอบธรรมเราไม่เอา แล้วกำลังใจเป็น " จาคานุสสติ " คิดว่าถ้าใครเขามีทุกข์ ถ้าไม่เกินวิสัยที่เราจะช่วย เราจะช่วย ถ้ากำลังใจทั้ง ๒ ประการนี้ยังอยู่ประจำใจเสียแล้ว แสดงว่าความดีด้านโลภะ การกำจัดโลภะของเรามีในใจ โลภะ ความโลภมันก็ออกจากใจ นี่ดีมาก ทั้งหมดนี้เป็นข้อที่ ๑
    ๒.การคิดประทุษร้ายบุคคลอื่นมีไหม อยากจะคิดให้คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ อยากจะคิดเข่นฆ่า อยากจะคิดทรมานเขามีไหม ถ้ามันมีถือว่าใช้ไม่ได้ เลว! ต้องคิดว่า คนเกิดมา คนก็ดี สัตว์ก็ดี เกิดมามันต้องตายกันหมด ถ้าเราจะทรมานเขาให้ลำบากก็ไม่ต้องไปทรมาน มันลำบากอยู่แล้ว ทุกคนมีความหิว ทุกคนมีความร้อน มีความกระหาย มีการป่วยไข้ไม่สบาย ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ มีการงานที่จะต้องทำ มีความแก่ลงไปทุกวัน มีความตายในที่สุด เขาถูกทรมานอยู่แล้ว ไม่ต้องไปช่วยเขา ถ้าไปช่วยเขาเราจะเลวมากขึ้น คิดอย่างเดียวว่าเราจะเป็นมิตรที่ดีของคนและสัตว์ทั้งโลก แต่ก็เผลอบ้างอะไรบ้างเป็นของธรรมดา ถ้าจิตยังไม่ถึงที่สุด คิดไว้อย่างนี้ชื่อว่าความดีเข้าถึงใจเรา เป็นการทำลายความโกรธ
    ๓. ทำลายความหลง เราเมาในร่างกายเกินไปไหม เมาในทรัพย์สินเกินไปไหม ชีวิตที่เกิดมานี่มันต้องตาย จิตเราเคยคิดถึงความตายไหม ถ้ายังไม่คิดถึงความตายนี่มันเลวที่สุด เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว สมบัติที่จะพึงได้คือ แก่ทุกวัน ไอ้กำลังความแก่มีอยู่ ไอ้ความแก่ของเรานี่มันจะแก่ถึงไหนก็ไม่แน่ จะไปคิดว่าอายุ ๖๐ - ๗๐ - ๘๐ ตายน่ะไม่แน่! ให้คิดว่าความตายจะมาถึงเราในวันนี้ไว้ก่อน มันแก่มาแค่นี้ถือว่าแก่นานแล้ว แต่วันนี้อาจจะตายก็ได้ ให้กำลังใจพร้อมไว้ คือ ไม่เมาในชีวิต
    อย่างนี้องค์สมเด็จพระธรรมสามิสรกล่าวว่า " เป็นผู้ทำลายความหลงในจิต " เอากันอย่างย่อนะ
    ถ้าเราคิดว่าความตาย ตื่นขึ้นมาตอนเช้าคิดว่าความตายอาจจะมีกับเราในวันนี้ เราทำอย่างไร เราอยากจะสวรรค์ หรือ เราอยากจะไปพรหมโลกเวลาตาย หรืออยากจะไปนิพพาน
    แต่ว่าสมาคมนี้ไม่ต้องการสวรรค์ ไม่ต้องการพรหมโลก ต้องการ " นิพพาน "
    ถ้าเราต้องการนิพพานก็ทบทวนความดีของเรา ที่เราฝึกกรรมฐานน่ะ วิมานของเราที่นิพพานมีหรือเปล่า .. ถ้าวิมานของเรามีที่นิพพานน่ะ! บารมีเราเต็มแล้ว เราก็ไม่ควรจะสละสิทธิ์ เพราะว่าคนที่มีบารมีเต็ม มีวิมานที่นิพพานน่ะ คนนั้นมีสิทธิ์จะไปนิพพานในชาตินี้ แต่ว่าที่ไม่ไปกันก็มีเยอะ มัวเมาในชีวิตเกินไป สละสิทธิ์นิพพานไปชาติต่อไป อันนี้โง่มาก...
    ถ้าเราคิดว่าวิมานที่นิพพานของเรามี เวลาเช้ามืดตื่นขึ้นมา ร่างกายเรามันเพลียไม่อยากนั่งก็ไม่ต้องนั่ง นอนแบบนั้นแหละ รวบรวมกำลังใจ ตัดสินใจว่าร่างกายอย่างนี้ไม่ต้องการมันอีก ความเป็นมนุษย์มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความทุกข์ ไม่ต้องการมันอีก เราต้องการจุดเดียวคือ " นิพพาน " เพียงเท่านี้พุ่งใจไปนิพพานทันที ไปนั่งอยู่ข้างหน้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยก็ดี เข้าวิมานของเราก็ได้ ถ้าเข้าในวิมานของเราถ้าเราไม่เห็นพระพุทธเจ้า พอนึกถึงท่านปั๊บท่านจะมาทันที เราก็ตัดสินใจว่า ถ้าร่างกายมันตายวันนี้หรือเมื่อไรก็ตาม ขอมาที่นี่จุดเดียว แค่นี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ก่อนจะตายวันนั้นท่านต้องเป็นพระอรหันต์ก่อน เป็นยังไง มันเป็นเอง ไม่ต้องห่วงหรอก ทำจิตอย่างนี้กันทุกวันเป็นอรหันต์เอง แค่นี้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ต้องทำให้ได้!
    ต่อนี้ไปก็จะพูดถึงการปฏิบัติที่บรรดาพุทธบริษัทเข้ามาใหม่ ๆ อันดับแรก ทุกคนต้องมี " ศรัทธา " ไว้ก่อน เรื่องของพระพุทธศาสนานี่ไม่มีศรัทธาความเชื่อนี่ ไม่มีผลเลย
    ประการที่สอง ฝึกตัดกังวล ขณะที่มาอยู่ที่วัดนี่ไม่ห่วงอะไรเลยที่บ้าน ถ้าคนฉลาดนี่เขาไม่ห่วง ไอ้คนห่วงน่ะคนโง่ ใช้ปัญญาคิดนิดหนึ่งว่า เรานั่งอยู่ตรงนี้ทางบ้านมันมีอะไรเกิดขึ้น เราเห็นไหม เรารู้ไหม เรารู้ไม่ได้ เห็นไม่ได้ แต่ว่าถ้าเราได้มโนมยิทธิ ถ้าเราห่วงเราย่องไปประเดี๋ยวหนึ่งก็ได้ และเวลานี้ต้องตัดความห่วงให้หมด ถ้าความกังวลคือ ความห่วงไม่มี จิตมันก็เริ่มเป็นสมาธิ หรือว่านิวรณ์ไม่กวนใจ
    หลังจากนั้นทุกคนคุมศีลให้บริสุทธิ์ ตั้งแต่บัดนี้ไปจนกว่าจะถึงวันตาย ไม่ใช่เฉพาะวันนี้และไม่ใช่อยู่ที่วัด ถ้าหากว่าคุมศีลไม่ได้วันไหน ฌานมันก็หล่น ปฏิบัติอย่างนี้คือ :-
    ๑. จะไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง
    ๒. จะไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำลายศีล
    ๓. จะไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว

