เกิด-ดับเรื่องที่เห็นยากและทำยาก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 7 เมษายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,293
    ค่าพลัง:
    +12,622
    ไม่ได้ระบุจะให้ผู้ใดช่วยชี้แนะ...รอนาน
     
  2. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ขอเผือกแล้วกันครับ


    สติอัตโนมัติ ก็คือ ผลงานที่เกิดจากความเพียรระลึก ในสติปัฐฐาน

    ไม่ใช่ว่า สติอัตโนมัติเกิดขึ้นมาแล้ว มันจะเกิดเองต่อไปเรื่อยๆโดยไม่มีความเพียรนะครับ

    แม้สติอัตโนมัติ จะเกิดขึ้นมาได้ มันก็ไม่ได้ค้างเติ่งนะครับ
    มันก็ต้องเพียร ด้วยวิธีการเดิม ที่ทำอย่างไรให้สติอัตโนมัติเกิดขึ้นมาได้
    มันก็ต้องเพียรอย่างนั้น ต่อไปเรื่อยๆ เนืองๆ ให้ต่อเนื่อง
    เมื่อเพียรระลึกอย่างต่อเนื่อง เนืองๆ สติอัตโนมัติ จะเกิดขึ้นมาได้เป็นเงาตามตัวเช่นกัน

    ยิ่งเพียรอย่างต่อเนื่อง สติอัตโนมัติก็จะเกิดอย่างต่อเนื่อง
    ความต่อเนื่องของ สติิอัตโนมัติ นี้เอง
    สำหรับผมแล้ว จะเรียกว่า มหาสติ ก็ได้
    จะเรียกว่า สติ วินะโยก็ได้

    สติ ยิ่งมากยิ่งดี
    สมาธิ และ ปัญญา ไม่ต้องพูดถึง
    เมื่อกล่าว สมาธิและปัญญาในทางพุทธแล้ว
    มันจะตามมาเป็นลำดับเองโดยอัตโนมัติ


    คนละเรื่องกับ สมาธิ ปัญญา ที่ทางโลกเข้าใจ
     
  3. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    เมื่อไม่ให้ความสำคัญ
    เกิดดับ
    ก็ไม่มี

    รู้อยู่....
    อิอิ
     
  4. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,154
    ขอบคุณครับ ที่กรุณาตอบ

    ขออนุโมทนาครับ
     
  5. pinit417

    pinit417 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +164
    ความเห็นส่วนตัวครับ...

    จะว่ามันเป็นสติอัตโนมัติไม่ได้ซะทีเดียวนะครับถ้าผู้นั้นได้เจริญสติปัฐฐาน... เพราะว่าการเจริญสติปัฐฐานนี่ ต้องทำอยู่ตลอด...ทำอย่างมีสติ ซึ่ง สตินี้ตามความหมาย หมายถึง การระลึกได้ การรู้ตัว... เมื่อเจริญอยู่ตลอด ก็หมายถึง ระลึกได้ตลอด รู้ตัวตลอด...

    แต่สำหรับคนทั่วไป...อย่างตัวเองผมเอง (ต้องขอโทษที่ต้องเคียบเคียงกับตัวเอง เพราะผมไม่รู้วาระจิตของท่านอื่น และก็ไม่รู้ด้วยว่าท่านอื่นปฏิบัติอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าการที่เทียบเคียบกับตัวผมเอง มันอาจจะไม่ถูกต้องซะทีเดียว เพราะผมอาจจะคิดเองเออเอง... ถ้าผิดก็ขอโทษด้วย)

    โอเคต่อ... อย่างตัวผมเอง ในเวลาปกติที่ไม่ได้นั่งสมาธินั้น จะพยายามใช้สติกำกับจิตให้อยู่ที่ลมหายใจอยู่บ่อยๆ แล้วก็แผ่ขยายความรู้สึกให้เหมือนกับเห็นร่างกายตัวเองทั้งตัว (ไอ้ที่แผ่ขยายนิ ผมไม่รู้ว่า สติ หรือ จิตนะ อันนี้ไม่มั่นใจ)...พอทำแบบนี้ สมมุติเวลาตาเห็นรูป แล้วถ้าใจมันส่าย ผมก็จะรับรู้ได้ พอรับรู้ปุ๊บ ถ้าผมเพิ่มกำลังสติ นำจิตเพ่งไปที่ลมหายใจมากขึ้น ก็จะสามารถรักษาใจไม่ให้ส่ายได้...ร่ายมายาวเลย สรุปผมว่าอันนี้ไม่น่าใช่สมาธิอัตโนมัตินะ

