เพจ คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง, 17 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    1f343.png 1f33a.png 1f343.png ขออนุญาติลงรูปให้ผู้ที่ร่วมบุญอนุโมทนาบุญกันนะคะ..ในนาม”เพจหลวงพ่อฤๅษีลิงดำวัด ท่าซุง”ค่ะ
    บุญสำเร็จแล้วค่ะ
    1f607.png 1f607.png 1f607.png ถวายแล้วค่ะกลองเพลขนาดกว้าง70เซนติเมตรยาว170เซนติเมตรพร้อมกับตู้หนังสือพระไตรปิฎกโครงการของน้องกาน..ที่สำนักสงฆ์สระประทุม จ.สุรินทร์ค่ะ..
    1f64f.png 1f64f.png 1f64f.png ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านเจ้าภาพด้วยนะคะ

    28168840_1398413593603713_6708565671276624009_n.jpg
    28167039_1398413633603709_7104016350409391465_n.jpg
    28167024_1398413723603700_3251363764065325306_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  2. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ธรรมะก่อนนอน..ประจำวันที่ ๒๕ – ๐๒ – ๒๕๖๑
    จากหนังสือแนะวิธีหนีนรกแบบง่ายๆ
    โดย..หลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง
    ตอนที่ ๑ การปฏิบัติตนเพื่อหนีบาป
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ต่อไปนี้อาตมาจะขอปรารภ เรื่อง การปฏิบัติตนหนีบาป คำว่า “บาป” นี้บรรดาท่านพุทธบริษัท แปลว่า “การกระทำความชั่ว” ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงยืนยันว่า บุคคลใดถ้าตกเป็นทาสของความชั่วคือ บาป เวลาก่อนจะตายถ้ากำลังจิตเศร้าหมองมีกำลังใจกังวลอยู่กับบาป ตายแล้วก็ต้องตกนรก ความจริงที่บางท่านคิดว่า การตายแล้วไม่เกิด คือว่าตายแล้วมีสภาพสูญ อย่างไรก็ตามเถอะพระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า คนเราตายแล้วต้องมีการเกิด แต่การเกิดนั้นจะเกิดเป็นมนุษย์ หรือเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็ถือว่าเกิดทั้งหมด ถ้าส่วนดีก็ไปเกิดเป็นเทวดาบ้าง เป็นพรหมบ้าง ถ้าดีถึงที่สุดก็ไปเกิดเป็นพระอรหันต์เข้านิพพานไป
    เป็นอันว่าอาตมาเองก็ขอยืนยันตามที่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า การตายแล้วเกิดนั้นมีจริง ซึ่งบรรดาท่านพุทธบริษัทชายและหญิง ส่วนใหญ่เวลานี้ก็ปฏิบัติในหลักสูตรของวิชชาสามบ้าง ในหลักสูตรของอภิญญาหกบ้าง สามารถระลึกชาติได้ว่าก่อนจะเกิดเราเคยเป็นอะไรมาบ้าง ตายเป็นอะไรมาบ้าง อย่างนี้ทราบกันอยู่แล้วก็เป็นอันว่ายืนยันตามคำสั่งขององค์สมเด็จพระประทีป แก้วได้ว่าการตายแล้วต้องเกิดจริง การที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์หรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องของบุญและบาป การกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็นำมาทั้งเศษบุญและเศษบาป
    เศษบุญ เป็นปัจจัยให้ทุกคนมีความสุขตามสมควรกับบุญนั้น
    เศษบาป เข้ามาครอบงำจิตเมื่อไหร่ ทุกคนที่ได้รับผลนั้นก็จะมีแต่ความทุกข์ ความเร่าร้อน
