สัมมาสติ และมหาสติ เพื่อความตื่นอย่างแท้จริง

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย pra_TopSecret, 8 สิงหาคม 2010.

  1. pra_TopSecret

    pra_TopSecret เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +868
    เอามาแบ่งกันอ่าน จากท่านอาจารย์พุทธทาส

    สิ่งที่เรียกว่า "อุปาทาน"

    ปรัศนี: มีผู้กล่าวว่า สิ่งที่เรียกว่า "อุปาทาน" ความยึดมั่นถือมั่นในตัณหาต่างๆ นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกันครับ ตัณหาเป็นอารมณ์แห่งความยึดมั่นถือมั่นหรือครับ?

    พุทธทาส: นี่คนถามมันพูดคนละภาษาเสียแล้ว ไม่ต้องตอบ เขาพูดว่า อุปาทานคือความยึดมั่นในตัณหาต่างๆ นี้มันไม่ใช่ภาษาพุทธศาสนา คนที่มันไม่รู้ภาษาพุทธศาสนา มันจึงถามอย่างนี้ "อุปาทาน" ไม่ได้ยึดมั่นในตัณหา อุปาทานมันก็ยึดมั่นในวัตถุแห่งอุปาทาน คือกาม คือทิฎฐิ คือศีลและพรต และความเห็นว่าตัวตน ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดอุปาทาน ไม่ใช่อุปาทานมายึดมั่นในตัณหา มันพูดผิดไปเสียแล้ว มันเป็นคนพูดไม่รู้ภาษาพุทธศาสนาแล้ว ไม่ต้องตอบก็ได้ เพราะมันไม่รู้ภาษา มันตั้งคำถามผิด ตัณหาไม่ได้เป็นอารมณ์แห่งอุปาทาน ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน แล้วอุปาทานก็ยึดมั่นในกาม เป็นกามปาทาน ยึดมั่นในความคิดเห็น เป็นทิฏฐิปทาน ยึดมั่นในอัตตาว่าตัวกู-ของกู เป็นอัตตวาทุปาทาน ทั้งนั้น ทุกเรื่องเลย ร้อยเรื่องพันเรื่อง ถ้ายึดถือเอาผิดวัตถุประสงค์แล้วเป็น สีลัพพตุปาทานทั้งนั้น เรามาบวชเป็นพระเป็นเณรนี้ มันก็เป็นสีลัพพตุปาทาน ที่นึกว่าได้บวชพระบวชเณรแล้วก็จะได้วิเศษจะได้ศักดิ์สิทธิ์อะไรทำนองนี้
    สรุปความสั้นๆ ว่า ยึดถือศีล หรือวัตรนั้นๆ ผิดวัตถุประสงค์อันแท้จริง นี่ไปยึดถือเอาอย่างนั้น แล้วเป็นสีลัพพตุปาทานหมด แม้ในสิ่งที่เรียกว่า พุทธศาสนาที่ปฏิบัติกันอยู่ในวงพุทธบริษัทนี่ ถ้าไปยึดถือผิด ผิดความจริง ผิดตัวจริง ผิดของจริง ก็เป็นสีลัพพตุปาทาน ส่วนที่มันอยู่ในศาสนาอื่นนั้น อย่าไปกลัวเลย มันก็ไม่ยึดถือ เราก็ไม่ชอบอยู่แล้ว จะไปยึดถืออะไรกัน เพราะมันเป็นศาสนาอื่น จัดเป็นพวกอื่นเสียแล้ว มันก็ไม่มีเรื่องอะไรจะต้องไปยึดถือ แต่ระวังให้ดีที่มันมาอยู่ในพุทธศาสนาเรานี้ มันจะเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ เมื่อเราเข้าใจผิดในการกระทำนั้นๆ การทำบุญกุศล มีร้อยอย่าง พันอย่าง ถ้ายึดถือผิดเป็นสีลัพพตปรามาส การเจริญศีล เจริญสมาธิภาวนาวิปัสสนา แม้แต่วิปัสสนานี้ ถ้ายึดถือผิดตัวจริง ผิดมุ่งหมายอันแท้จริง กลายเป็นเรื่องขลัง เรื่องศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นสีลัพพตุปาทาน แล้วก็จะมีอยู่เป็นอันมาก เวลานี้ทำเป็น "สีลัพพตุปาทาน" ไปหมดในเรื่องทานเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องภาวนา เรื่องปัญญา จึงตอบว่าไม่ต้องกลัว ภายนอกพระพุทธศาสนานั้นไม่เข้ามารบกวนเรา ที่มันมีอยู่ในพุทธศาสนาเรานี้แหละ ระวังให้ดี อย่าไปลูบคลำให้ผิดๆ ให้มันกลายเป็นสีลัพพตุปาทานไปเสีย ให้ถือเอาให้ถูกวัตถุประสงค์ของทาน รักษาศีลก็ให้ถูกวัตถุประสงค์ของศีล เจริญสมาธิปัญญา ก็ให้ถูกวัตถุประสงค์ของสมาธิปัญญา แล้วก็จะไม่เป็นสีลัพพตุปาทานขึ้นในพุทธศาสนา มีอะไรต่อไปอีก...