    แต่มีอีกกรณีนึงคือ ในบางเวลา ความเพียรผมไม่พอ ก็เลยไม่ได้ใช้สติกำกับจิตไว้... ซึ่งในช่วงเวลานี้ จิตก็ล่องลอยไปบ้าง คิดโน่นคิดนี่ แต่บางครั้งจิตมันก็กลับมาที่ลมหายใจเองนะ แล้วก็ไปโน่นไปนี่ต่อ ซึ่งในช่วงเวลานี้ถ้ามีอะไรมากระทบ เช่นมีอะไรมาทำให้โกรธ ผมจะไม่ค่อยรับรู้ว่าจิตมันส่ายหรือไม่ ... แต่จะรับรู้อีกสถานะหนึ่งคือ รู้สึกเหมือนมีมวลอะไรบางอย่างเกิดขึ้นภายในอยู่บริเวณแถวหน้าอกหรือหัวใจเนี่ยแหละ... และในเสี้ยวเวลานั้น ผมจะมีสติขึ้นมาแวปหนึ่งในการรับรู้มวลนั้น... และตอนนั้นถ้าผมไม่ได้ทำอะไร มันก็จะเป็นไปตามอารมณ์นั้นๆ... แต่ถ้าเอาสติกำกับจิตไว้...มันก็ขึ้นอยู่ที่กำลังสติของผมตอนนั้นอีกว่าแข็งแรงไหม ถ้าแข็งแรงพอ ก็จะข่มมันไว้ได้... ถ้าแข็งแรงไม่พอ ก็หลุดเหมือนกัน... อันนี้ไม่รู้ใช่สติอัตโนมัติไหม...

    สรุปไม่ได้ตอบอะไรเลย 555...

    แต่สรุปคร่าวๆ เอาสติกำกับจิตไม่ให้ส่ายนิ ยังง่ายกว่ารอให้มีมวลเกิดขึ้นแล้วเอาสติไปข่มอีกนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2017
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ยังไม่ใช่ "สติอัตโนมัติ" คือ สิ่งที่เข้ามาตกกระทบทั้งมวล "ถูกรู้" โดยไม่ต้องตั้งอะไรทั้งสิ้น
    +++ จิตเศร้าหมองขุ่นมัว เพราะ "จิตส่งออกไป เชื่อมต่อกับ สิ่งเศร้าหมองขุ่นมัว"
    +++ "คิดซ้อนคิด (หาเหตุผลมาหักล้าง)" ณ ขณะที่ยังคิดอยู่ "สติ แม้เพียงส่วนน้อย ก็ยากที่จะเกิดขึ้น"
    +++ เปล่าเลย ในขณะที่ "คิดซ้อนคิด" มันก็คือ "สัญญาซ้อนสัญญา สังขารซ้อนสังขาร" จิตปั่นตัวเองด้วยเหตุผลตรรกะอุตหลุด
    +++ น่าจะเรียกว่า "ทำให้ สติ หมดไป" มากกว่านะ

    +++ สำหรับ นักปฏิบัติ น่าจะรู้ชัดเจนนะว่า "ความคิด คือ สิ่งลวงจิต และ บดบังสติ"

    +++ คนที่มันเป็นบ้า นั้น เพราะ "ความคิด" มันปั่นตัวโดยไม่หยุด ใช่หรือไม่

    +++ เรื่องพวกนี้ คุณ Supop ทราบอยู่แล้ว นะครับ
     
  7. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,154
    ขอบคุณ คุณ pinit กับ คุณ ธรรมชาติ มากครับ ที่กรุณา

    ผมอาจจะใช้คำผิดไป. ประมาณนั้นหล่ะครับ พอถูกกระทบปั๊ป มันจะรู้อัตโนมัตินั่นหล่ะครับ แล้วมันจะเห็นไปถึงเหตุถึงผลโดยทันที โดยไม่ต้องไปคิดพิจารณาหาเหตุผลมาหักล้างเพื่อแก้กิเลสแบบเมื่อก่อน มันเห็นของมันไปเองเลย

    เอาเท่านี้พอดีกว่า ผมคงคุยเยอะไม่ได้

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปทุกท่านครับ
     
  8. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014

    จะข้ามขั้น วิปัสสนาญาน นั้น
    มันก็มีคนที่ ทำได้ เหมือนกัน
    แต่ว่า คนผู้นั้น ต้องมี โพธิจิต
    หรือ ปัญญา เทียบเท่า พระพุทธะ
    เฉกเช่นเดียวกัน


