เสียงธรรม หมวดพรหมวิหาร 4 หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

ในห้อง 'ธรรมเทศนาทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย chpu, 4 กันยายน 2014.

  1. chpu

    chpu Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +28
    หมวดพรหมวิหาร 4 หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  2. chpu

    chpu Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +28
    รรมบรรยายเพื่อการภาวนาเรื่องพรหมวิหาร 4 หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี

    พรหมวิหาร 4 เป็นหลักธรรมประจำใจเพื่อให้ตนดำรงชีวิตได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์เฉกเช่นพรหม ประกอบด้วยหลักปฏิบัติ 4 ประการ คือ

    1) เมตตา (ความปรารถนาอยากให้ผู้อื่นมีความสุข)
    2) กรุณา (ความปรารถนาอยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์)
    3) มุทิตา (ความยินดีที่ผู้อื่นมีความสุขในทางที่เป็นกุศล)
    4) อุเบกขา (การวางจิตเป็นกลาง การมีเมตตา กรุณา มุทิตา เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าตนไม่สามารถช่วยเหลือผู้นั้นได้ จิตตนจะเป็นทุกข์ ดังนั้น ตนจึงควรวางอุเบกขาทำวางใจให้เป็นกลาง และพิจารณาว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมที่ได้เคยกระทำไว้ จะดีหรือชั่วก็ตาม กรรมนั้นย่อมส่งผลอย่างยุติธรรมตามที่เขาผู้นั้นได้เคยกระทำไว้อย่างแน่นอน) (จากวิกิพิเดีย)

    คำสอน เรื่อง พรหมวิหาร ๔

    1) คำสอน เรื่อง พรหมวิหาร ๔ ตอนที่ 2
    2) คำสอน เรื่อง พรหมวิหาร ๔ ตอนที่ 3
    3) คำสอน เรื่อง พรหมวิหาร ๔ ตอนที่ 4
    4) คำสอน เรื่อง พรหมวิหาร ๔ ตอนที่ 5
    5) คำสอน เรื่อง พรหมวิหาร ๔ ตอนที่ 6
    6) หลวงพ่อฤาษีลิงดำ บทอุทิศส่วนกุศล
     
  3. chpu

    chpu Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +28
    คำสอนหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    ท่านพระโยคาวจรทั้งหลายและบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเวลานี้ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีลสมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปจงสำรวมใจตั้งใจ สดับรับฟังคำแนะนำ ในการเจริญพระกรรมฐาน ขณะที่ท่านนั่งฟังอยู่ เสียงได้ยิน หูได้ยิน เสียงทุกถ้อยคำ จิตมีความรู้สึก ไปตามกระแสเสียง โดยไม่เอาจิต ไปทรงอารมณ์อย่างอื่น อย่างนี้ เชื่อว่า อารมณ์ของท่าน ทรงสมาธิ การทรงสมาธิ เพื่อการรับฟัง เป็นปัจจัยให้เกิดปัญญา

    ในอีกประการหนึ่งขณะใด ที่ท่านตั้งใจฟังเสียงธรรมะซึ่งไม่มีอารมณ์อื่นมารบกวน ขณะนั้นชื่อว่าจิตของท่านว่างจากกิเลส ถ้าบังเอิญ จิตของท่านว่างจากกิเลสจากหู เนื่องจากหูฟังเสียงธรรมะอยู่เสมอๆ ต่อไปอารมณ์จิตจะชินจะมีอารมณ์ว่างจาก กิเลส จนชินในที่สุดกิเลสก็จะหมดไปจากจิตของท่านการที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สุสสูสัง ลภเต ปัญญัง การฟังด้วยดีย่อม ได้ปัญญา


    ฉะนั้น เวลาที่ท่านฟัง จงตั้งใจฟังด้วยความสงบ ถ้าบังเอิญจะให้มีกำไรยิงไปกว่านั้น เวลาที่ท่านฟังก็คิดตามไปด้วย เอาจิต น้อมยอมรับเหตุผล ในการรับฟังแต่ทว่าอย่ารับด้วยการไร้ปัญญา ใช้ปัญญาพิจารณาไปด้วยว่าจริงหรือไม่ จริงถ้าหากว่าทำ ได้อย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง และภิกษุสามเณรทุกท่าน หากว่าท่านมีกำลังของจิตพอแล้วก็ไม่ละอารมณ์แบบนี้ ความเป็นพระอริยเจ้าย่อมง่าย สำหรับท่าน ว่าการฟังทุกวัน ขณะที่ฟัง ตั้งใจฟัง ด้วยความเคารพ จงคิดว่าเสียงที่ได้ฟังนี้ เป็นเสียงที่นำเอาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินศรีสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสอนและจงจำไว้ให้ดีว่าเมื่อตอนที่พระ พุทธเจ้าจะนิพพาน ตรัสกับพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เมื่อเรานิพพานไปแล้วพระธรรมวินัยที่เราสอนไว้จะเป็น ศาสดาสอนเธอ คำว่า ศาสดา แปลว่า ครู