    มรดกธรรม จากท่านอาจารย์พุทธทาส

    เกล้ากระผมขอนอบน้อม ในปัญญาธรรม อันแตกฉานยิ่ง
    ในท่านพระอาจารย์
    ผู้กระเทาะเปลือกเหง้าความหลงผิดแห่งหมู่สัตว์

    สุปฏิปันโน ภะคะวะโส สาวก กะสังโฆ
    สังฆัง นะมามิ

    ผู้เป็นปราชญ์ อันยิ่ง
    แห่งหมู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ขอน้อมคาระวะ
     
  2. pra_TopSecret

    pra_TopSecret เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +868
    ศีล + อุปาทาน
    คือ "สีลัพพตุปาทาน"

    หรือ การแอ๊บแบ๊ว ในศีล
    ไม่ใช่ โลกุตระศีล
     
  3. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    ระหว่างควักลูกนัยตา กับทนๆดูมันไป

    ทนๆดูมันไป อย่างหลังที่คนส่วนใหญ่ไม่ลังเลเลือก

    ที่จริง การควักนัยตา ไม่ใช่ของไม่ดี ไม่ได้ให้ปิดอายตนะ

    แต่ให้ ดู รู้ วาง ไม่ให้ของกระทบตา เป็นสิ่งให้เคืองตา เคืองใจ

    เมื่อนั้น สิ่งที่เห็น จักเป็นสิ่งที่ใจเห็น
     
  4. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    สีลัพพตุปาทาน กับ สีลัพพตปรามาส

    ต่างกันอย่างไรหนอ ???
     
  5. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    บ้างว่า ขันติ

    บ้างว่า อนัตตา

    บ้างว่า วางอายตนะ

    หลักการดีดีทั้งนั้น แต่เท่าที่เห็นมีแต่ ดีแต่พูด...
     
  6. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    การใช้ภาษาที่ไม่เคารพธรรมวินัย เห็นชัดว่าไม่ควร อย่าอ้างว่า แบบนี้ยึดมั่น มีอุปาทาน มันคนล่ะส่วนกัน

    พอออกมาตำหนิ ก็มีคนบอกว่า ถ้าทนดูไม่ได้ ก็ควักในตาออกเสีย ทำมาเป็นเท่ห์ นี่มันใช่เวลาไหม?
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    หากทนสิ่งที่เห็นไม่ได้ ก็กลับไปฝึกความอดทนใหม่ อิอิ
    แต่คนส่วนใหญ่ ทนสิ่งที่เห็นไม่ได้ ก็เลยเอาหินไปทุบสิ่งที่เห็น
    แทนที่จะทุบหัวตัวเอง
    แล้วก็ไม่มีใครคิดจะกลับไปฝึกความอดทน ให้ทนดูสิ่งที่เห็นให้ได้โดยอยู่ในสงบ
    โลกมันก็เลยไม่สงบ เพราะไม่มีคนสงบ มีแต่คนอยากให้คนอื่นเป็นได้ดังใจตน