    เช่น พวกพระมหายาน ชอบสอนให้พิจารณา
    อนัตตา ความไม่มีตัวตน เมื่อบรรลุธรรม
    ก็สามารถบรรลุเป็น พระอรหันต์ ได้เลย
    แต่การพิจารณา อนัตตะลักขณะสูตร นั้น
    คนผู้นั้นจะต้องมี ปัญญาเทียบเท่า พระพุทธะ
    ทำให้เวลาที่สอนศิษย์ จะให้ลรรลุธรรมตาม
    ย่อมจะทำได้ยาก เพราะว่า
    ศิษย์ส่วนมาก จะปัญญาน้อย
    จึงไม่ค่อยมีใครบรรลุธรรม


    ไม่เหมือน พวกพระหินยาน สายพระป่า
    ที่จะสอนให้พิจารณา ความทุกข์ หรือ ความไม่เที่ยง
    ซึ่งเป็น สิ่งที่ง่ายๆ คนทั่วๆไป
    ก็สามารถรับฟัง แล้วก็เข้าใจได้
    แถมเอาไปสอนต่อ ก็ทำได้ง่ายๆ
    เพราะเป็นเรื่องที่อยูในร่างกายของเรา ทั้งนั้น
    คนทุกคน ย่อมต้องมีร่างกายที่จับต้องได้ เป็น รูปธรรม
    เมื่อบรรลุธรรม ย่อมมีเป็นแสนเป็นล้าน ได้
     
  9. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762

    หากอยากฝึก สติปัฐฐาน
    ลองไปเลือก หมวดใดหมวดนึง ใน มหาสติปัฐฐานสูตรก็ได้ครับ
    เลือกเอาที่ตัวเองคิดว่าถนัด แล้วก็ฝึกแต่อย่างนั้น
     
  10. ศิษย์โง๋

    ศิษย์โง๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +66
    รับรู้ได้ถึงพลังงานแห่งการประลองกำลัง. ^^
     
  11. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ผมว่ามันเป็นไปตามเหตุปัจจัยนะ ถ้าไม่มีตนไม่สำคัญเป็นตนก็เป็นแค่กริยาไป ถ้ามีถ้าสำคัญเป็นตนขึ้นมาก็เป็นอัตตา ทุกข์เกิดเพราะความมีอัตตาตัวตนนี่แหละครับ
     
  12. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    คำถามน่าสนใจดี ขออนุญาตตอบตามความเห็นที่ได้สดับฟังมา ผิดถูกอย่างไรก็ลองตรวจทานกันตามอัธยาศัยครับ

    มหาสติ มหาปัญญา จะเกิดขึ้นเมื่อเจริญมหาสติปัฎฐานและวิปัสสนา

    สติอัตโนมัติ คือ สติที่ถูกฝึกฝนจนเป็นนิสัย รู้เนื้อรู้ตัวว่าอะไรเป็นกองทุกข์ เหมือนกับเวลามือไปถูกของร้อนถ้าร้อนไม่มากก็พอจับได้แต่ก็รู้ตัวว่าจับได้ไม่นาน แต่ถ้าร้อนมากก็ชักมือกลับอัตโนมัติ สติที่ถูกฝึกฝนจนเป็นนิสัยก็แบบนั้น กล่าวคือเวลาใจไปสัมผัสของร้อนก็รู้เดี๋ยวนั้นว่า นั่นคือของร้อนเจ้าของก็ค่อยๆหาอุบายพาออก แต่ถ้าร้อนเป็นภัยแล้ว เจ้าของก็ต้องหาอุบายวิธีไถ่ถอนในทันกาลนั้น ซึ่งต้องผ่านกระบวนการ ในมหาสติปฎฐาน 4 มาพอสมควรเพื่อสามารถสังเกตุสิ่งที่ปรากฎขึ้นกับใจตนเองว่า อะไรคือของร้อน อะไรคือของเย็น

    สำหรับ มหาปัญญา คือ รอบรู้ว่า อะไรจะก่อภัย อะไรเป็นคุณเป็นโทษ สิ่งที่มากระทบใจทำให้เกิดสภาวะอย่างไร หนักเบา ร้อนเย็น และจะนำพาตนเองไปในทางใดจึงจะพ้นจากสิ่งที่มากระทบใจได้ นี่ปัญญารอบรู้ได้ทั้งหมด ก็มาจากการเจริญมหาสติปัฎฐาน 4 และโยนิโสมนสิการ เจริญวิปัสสนาสภาวะธรรม