    เป็นอันว่าเสียงที่ฟังอยู่ จงคิดว่า นี้เป็นกระแสเสียงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ความจริงจง อย่านึกว่า อาตมา เป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง เราคิดอย่างนั้น ที่เป็นเสียงของพระพุทธเจ้า

    พระธรรมนี้ เป็นธรรมะที่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้ากำลังสอนเราโดยตรง โดยน้อมจิตเข้าไปนึกถึง องค์สมเด็จพระสัมมาสัม พุทธเจ้าว่า เวลานี้กำลังประทับอยู่หน้าของเรา และกำลังพูดกับเราโดยตรง จิตจะชื่นบาน และก็ตั้งใจ สดับตรับฟังเสียงนั้น และก็คิดตาม และก็คิดว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ไม่เกินวิสัยสำหรับเรา ถ้าเกินวิสัยแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วไม่สอนเรา สร้างธรรมปีติให้เกิดในใจ

    สร้างกำลังใจ คิดว่า เราสามารถ สมเด็จพระบรมโลกนารถจึงโปรด

    ถ้าคิดไว้อย่างนี้เสมอ บรรดาท่านพุทธบริษัท คิดไว้ ฟังบ่อยๆ ถ้ามีเทป สำหรับฟัง ฟังไว้ เรื่อยๆ ขณะที่ฟัง ขณะใดใจตั้งอยู่ ในการฟังตั้งใจฟัง จิตจะว่างจากกิเลส ถ้ามันว่างบ่อยๆ จิตเราไม่คบกิเลส กิเลสมันก็ไม่อยากคบกับจิตของเรา ในที่สุดจิต ของเราก็จะกลายเป็นจิตที่บริสุทธิ์ กลายเป็นผู้หมดกิเลสไป


    เอาละสำหรับวันนี้ ก็จะขอนำเอา พรหมวิหาร 4 มาแนะนำ กับบรรดาท่านพุทธบริษัท ตามกำลังปัญญา การแนะนำกันนี้ จงอย่าคิดว่าเป็นการแนะนำละเอียดลออความจริงใช้เวลาอย่างนั้นไม่ได้ถ้าจะใช้ได้ท่านฟังตั้งแต่วันเกิดถึงวันตายเรื่องพรหม วิหาร 4 ก็ไม่จบ การฟังนี่ก็ถือว่า การให้รับฟังเพื่อใช้ปัญญาเท่านั้น คือว่าใช้ปัญญาพิจารณาไปด้วย ฟังด้วยไม่ใช่ว่าอยู่ๆจะ มานั่งสอนกันจบอรหันต์ในวันนี้ แต่ก็ว่าไม่ได้คนที่รับฟังอยู่มีทั้งคนดีและคนไม่ดี คนดีฟังแล้วเกิดปัญญา ใช้ปัญญาที่ฉลาด เข่นฆ่ากิเลสก็เป็นของไม่หนัก แต่ว่าสำหรับคนไม่ดี ฟังแล้วมีหูคล้ายว่า หูกระทะ มีตาเหมือนตากระทู้ ทั้งนี้เพราะอะไร ตา กระทู้ มองอะไรไม่เห็น หูกระทะ ฟังอะไรไม่ได้ยิน สำหรับคน ตามองเห็น หูฟังได้ยิน แต่ไม่สนใจกับเสียงที่ฟัง คนประเภท นี้องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงโปรด เพราะว่าโปรดมากเท่าไหร่ คนประเภทนี้ ก็ลงนรกมากขึ้นเท่านั้น


    ฉะนั้นบรรดาท่านทั้งหลายจะพิสูจน์ตัวของท่านได้ว่า ท่านรับฟังกันทุกวันวันละหลายครั้ง ท่านละความเลวได้มากน้อยเพียงใด จิตใจของท่านดีหรือว่าจิตใจของท่านเลว ต่อไปนี้ธรรมะในด้านของพรหมวิหาร4 เป็น เครื่องวัดจิตใจว่า ดีมากหรือเลว มากคำว่า พรหมวิหาร วิหารแปลว่า ที่อยู่ พรหม นี้แปลว่าประเสริฐ หมายความว่า เอาใจไปจับอยู่ในอารมณ์ แห่งความประ เสริฐ หรือเอาใจไปขังไว้ในความดีที่สุด ที่เรียกว่า ประเสริฐ ประเสริฐนี้แปลว่า ดีที่สุด พรหมวิหาร 4 อย่างคือ