    หลังจากนั้น ถ้าเรายังไม่เป็นพระอนาคามี นิวรณ์มันยังตัดไม่ได้ เอาแค่ระงับชั่วคราวคือ :-
    ๑. กามฉันทะ ความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย และในเพศตรงกันข้าม ยามปกติต้องมีและก็ต้องใช้ ก่อนจะทำกรรมฐานมันก็มีแล้วก็ใช้ เลิกกรรมฐานแล้วก็มีแล้วก็ใช้ อันนี้ไม่มีใครเขาว่า แต่ว่าเวลาที่เราจะเริ่มทำจิตเป็นสมาธิ ตัดกำลังนี้ออกจากใจไปชั่วคราว เราเวลานี้เราไม่ต้องการอะไรทั้งหมด
    ๒. ความไม่พอใจ อย่าให้มี
    ๓. ไอ้ความง่วงนี้ ถ้าเราโง่มันก็ง่วง ไม่โง่ก็ไม่ง่วง แล้วเวลาจะทำอย่าให้ดึกเกินไป ใช้เวลาหัวค่ำ กลางวันเวลาไหนก็ได้ เวลาทำต้องเป็นคนไม่มีเวลาแน่นอน เวลาไหนเราก็ทำได้ เวลาที่มันง่วงเพลียจัด เราก็อย่าไปทำมันซิ ไม่ให้มีความง่วง
    ๔. ควบคุมกำลังใจว่า เวลานี้ฉันจะภาวนา เวลานี้ฉันจะพิจารณา เวลานี้ฉันจะรู้ลมหายใจเข้าออก อย่างอื่นอย่าเข้ามายุ่งกับฉัน
    ๕. เราจะไม่สงสัยในผลของการปฏิบัติ
    หลังจากนั้นสมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ ให้ฝึกตื่นขึ้นมาเช้าคิดไว้เสมอว่า วันนี้เราจะเป็นมิตรที่ดีของคนและสัตว์ทั่วไป บุคคลใดมีความทุกข์ เราจะเกื้อกูลให้มีความสุข ถ้าหากว่าถ้ามีใครเพลี่ยงพล้ำเราจะไม่ซ้ำเติม
    แค่นี้แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท กำลังใจทรงแค่นี้ เราถือว่าเป็น " ผู้ทรงฌาน " ถ้ารักษาอารมณ์อย่างนี้ไว้ได้ ฌานทุกอย่างจะไม่มีเสื่อม มีแต่ก้าวหน้า[​IMG]
    ต่อไปเป็นการรักษากำลังใจ นี่เป็นเรื่องเบื้องต้นของมโนมยิทธิ จะไม่อธิบายถึงผล ผลต่าง ๆ ก็คือ ครูฝึกให้แล้ว ถ้าทรงกำลังได้อย่างนี้ คำว่าเสื่อม คำว่าถอยหลัง ไม่มี ต่อไปที่บอกไว้ในเบื้องต้นว่า การฝึกแบบนี้เป็นการเตรียมตัวเพื่ออภิญญาหก ทีนี้คำว่า " อภิญญาหก " นี่มันต้องมี อาสวักขยญาณ คือ ตัดกิเลส ถ้าตัดกิเลสไม่ได้ เขาเรียกว่า " อภิญญาห้า " อภิญญาห้านี่! เราจะฝึกกันทำไม ฝึกกันเท่าไรมันก็ยังคงลงนรกอยู่ อย่าง พระเทวทัต ได้อภิญญาห้าเหาะลงนรกไปเลย มันต้องเป็นอภิญญาหก คือ ตัดกิเลสให้ได้ ตัดกิเลสนี่มี ๓ ตอน คือ " สังโยชน์ ๑๐ " มีการตัดจริง ๆ ๓ ตอน ทีแรกตัดตอนต้นให้ได้
    ตอนต้น คือ อารมณ์ของพระโสดาบันและสกิทาคามี ถ้าคนที่มีวิมานที่นิพพานแล้วถ้าทำไม่ได้อย่างนี้ ภาษาจะพูด ภาษาไม่หยาบก็จะไม่พูดแต่จะพูดให้ฟังที่ว่าอยากจะพูดว่า เลวกกว่าหมานี่ นี่ไม่ได้พูดหรอก บอกให้ฟัง คือว่า ถ้ามีวิมานอยู่ที่นิพพานนี่กำลังใจของเรา บารมีมันถึงนิพพานแล้ว สังโยชน์ ๓ ตัดไม่ได้ก็เลวเต็มที สังโยชน์ ๓ มีอะไรบ้าง กำลังของพระโสดาบันกับสกิทาคามีนี่ต้องได้ กำลังของพระโสดาบัน สกิทาคามี เขามีความรู้สึกอย่างไร เอาความรู้สึกที่มีอยู่ประจำตัว คือ :-
    ๑. มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันต้องตาย จะตายเมื่อไรก็ช่าง คิดว่าอาจจะต้องตายวันนี้ไว้เสมอ คุมความดีไว้ แค่นี้คิดไม่ได้ก็เลวเต็มที
    ๒. ใช้ปัญญาพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่าเราควรเคารพนับถือไหม แค่นี้ถ้ายังสงสัยก็เลวอีกแล้ว
    ๓. ทรงศีลให้บริสุทธิ์ตามฐานะของตัว ฆราวาสนี่แค่ ศีล ๕ พอ พระก็ ๒๒๗ และก็มากกว่านั้นนะ คือ อภิสมาจารนี่มีอีกเยอะ ธรรมะนี่มีอีกเยอะ สามเณรนี่ศีล ๑๐ พร้อมกับเสขิยวัตร ๗๕ เฉพาะฆราวาสนี่แค่ศีล ๕ ทรงให้ได้ ถ้าทรงศีล ๘ ได้ก็ดี ถามว่าทรงตอนไหน ทรงตั้งแต่เวลานี้ไปจนกว่าจะหมดลมหายใจเข้าออก อารมณ์ของพระโสดาบัน สกิทาคามี มีแค่นี้เป็นพระอริยเจ้าแล้ว ตัดกิเลสเบื้องต้นได้แล้ว ถ้าได้อภิญญาคือ เป็นอภิญญาหกอีก ๒ จุด จะไม่พูดถึง ไม่จำเป็น เอาแค่นี้ให้ได้ก่อน หลังจากนั้นเป็นการซักซ้อมไว้เพื่ออภิญญา
    ฉะนั้น การฝึกอภิญญานี่มันมี ๒ แบบ
    คนที่ไม่เคยได้มาในชาติก่อน เราฝึกอีกแบบหนึ่ง
    คนที่เคยได้แล้วในชาติก่อน เราก็ฝึกอีกแบบหนึ่ง

    วันนี้จะพูดเฉพาะคนที่ได้แล้วในชาติก่อน และคนที่ได้มโนมยิทธิมาแล้ว ทุกคนมันเคยได้มาแล้วทั้งนั้น ถ้ากาลเวลามาถึงทำไม่ได้ แสดงว่าคบความโง่ไว้มากกว่าความฉลาด เพราะเคยได้มาแล้วนี่ก็ต้องเอาของเก่ามาใช้ให้ได้ เวลานี้ " มโนมยิทธิ " ที่ฝึกได้แล้วต้องทำให้เข้มข้น อย่าปล่อย เพราะมันเป็นก้าวแรกที่จะเข้าสู่ .. " อภิญญา "
    วิธีปฏิบัติเบื้องต้น มีความสำคัญต้องทำ ให้ทรงกำลังใจตามนี้ คือ ไม่ต้องไปไล่หน้ากสิณ ทีแรกคิดว่าจะไล่กสิณเล่นโก้ ๆ พระท่านบอก
    " ไม่จำเป็น! คนพวกนี้ไม่จำเป็นต้องไปไล่กสิณ เพียงแค่กำลังใจเข้าถึงฌานเท่านั้นแหละ คือ เข้าถึงเต็มกำลัง อภิญญาเก่าจะเข้าทันทีใช้ได้หมดเลย... "
    แต่ว่าต้องเป็น " พ.ศ. ๒๕๔๓ " ขึ้นไป ให้เริ่มใช้ตั้งแต่เวลานี้ เริ่มใช้ตั้งแต่เวลานี้จิตจะได้ทรงตัว ถ้าคนก็จะเป็นคนดี ถ้าพระก็จะเป็นพระดี ไอ้พระเลว ๆ ที่มันเลวมันไม่ได้ทำ ถ้าพระวัดนี้พระองค์ไหนเลวไม่พลาด " อเวจี " หรือ " โลกันตนรก "