    ถ้าหากว่าเราคิดว่าตายแล้วไม่เกิด จิตจะมีความประมาทพลาดจากความเป็นจริง ถ้าคิดอย่างนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัทชายและหญิง ก็จะมีความประมาทในชีวิต คิดว่าการเกิดมาแล้วตายก็สูญ เมื่อมันจะสูญไปจากโลกนี้ไม่มีการเกิดต่อไป การกระทำความดีหรือการกระทำความชั่วใด ๆ ย่อมมีผลเฉพาะในชาติปัจจุบันเท่านั้น เพราะชาติข้างหน้าไม่มี ถ้าคนที่มีกำลังใจดีก็จะสั่งสมความดี เพื่อความสุขของตน คนที่มีจิตหยาบบาปอกุศลก็ครอบงำ ก็จะทำแต่ความชั่ว สร้างความเร่าร้อนให้แก่ตัวและบุคคลอื่น ถ้าตายแล้ว บังเอิญที่ต้องเกิดจริง ๆ ความจริงอาตมาใช้คำว่าบังเอิญเฉพาะบุคคลที่คิดว่าตายแล้วสูญ สำหรับอาตมาเองจริง ๆ ขอยืนยันว่าตายแล้วเกิดแน่ การระลึกชาติเราสอนกันได้แล้วมีญาติโยมพุทธบริษัททำได้นับแสน ถ้าเราไม่มีการเกิดเราจะรู้ชาติที่แล้วมาได้อย่างไร
    ก็รวมความว่า ขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าการเกิดต่อไปมีจริง ๆ ใครท่านจะว่าไม่มีก็ช่างท่านเถอะ เรื่องความเห็นนี่อย่าไปถือเป็นเรื่องความผิดเรื่องถูก ของใครก็ของมันอาตมาบวชมาตามหลักสูตรในพระไตรปิฎก ซึ่งบรรดาพระทั้งหลายยอมรับว่าเป็นถ้อยคำที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าทรงสั่งสอน และก็ปฏิบัติตามพระไตรปิฎกก็มีผลตามนั้นจึงหมดสงสัย
    ในเมื่อเรามาพูดกันถึงเรื่องเกิดพอสมควร เพราะว่าเกิดแล้วตายแล้วจะต้องไปนรกบ้าง ไปสวรรค์บ้าง คือไปสู่แดนของความสุขบ้าง แดนของความทุกข์บ้าง ทุกคนก็ไม่มีใครอยากพบกับแดนของความทุกข์ ต้องการอย่างเดียวคือ ต้องการพบกับแดนของความสุข
    เราจะทำอย่างไรกัน?
    ข้อนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ที่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า ฟังคำแนะนำ
    ของพระพุทธเจ้าสักหน่อยหนึ่ง แล้วลองไปปฏิบัติตาม ถ้าทุกท่านที่ฟังแล้วนำไปปฏิบัติได้จริง อาตมาก็ขอยืนยันว่าการเกิดต่อไปข้างหน้าของท่าน ที่มีกี่ครั้งก็ตามกี่ชาติก็ตาม ของยืนยันว่าทุกท่านจะไม่พบกับอบายภูมิทั้ง ๔ คือการเกิดเป็นสัตว์นรกก็ดี เป็นเปรตก็ดี เป็นอสุรกายก็ดี เป็นเดรัจฉานก็ดี จะไม่มีแก่ท่านทุกชาติที่เกิดอีกต่อไป และการเกิดของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ก็จะจำกัดการเกิด เอาเฉพาะการปฏิบัติอย่างหยาบๆ ท่านทั้งหลายถ้าจะมีการเกิดจริง ถ้ากำลังใจของท่านย่อหย่อนปฏิบัติได้แต่ว่าไม่เคร่งเครียดนัก คือ ปฏิบัติได้ไม่ละเอียดนัก พอทำกันได้ เรียกว่าประเภท “เช้าชามเย็นชาม” แต่ก็สามารถทรงความดีไว้ได้ อย่างนี้ถ้าหากว่าท่านจะเกิดใหม่ก็เกิดเป็นเทวดาหรือพรหม 7 ชาติตามหลักวิชา หลังจากนั้นก็เป็นพระอรหันต์เข้านิพพาน
    ถ้ามีกำลังใจเข้มแข็งทำได้แบบละเอียดจริงๆ อารมณ์สุขุมทรงตัวได้อย่างดี ถ้ากำลังใจประเภทนี้เราทำได้จะเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมอีกชาติเดียวเท่านั้น กลับลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ๑ ชาติ เป็นพระอรหันต์เข้านิพพาน
    หลักสูตรนี้มีในพระไตรปิฎก ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทุกคนให้ตัดสังโยชน์ สังโยชน์นี่ถ้าตัดได้ ๓ จะเป็นพระโสดาบัน หรือสกิทาคามี เพียงแต่เป็นพระโสดาบันอย่างหยาบที่เรียกว่า สัตตักขัตตุง ต้องเกิดอีก ๗ ชาติ เพียงเท่านี้บรรดาท่านพุทธบริษัทอบายภูมิทั้ง ๔ จะเข้าไม่ถึงและก็ไม่พบหน้ากันแล้วก็ขอลาอบายภูมิได้
    สังโยชน์ ทั้ง ๑๐ ประการนี้มีอะไรบ้าง?