    1. เมตตา ความรัก

    2. กรุณา ความสงสาร

    3. มุทิตา มีจิตอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยาใคร

    4. อุเบกขา วางเฉย

    ความจริงพรหมวิหาร 4 นี้เป็นธรรมะกลาง ที่ว่ากลางก็เพราะว่า ถ้าบุคคลใดมีอารมณ์ใจ ทรงอยู่ในพรหมวิหาร 4 เป็นปกติ บุคคลนั้น จะมีศีลบริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา จะมีจิตทรงฌานอยู่ตลอดเวลา และก็จะเป็นคนมีความฉลาดในด้านปัญญาสามารถ ตัดกิเลส เป็นสมุจเฉทปหานได้โดยง่าย ถ้าจะกล่าวกันว่า กรรมฐานบทนี้ เป็นกรรมฐานใหญ่ก็ว่าได้ นี้กล่าวกันโดยนัยหนึ่ง ก็คือว่า พรหมวิหาร 4 เป็นอาหาร อาหารเลี้ยงศีลให้อ้วน มีกำลัง เป็นอาหารเลี้ยง สมาธิให้มีกำลัง อาหารเลี้ยง ให้มีคมกล้า สามารถจะฟาดฟันกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานเมื่อไหร่ก็ได้


    จึงขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านจะดีหรือว่าท่านจะเลว ท่านจะเป็นคน หรือว่าท่านจะเป็นมนุษย์ ความจริงมนุษย์นี่ เขาแยกไว้หลายอย่าง คำว่า
    มนุสโส แปลว่า ผู้มีใจสูง มีศีลบริสุทธิ์ หรือ มีกรรมบท 10 บริสุทธิ์
    มนุสสเทโว ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ว่ากำลังใจเป็นเทวดา คือมีหิริ และโอตตัปปะ
    มนุสสพรหมา หมายความว่า ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ใจประกอบไปด้วย พรหมวิหาร 4 อย่างนี้ตายแล้วเป็นพรหม
    แล้วก็ มนุสสติรัจฉาโน ร่างกายเป็นมนุษย์ ใจไม่ยอมมาเคารพนับถือในสิทธิซึ่งกันและกัน ขาดความเมตตาปรานี ร่างกาย เป็นมนุษย์ใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน ตายแล้วเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    มนุสสนิรยโก มนุษย์สัตว์นรก หมายความว่า สัตว์ประเภทนี้หาความดีอะไรไม่ได้ ไม่มีความรู้สึกตัวไม่รู้ดีไม่รู้ชั่ว ขาดความ เมตตาปรานี คนประเภทนี้ร่างกายเป็นมนุษย์ ใจเป็นสัตว์นรก ตายแล้วก็เป็นสัตว์นรก


    ในหมู่คณะของเราจะพอมีอยู่บ้างไหม ที่อยู่กันมาแล้วหลายหลายปี ยังไม่หมดความเลว ยังบูชาความเลวว่าเป็นความดีเข้า กับคนนั้นก็ไม่ได้ เข้ากับคนนี้ ก็ไม่ได้ ถืออารมณ์ใจตัว เป็นสำคัญ ถ้าเรามีความเลว อย่างนี้ ก็ตั้งหน้าตั้งตา จำไว้ว่า ถ้าเรา ตายคราวนี้ อีกหลายแสนกัป ที่จะได้กลับมาเป็นมนุษย์ แล้วก็เป็น มนุษย์อีกหลายแสนวาระ ที่จะเป็นมนุษย์สมบูรณ์บริบูรณ์ ยังต้องเป็นมนุษย์ ที่เต็มไปด้วยความยากลำบากยากแค้น มีแต่ทุกข์โทมนัส อยู่ตลอดเวลา ถ้าบังเอิญ ยังมิกลับเนื้อกลับตัว เสียจะได้เป็นคนกับเขาบ้าง ถ้าเป็นคนมันก็ยังยุ่ง เกิดมาในโลกก็รกโลก ถ้าเป็นมนุษย์ก็ยังสร้างความสุขให้เกิดขึ้นได้ แต่ ก็ไม่มีความดีอะไร ยังมีทุกข์ ไปเป็นเทวดา หรือพรหม พบสุขเล็กน้อย ไม่ช้าก็มาทุกข์ใหม่