    อย่าลืมนะ! นี่วิธีปฏิบัติกำลังใจเพื่ออภิญญา
    เมื่อตอนที่ " องค์ปฐม " ท่านมา ท่านบอกใช้อย่างนี้ ให้จับภาพพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ให้จิตทรงกำลังฌาน ๔ เป็นปกติ ไอ้ทรงฌาน ๔ เป็นปกติ ฌาน ๔ นี่เวลาเราออกจากร่างกายนี่เราเป็นฌาน ๔ แล้ว แต่นั้นเป็นฌาน ๔ เบื้องต้นที่มีกำลังอ่อน ต้องใช้ให้มีกำลังเข้มข้น นั่นก็คือ นึกถึงภาพพระพุทธเจ้าเมื่อไหร่ นึกปั๊บเห็นทันที นึกจับพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ชัดเจนแจ่มใส ตามกำลังให้ได้ทุกวัน ทุกวันและทุกเวลาที่เราต้องการ ไม่ใช่นั่งรอเวลาเงียบสงัด ไม่ใช่อย่างนั้น เดินไปเดินมา ทำงานอยู่นึกปั๊บให้เห็นเลย เห็นแล้วอธิษฐานพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงโตขึ้น ใหญ่ขึ้น สว่างกว่านี้ เล็กลง อยู่ข้างบน สูงมาก สูงน้อย เราทำอย่างนั้น อย่าคิดว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย ไม่ใช่ นี่อาตมาแนะนำเอง
    ขอให้ทรงกำลังใจอย่างนี้ให้เป็นปกติ เพราะการเดินไปเดินมา พระก็ตาม เวลาเดินไปบิณฑบาต เดินไปทำงานทำอะไรอยู่ก็ตาม ให้เห็นภาพพระพุทธเจ้าเป็นปกติที่ต้องการจะเห็น ถ้าอย่างนี้ทุกคนจะอยู่ในเกณฑ์สำรวม ความวุ่นวายจะไม่มีอยู่ในจิต ความเลวของคนของพระจะไม่มี ญาติโยมสังเกตไว้นะ!
    ถ้าพระองค์ไหนมันเลว มันไม่ทำแบบนี้หรอก ถ้าจับแบบนี้อารมณ์เลวไม่มี แล้วงานจะต้องเป็นไปตามปกติ นักเจริญกรรมฐานนี่เขาเคร่งครัดในการงาน เพราะต้องเป็นคนเคร่งครัดในกาลเวลา ถ้าไม่เคร่งครัดในกาลเวลามันทำไม่ได้ แม้แต่ในกรรมฐานเบื้องต้นเขาก็เคร่งครัดในกาลเวลาหรือการงาน
    รวมความว่า ถ้าจับภาพพระให้เป็นปกติ สำหรับเรื่องกสิณไม่ใช่ของแปลก และจะลองเล่นกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งไว้เป็นอดิเรก อย่าใจร้อน..
    อันดับแรก จับภาพพระพุทธเจ้าให้ชัดเจน ต้องฝึกตัวนี้ก่อน เดินไปเดินมานึกเมาอไรเห็นปั๊บทันที นอนหลับตื่นก็เห็นชัด ต้องอย่างนี้อภิญญา ไม่ใช่มานั่งทำ เขาเดินทำ เขาวิ่งทำกัน การทรงกำลังของสมาธิ เมื่อได้ทุกขณะแล้วอย่าใจร้อน เมื่อได้ตามความต้องการนึกเมื่อไรเห็นชัด ต่อจากนั้นไปก็เอากสิณอย่างใดอย่างหนึ่งมาเล่นเป็นงานอดิเรก กสิณลมนี่มันเล่นยาก ความจริงอยากจะให้เล่นกสิณลม กสิณลมนี่มันเหาะได้นะ โก้ดี แต่มันเล่นยาก ถ้าไม่ฉลาดนี่มันเล่นยาก เอาง่าย ๆ ดีกว่า เอาปฐวีกสิณก็ได้ หรือ อาโปกสิณก็ได้ เอาง่าย ๆ ..
    ถ้าปฐวีกสิณ ก็จับดินขึ้นมา เอาดินสีอรุณขึงไว้ทำวงกลมให้โตพอที่ตามองเห็น แล้วไม่เห็นขอบวงกลม จับภาพให้ทรงตัว แต่ก็ไม่สะดวกอีก ต้องอาโปกสิณดีกว่า
    อาโปกสิณ เล่นง่าย ถ้ามันทำได้อย่างใดอย่างหนึ่งมันได้หมด ถ้าอาโปกสิณเอาน้ำมาใส่แก้วหรือใส่ขัน จับภาพพระพุทธเจ้า เดินไปเดินมาก็เห็นชัด นั่งก็เห็นชัด พอจับภาพพระพุทธเจ้าเห็นชัดเจนแจ่มใส แพรวพราวเป็นระยับเป็นฌาน ๔ ทรงตัว ขอพระองค์โตขึ้น เล็กลง อย่างนี้สะดวกมากได้แน่นอน จิตไม่วอกแวกตามกำลัง ตั้งเวลาไว้ ๑๐ นาที ๒๐ นาที ๓๐ นาที ให้ทรงตัวให้ได้ ถ้า ๓๐ นาทีมันไหลไป อย่างนี้จิตใช้ไม่ได้แล้ว ยังเล่นกสิณไม่ได้ ถ้ามันทรงตัวได้จริง ๆ ภาพทรงตัว เวลานั้นก็เอาน้ำมาตั้ง จับภาพพระพุทธเจ้าให้ชัดเจนแจ่มใสเต็มกำลังของฌาน ๔ คือ แพรวพราวเป็นระยับของฌาน ๔
    หลังจากนั้นถอยหลังมา ขอกำลังบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า น้ำในแก้วหรือในขันนี้ขอให้แข็ง จิ้มไปตรงไหนตรงนั้นแข็ง แล้วเข้าฌาน ๔ ใหม่ จับภาพพระพุทธเจ้าใหม่ทำใจเฉยไว้ ถอยหลังมาอีกทีทรงจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ อธิษฐานว่าน้ำนี้จงแข็ง แล้วจิ้มปั๊บมันแข็งหรือยัง ยังไม่แข็งก็แล้วไป เพราะเวลามันยังไม่ถึง ซ้อมไว้จนกว่าจะถึง " พ.ศ. ๒๕๔๓ " ทำไปทุกวัน ๆ เล่นแบบนี้ เล่นเป็นปกติ ไม่ช้าก็จะมีการทรงตัว พออธิษฐานไปอธิษฐานมา น้ำเกิดแข็งมาตามความชอบใจ เราต้องใช้เวลาอยู่ ยังเป็นกำลังของอภิญญาไม่ได้ ยังอ่อนมากไป
    ถ้าจะเป็นกำลังของอภิญญาจริง ๆ ก็จับน้ำมา น้ำที่ไหนก็ตาม น้ำในแม่น้ำ น้ำในคลอง น้ำในบ่อก็ตาม นึกว่าน้ำที่จับไปจงแข็ง แหย่ปั๊บทันที แข็งทันที อย่างนี้เป็นตัวอภิญญาแน่ หลังจากนั้นก็ใช้กำลังของกสิณให้พอใจ กำลังของกสิณก็คือ :-
    ๑. ปฐวีกสิณ อธิษฐานของอ่อนให้เป็นของแข็ง อยากจะเดินบนน้ำก็อธิษฐานว่า เท้าที่เราก้าวไปตรงไหนให้น้ำแข็งเหมือนดิน เฉพาะที่เท้าก้าวนะ อย่าไปเสือกอธิษฐานให้หมดทั้งคลองนะ! มันไม่ถูก..การจราจรเขาเสีย อย่างนี้ก้าวไปได้สบาย อยากจะเดินไปในอากาศ อธิษฐานว่าเท้าที่ข้าพเจ้าก้าวไปในอากาศ เหยียบตรงไหนให้แข็งเหมือนดิน เดินได้สบาย...
    ๒. อาโปกสิณ ทำของแข็งให้เป็นของอ่อน หินมันแข็งทำให้เป็นของอ่อน เหล็กมันแข็งให้มันอ่อน แล้วฝนไม่ตกทำให้ฝนตกได้ทุกอย่าง
    ๓. เตโชกสิณ ไฟนี่! ถ้ามันหนาวเกินไป อธิษฐานเตโชกสิณ ให้มีความอุ่นแค่นั้นแค่นี้ ต้องการให้ไฟลุกล้อมใครเสียก็ได้ ใครพูดไม่ดีอธิษฐานให้ไฟล้อม มันเดินไม่ได้อยู่ตรงนั้นแหละ ถ้ามันไม่ขอขมาก็ไม่เลิกกัน อย่าไปเล่นแบบนี้นะ ถ้าไปเล่นแบบนี้กสิณเสื่อม หรือบางทีความมืดก็ใช้เตโชกสิณช่วยให้แสงเกิด
    ๔. วาโยกสิณ กสิณเหาะ! นึกอยากจะให้เราไปไหน นึกแป๊บเดียวมันจะไปถึงทันที นึกอยากจะให้ใครมาหาเรา ก็คิดถึงวาโยกสิณปั๊บหอบคนนั้นมา มันจะมานั่งปุ๊บนั่งข้างหน้าเลย เอาแค่นึกไม่ใช่ตั้งท่านะ ตั้งท่าใช้ไม่ได้
    ๕. ปีตกสิณ ถ้าของสีดำ สีแดงก็ตาม ต้องการคิดให้เป็นสีเหลือง สีทอง และแผ่นดินนี่ต้องการให้เป็นสีทองเมื่อไหร่ มันจะเป็นทองได้ทันที ไอ้บ้านหลังนี้ถ้าเป็นตึกเป็นไม้ เราคิดจะให้เป็นสีเหลือง สีทอง มันก็เป็น...
    ๖. โอทาตกสิณ โอทาตกสิณนี่ถ้าของมันขาว มันเขียว มันแดงนี่ ต้องการให้มันขาว นึกให้มันขาวมันจะขาวเลย
    แต่ก็มีกสิณอีกเยอะ! รวมความว่ากำลังของกสิณทั้งหมดเป็นเรื่องเล็ก ๆ ถ้าเราทำเบื้องต้นได้
    ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเตรียมฝึกเพื่ออภิญญา เวลานี้จะเตรียมใช้กำลังใหญ่ไว้ได้เลย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าทำอย่างนี้มโนมยิทธิของทุกคนจะไม่มีคำว่าเสื่อม จะมีความทรงตัวแล้วจะเข้มแข็งขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังที่จะตัด " สังโยชน์ ๓ " ต้องทำให้ได้ อันนี้ไม่ใช่คำขอร้อง เป็น " คำสั่ง " ว่าคนที่ต้องการความดีถึง " นิพพาน " หรือ " อภิญญา " ก็ตาม ต้องทำ " สังโยชน์ ๓ " ให้ได้ คือ :-
    ๑. มีความรู้สึกไว้ทุกวัน เวลาตื่นเช้าว่าชีวิตนี้มันต้องตาย ถ้าตายแล้วเราไม่ยอมไปอบายภูมิ
    ๒. เราจะยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง เป็นกำลังใจของเราด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
    ๓. จะทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
    เท่านี้แหละ! แล้วหลังจากนั้นก็ใช้กำลังใจของพระอรหันต์ไว้ประจำใจ คือ ขึ้นชื่อว่ามนุษยโลกมันเป็นทุกข์เราไม่ต้องการมันอีก พรหมโลกกับเทวโลกสุขจริง แต่ไม่นาน ไม่ต้องการมันอีก เราต้องการจุดเดียวคือ .. " นิพพาน " อย่างนี้เป็นอารมณ์พระอรหันต์ รักษากำลังใจตามนี้ไว้ เมื่อถึงอายุขัยเมื่อไร ก่อนจะตายจะเป็นอรหันต์เมื่อนั้น เมื่อตายเมื่อไรก็ไปนิพพาน ...