    ๑. สักกายทิฏฐิ
    ๒. วิจิกิจฉา
    ๓. สีลัพพตปรากมาส
    สามข้อนี้อาตมาจะสอนญาติโยมพุทธบริษัทปฏิบัติกัน ถ้าตัด ๓ ข้อนี้ได้ อย่างหยาบก็สามารถหลีกนรกได้แน่นอน ไม่พบหน้ากันอีกแล้ว
    ข้อที่ ๑ ที่เรียกว่า สักกายทิฏิฐิ ซึ่งมีความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเรา หรือเรามีในร่างกาย ร่ายกายมีในเรา อย่างนี้เป็นต้น หรือว่ามีความรู้สึกว่าร่างกายนี้มีสภาพไม่ตาย มันจะทรงตัวอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย ไม่เสื่อมไม่ตายไปจากโลกนี้หรือว่ามีความเห็นว่าร่างกายนี้นอกจากจะไม่ตายแล้ว มันก็มีแต่ความสะอาด เรียกว่า มีความสะอาดน่ารัก น่าชม นานิยมทุกอย่าง ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นของโสโครก แล้วก็มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเรา
    ความรู้สึกในสักกายทิฏฐิ อาตมาตั้งไว้ ๓ ระดับก็เพราะอารมณ์อย่างนี้มีความรู้สึกไม่เสมอกัน
    ถ้าอารมณ์ขั้นพระโสดาบันหรือสกิทาคามี จะมีความรู้สึกเป็นแต่เพียงว่าร่างกายนี้ต้องตาย
    ถ้าอารมณ์ของพระอนาคามี จะมีความรู้สึกว่าร่างกายนี้นอกจากจะตายแล้ว มีสภาพเสื่อม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และสลายตัวไปในที่สุด ร่างกายของคนก็ดี ของสัตว์ก็ดี วัตถุธาตุใดๆ ก็ดี ไม่มีคำว่าสะอาด มีแต่คำว่าสกปรก น่าเกลียด น่าชังอย่างยิ่ง มีความรังเกียจในการที่จะมีร่างกายต่อไปอีก อันนี้เป็นอารมณ์ของพระอนาคามี
    ถ้าเป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ จะมีความรู้สึกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา
    ฉะนั้นจึงขอชวนบรรดาท่านพุทธบริษัท ปฏิบัติแค่เบื้องต้น ยึดอารมณ์ของพระโสดาบันเข้าไว้ เราจะเป็นพระโสดาบันหรือสกิทาคามีหรือไม่นั้นไม่สำคัญ อย่าคำนึงถึงว่าเราจะต้องเป็นพระโสดาบันบ้าง เป็นสกิทาคามีบ้าง ถ้ามีความรู้สึกอย่างนั้นความประมาทจะเกิดแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทคิดว่า ” เราดีแล้ว” ถ้าบังเอิญเราไม่ได้เป็นจริงๆ ถ้าพลาดพลั้งตายไปอาจจะไปอบายภูมิได้
    ฉะนั้นการปฏิบัติจริงๆ ให้ต้องการแต่ผล อย่าคิดว่าตนเป็นอย่างนั้น คิดว่าตนเป็นอย่างนี้ จะกลายเป็นคนมีมานะทิฏฐิ ซึ่งเป็นกิเลสหยาบทำปัญญาให้ถอยหลัง
    รวมความว่าสังโยชน์ ๑๐ ประการก็คือ
    ๑. สักกายทิฏฐิ มีความรู้สึกว่าร่างกายนี่มันจะไม่ตาย ร่างกายสะอาด ร่างกายเป็นเราเป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเรา
    ๒. วิจิกิจฉา มีความสงสัยในพระพุทธเจ้า ในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สงสัยในความดีของพระอริยสงฆ์ ไม่ตกลงว่าจะยอมรับนับถือหรือไม่
    ๓. สีลัพพตปรามาส ไม่ตั้งใจรักษาศีลอย่างจริงจัง รักษาศีลประเภทศีลหัวเฒ่าคือผลุบเข้าผลุบออก ประเดี๋ยวก็ทรงตัวบ้าง ประเดี๋ยวก็ไม่ทรงตัวบ้าง
    สังโยชน์ข้อที่ ๔ กามฉันทะ มีความหลงใหลใฝ่ฝันในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ นี่เรียกว่าติดหลงใหลใฝ่ฝันอยู่ในกามารมณ์
    สังโยชน์ข้อที่ ๕ ปฏิฆะ มีอารมณ์ข้องใจไม่พอใจ คือ มีความโกรธ มีความไม่พอใจอยู่เป็นปกติยังเหลืออยู่
    สังโยชน์ข้อที่ ๖ รูปราคะ มีความหลงใหลใฝ่ฝันในรูปที่เป็นวัตถุ หรือรูปฌาน
    สังโยชน์ข้อที่ ๗ สงสัยใฝ่ฝันในอรูป หรือสิ่งที่ไม่มีรูป หรือ อรูปฌาน ว่าดีเลิศประเสริฐแล้ว