    ทุกคนเขาตั้งใจไปนิพพานกัน แต่เราทำไมตั้งใจเป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์เดรัจฉานจะมีประโยชน์อะไร

    ต่อนี้ก็ฟังกันพรหมวิหาร 4 นี่ความจริงไม่ต้องอธิบายก็ได้แต่ทว่าเวลานี้ถือว่าเป็นการแนะนำกรรมฐานรวม อันดับแรกก่อน ที่จะทรงพรหมวิหาร 4 คือ ว่าทำกรรมฐานทุกกอง ก็จงอย่าทิ้ง อานาปานุสสติกรรมฐาน กับ พุทธานุสสติกรรมฐาน


    แม้แต่กำลังฟังอยู่นี้ ก็เช่นเดียวกัน ควรจะกำหนด รู้ลมหายใจเข้าออกไปด้วย และก็ตั้งใจฟัง เวลาฟังก็คิดว่า เวลานี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กำลังทรงประทับอยู่ข้างหน้าของเรา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระมหากรุณาธิคุณมาหาเรา ถึงที่อยู่ในกระแสเสียงขององค์สมเด็จพระบรมครู ก็ก้องอยู่ในโสตประสาท ความดีขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถยากที่ เราจะบูชาให้ครบถ้วน ตั้งใจไว้อย่างนี้นะ ตั้งใจไว้อย่างนั้น คิดว่า เสียงนี้เป็นเสียงของพระพุทธเจ้า และก็พระองค์กำลังประ ทับอยู่ข้างหน้าของเรา ใจจะได้เป็นสุข จะได้มีอารมณ์ชุ่มชื่น นี่ไม่ใช่อาตมา จะมาอวดว่า ตัวเองเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ใช่อย่างนั้น และการทำใจอย่างนี้ จิตใจสบายมีความสุขแล้ว จิตจะหมดกิเลสได้ง่าย ต่อไปก็มาพรหมวิหาร 4 คือ


    1. เมตตา ความรัก คำว่า ความรักในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่า ความรักประกอบไปด้วยกามคุณ เหมือนหนุ่มรักสาว สาวรัก หนุ่ม หรือ หญิงรักชาย ชายรักหญิง ปรารถนา จะครองคู่ นั้นเป็นเรื่องความรัก เกี่ยวกับราคะ อำนาจของกิเลส ไม่ใช่พรหม วิหาร 4 ที่เรามีความรัก ก็เพราะว่า ใจของเราเป็นคนใจดี มีความเมตตา ปรานีมีความรู้สึก อยู่เสมอว่า คนและสัตว์ ว่าคน ทุกคนในโลก แม้แต่ สัตว์เดรัจฉาน ที่เกิดมานี้มีความรู้สึกเสมอกัน รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกันหมด เรามีความรักสุขฉัน ใดเขาก็มีความรักสุขฉันนั้น
    สำหรับเมตตาความรัก ต้องอยู่ในขอบเขต ของความดี

    อย่ารักแบบโง่ ในคณะของเรามี ทั้งฆราวาสก็ดี พระก็ดี ที่มีเมตตา แบบโง่ ก็มีอยู่ ผมสลดใจมาก คือว่า บางทีเห็นพระบางองค์ เห็นฆราวาสบางคน พอฟัง เสียงพูด ในคำสงสัย ก็รู้สึกเสียดายแรงที่สั่งสอน เพราะอะไรเพราะว่า คนที่เขาได้ดีกัน เขาฟังแล้วก็คิดคิด แล้วก็จำ ไม่ใช่ว่าจะมานั่งหน้าตั้ง ตั้งหน้าตั้งตาสงสัย ปัญญามี เพียงแค่ของเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่รู้จักจะคิด ที่น่าเสียดาย สงสารองค์สมเด็จพระธรรมสามิสร ที่ทรงทรมาน พระวรกายมาทั้ง 4 อสงไขยกับแสนกัป รวบรวมความดีมาเพื่อแจกจ่าย แก่บรรดาพุทธบริษัท แล้วผมเองผมก็เสียดายแรงงาน ของผม เหมือนกัน เพราะตัวผมเอง ไม่เคยจะเรียนแบบนี้ ฟังคำสอนจากอาจารย์นิดหนึ่งก็ไปปฏิบัติให้ได้ ถ้าไม่ได้เกินวิสัย ก็มาถามหน่อยหนึ่ง แล้วก็กลับไปทำ ถ้าสิ่งนั้นยังไม่ได้ จะไม่ยอมกลับมาหาครูบาอาจารย์