    ถ้ายังไม่ไปนิพพานเพียงใด ถ้าโอกาสมี ถ้าเราสามารถใช้อภิญญาได้ แต่ว่าการใช้อภิญญานี่ต้องใช้ให้ถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านห้ามพระ ถ้าไม่มีคนเห็นใช้ได้ ถ้ามีคนเห็นใช้ไม่ได้ แล้วก็มีประโยชน์มาก สำหรับคำแนะนำการฝึกอภิญญาหก ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ สวัสดี



    ที่มา http://www.putthawutt.com/html/menu.html<!-- / message --><!-- sig -->

     
  8. dalink

    dalink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +2,436
    คิดว่า เห็นด้วยกะ คุณคณานันท์ค่ะ

    เพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ก่อนหลับก็ถูกปลุกให้ตื่น กลางดึก มีเสียงออกบอกออกจากจิตตัวเองว่า ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้จะไม่ต้องรอที่ไหน หรือแสวงหาจากวัตถุใดๆ อยู่ที่ตัวเรานี่แล้ว เพียงทำจิตให้บริสุทธิ์ เมตตา และเป็นผู้ให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ให้ด้วยจิตที่บริสุทธิ์ สิ่งนี้แหละ คือ การที่เราได้ทำให้สิ่งที่เรียกว่า ปาฏิหาริย์ แล้ว เพียงแต่ เราจะทำ หรือไม่เท่านั้น ถ้าจะทำก็ทำที่ใจเรานี่แหละ ไม่ต้องทำที่ไหน แล้วก็ต้องอนุโทนากับเหล่าพุทธภูมิทุกท่านที่ได้ทำดี ในสิ่งที่ เสียสละ ไม่หวังผลตอบแทน ทำด้วยใจค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2007
  9. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +17,625
    "สัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฎิบัติ"

    4 คำนี้ยังก้องอยู่ในหูผมเลยครับในคืนวันงานก่อนวันสันนิบาตรพุทธภูมิ

    ผมจะเล่าให้ฟังนะครับ ผมได้ยิน 4 คำนี้ในขณะที่ผมกำลังดู vdo ที่พี่คณานันท์กล่าวถึง(ฆราวาสชาวต่างประเทศที่ได้อภิญญาใหญ่)กับพี่วีนัส และเพื่อนๆชมรมรักษ์พระธาตุอยู่ขณะนั้น
    เป็นเสียงทิพย์จากพี่คณานันท์ในคืนนั้น ซึ่งระหว่างนั้นพี่คณานันท์ไ้ด้เข้าเต็นท์นอนไปแล้ว ราวๆเที่ยงคืน ผมก็ถามพี่วีนัสดูว่าได้ยินเสียงสวดมนต์อะไรรึป่าว ก็ไม่ได้ยิน ผมได้ยินอยู่คนเดียว รู้ว่าเป็นเสียงสวดของพี่คณานันท์ ว่า
    "สัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฎิบัติ" สวดติดๆกัน ย้ำๆแบบนี้ละครับ
    พอรุ่งเช้าอีกวันตอนไปวัดเขาสังกัสตอนอธิฐานจิตช่วงเวลา 07:19 ์ตอนนั้นตัวสั่นทั้งตัวเลยครับ (ปิติมากไม่เคยสั่นมากขนาดนี้มาก่อน)
    เข้าใจว่าพระท่านส่งพลังมาให้ครับ หลังจากนั้นก็ไปวัดท่าซุงต่อครับ ช่วงนั้นราวๆ 9 โมงกว่า ซึ่งเป็นช่วงที่ปรียานันท์ธรรมสถานกำลังทำพิธีบวงสรวงอยู่พอดี ผมซึ่งอยู่วัดท่าซุง ได้ยินเสียงสวดทำพิํธีบวงทรวงจากบนฟ้าวัดท่าซุง (เป็นเสียงทิพย์คล้ายตอนได้ยินแบบเมื่อคืนเลยครับ) ผมก็คิดว่าไม่ได้หูฝาดไป พอกลับไปปรียานันท์ธรรมสถานแล้ว ก็ได้ไปบอกพี่คณานันท์ว่าเมื่อคืนผมได้ยินเสียงพี่สวดว่า
    "สัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฎิบัติ" พี่เขาก็บอกว่าใช่ ก็เลยทำให้ผมแน่ใจว่าหูไม่ฝาด ซึ่งจากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมได้สัมผัสเสียงทิพย์ที่สามารถยืนยันได้ทั้งเหตุการณ์ เวลา และบุคคลครับ