    สรุป ทนดูเฉยๆ ไม่ได้ ก็กลับไปฝึกใหม่ ไม่ต้องควักลูกกะตาทิ้ง อิอิ
    เพราะควักลูกกะตาทิ้งไป ก็ยังทนไม่ได้อยู่ดี
    วันไหนมีลูกกะตา มันก็เห็นแล้วก็ทนไม่ได้อีก
    ปัญญาก็ไม่มีเหมือนเดิมๆ
     
  8. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    นั้นซิ ติดกันเลย ..
    กระทู้นี้คือ สัมมาสติเนอะ โพสไหนนะ ที่มีสัมมาสติ
    คนตาบอดที่มองไม่เห็นพฤติกรรม หรือคนตาดีมองเห็นพฤติกรรม
    แต่ไม่เอามาใส่ใจ คนไหนกันนะ จะสบาย และโล่งเบามากกว่ากัน
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    พูดให้คนอื่นคิดได้
    กับพูดให้คนอื่นทนไม่ได้
    อานิสสงค์มันผิดกัน
    หัดแบบไหน ทำแบบไหน ก็ติดเป็นสันดานแบบนั้น
     
  10. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    เห็นพูดเรื่องโกยศีล


    สีลัพพตุปาทาน เราไม่คุยแล้ว ก้าวผ่านศีลแบบไม่รู้ที่มาที่ไปแล้ว ไม่กล่าวกันแล้ว

    ถามมันปัจจุบัน ถามมันสามัญศีลนั่นเลย

    พระท๊อปคิดว่า พระอาจารย์ของท่าน ยังเข้าปฏิโมก์ขดีอยู่ไหม

    บิณฑบาตร ครองผ้าสามผืน

    หรือ รับของบิณฑบาตรที่เต็มแล้ว

    ใจยังอยากหงายฝาบาตรหรือไม่

    ทั้งหมดนี้ ในความเรียบง่าย มีสิ่งใดที่เป็นปัญญาโดยแยบคายหรือไม่หนอ

    ศีล คือความปกติ

    ความปกติในหมู่สงฆ์เป็นอย่างไรหนอ
     
  11. pra_TopSecret

    pra_TopSecret เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +868
    อ่านแล้วน้ำตาแทบไหล