    สังโยชน์ข้อที่ ๘ มานะ ยังมีการถือตัวถือตน ว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา
    สังโยชน์ข้อที่ ๙ อุทธัจจะ ยังมีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ไม่มั่นใจในตัวเองว่าเราจะไปนิพพานดีหรือไม่ไปนิพพานดี ไปได้แน่หรือไปไม่ได้แน่ เอาแน่นอนไม่ได้ คือ จิตใจขาดความเข้มแข็ง
    สังโยชน์ข้อที่ ๑๐ อวิชชา อวิชชานี้ยังมีความหลงใหลใฝ่ฝันในมนุษยโลก เทวโลก และพรหมโลก ยังเห็นว่ามนุษยโลก เทวโลก พรหมโลกเป็นของดี ต้องการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
    รวมความว่าสังโยชน์ ๑๐ ประการนี้ เป็นเครื่องดึงเราให้เวียนว่ายตายเกิด ตายแล้วเกิดใหม่ เกิดแล้วตาย ไม่ใช่เกิดจากมนุษย์ตายเป็นมนุษย์ ตายจากมนุษย์เกิดเป็นมนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น ตายจากมนุษย์แล้วอาจจะเป็นสัตว์นรกก็ได้ เปรตก็ได้ อสุรกายก็ได้ สัตว์เดรัจฉานก็ได้ เป็นเทวดาหรือพรหมก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ สุดแล้วแต่ความดีหรือความชั่ว
    ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัท หรือบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรสามารถตัดสังโยชน์ได้ถึง ๑๐ ประการ พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า “พระอรหันต์” เป็นผู้ตัดกิเลสเป็น “สมุจเฉทปหาน” ก็รวมความว่าเราจะไม่พบกับคำว่าการเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน การเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือพรหมไม่มีอีกแล้ว ไปอยู่นิพพานแห่งเดียวมีแต่ความสุขสำราญ ไม่มีความทุกข์เป็นที่ไป
    ก็รวมความว่าวันนี้หรือวันต่อไป ก็ยังไม่ชวนบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและเพื่อนภิกษุสามเณร เป็นพระอนาคามี หรือเป็นพระอรหันต์ ก็ยังไม่ชวนทุกท่านเป็นพระโสดาบัน หรือสกิทาคามี จะชวนเพียงว่า เรามาเอากันอย่างนี้ดีกว่า ในเมื่อพระโสดาบัน ก็ดี พระสกิทาคามีก็ดี ท่านสามารถหลีกนรกได้เด็ดขาด ถึงอย่างไรก็ตามท่านไม่มีโอกาสลงนรกได้อีก นรกก็ไม่เกิด เป็นเปรตก็ไม่เกิด อสุรกายก็ไม่เกิด เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ไม่เกิด จะมีแดนที่ไปที่มาระหว่างมนุษยโลกกับเทวโลกเท่านั้น เป็นอันว่า “ตัดอบายภูมิได้เด็ดขาด” เราต้องการกันแค่นี้ก่อน
    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทก็ดี เพื่อนภิกษุสามเณรก็ดี อาตมาเองก็ตาม สำหรับอาตมาจริง ๆ มีความรู้สึกว่าเวลานี้เป็นเด็กอ่อน ยังเป็นเด็กอ่อนอยู่ ยังไม่กล้าต่อสู้อารมณ์ที่เข้ไปถึงความเป็นพระอรหันต์ เราเป็นเด็กเล็กมีกำลังน้อย ๆ ยกของ เบา ๆ ก่อน
    อันดับแรก ลองยกสังโยชน์ทั้ง ๓ ประการออกจากใจ ก็คิดว่ายังไง ๆ เราก็ไม่ไปนรกกันก่อน ไม่เป็นเปรต ไม่เป็นอสุรกาย ไม่เป็นสัตว์เดรัจฉานกันก่อนดีกว่า เอายังไงก็ดี ตั้งต้นกันจุดนี้เถอะบรรดาท่านพุทธบริษัทผู้ปฏิบัติพระกรรมฐาน การปฏิบัติกระกรรมฐานในหลักสูตรของวิชชาสามก็ดี อภิญญาก็ดี ปฏิสัมภิทาญาณก็ดี หากว่าท่านได้ ๒ ในวิชชาสาม, ๕ ในอภิญญาหก หรือสมาบัติ ๘ แต่ว่าท่านไม่สามารถจะตัดสังโยชน์ ๓ ประการให้พ้นจากใจได้ ท่านก็ยังเป็นเหยื่อของอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น เราก็มาลองดูมันยากนักไหม ยากหรือไม่ก็ลองพิจารณากันดู