    ผมจึงสรุปได้ว่า 4 คำนี้มีความสำคัญมากครับกับ อภิญญาใหญ่
    ผู้ที่จะได้ต้องมี
    "สัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฎิบัติ"
    และผมได้สอบถามพี่เหน่ง (sravnane) ว่าหลักการใช้อภิญญาจะใช้อย่างไรให้เป็นสัมมาทิฐิ พี่เหน่งได้เมตตาตอบว่า "ใช้อย่างไรก็ได้ไม่ให้ผิดศีล" เป็นหลักการที่ทำให้ผมแจ่มแจ้งครับ ^^

    แล้วอภิญญาใหญ่เริ่มเข้าตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2550 เป็นต้นไปแล้วครับ ใครที่มีเกณฑ์จะได้ก็จะเริ่มได้กัน "ขอให้มีความศรัทธาในพระรัตนตรัยเท่านั้น"

    พุทธัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
    ธัมมัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
    สังฆัง ชีวิตตัง เม ปูเชมิ
     
  10. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,173
    ขอโมทนาบุญในธรรมทานกับน้อง 9 ที่นำคำสอนของหลวงพ่อมาให้อ่านกันครับ


    .
     
  11. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอคงต้องขอย้ำให้ฝังอยู่ในจิตของทุกๆท่านครับ

    อภิญญานั้นเป็นดาบสองคม มีทั้งฝ่ายขาวและฝ่ายดำ สัมมาทิษฐิ และมิจฉาทิษฐิ

    สัมมาทิษฐินั้นเป็นไปเพื่อการหลุดพ้น เพื่อความเมตตา ช่วยเหลือ เพื่อการสงเคราะห์ เพื่อส่วนรวม เพื่อสร้างสรรค์ เพื่อความสุขสงบสันติ

    มิจฉาทิษฐินั้นเป็นไปเพื่อตนด้วยความเห็นแก่ตัว เพื่อครอบงำ เพื่อบีบคั้น เพื่อก่อให้เกิดการแตกแยก เพื่อการทำลาย เพื่อเป็นเจ้าโลก

    ผลของผู้ใช้อภิญญาในทางสัมมาทิษฐิก็เพื่อการบำเพ็ญบารมีเป็นสำคัญ เพื่อสร้างศรัทธาที่ยังไม่เกิดให้เกิด เพื่อเสริมศรัทธาให้มั่นคงยิ่งขึ้น และ ที่สำคัญก็เพื่อการพลิกจิตผู้เป็นมิจฉาทิษฐิให้เป็นสัมมาทิษฐิซึ่งสิ่งนี้เองที่พระพุทธองค์ท่านทรงใช้และทรงสรรเสริญ ทรงใช้ฤทธ์ทรมานผู้เป็นมิจฉาทิษฐิหลายท่านให้เข้าถึงธรรมจนบรรลุธรรมในที่สุดก็หลายท่าน


    มีบางคนตั้งคำถามมาในใจว่า ทำไมต้องเป็นอภิญญาใหญ่ ทำไมต้องเป็นอภิญญาสาธารณะนั้น ก็ขอตอบว่า เพราะเพื่อการรองรับความเจริญรุ่งเรืองรอบใหม่ของพระพุทธศาสนาที่เจริญคล้ายในสมัยที่พระพุทธองค์ท่านทรงมีพระชนม์ชีพอยู่

    มากด้วยผู้ปฏิบัติและเข้าถึงธรรม
    มากด้วยพระสุปฏิปันโน
    มากด้วยพระอริยะเจ้า
    มากด้วยพระโพธิสัตว์

    อภิญญาที่ใช้ช่วยคนสงเคราะห์คนในช่วงภัยพิบัตินั้นนอกเหนือจาก เป็นการโปรดสัตว์ช่วยชีวิตแล้วยังเป็นการสร้างศรัทธาของชนชาวโลกให้เข้าใจด้านความเจริญทางจิตของพระพุทธศาสนาด้วย

    ดังนั้นผู้ที่ได้อภิญญาต้องพึงระลึกเอาไว้ด้วยว่า เราใช้อภิญญาเพื่อการบูชาคุณพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนา แต่ในขณะเดียวกันขาข้างหนึ่งของเราก็แหย่ลงไปในนรกเช่นกันหากเรานำไปใช้ในทางที่ผิด ซึ่งขอให้ดูพระเทวทัตเป็นตัวอย่าง ได้อภิญญาแต่ลงอเวจีมหานรก

    ดังนั้นเครื่องป้องกันที่บอกเตือนตนเองและเตือนทุกท่านเอาไว้เสมอก็คือ
    -ความเคารพในพระรัตนไตร
    -สัมมาทิษฐิ
    -ศีล
    -พรหมวิหารสี่
    -วิปัสนาญาณ

    เป็นสำคัญ(ลมหายใจทรงเป็นปกติ)


    พวกเราเองหลายๆท่านก็มีเกณฑ์ที่จะได้อภิญญาใหญ่ก็หลายท่าน ขอให้เตรียมจิตของเราให้บริสุทธิ์กันเอาไว้ให้ดี รักษาใจของเราให้สะอาด สว่าง เย็น แต่มีความตั้งมั่น
     
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอนำเรื่องเก่าๆเกี่ยวกับหลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ผมเคยไปโพสต์เอาไว้นานแล้วมาลงก่อนแล้วกันครับ

    http://palungjit.org/showthread.php?t=54406
    ครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อหลวงปู่เทพโลกอุดรนั้น เป็นเวลาสิบกว่าปีมาแล้ว สมัยนั้น ผมบวชเป็นพระนวกะ ที่วัดบวร ความรู้และการปฏิบัติก็พยายามเรียนรู้เองศึกษาเอง นอกเหนือจากหลักสูตรนวกะภูมิ สมัยนั้นผมยังไม่รู้จักหลวงพ่อฤาษีลิงดำเลย
    วันหนึ่งผมและเพื่อนพระ ตกลงกันว่าจะไปปลงอศุภะ(ดูศพ) ที่ตึกกรอส รพ.จุฬา จากนั้น ก็จะไปโปรดญาติโยมที่คลีนิคนิรนาม ด้วยการไปพูดคุยให้กำลังใจ ให้ธรรมมะ กับผู้ป่วยโรคเอดด์ ที่นั่นเองที่ผมได้พูดคุยกับผู้ป่วยชายรายหนึ่ง เขาเล่าให้ฟังว่า


    " ตัวเขาเองอายุประมาณ ยี่สิบปีเศษ ทำงานอยู่ในย่านพัฒน์พงศ์และรู้ตัวว่าติดเชื้อเอดด์ มาเป็นเวลา 12 ปีแล้ว แต่เขายังมีอาการภายนอกเป็นปรกติดี แข็งแรงทุกอย่าง ดูเหมือนไม่ได้ป่วยอะไร ในขณะที่เพื่อนๆที่ป่วยในรุ่นๆเดียวกันกับเขาค่อยๆทะยอยป่วย ทะยอยตายลงไปทีละคน สองคนจนหมด "(สมัยนั้น ยาและวิธีรักษายังไม่มีประสิทธิภาพเหมือนสมัยนี้) ผมเลยถามว่าทำตัวอย่างไร ดูแลสุขภาพอย่างไรจึงไม่มีอาการแบบนี้ เขาเล่าให้ฟังว่า