    แต่ถ้าเป็นสติของคนทั่วไป คือ รู้ว่าทำอะไร อะไรดีไม่ดี ในแบบเรื่องราวภายนอกแบบโลกๆ
     
  13. ศิษย์โง๋

    ศิษย์โง๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +66
    มันแยกไม่ออกหรอกว่าอะไรคือมหาสติ มหาปัญญา. เป็นแค่สภาวะผู้รู้ ผู้ดู. กายเป็นแค่ผู้ถูกดู. เมื่อมีผัสสะเข้ามากระทบอายตนะ. ถ้ายังมีความคิดปรุงแต่งสาวไปถึงเหตุยังบ่อใช่

    เรียนรู้มาจากครูอาจารย์แบบนี้^^
     
  14. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ไม่ดูส่วนเวทนา และส่วนจิตหรือครับ ลองหลับตานั่งเฉยๆ ไม่ต้องให้อะไรเข้ามาทางอายตนะซิ แล้วลองดูใจขณะนั้นว่า เป็นสมาธิไหม เวทนามีไหม อารมณ์มีไหม
    แล้วลองนึกถึงเรื่องที่ไม่สบอารมณ์ดูซิ ว่าใจกระเพื่อมไหม

    การที่เราเป็นผู้รู้ ผู้ดู ก็แสดงว่า ยังค้นไปไม่ถึง จิต ในส่วนอารมณ์สมาธิ และค้นไปไม่ถึงปัญญาว่า มีข้อธรรมอันใดเกิดขึ้น เมื่อเราเห็นสภาวะจิตที่เกิดนั้น
     
  15. pinit417

    pinit417 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +164
    เห้อออ มนุษย์เรานี่ยุ่งยากเนอะ ทำไมมันมีวิธีปฏิบัติหลายวิธีจัง...

    เนื่องจากคุณบอกว่าหากอยากฝึก ก็ให้เลือกหมวดนึง...ซึ่งผมก็ยอมรับนะว่า ผมมีความรู้น้อยมากเลยเกี่ยวกับสติปัฐฐาน ผมก็เลยต้องไป google ดู อ่านคร่าวๆ ก็ได้ความว่า...

    ความเห็นส่วนตัวนะครับ...ได้ความว่า ...มันเหมือนกันหมดเลย วิธีปฏิบัติของสติปัฐฐาน หรือ อาณาปานสติ หรือแม้แต่ ภาวนาพุทโธ เหมือนกันหมด...

    แค่เหมือนกับว่า คุณดูรูปรูปหนึ่ง แต่คนนึงมองที่มุมนึงก่อน อีกคนก็ไปมองอีกมุมนึง แต่พอมองภาพกว้างขึ้นเรื่อยๆกลับรู้สึกว่าภาพนั้นคล้ายกัน... พอเห็นรูปภาพเต็ม...อ้าวนี่มันรูปเดียวกัน..

    แค่ความรู้สึกส่วนตัวหลังจากอ่านคร่าวๆเท่านั้นเองหรือ ปัญญาเราไม่ถึงเลยมองไม่เห็นถึงความต่าง
     
  16. ศิษย์โง๋

    ศิษย์โง๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +66
    พระอรหันต์ ธรรมยังไม่เอาเข้าไปด้วย. คิดให้ลึกดูครับ
    ขอบคุณครับ. ฝันดี. ขี้เกียจเล่นกระทู้นี้ละ. บาย
     
  17. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    ผมขออนุญาตแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงครับตามที่ผมเจอมาด้วยตัวเองแบบที่รู้ชัดมีสามครั้ง

    1. ตอนที่มีความรู้สึกโกรธขึ้นมา ก็รู้ว่าตัวเองโกรธ ความรู้สึกโกรธมันดับลงในทันทีภายในไม่ถึงวินาที

    2. ได้มองเห็นหน้าอกผู้หญิง เกิดตัณหา ก็รู้ว่าอยาก ความอยากมันก็ดับลงในทันทีภายในไม่ถึงวินาที

    3.นั่งสมาธิ เกิดเวทนาเจ็บปวด แต่รู้ว่าเจ็บปวด ใจมันไม่เจ็บปวดตามกาย เหมือนกับว่า มันเป็นคนละส่วนแยกกันอยู่