    อย่างกับบรรดาท่านทั้งหลาย ที่สงสัยว่า จำภาพพระพุทธรูป ลืมตาแล้วก็หลับตา นึกถึงภาพ ภาพมันเลือนไปแล้ว ก็ลืมตามา ดูใหม่ แค่นี้ก็ยังสงสัยกัน ว่าทำไมภาพนั้น เห็นไม่ชัด มันก็สิ่งที่ไม่น่าจะถาม ถ้าใช้คำถาม อย่างนี้ก็แสดงว่า เป็นบรมโง่มัน เป็นเรื่องธรรมดา ที่เด็กอมมือก็รู้การจะจำภาพที่นึกถึงภาพอะไรก็ตาม อยู่ๆจะให้อารมณ์มันแจ่มใสจำได้ถนัดไม่ได้ถ้าฝึก ฝนเรื่อยๆไป อารมณ์นั้น มันก็ปรากฏ วันเวลา ตั้งแต่ตื่นอยู่ถึงหลับ จงอย่าทิ้งอารมณ์นั้น ทำอารมณ์ไห้มันชินคิด ถึงภาพนึก ว่าในสมัยที่เราเคยรักใคร ซึ่งเป็นคู่รัก เวลาหลับตาก็เห็น ลืมตาก็นึกเห็นภาพ หรือว่าถ้าเรามีบ้านอยู่เราจากบ้านไปไหน เว ลานึกถึงบ้านขึ้นมาเมื่อไหร่ เราก็นึกถึงภาพบ้าน เมื่อนั้น จิตใจของเรา ไม่ลืมเลือน ไม่ปล่อยสติสตัง ให้มันพลั้งเผลอ นี่เขาทำกันอย่างนี้ มันเป็นของธรรมดาๆ สำหรับด้านอารมณ์ เมตตา นี่ก็เหมือนกัน ให้ใช้ปัญญาพิจารณา หาความจริง ไอ้เรื่องเมตตานี่มีความสำคัญ ถ้าเมตตาแบบโง่ๆ มันมีภัยต่อตัวเอง อย่าลืมว่าคนที่เราจะต้อง เมตตานะ พระพุทธเจ้า แบ่งคนไว้เป็น 4 พวก คือ

    1. อุคฆฏิตัญญู คนมีปัญญาดี
    2. วิปจิตัญญ ปัญญาต่ำมานิดหนึ่ง
    3. เนยยะ พอแนะนำได้ เมื่ออธิบายหลายๆ ครั้ง อันนี้คน 3 จำพวกนี้ พระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ
    4. ปทปรมะ เอาดีไม่ได้นี้ องค์สมเด็จพระจอมไตร ทรงเสด็จหลีก ไม่ทรงสั่งสอน จะถือว่า พระองค์ขาดเมตตาไม่ได้ ทั้งนี้ เพราะอะไร เพราะสอนเขา เขาไม่รับฟัง


    สำหรับพวกเราก็เหมือนกัน ถ้าจะแสดงเมตตาจิตก็ดูเสียก่อนว่า คนประเภทนั้นเราควรจะเมตตาไหมแต่เห็นว่าแนะนำแล้ว ไม่ได้ผล ก็จงอย่าสงเคราะห์ คนประเภทนั้น หลีกไปเสีย อย่างพระพุทธเจ้าทรงหลีก แต่ทว่าเขาไม่เลื่อมใส ในองค์สมเด็จ พระบรมสุคต ไม่เชื่อพระสัพพัญญู สมเด็จพระบรมครูก็ไม่ทรงสั่งสอน นี่ดูเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่ใครไปใครมาก็เมตตาเสียดะ เมตตาโง่ๆ แบบนั้นจะสร้างความเดือดร้อน เหมือนกับ เราจะให้ของเขา เขาไม่รับ ไปให้เขาทำไม ไม่ต้องไปอ้อนวอน ไม่ ต้องไปแค่นเขาให้รับ และ อีกประการหนึ่ง วันเวลา กำหนดระเบียบวินัย เป็นของสำคัญ จงอย่าเมตตาคน เกินกว่าระเบียบวินัย ดูตัวอย่าง องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา มีพระมหากรุณา ไม่มีขอบเขต แต่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ ทรงวางวินัย ไว้ลงโทษพระ ลงโทษเณร ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ถ้าไม่มีระเบียบวินัย คนนั้น เราเมตตาไม่ได้ เพราะเป็นคนเลว พระพุทธเจ้าทรงวางวินัย ไว้กี่พันข้อ 227 นี่มัน ยังไม่หมด ยังมี ส่วนอภิสมาจารบ้าง ยังส่วนธรรมะ บ้างที่พระองค์ทรงห้าม
     

แชร์หน้านี้

Loading...