    " เขาเองนั้นเป็นคนที่นั่งสมาธิ ทำสมาธิ วันหนึ่งเขา เห็นหลวงปู่เทพโลกอุดรมาโปรดเขาในนิมิตร และบอกว่าท่านช่วยดูแลเขาอยู่ โรคที่เป็นอยู่นั้นเป็นโรคกรรม เขาจึงได้เรียนกับหลวงปู่ในนิมิตรว่า ถ้ามีกรรมจะตายก็ให้ตายเถิด แต่ขออย่าได้มีอาการของโรคปรากฏออกมา จากนั้น เขาก็ได้นั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ แม้ว่า อาชีพของเขาจะไม่เอื้ออำนวยอย่างยิ่ง "
    สมัยนั้นผมยังนั่งสมาธิไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เน้นแผ่เมตตาล้วนๆ ก็ได้ แต่นับถือเขาว่า ทำได้ปฏิบัติได้ และปรากฏผลที่หลวงปู่ท่านมาโปรดตัวเขาในสมาธิ ช่วยต่ออายุเขาได้จริงๆ

    เรื่องหลวงปู่เทพโลกอุดรมาโปรดผู้ป่วยนั้นผมจะเล่าให้ฟังในโอกาสต่อๆไปครับ
     
  13. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    กระทู้นั้แปลกอย่างหนึ่ง พยายามจะเล่าบางเรื่องแล้ว ถูกปิดไว้ไม่อาจลงได้ ถามพระท่านบอกว่ายังไม่ถึงวาระ แต่ตอนนี้ขออนุญาตท่านเอาไว้แล้ว เพราะได้เกณฑ์อภิญญาแล้ว

    เรื่องต่อมาเป็นเรื่องของญาติท่านหนึ่งของผมเอง ท่านมีศักด์เป็นลุงของผม ลุงท่านนี้ท่านเป็นผู้มีจิตใจใฝ่ในกุศลความดี และก็เป็นศิษย์นับถือหลวงพ่อฤาษีลิงดำกันทั้งบ้าน ลูกชายของท่าน ไปบวชที่วัดท่าซุงตั้งแต่สมัยที่หลวงพ่อยังมีชีวิต เป็นเวลาถึง 16 ปี ดูแลตึกรับแขกชื่อพี่โกวิท ซึ่งบวช จนเกือบไม่สึกแล้ว

    วันหนึ่งลุงของผมท่านได้มีอาการป่วย เกิดความเจ็บป่วยทรมานมาก นอนอยู่ในห้องที่บ้านคนเดียว ขณะที่ท่านนอนป่วยอยู่นั้น
    ท่านก็เห็น"พระภิกษุรูปหนึ่งเดินทะลุกำแพงห้อง"เข้ามาหาคุณลุงแล้ว บอกว่าท่านคือหลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านเมตตามาช่วยรักษาเนื่องจาก คุณลุงมีวาสนาเกี่ยวพันกับท่านมาในอดีตกาล ท่านจึงได้มาช่วย

    จากนั้น ท่านก็ได้เป่าให้บริเวณที่ป่วย แล้วท่านก็เดินทะลุกำแพงหายไป

    วันรุ่งขึ้น คุณลุงก็หายป่วย อย่างน่าประหลาด มีสุขภาพเหมือนคนปรกติ

    เรื่งนี้ผมได้ทราบเนื่องจากได้ไปอ่านพบในหนังสือเรื่องหลวงปู่เทพโลกอุดร แต่ พอไปพบคุณลุงเจ้าตัว เจ้าของเรื่อง ขอให้ท่านเล่าให้ฟัง เต็มๆ ท่านกลับไม่ตอบรับ และก็ไม่ปฏิเสธ ทำเฉยๆเสียแต่ท่านเล่นเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น เป็นลีลาเพื่อไม่ให้ละเมิดศีล จนผมเลิกถาม ไปถามพระท่านแทนพระท่านบอกว่าลุงแกให้สัจจะเอาไว้ และกลัวว่าเล่าแล้วคนไม่เชื่อปรามาศแล้วจะเป็นบาป แกเลยใช้วิธีเลี่ยงแทน และแกปฏิบัติเพื่อการดับไม่เหลือเชื้อ จึงมีศีลที่บริสุทธ์ มีความละเอียดระมัดระวังกว่าปุถุชน

    เป็นอันจบเรื่องนี้ ตอนต่อๆไปผมขออนุญาตเล่าเรื่องศิษย์ของหลวงปู่เทพโลกอุดร ทั้งที่ เป็นสายศิษย์ในดง และศิษย์นอกดงครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ก่อนอื่นผมขออนุญาตเรียกหลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านอย่างย่อๆว่า "หลวงปู่ใหญ่" ตามที่ท่านผู้ใหญ่ ครูบาอาจารย์หลายๆท่านกล่าวขานนามของท่านนะครับ

    หลวงปุ่ใหญ่นั้นตามที่ได้สัมผัสและที่ได้รับฟังมาจากหลายแหล่งหลายที่ สรุปรวมเรื่องราวของท่านได้ว่า
    -ท่านมีอายุยาวนานมาก บางแห่งว่าท่านมีอายุหลายร้อยปี บ้างก็ว่าเป็นพันปี ส่วนข้อมูลที่ผมได้ ผมเชื่อว่าท่านมีอายุอยู่ในสมัยพุทธกาลครับ
    -เวลาที่หลวงปู่ใหญ่ ท่านมาโปรด ใคร ท่านมักจะจำแลงกายไปให้เห็นในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป จนคนๆนั้น ไม่สามารถจดจำท่านได้ว่าท่านเป็นใคร ท่านมาโปรดในรูปของเณรบ้าง พระภิกษุชราบ้าง พระภิกษุหนุ่มบ้าง แต่การปรากฏกายของท่านนั้น เวลาจากไป มักหายไปอย่างรวดเร็วไร้ร่องรอย การมาโปรดของท่านนั้นที่จริงแฝงปริศนาธรรมไว้ อย่าให้เราไปยึดติดในรูปกายสังขารภายนอก อันมีความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มุ่งที่ธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า
    -เหล่าศิษย์ที่เป็นสงฆ์ที่ท่านเมตตามาโปรด มักจะเป็นสายอภิญญา เป็นส่วนใหญ่ และท่านมักสอนให้หลวงปู่หลวงพ่อที่เป็นศิษย์ได้อภิญญาด้วยเสมอ
    -ท่านไม่ได้โปรดเฉพาะคนไทย มีชาวต่างประเทศ หลายชาติที่ท่านไปโปรดและนำตัวไปฝึกวิชชาและอภิญญาในป่าลึก
    -องค์หลวงปู่ถ้าท่านปรากฏกายมักมาโปรดเพื่อช่วยรักษาโรคให้ หรือเพื่อให้บุคคลท่านนั้นได้ทำบุญกับท่าน ส่วนถ้าท่านจะโปรดสอนธรรมะ ปฏิบัติและหรืออภิญญา ท่านทั้งมาปรากฏโปรดในนิมิตร ในสมาธิ และมาปรากฏด้วยองค์ท่านเองก็มี
    -หลวงปู่ท่านเป็นครูบาอาจารย์ใหญ่ของพระอภิญญาท่านอื่นๆ ที่อยู่ในป่าลึก
    -เรื่องราวของหลวงปู่มีมากมาย และพิศดาร บางเรื่องสืบทอดยาวนานมาตั้งแต่สมัยอยุธยาก็มีปรากฏ