    ลักษณะอาการที่เป็น เท่าที่ผมเข้าใจ

    พอจิตเกิดสัมผัสความโกรธ/ ตัณหา จิตมันไม่ได้มีการตั้งท่าอะไรแต่อย่างใดเลย เมื่อจิตไม่ได้มีการตั้งท่าอะไรดังนั้นก็ไม่มีการเห็นเหตุและผลที่จะนำมาใช้หักล้างอะไรทั้งนั้น มันเห็นการเกิดขึ้น และการดับไป
    การดับมันมีลักษณะไม่ใช่เกิดและดับไปในทันที แต่มันจะเห็นการเปลี่ยนแปลง ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น มันค่อยๆลดน้อยถอยลงจนดับลงไปภายในไม่ถึงวินาที

    ตอนที่จิตสัมผัสความโกรธ/ตัณหากิเลสเกิดขึ้นครับไม่ใช่ไม่เกิดแต่ก็ดับลง ถ้าจะเปรียบคงเปรียบได้กับก่อนที่จะเราเปิดวิทยุเราได้ตั้ง volume ระดับเสียงไว้สูงสุด พอเราเปิดสวิตซ์ปุ๊บเสียงมันจะดังมากขึ้นมาในทันทีแต่มือของเราก็จะรีบหรี่เสียงวิทยุที่ดังมากๆอยู่นั้นในทันทีทันควัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2017
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ลุงแมวครับ..
    ข้อ แรก คือ สภาวะนิพพาน
    ฟังได้ อ่านได้ แต่ต้องวางครับ
    ข้อ ๒ .แค่เห็น ไม่ได้ใช้ปัญญาครับ ใช้แค่การสังเกตุครับ

    ยกตัวอย่างเปรียบเทียบนะครับเผื่อจะได้เข้าใจง่ายขึ้น
    เช่น เปรียบความคิดเป็น น้ำพุ ที่พุ่งสั้น พุ่งยาว และไม่พุ่งนะครับ


    แค่ลุงยืนมอง น้ำที่พุ่งออกจากน้ำพุ ว่ามันสั้น มันยาว
    หรือมันไม่พุ่ง เท่านี้ก็เห็นได้ครับ ย้ำว่าแค่ลุงสนใจยืนมอง
    เท่านั้นเอง ดังนั้น การเห็นได้อย่างนี้จึงไม่ต้องใช้ปัญญาครับ

    แต่ถ้าลุงตั้งใจคอยมองน้ำอย่างเดียว โดยไม่สนใจอะไร
    อย่างนี้เรียกว่า จดจ่อครับ.

    แต่ถ้าลุงมองน้ำ แล้วยิ้ม มีจินตนาการร่วมไปด้วย
    เรียกว่าเพ้อเจ้อครับ

    แต่ถ้าลุงมองน้ำอย่างเดียว ไม่ทำอะไรเลย เรียกว่า ตึง เคร่งครับ

    แต่ถ้าลุงไม่มองอย่างเดียว และพยายามไปทำให้น้ำมันเปลี่ยน
    แปลง เช่น พุ่งยาวให้เป็นพุ่งสั้น หรือ พุ่งสั้นทำให้มันดับ
    เรียกว่า แทรกแซงครับ

    แต่ถ้าลุงมองน้ำแล้ว และวิพากษ์ วิจารณ์ แยกแยะ
    ให้ความเห็น ตีความ ตามน้ำที่ลุงเห็นว่ามันพุ่งสั้น
    ไม่พุ่ง พุ่งยาว เรียกปรุ่งแต่ง

    และถ้ามีคนมายืนดูน้ำ และลุงพยายามบอก ว่าน้ำที่พุ่ง
    เป็นอย่างโน้นนี่นั้น กับคนอื่นๆแสดงว่า ยึดครับ

    และถ้าคนมายืนดูน้ำ เห็นต่างกับลุง และลุงมีอารมย์ร่วม
    และพยายามบอกในสิ่งที่ลุงเข้าใจอีก แสดง ว่ายึดมั่นถือมั่นครับ

    แต่ถ้าลุง มองน้ำเฉยๆ ไม่ว่ามันจะพุ่งสั้น พุ่งยาว หรือไม่พุ่ง
    โดยลุงไม่วิพากษ์ วิจารณ์ ไม่ตั้งใจมองเกินไป ไม่พยายาม
    ทำให้มันเปลี่ยน มันจะพุ่งสั้นยาวไม่พุ่งช่างมันอย่างนี้
    เรียกว่า ลุงเริ่มเดินปัญญาได้ครับ แต่ยังไม่เกิดปัญญานะครับ