    พระพุทธเจ้าไม่ตาย
    จากท่านอาจารย์พุทธทาส


    ปรัศนี: เกี่ยวกับเรื่องพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว จะพูดถึงพระองค์อย่างไร จึงจะไม่เป็นนัตถิกทิฏฐิ คือตายแล้วสูญ และไม่เป็นสัสสตทิฎฐิ คือตายแล้วยังอยู่ สำหรับผู้ที่ต้องพึ่งพระพุทธเจ้าในเวลานี้ครับ?
    พุทธทาส: นี่คนถามเขาไม่รู้ความหมายของคำว่า สัสสตทิฎฐิ หรือ นัตถิกทิฏฐิ และไม่รู้ความหมายของคำว่า "พระพุทธเจ้า" เขาจึงพูดว่า พระพุทธเจ้าตาย พระพุทธเจ้าไม่ตายนี่ขอตอบว่า พระพุทธเจ้าตัวจริงไม่มีตาย แต่ว่าเปลือกนอกของท่าน คือร่างกายอาจจะตายได้หรือเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งเปลี่ยนไปตามเหตุตามปัจจัยของสังขาร เพราะองค์พระพุทธเจ้าจริงนั้นตายไม่ได้นะ พุทธบริษัททุกคน อย่าใช้คำพูดว่าพระพุทธเจ้าตายแม้ใช้คำว่าปรินิพพาน ก็อย่าให้มีความหมายว่า ตายนะ พระพุทธเจ้าตายไม่ได้ เพราะมีความเข้าใจผิด เอาลัทธิตัวตนไปใส่ให้จึงกลายเป็นพระพุทธเจ้าตาย
    ที่ว่าตายแล้วนิพพานไปไม่มีอะไร เป็น นัตถิกทิฎฐิ ก็เป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้ตาย พระพุทธเจ้าไม่รู้จักตาย เมื่อไม่รู้จักตายแล้วก็ไม่มีทางจะกล่าวว่า พระพุทธเจ้าตาย แล้วสูญหรือไม่ หรือไม่ได้ตายแล้วสูญ และก็ไม่ได้ตายแล้วยังอยู่ เป็น สัสสตทิฎฐิ เพราะว่าท่านไม่ได้ตายนี่ ถ้าฟังไม่ถูกก็ตามใจคุณเถิด. มันพูดได้เพียงเท่านี้ว่า พระพุทธเจ้านั้นตายไม่ได้ ที่ตายได้เกิดได้นั้นไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นธรรมสูงสุดที่ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม" นี้ตายไม่ได้ สิ่งนี้ตายไม่ได้ พระพุทธเจ้าจึงไม่ตาย และเกิดใหม่ได้ อะไรไม่มี จิตของพระพุทธเจ้าถึงความเป็นจิตที่กิเลสเกิดไม่ได้อีกต่อไป จิตหลุดพ้นไปแล้วจากกิเลสแล้ว เมื่อร่างกายนี้แตกดับลงไป ท่านว่าไม่มีโวหารที่จะพูดว่า จิตนั้นจะไปไหน จึงใช้คำเปรียบเหมือนกับไฟดับลงไปนี้ ไม่มีใครพูดว่า ไฟไปไหน ปัชโชต เสตนิพพานัง เหมือนกับไฟดับฉะนั้น เมื่อท่านไม่ได้ตาย และไม่ตายแล้ว ไปไหนหรืออยู่ที่เห็น เมื่อเข้าใจเรื่องนี้ดีแล้วก็ไม่มีทางที่จะเกิด สัสสตทิฎฐิ หรือ นัตถิกทิฎฐิเกี่ยวกับการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
    ที่ว่าพระพุทธเจ้ายังอยู่กับเราได้ทุกเมื่อนี้ ไม่ใช่สัสสตทิฎฐิคือความจริงอันหนึ่ง "พระพุทธเจ้า" ในที่นี้หมายถึง ธรรมะที่ปราศจากกิเลสและความทุกข์ ถ้าเราปฏิบัติก็มีในเรา หรือพร้อมจะมีในเรา พร้อมที่จะปฏิบัติได้ คล้ายๆ กับรอเราอยู่เสมอ ที่จะปฏิบัติเพื่อดับกิเลสและดับทุกข์ นี่แหละไม่มีสัสสตทิฏฐิ หรือ นัตถิกทิฏฐิ เกี่ยวกับปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เอ้า! มีอะไรว่าไป

    ขอกราบแทบเท้า ท่านพระอาจารย์
    เกล้ากระผมมีแนวทางแห่งการดำเนิน
    วิถีการประกาศความจริง
    ด้วยความกล้าหาญ

    ท่านผู้กล้าหาญในความจริง
    เด็ดเดี่ยว ในความจริง

    เกล้ากระผมขอน้อมคาระวแทบเท้าพระอาจารย์
    แม้นศิษย์ เกิดมาช้าไม่ทันพบหน้าท่าน แม้ซักครั้ง
    มรดกธรรม แห่งความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวกลับ
    เป็นเมล็ดพันธุ์
    ปลูกรากเหง้า
    ก่อเกื้อเจือจุน

    ให้หมู่สัตว์
    ให้อนุชนรุ่นหลัง
    มีแนวทาง
    มีแบบแผน
    เพื่อความถูกต้อง
    และเพื่อความจริง

    ศิษย์ขอน้อมคาระวะ
    ท่านอาจารย์
    ผู้ไม่เคยตาย
     
  12. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    พระท๊อป ท่านดิ้นรน เร้าร้อน คับแค้น อะไรอยู่หรือครับ