    เหล่านี้เป็นข้อสังเกตุจากข้อมูลที่ผมได้สัมผัสและรับฟังมาครับ ส่วนประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ "แท้ที่จริงหลวงปู่เทพโลกอุดรท่านคือใครกันแน่" เพราะเป็นที่ถกเถียงกันมากนั้น ผมมีคำตอบให้ท่านครับซึ่งเรื่องนี้หลวงพ่อครูบาอาจารย์หลายท่านได้ยืนยันตรงกันครับ ผมจะเฉลยทีหลังครับ ส่วนท่านจะเชื่อว่าหลวงปู่เทพโลกอุดรนั้นเป็นใครไม่สำคัญๆที่ท่านปฏิบัติตนอยู่ในธรรมความดีที่ท่านสั่งสอนเป็นดีที่สุดครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ส่วนที่เรียกขานศิษย์ของท่านว่า "ศิษย์ในดง " และ"ศิษย์นอกดง" นั้นเนื่องจาก ศิษย์ในดง นั้นท่านจะเมตตามารับไปฝึกวิชา อภิญญาระดับสูงในป่า โดยมีศิษย์หลายๆท่าน ที่หลวงปู่ใหญ่ท่าน "เหาะ" มารับไปฝึกวิชาด้วยองค์เองเลย บางท่านมารับตั้งแต่เป็นเณร พาใส่ย่ามพาเหาะไปป่า บางท่านเป็นชาวต่างประเทศไม่รู้จักพุทธศาสนา แต่มีความเกี่ยวพันในวาสนาบารมีร่วมกันมาในอดีต ท่านก็ไปพาตัวมาจากต่างประเทศก็มี

    ส่วนศิษย์นอกดงนั้น นับโดยเป็นศิษย์ของศิษย์ท่านอีกชั้นหนึ่งบ้าง เป้นศิษย์ที่ท่านมาเมตตาสอนวิชชาและการปฏิบัติให้เองบ้างเพียงแต่ไม่ได้พาตัวเข้าไปฝึก ไปอยู่ในป่า รวมทั้งความเข้มข้นของอภิญญาสมาบัติและการแสดงฤทธิ์ แต่ถึงเป็นศิษย์นอกดงแต่เมื่อเป็นศิษย์ของหลวงปู่ใหญ่ได้ก็นับว่าไม่ธรรมดาแล้วครับ

    เท่าที่ทราบ อ.ชม สุคันธรัต ท่านก็เป็นศิษย์นอกดงด้วยท่านหนึ่ง ท่านมีวิชชาดีหลายๆอย่าง เป็นผู้บรรญัติ นิยามว่า "วิทยาศาสตร์ทางจิต " และ"วิทยาศาสตร์การหายใจ"ขึ้นเป็นท่านแรก มีการพิสูจน์ได้ทดสอบได้แบบเป็นวิทยาศาสตร์ครับเช่น วิชาอยู่ยงคงกะพัน วิชาแต่งกองทัพซึ่งกษัตริย์แม่ทัพนายกองต้องเรียนต้องใช้ในยามศึกสงคราม วิชาดับพิษไฟ วิชาเสกปรอทเพื่อใช้รักษาโรค ซึ่งท่านเปิดสอน ทุกๆเดือน มีลูกศิษย์ลูกหาไม่ต่ำกว่าหมื่นคนทั่วประเทศ ทั้งฆราวาส และสงฆ์ นอกจากนี้ท่าน ยังมีวิชา เสกใบไม้ให้เป็นแมลง เสกใบมะขามเป็นต่อเป็นแตน วิชาต่อกระดูก ฯลฯ และอื่นๆอีกมากครับ ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่มีเมตตาต่อศิษย์จริงๆ ในการถ่ายทอดความรู้ และการยกย่องครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ แถมยังแนะนำให้ไปหาครูบาท่านอื่นที่เก่งๆท่านอื่นด้วยครับ

    วิชาของจริงท่านไม่เรียกร้องเอาแพงๆ ท่านมุ่งหวังประโยชน์ความรู้ต่อศิษย์เป็นสำคัญ


    ผมจำคำสอนของท่านได้ข้อนึงที่ท่านพูดให้ฟังบ่อยๆครับว่า "คนได้ฌานน่ะ จะรวยสิบล้านน่ะง่ายนิดเดียว " แล้วท่านก็ทำได้ของท่านได้จริงๆด้วยครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->

    ________________________________

    ล่าสุดสองสามวันนี้แวะไปเยี่ยมท่านที่บ้านปรากฏว่าทางลูกๆได้ให้อ.ชมย้ายไปอยู่คอนโดเนื่องจากไม่อยากให้ลูกศิษย์มากวน แต่ได้ทราบข่าวว่าท่านยังแข็งแรงดีอยู่เราก็ชื่นใจแล้ว

    แถมเมื่อคืนนี้เองก็ได้ฝันถึงท่านว่า ท่านเองยังแข็งแรงดีอยู่และทำงานด้านปัดเป่าภัยพิบัติอยู่ด้วยเช่นกันครับ ตื่นมาก็ชื่นใจที่ท่านรับทราบว่าเรารำลึกถึงท่านอยู่
     
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอเล่าเรื่องที่อ.ชม ศิษย์นอกดง ท่านได้เมตตาถ่ายทอด

    เรื่องราวของศิษย์อภิญญาของหลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ใช้อภิญญารักษาชาติ รักษาพระพุทธศาสนามาโดยไม่ปรากฏ ในหน้าประวัติศาสตร์ครับ
    เรื่องแรกคือ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ไทยเราได้ติดต่อ การค้า การทูต กับทางราชสำนักฝรั่งเศส มีการส่งราชทูตมายังไทย ซึ่งก็ดูเป้นผลดี แต่ขณะเดียวกัน ทางพระเจ้าหลุยย์ของฝรั่งเศส ก็พยายามกดดันให้ สมเด็จพระนารายณ์ท่านเข้ารีดรับ คริสตต์ศาสนาให้ได้ สมเด็จพระนารายณ์ท่านก็ทรงมีพระปรีชาญาณสูงส่ง ตอบกลับไปว่า
    "ถ้าพระเจ้าของท่านมีพระประสงค์จะให้เรา เข้ารีดแล้ว ท่านย่อมดลจิตดลใจให้เราเข้ารีดเอง โดยอัศจรรย์" ผลก็คือ ไทยเรารักษาพุทธศานาเป็นศาสนาประจำชาติมาจนบัดนี้ครับ แต่กลับยังความไม่พอใจต่อราชสำนักฝรั่งเศสที่มีประสงค์จะครอบงำให้พระนารายณ์เปลี่ยนศาสนาเพื่อการล่าอาณานิคมทางอ้อม ในอนาคต ซึ่งพระองค์ก็ทรงทราบดี ท่านจึงได้ส่ง ราชทูตไทยไปยัง ฝรั่งเศส ได้แก่เจ้าพระยาโกษาปาน นั้นเอง ในเบื้องต้น ทางฝรั่งเศสก็ต้อนรับทูตไทยอย่างดี แต่มาวันหนึ่ง พระเจ้าหลุยย์ทรงปรารถว่า "ได้ข่าวว่า คนไทยนี้เก่งอยู่ยงคงกะพัน ยิงฟันไม่เข้า จริงหรือ" ต่อหน้าคณะทูตทั้งปวง
    ทางทูตไทยนั้นก็มีคนดีมีวิชาไปในคณะทูตด้วย และทราบล่วงหน้าแล้วว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เพื่อหยั่งกำลังของทัพไทยเรา จึงส่งคนดีมีวิชา ออกมาท่านหนึ่ง ขอรับคำท้าของฝรั่งเศส
    เดินออกมายืนหน้าแถวกองทหารปืนยาวหมู่หนึ่งของฝรั่งเศส บริกรรมคาถาวิชาที่ได้ประสิทธิประสาทมา แล้วจึงให้ทหารฝรั่งเศส ทั้งกอง รุมยิง จากปืนหลายสิบกระบอก เสียงดังสนั่นหน้าพระที่นั่ง

    เมื่อเสียงปืนสงบลง ควันปืนจาง ทหารไทยผู้แกล้วกล้ายังยืนหยัดมั่นคงเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

    ทางฝรั่งเศสเมื่อเห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นเป็นอัศจรรย์ดังนี้ จึงได้แต่กล่าวชมทหารกล้าของไทยและประทานรางวัลให้ตามธรรมเนียม