    ๑. สักกายทิฎฐิ เอาตัวนี้เข้ามาตั้งต้นก่อน อารมณ์ขั้นต้นของพระโสดาบันกับสกิทาคามิ ท่านมีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องตายและบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรก็ดีญาติโยม พุทธบริษัทก็ดี มีความรู้สึกเหมือนพระโสดาบัน สกิทาคามีไหม ท่านมีความรู้สึกตัวท่านเอง ท่านจะตายไหม แต่ก็บางทีหลาย ๆ ท่านอาจจะลืม คิดว่าเราจะต้องตายเป็นปี ๆ ก็ได้ บางทีเกิดมา ๑๐ ปี ๒๐ ปี ลืมนึกถึงว่าชีวิตมันจะต้องตายอันนี้เป็นของธรรมดาของพวกเรา ญาติโยมก็เหมือนกัน เพื่อนภิกษุสามเณรก็เหมือนกัน อาตมาก็เช่นเดียวกน เราก็ขี้หลงขี้ลืมเหมือนกัน
    ต่อแต่นี้ไปเรามาตั้งต้นกันใหม่ดีไหม ว่าต่อแต่นี้ก่อนจะหลับเราจะคิดไว้ว่าหลับคราวนี้จะได้ตื่นเห็นพระอาทิตย์ วันใหม่หรือไม่ก็ไม่ทราบ เราอาจจะต้องตายระหว่างการหลับหรือก่อนสว่างก็ได้พอสว่างแล้วตื่นขึ้นมา ก็มีความรู้สึกว่าเราจะได้เห็นกลางคืนของวันนี้หรือไม่ก็ไม่ทราบ เพราะชีวิตในช่วง ๑๒ ช่วงโมง ของกลางวันเราอาจจะตายก่อนก็ได้ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง” เรื่องความตายนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทจงอย่าคิดว่าคนคิดถึงเรื่องความตายนี้ ต้องงอมืองอเท้าไม่ทำมาหากิน ไม่สั่งสมความดี อันนั้นผิด องค์สมเด็จพระธรรมสามิสรทรงแนะนำว่าคนที่นึกถึงความตายนี่ เขาเป็นคนแกล้วกล้า ประกอบกิจการงานทุกอย่างตามหน้าที่ครบถ้วน เพราะไม่แน่ใจว่าจะตายเมื่อไร
    สมมุติว่า ท่านมีสามีหรือภรรยา และมีบุตร ธิดาอยู่ด้วยมีคนที่ต้องอุปถัมภ์ ถ้าเราประมาทในชีวิต คิดว่าแก่สัก ๖๐ ปีหรือ ๗๐ ปี ๘๐ ปี หรือ ๑๐๐-๒๐๐ ปี จะต้องตายเราก็ไม่สั่งสมทรัพย์สินไว้เพื่อลูกเพื่อหลาน ยังคิดว่าอีกนานเราจะตายไม่เป็นไร ระหว่างนี้ทำกินพอกินไปวัน ๆ หนึ่งก็ได้ ถ้าเผอิญมันปุ๊บปั๊บตายไปก่อนล่ะ ลูกหลานไม่ลำบากหรือ เราเองก็ลำบาก เพราะเรามีทรัพย์น้อย พอจะตายขึ้นมาจริง ๆ จิตก็มีความกังวลถึงลูกถึงหลาน ตัวจิตกังวลนี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท จะทำให้เราต้องลงอบายภูมิ
    หากว่าเราไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าอาจจะตายวันนี้ไว้เสมอ เราก็หาทางรวบรัดสิ่งใดที่จะสร้างทรัพย์สมบัติให้เกิดขึ้น สำหรับทำทุนทำรอนไว้เพื่อเราในยามป่วยหรือยามแก่ ถึงเวลาที่มันตายไปแล้วลูกหลานไม่ลำบากในการจัดการศพ หรือการเป็นอยู่ในเบื้องหน้าเราก็หาทรัพย์สมบัติมาตามกำลังที่จะพึงหาได้ หาจนเต็มความสามารถด้วยความไม่ประมาทในชีวิต อย่างนี้ถ้าบังเอิญมันยังไม่ตาย ทรัพย์สินที่เราหาได้ก็จะสร้างความสุขให้เกิดขึ้นกับเราในปัจจุบัน ในเมื่อเราคิดว่าเราจะตายแล้ว รู้ว่าตายแล้วถ้าทำความชั่ว จิตชั่วเราต้องไปอบายภูมิ มีการเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นต้น เราก็จะละจากความชั่วนั้น ตั้งหน้าตั้งทำดี พูดดี คิดดี คนที่ทำดีพูดดีและคิดดี คนประเภทนี้เป็นที่รักของทุกคนในโลก ไม่มีคนเลวที่ไหนที่เห็นว่าคนพูดดี ทำดี คิดดี เป็นคนที่น่าเกลียด ที่ต้องการประกาศเป็นศัตรู ถ้าคนที่สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ บรรดาท่านพุทธบริษัทใครเขาก็รักทุกคนที่ทำดี พูดดี และคนคิดดี เพราะการทำดีเป็นการกระทำที่ไม่เบียดเบียนบุคคลอื่นให้มีความทุกข์ คนก็ดี สัตว์ก็ดี ไม่มีความทุกข์ เพราะการกระทำของเรา การพูดดี คนก็ดี สัตว์ก็ดีในโลกจะไม่เกิดความลำบากเดือดร้อนจากคำพูดของเราคนที่คิดดี คนและสัตว์ในโลกจะไม่เกิดความลำบากยากแค้นไม่มีอันตรายเพราะความคิดดีของเรา เราเองก็มีแต่ความสดชื่น คนอื่นเห็นเข้าก็มีการชื่นอกชื่นใจ อยากคบหาสมาคม ไปที่ไหนก็มีแต่มิตรเป็นที่รัก