    ตะกี้ว่า ไม่ต้องรักษาศีล เพราะมีศีลบริบูรณ์อยู่แล้ว และเพราะว่าไม่ต้อง
    คอยรักษาแล้ว ก็ประกาศวาง พระไตรปิฏก

    แต่ ท่านวางพระไตรปิฏกได้ไม่ทันไร ก็วิ่งไปคว้า คำสอนของสาวกมาใช้
    ไหลลงต่ำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ยกให้ทิ้งคำสอนของพระสาวกลงไปอีก เพราะ
    หมดอุปทานแล้ว

    ก็การที่ท่าน อุปทานไปว่า ทิ้งพระไตรปิฏกได้แล้ว แต่ท่านก็มาอุปทาน
    กำเริบหยิบคำสอนของสาวกมาใช้แทน ท่านเล่นลูบๆคลำๆ อยู่ด้วยอุปทาน
    คับแค้น แล่นไป เหมือนลิง ไม่ใช่หรือครับ
     
  13. Tanunchapat

    Tanunchapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +3,191
    เรียนคุณ ลับสุด ๆ ลับสุดยอด pra TopSecret

    อ่านบทความ (ที่ไม่ได้ความ) ของคุณมาพอสมควร
    ถ้าดิฉันแปลไทยเป็นไทยไม่ผิดเพี้ยน เข้าใจได้ว่า

    คุณ ไม่เชื่อในพระธรรม
    คุณ ไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา
    คุณ ปรามาสพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    แล้วคุณ เรียกตัวเองว่า พระสงฆ์

    ในเมื่อคุณค้าน พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ แล้วคุณมาถือบวชในบวรพุทธศาสนาทำไม ????

    ในเมื่อคุณมีหลักคำสอนที่แตกต่างจาก พระธรรม ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมคุณไม่ไปประกาศตนเป็นศาสดาของศาสนาใหม่ ที่เกิดขึ้นในยุคโลกาภิวัฒน์ ????
     
  14. pra_TopSecret

    pra_TopSecret เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +868
    ข้าพเจ้าพระชินเวทย์ ชินวโร
    ถือ
    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    สรณะ เป็นที่พึ่ง สูงสุด ยิ่งกว่าชีวา
     
  15. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    เราก็เชื่อเช่นนั้น

    รู้เป็นอารมณ์ ไม่ใช่ ดูให้เป็นอารมณ์

    อย่างที่อาจารย์ขันธ์ในทักนั่นแหละ สิ่งที่พยายามตะล่อมอยู่

     
  16. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    หลบภัย น่ารักมาก :cool:
     
  17. เทพอาถรรพ์

    เทพอาถรรพ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +96
    สถานที่แห่งนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

    ตาย แล้วก็เกิด เกิดแล้ว(เดี๋ยวก็คง) ตาย(ไปอีก)
     