    แล้วตรัสถามว่า "ท่านที่ได้แสดงวิชาให้ชมผู้นี้เก่งที่สุดในกองทัพแล้วหรือ "

    ทหารไทยผู้กล้าท่านนั้นก็ได้ตอบไปว่า "อันฝีมือของข้าพเจ้านั้น จัดเป็นพื้นๆ มีอยู่ดาษดื่นเยี่ยงนี้ทั้งกองทัพ พระเจ้าข้า"

    จากนั้นมา ทางฝรั่งเศสก็เลิกเร่งรัดให้พระนารายณ์เข้ารีดเปลี่ยนศาสนา รวมทั้งความคิดที่จะเอาไทยเป็นอาณานิคมในยุคสมัยนั้น ทำให้ไทยคงความเอกราชและภัยจากการล่าอาณานิคมมาได้สมัยหนึ่งช่วงเวลาหนึ่ง

    เรื่องที่สองเป็นเกร็ดที่ อ.ชมท่านเล่าให้ฟังว่า ทำไม จึงมีต้นมะขามปลูกอยู่ล้อมรอบสนามหลวง

    ท่านว่า เป็นพระดำริ ของสมเด็จกรมพระราชวังบวร วังหน้า ผู้เป็นศิษย์อภิญญาของหลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านมีประสงค์ว่า หากเกิดศึก เกิดสงคราม เข้ามาประชิดพระนครแบบในสมัยกรุงศรีอยุธยา จะได้อาศัย เอาใบมะขามเหล่านี้มา เสก เป็นตัวต่อ ตัวแตน ต่อสู่กับศัตรูของบ้านไทยเมืองไทยเรา นับแต่นั้นมาจึงมีต้นมะขามปลูกอยู่ทั่วไป รอบวังหลวง และวังหน้า

    เรื่องที่สาม อ.ชมท่านเล่าให้ฟังว่า มีเหตุการณ์ที่คับขันในประวัติศาสตร์อีกสมัยหนึ่ง คือเหตุการณ์ การล่าอาณานิคมของอักฤษ ในสมัยรัชกาลที่ห้า สมัยนั้น อังกฤษกดดันไทยอย่างหนัก และมีการตกลงกันกับฝรั่งเศสที่จะตัดแบ่งประเทศไทยออกเป็นสองฝั่งโขง ด้านหนึ่งเป็นของฝรั่งเศส ด้านหนึ่ง เป็นของอังกฤษ ดังนั้นขอให้น้องๆอีกหลายคนได้ทราบว่าประเทศไทยแต่เดิมนั้นมีอาณาเขต เต็มพื้นที่สุวรรณภูมิทั้งหมดด้านใต้ เราเป็นเจ้าของมาเลเซียทั้งประเทศ ด้านบนมีพื้นที่ถึงสิบสองปันนา ด้านข้างเราเป็นเจ้าของลาวและเขมรทั้งหมด เราเสียดินแดนอันเป็นที่จารึกพระศาสนาไป เป็นพื้นที่ถึงเกือบครึ่งหนึ่งของดินแดนทั้งหมด

    เมื่อเราเสียดินแดนไปส่วนหนึ่งแล้วอังกฤษก็ยังอยากได้ ไทยเราอีกทั้งประเทศ ทางรัชกาลที่ห้าท่านเลยเจริญกุศโลบายผูกมิตรกับพระเจ้าซาร์แหงรัสเซียอย่างที่เราได้ทราบกันดี

    แต่ทางอังกฤษก็ยังไม่ยอม รามือจากไทย ส่งเรือรบเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา หันป้อมปืนขู่จะยิงใส่ พระบรมมหาราชวัง บริเวณท่าราชวรดิษฐ์

    เหตุการณ์ในช่วงเวลานี้เองที่ หลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านได้เล็งญาณ เห็นว่า ถ้าปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปแบบนี้ ไทยจะต้องสิ้นไทยเสียเอกราชให้กับอังกฤษแน่ๆ และเมื่ออังกฤษเข้ามาครอบครองประเทศไทยก็ย่อมต้องทำลายวัดวาอาราม บังคับให้คนไทยเปลี่ยนศาสนาใหม่ เป็นอันตรายต่อพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง
    ท่านจึงให้ศิษย์อภิญญาของท่าน ท่านหนึ่ง กำบังกายหายตัว บุกขึ้นเรือรบ ของอังกฤษที่มีการระวังป้องกันภัยแข็งแรงแน่นหนา บุกเข้าห้องนอนของแม่ทัพเรือใหญ่ ในตอนกลางคืน เอามีดจ่อคอ แม่ทัพและขู่ว่าจะฆ่าให้ตาย ถ้าพรุ่งไม่เอาเรือรบออกทะเลไป ทางแม่ทัพอังกฤษ ก็ตกใจระคนแปลกใจที่คนไทยเพียงตัวคนเดียวสามารถบุกเข้ามาประชิดถึงตัวได้แบบนี้
    วันรุ่งขึ้นทางเรือรบอังกฤษก็แล่นออกปากอ่าวไป ทำให้ไทยรอดจากการเป็นอาณานิคมอีกครั้งหนึ่ง

    ถ้าลองพิจารณาให้ดี ลองสังเกตุดูว่าไทยเรานี้แปลกเป็นประเทศเดียวที่ไม่เคยตกเป็นประเทศใต้อาณานิคมของใคร โดยเฉพาะจากคนนอกศาสนาเลยแม้แต่ยุคสมัยเดียว จะเคยเสียเอกราชบ้าง แต่ก็สามารถกู้เอกราชกลับคืนได้โดยเร็วเป็นที่น่าอัศจรรย์

    ลองพิจารณาดูความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันของสามสถาบันหลักอันได้แก่ ชาติไทย อันเป็นที่จารึกพระพุทธศาสนาตราบห้าพันวัสสา โดยมีองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นพระมหาโพธิสัตว์ คอยทรงช่วยพิทักษ์รักษาไว้ ตลอดกาล ตลอดสมัย

    เรื่องเหล่านี้ผมได้รับฟังจาก อ.ชมท่านครับ ขออนุญาตเล่าสืบทอดไปยังชนรุ่นหลังให้เข้าใจถึงความสำคัญ ของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ครับ

    ไว้จะมาเล่าเรื่องราวจากท่านอื่นๆต่อไปครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  17. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    กระทู้สะดุดถึงอ.ชมครับ จากนั้นก็ถูกเบรค ไม่นานก็พบว่ามีคนเข้ามาป่วนในกระทู้จริงๆ

    ถามพระท่านบอกว่าอย่าเพิ่งเล่าต่อ ท่านยังไม่อนุญาตตอนนี้
     
  18. vijit_j

    vijit_j เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    739
    ค่าพลัง:
    +2,866
    ได้รับข่าวมาว่าสำนักสงฆ์เขาช่องลม อยู่ที่ อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ จะมีพิธีหล่อรูปหลวงปู่เทพโลกอุดร ในวันอาทิตย์ที่ 18 พ.ย.2550 นี้ ในเวลาเย็น วัดนี้อยู่เลยอำเภอชนแดนไปทาง อ.ตะพานหิน ประมาณ 2 กม.
    (ไม่รู้จักวัดนี้ครับได้รับแต่ข่าวมาท่านใดอยู่ใกล้ๆ ไปร่วมพิธีได้)
     
  19. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    เท่าที่เคยฟังมา หลวงปู่ใหญ่ท่านเป็นจิต สามารถแปลงกายเป็นกายเนื้อ ได้
    หรือจะมาเป็นกายทิพก็ได้ ตามนั้นแหละครับ ว่าแต่ท่านคะนานัน อ.ชม ที่
    ท่านเล่ามาพอจะ pm บอกได้ไหมฮะว่าท่านเปิดสอนที่ไหนบ้างกระผมสนใจ
    ครับ
     
  20. The Shadow

    The Shadow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    557
    ค่าพลัง:
    +1,732
    ทำไต้องถามพระครับ อยากเล่าก็เล่าซิครับ ผมอยากอ่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...