    ถ้าอย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท คนที่คิดว่าจะต้องตายและเกรงว่าจะไปอบายภูมิต่างคนต่างทำดี ต่างคนต่างพูดดี ต่างคนต่างคิดดี อย่างนี้เจอะหน้าคนก็มีแต่ความเป็นมิตรไม่มีใครคิดเป็นศัตรูต่อกัน พูดก็พูดวาจาที่เป็นที่รักซึ่งกันและกัน การกระทำก็ไม่ขัดใจกัน ไม่ขัดขวางไม่มีการกลั่นแกล้งกัน ช่วยเหลือกัน ความคิดก็ไม่หมกมุ่นไปด้วยอารมณ์ที่เศร้าหมอง อย่างนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท รวมทั้งเพื่อนภิกษุสามเณรเห็นด้วยไหม ว่าก่อนจะตายหรือไม่ทันจะตายเราก็มีความสุขแล้ว ความสุขที่เกิดจากการเห็นหน้าและยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหากัน ทุกคนก็มีแต่ความสดชื่น ถ้ามีการขัดข้องในทรัพย์สินหรือสิ่งของต่าง ๆ ต่างคนต่างยื่นโยนซึ่งกันและกัน สงเคราะห์ซึ่งกันและกันอย่างนี้แหละบรรดาท่านภิกษุสามเณรทั้งหลายและญาติโยม พุทธบริษัทควรคิดใหม่ว่าเราจะต้องตาย ในเมื่อเราคิดว่าจะต้องตายแล้ว เราก็ตั้งใจว่าการตายของเราคราวนี้จะตายเมื่อไรก็ตามที จะตายระยะไหนก็ตามคิดว่าพร้อมที่จะตายวันนี้ก็ได้เสมอ เราก็ทำดีทุกจุด
    ความดีอันดับแรกบรรดาท่านพุทธบริษัทจะทำอะไรดี จะทำอะไรเป็นจุดแรกดีก็ขอยืนยันยึดเอาสังโยชน์ข้อที่ ๒ ที่เราเรียกว่า “วิจิกิจฉา” ทำลายวิจิกิจฉาให้พ้นจากกำลังใจของเรา
    คำว่า “วิจิกิจฉา” นี่แปลว่า “สงสัย” คือสงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า สงสัยในความดีของพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สงสัยในความดีของพระอริยสงฆ์ มีพระอรหันต์ เป็นต้น สงสัยว่าพระพุทธเจ้านะมีจริงหรือไม่ ถ้ามีจริง ๆ พระพุทธเจ้าน่ะดีไหม คำสอนของพระองค์ดีจริง ๆ หรือเปล่า นี่สงสัย สงสัยคำสอน นี่สงสัยพระธรรมเลย แล้วสงสัยว่าพระอริยสงฆ์ในพระพุทธศาสนานี่มีหรือไม่มี หนัก ๆ เข้าก็เลยคิดว่าไม่มี เพราะตัวสงสัยว่าพระพุทธเจ้าจริง ๆ ก็ไม่มี พระไตรปิฎกที่มีอยู่อ่านกันอยู่ ก็เป็นพระไตรปิฎกโกหกมดเท็จ ใครเขียนขึ้นมาก็ไม่รู้ก็เขียนแบบโกหกขึ้นมาว่าโลกนั้นมีโลกนี้มี ระลึกชาติไม่ได้ จิปาถะกันไป เลยสงสัยพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาที่เขาบอกว่าพระสงฆ์ พระสงฆ์น่ะเป็นพระสงฆ์จริงๆ หรือว่าเป็นตัวเบียดเบียนประชาชน ทำให้สังคมมีความทุกข์ มีความเร่าร้อน เพราะพระไม่เห็นจะทำอะไรได้แต่บิณฑบาต แล้วก็กิน กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็บิณฑบาตแล้วก็บอกบุญบ้าง ขอบุญบ้างเรี่ยไรกันบ้าง จิปาถะ มีแต่พูดไปพูดมาแล้วก็พูดไป ไม่เห็นมีอะไรให้เกิดประโยชน์ นี่ไม่สงสัยนะเลยไม่เชื่อเสียเลย ลักษณะอย่างนี้เป็นสังโยชน์ ข้อที่ ๒ ที่ทำให้คนเราต้องลงอบายภูมิ ขอยืนยันว่าถ้ามีอารมณ์อย่างนี้ต้องลงอบายภูมิ เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน แน่นอน
    ถ้าถามว่าคนที่เขามีความรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้แล้วไม่ไปนรกมีไหม?