    เมื่อผ่านเฉยๆแล้ว จากข้างบน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    ไม่ว่า ไปเจอน้ำพุ ที่ไหน ก็เฉยๆซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้เหมือนกัน
    จนใจลุงเห็นว่า น้ำมันก็พุ่งสั้น พุ่งยาว หรือไม่พุ่งของมันอย่างนั้น
    นี่คือ ลุงเริ่มมีปัญญาขึ้นมาครับ

    พอลุงเริ่มมีปัญญาขึ้นมาอีก ลุงก็จะเริ่ม รู้ว่า น้ำมันไม่
    พุ่งเพราะอะไร
    น้ำมันพุ่งยาวเพราะอะไร
    พุ่งสั้นเพราะอะไรครับแต่ลุงจะไม่รู้ว่า
    ทำไมน้ำมันต้องพุ่งสั้น ทำไมน้ำมันต้องพุ่งยาว
    หรือบางทีทำไมมันไม่สั้นครับ

    แต่ถ้าลุงมาสังเกตุอีกว่า น้ำไม่พุ่ง พุ่งสั้นและ พุ่งยาวตอนไหน
    มันเริ่มเปลี่ยนจากไม่พุ่ง ไปพุ่งสั้น ไปพุ่งยาวตอนไหน

    และถ้าลุงมาสั้งเกตุเห็นอีก ว่านำไม่พุ่งมันหยุดไม่พุ่งตอนไหน
    ก่อนมันจะไปพุ่งสั้น
    และนำพุ่งสั้นนั้นมันหยุดพุ่งสั้นตอนไหนก่อนจะไปพุ่งยาว
    และน้ำพุงยาวมันหยุดตอนไหนก่อนมันจะไม่พุ่งได้
    ลุงก็จะเริ่มเข้าสู่ปัญญาญานได้ครับ

    และเมื่อเริ่มเข้าสู่ปัญญาญานได้ บ่อยครั้งแล้ว
    และเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น จิตของลุงก็จะมีปัญญา
    มากพอที่จะไม่ยึดติด ไม่ยึดมั่นถือมั่น
    ในเรื่องต่างๆเกี่ยวกับน้ำ ไม่ว่า น้ำไม่พุ่ง น้ำพุ่งสั้น
    หรือน้ำพุ่งยาวได้ของลุงเองครับ
    และเวลาไปเจออะไรเกี่ยวกับน้ำอย่างนี้
    จิตลุงก็จะคลายได้เอง ไม่ยึดไม่ถือได้เองครับ

    การปฏิบัติเราควรค่อยๆเป็นค่อยไปตามลำดับครับ
    คนเราก่อนที่จะบอกว่า จิตไม่ยึดมั่นถือมันได้
    มันต้องผ่านขั้นตอนการเกิดเป็นปัญญาญาน
    ขึ้นมาได้ก่อนอย่างที่เราเป็นตัวเองเปรียบเทียบ
    ว่าความคิดเป็นน้ำพุอย่างที่เล่าให้ฟังครับ

    ปล.หวังว่าจะพอเข้าใจได้นะครับ





     
  19. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    สุดยอดอธิบายอภิธรรมให้เห็นภาพได้อย่างง่ายดาย
    ขออนุโมทนาครับ
    จิต กิริยาจิต สิ่งที่สหรคต การสัมปยุต
    ท้ายที่สุด คือ ไม่เห็นสาระของน้ำพุครับ
    ไม่ว่าจะสั้น ยาว เป็นสาย เป็นฝอย หรือไม่พุ่งเลย
    ล้วนไม่มีสาระใดๆเลย
    จึงเดินจากไป แล้วไม่หวนกลับคืนมาอีกเลย

    นอนดึกจังเลยนะครับลุงนพ รึ ตื่นแล้ว(ไวจริงไวจัง)
    อิอิ
     
  20. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    เรื่องเข็ดเพราะรู้ว่ามันร้อน อันนี้ก็ต้องสังเกตเอาน่ะครับ บางทีคิดไปก่อนแล้วว่าร้อนก็มี จริงๆให้มันเจอก่อนทุกครั้งแล้วรู้ไปตรงๆ เลยครับ ร้อน เย็น รู้กันไปตรงๆ แต่มันก็ต้องปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมมาก่อน คือมีกายวาจาใจตั้งอยู่บนความไม่ประมาทดีแล้ว เช่น มีสัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ เป็นต้นครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...