  18. xushukung

    xushukung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +465
    จีนสมัยโบราณ ยังมีวัดพุทธศาสนาใหญ่อยู่วัดหนึ่ง มีระเบียบให้คนในวัดมาทำวัตรสวดมนต์กันทุกเช้า ตอนตีสี่ ครั้งนั้น มีภิกษุรูปหนึ่ง ทุกๆ วัน ท่านจะขมีขมันตื่นก่อนเวลาจุดไฟเดินส่องไปตามทางปูหินก่อนใครๆ เพื่อจับหอยทากที่คลานอยู่ตามทางเท้า ไปปล่อยไกลๆ จะได้ไม่ถูกเหยียบตาย ท่านทำอย่างนี้ทุกวันจนภิกษุรูปอื่นสังเกตเห็น ก็เลยเกิดการสอบถามขึ้น ภิกษุรูปนั้นก็ตอบว่า
    “ผมมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ ก็เพื่อประกอบความดี สร้างบารมีเรื่อยไป “
    ภิกษุอีกรูปหนึ่งก็ค้านขึ้นว่า “ท่านทราบไหม ที่ทำอย่างนี้เหมือนกับก่อกรรมทำเข็ญ ทำให้ชาวสวนต้องเดือดร้อนจากหอยทากข้างนอกเขากำจัดสัตว์ชนิดนี้กันหมดแล้ว เหลือแต่ในวัดนี่แหละ ที่ยังแพร่พันธุ์อยู่”
    ภิกษุอีกรูปก็พูดว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านมิได้มีเจตนาให้เป็นภัยแก่คนทั้งหลาย ตรงกันข้ามท่านกำลังบำเพ็ญหน้าที่ของโพธิสัตว์ ทำการปลดปล่อยสัตว์แปดหมื่นสี่พันจากภัยพิบัติ และยังช่วยปลดปล่อยทำความปลอดภัยให้พวกเราในวัดนี้ ได้บำเพ็ญความบริสุทธิ์ ไม่ต้องทำชีวิตให้ตกล่วงไปอีกด้วย”
    เมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ ทั้งหมดก็พากันไปหาหลวงพ่อโตกุซัน เจ้าอาวาส ท่านอาจารย์ผู้เฒ่านิ่งฟังการชี้แจงของแต่ละราย ด้วยความกรุณาและเห็นใจเป็นที่สุด ท่านได้แต่จ้องหน้าตั้งใจฟังคนนั้นที คนนี้ที
    ภิกษุรูปแรกชี้แจงว่า “ผมก็มีอายุมากแล้ว มาบวชเรียนในพุทธศาสนานี้ก็เพื่อทำความดี แม้แต่ความดีน้อยหนึ่งก็หมั่นประกอบกระทำทั้งกลางวันกลางคืน ย่อมจะเต็มได้เหมือนหยาดน้ำทีละหยด ก็อาจเต็มตุ่มได้ อย่างนี้จะว่าเป็นโทษบาปได้อย่างไรครับ หลวงพ่อ”
    ท่านอาจารย์พอฟังจบแล้วก็ตอบแสดงความชอบใจว่า
    “ถูก ถูก ถูกแล้ว”
    ภิกษุรูปที่สอง ชี้แจงว่า “ถ้าว่าโดยเจตนากันแล้ว หากมีคนใดไปเหยียบหอยทาก เวลาเดินไปสวดมนต์ตอนมืดๆ นั่นก็มิใช่เจตนาฆ่า เมื่อไม่มีเจตนา ก็มิใช่เป็นกรรมอันใด ผลยังทำให้ชาวบ้านไม่ต้องเดือดร้อนกับหอยทากอันเป็นสัตว์ทำลายพืชผล ทั้งคนในวัดยังปลอดภัยจากโรคที่มันเป็นพาหะอีกด้วย เป็นผลดีทั้งตัวเองและผู้อื่น มิใช่หรือครับหลวงพ่อ”
    ท่านอาจารย์พอฟังจบแล้วก็ตอบแสดงความชอบใจว่า
    “ถูก ถูก ถูกแล้ว”
    ภิกษุรูปที่สาม ชี้แจงว่า “การบำเพ็ญธรรมให้ความปลอดภัยแก่คนส่วนใหญ่ โดยมีใครคนใดคนหนึ่งเสียสละ รับเป็นภาระไปเสีย เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกๆ คนเขาได้ประกอบกระทำความหลุดรอดไปตามทางของเขา ตลอดถึงสัตว์ใดๆ แม้จะอยู่ในร่างที่ต่ำต้อย ธรรมชาติแห่งความตรัสรู้ก็มิได้น้อยไปหรือมากขึ้น เพียงปัญญาญาณโพลงวาบเดียว ผลกรรมใดๆ แม้มากน้อยเท่าใด ย่อมถูกลกเลิกเสียหมดสิ้น ดูแต่มหาโจรใจร้าย บาปกรรมเกรอะกรังก็ยังเปลื้องกรรมอันอนันต์นั้นได้เพียงชั่วอึดใจเดียว อย่างนี้จะมิเป็นการถูกต้องหรือครับหลวงพ่อ”
    ท่านอาจารย์พอฟังจบแล้วก็ตอบแสดงความชอบใจว่า
    “ถูก ถูก ถูกแล้ว”
    ขณะนั้น สามเณรอุปัฏฐาก กำลังนั่งพัดอยู่ข้างหลังอาจารย์ผู้เฒ่า ได้ฟังเขาชี้แจงทีละคนๆ และหลวงพ่อก็ยอมรับว่าแต่ละรายล้วนถูก ถูก ถูก เณรอดทนฟังต่อไปไม่ได้ ก็เอ่ยขัดขึ้น เพื่อขอโอกาสแสดงความคิดเห็น หลวงพ่อโตกุซัน ทราบดังนั้นก็เหลียวหมุนตัวมาฟังอย่างตั้งใจสามเณรอีกรายหนึ่ง….
    สามเณรน้อยติงว่า “หลวงพ่อได้แต่ร้องว่า ถูก ถูก ถูก มันจะมีถูกกันไปหมดทุกฝ่ายได้อย่างไร ถ้ามีอันใดถูก อันอื่นก็ต้องผิดซิหลวงพ่อ”
    ท่านอาจารย์พอฟังจบแล้วก็ตอบแสดงความชอบใจอีกว่า
    “อืม.. ที่เจ้าว่ามาก็ถูก ถูก ถูกแล้ว”
     