    ก็ต้องตอบว่าไม่มี เว้นไว้แต่ว่าจะมีเวลาส่วนใดส่วนหนึ่ง แม้แต่เป็นเวลามีความเชื่อมีความเลื่อมใสเข้ามาเพียงเล็กน้อย ตายปุ๊บปั๊บในขณะนั้นอาศัยที่จิตมีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เป็นต้น แล้วก็ไปสวรรค์ชั่วคราว ใช้เวลาไม่นานก็ลงป๋อมลงนรกไป
    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายสำหรับเบื้องต้นอันนี้ก็พูดกันมากไปกว่านี้ไม่ได้ เพราะเวลาหมดแล้ว ก็ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแต่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี…

    28471492_1398803083564764_4869270942098608360_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  3. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    คำสอนหลวงพ่อเรื่อง “มุมต้นของวิปัสสนาญาณ”..

    .. การเจริญกรรมฐาน “อย่าเอาเฉพาะวิปัสสนาญาณ” เพราะมันไม่มีผล ถ้าจะ “เจริญเฉพาะสมถภาวนาเฉยๆ ก็ไม่มีผล” จะต้องมีทั้ง ๓ อย่างพร้อมกัน คือ “ศีล สมาธิ ปัญญา” ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์ คือ ศีลบกพร่อง สมาธิไม่ทรงตัว ถ้าสมาธิไม่มี ปัญญาไม่เกิด “วิปัสสนาญาณ คือ ตัวปัญญา”

    ขณะที่ใช้อารมณ์พิจารณาร่างกาย วิปัสสนาญาณเขาทำอย่างเดียวคือ “พิจารณาขันธ์ ๕” ขันธ์ ๕ คือ ร่างกาย ร่างกาย คือ ขันธ์ ๕ คือให้พิจารณาร่างกายว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อันนี้เรียกว่าตีรวม แต่ถ้าจะทำกันจริงๆ ต้องใช้การตัดเฉพาะจุด

    ถ้าใช้การตัดตูมใหญ่แล้วหวังความเป็นอรหันต์ทีเดียว มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เป็นของยากเพราะอารมณ์พระอรหันต์หนักมาก แต่ว่าถ้าทำตามลำดับจะไม่หนัก เมื่อวานนี้พูดถึงนิพพิทาญาณ ขอย้อนอีกนิดหนึ่ง เผื่อญาติโยมบางท่านไม่ได้มา

    คำว่า “นิพพิทาญาณ” หมายถึง “ความเบื่อหน่ายในร่างกาย” การเจริญวิปัสสนาญาณถ้าไม่ถึงจุดนี้ ก็ถือว่ายังไม่ถึงมุมต้นหรือจุดต้นของวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณมีจุดสำคัญอยู่ ๒ จุด คือ “นิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่าย” นี่เป็นเบื้องต้น กับ “สังขารุเปกขาญาณ” ขั้นสุดท้าย

    มีสองข้อเท่านั้น ความจริงมี ๙ ข้อ ถ้ายังไม่ถึงความเบื่อหน่าย มันจะไม่ถึงมุมต้นของวิปัสสนาญาณ คือเรียกว่า “ยังไม่เข้าถึงวิปัสสนาญาณ” ก็แล้วกัน เป็นแต่เพียงการเตรียมตัว ..