  19. xushukung

    xushukung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +465
    วาง
    มีพระพรรษามาก กับ พรรษาน้อย สองรูป เดินทางไปด้วยกันจนกระทั่งทั้งคู่ต้องข้ามแม่น้ำขนาดใหญ่ จำเป็นต้องเดินข้ามเพราะสะพานข้ามแม่น้ำขาดเสียหาย
    พระทั้งสองรูปพบผู้หญิงผู้หนึ่งคนซึ่งไม่สามารถข้ามแม่น้ำไปได้เนื่องจากสะพานขาดนั้น
    พระพรรษามากจึงอาสาจะให้ผู้หญิงนั้นขี่หลังแล้วข้ามฟากไป
    พระพรรษาน้อยเห็นอย่างนั้นจึงรู้สึกขุ่นเคืองว่าทำไมพระพรรษามากจึงทำอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่เป็นพระไม่ควรจะสัมผัสหรือใกล้ชิดผู้หญิงขนาดนี้ แต่ก็คิดอยู่ในใจไม่ได้ถามพระพรรษามาก
    หลังจากที่ข้ามฟากเสร็จพระทั้งสองรูปและผู้หญิงต่างก็แยกย้ายไปตามทางของตน แต่ในใจของพระพรรษาน้อยยังคงคิดวนเวียน ตั้งคำถามในใจตลอดเวลาว่าการกระทำของพระพรรษามากนั้นไม่เป็นการสมควรกับนักบวช คิดวุ่นวายอยู่อย่างนั้นเก็บเงียบอยู่ในใจไม่ถามพระพรรษามาก
    ท่านคิดวนเวียนอยู่อย่างนั้น ทำให้ท่านแทบบ้าจนมาถึงจุดหยุดพัก พระพรรษาน้อยอดทนเก็บเรื่องในใจต่อไปอีกไม่ไหวจึงถามพระพรรษามากว่า ท่านทำไมไม่สำรวมถึงความเป็นพระเลยทำไมถึงได้สัมผัสผู้หญิง และผู้หญิงคนนั้นเป็นคนสวยเสียด้วย ท่านเป็นคนบอกผมเองว่าท่านเป็นพระที่บริสุทธิ์ไม่ใช่หรือ?
    พระพรรษามากประหลาดใจ แล้วย้อนกลับไปถามพระพรรษาน้อยว่า "ผมวางผู้หญิงสวยคนนั้นไปตั้งหลายชั่วโมงแล้ว เหตุใดท่านยังอุ้มผู้หญิงคนนั้นอยู่อีกเล่า"
     
  20. pra_TopSecret

    pra_TopSecret เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2010
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +868
    เรื่องราวด้านบนนี้ดีมากครับ
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ

    อ่านแล้วโล่ง ๆ ทะลุทะลวงดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...