    (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
    ที่มาจาก.. ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๕๐ หน้าที่ ๗๒-๗๓

    28279254_1400197843425288_802556230967108603_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  4. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    หน้าที่ของพระภูมิ
    ผู้ถาม :- “ผมเห็นศาลพระภูมิ…บางบ้านตั้ง ๒ ที่…”
    หลวงพ่อ :- “ดี…พระภูมิจะได้สบายๆ หลังนี้ร้อนไปอยู่หลังโน้น หลังโน้นหนาวไปอยู่หลังนี้ จะเป็นไรไป เป็นเครื่องแสดงการยอมรับนับถือ ไม่ใช่ของแปลก ไม่ใช่ว่าเกณฑ์พระภูมิมาอยู่ที่ศาล เรานี่คิดว่าพระภูมิมาอยู่ที่ศาลนี่ก็ไม่เป็นไรนะ แต่จริงๆ แล้ว ท่านมีวิมานของท่าน ท่านเป็นเทวดา องค์หนึ่งคุมพื้นที่เป็นกิโลนะ ไม่ใช่บ้านละองค์นะ
    เรื่องพระภูมิเจ้าที่นี่มีเรื่องเยอะ ที่เคยพบมาเมื่อปี ๒๕๐๐ ฉันไปป่วยที่กรมแพทย์ทหารเรือ แล้วตอนนั้นก็ปรากฏว่าคืนวันหนึ่งตี ๒ ฉันตื่นขึ้นเห็นคนๆ หนึ่งขึ้นที่หน้าตึก ตึกคนไข้นะ ตึกเขาก็ใหญ่แต่มันก็มีฝา แต่เขาให้เห็น ไม่ใช่นั่งกรรมฐานนะ นั่งธรรมดา ตื่นขึ้นก็ลุกขึ้นหยิบนั่นหยิบนี่ หยิบน้ำขึ้นมากินบ้างอะไรบ้าง เห็นคนที่หน้าตึก ก็สังเกตดูคนๆ นี้จะไปไหนกัน เขาเดินไปตามเตียงคนไข้ ไปถึงแต่ละเตียงแกหยุดนิดหนึ่ง หยุดมอง แล้วเดินผ่านไปๆ แล้วทีนี้มาที่ห้องฉันอยู่ มันเป็นเตียงที่ ๓ มันเป็นเตียงกั้นกลางนะ
    พอถึงเตียงนั้นแกยืนนาน ยืนมองอยู่นาน เดี๋ยวก็เลิกจากเตียงนั้นมาเตียงต่อมา แล้วผ่านมาถึงฉัน ฉันยังไม่นอน ยังนั่งอยู่ แล้วก็ถามว่าเดี๋ยวก่อนซิจะไปไหน…มาจากไหน…คุยกันก่อน แกเลยบอกผมตั้งใจจะมาคุยกับท่าน…ได้เรื่องเลย! ถามว่าคุณเป็นใคร…แต่งตัวเป็นคนธรรมดา ไม่มีเสื้อ นุ่งกางเกงขาสั้น เก่าด้วยซิ คงจนใช่ไหม…น่ากลัวเมื่อเวลาจะตายแกจะแต่งตัวแบบนั้น โดยมากเขาจะมาในลักษณะตาย ในลักษณะจริงเขาสวย…พระภูมินะ ก็ยืนคุยกัน
    ท่านก็บอกว่าผมเป็นภูมิเทวดา ถามว่ารักษาเขตไหนบ้าง…ในกรุงเทพฯ นี่นะ แกบอกระยะทางเป็นกิโล เลยถามว่าคุณคนดียวจะรู้ได้อย่างไร…มีหน้าที่อะไร…แกบอกว่าผมรับรู้การทำความดีและความชั่วของคน ใครทำความดีผมก็บันทึก ทำความชั่วผมก็บันทึก แล้วก็คนเป็นแสนในเขตของคุณนะ คุณจะรู้ได้อย่างไร…คนต่างคนต่างอยู่ ต่างกรรมต่างวาระ ทำไม่เสมอกัน บางทีก็ทำเวลาเดียวกัน คุณจะรู้ได้อย่่างไร…?
    แกบอกว่าอย่าลืมว่าจิตใจผมเป็นทิพย์นะครับ แน่ะ…คุยเสียด้วย แล้วก็ถามว่าวิธีจด ทำอย่างไร…แกมามีมือเปล่า แกชูมือมาเป็นกระดาษแผ่น ขึ้นติ๊กๆ ขึ้นเป็นชื่อคนว่าทำอะไรๆ แกบอกว่าขึ้นอย่างนี้ครับ ของเขาไม่ต้องใช้เครื่อง แล้วเวลาเดินมาก็ไม่ต้องถือกระดาษ ต้องการกระดาษมาเลย แล้วถามว่าจริงๆ แล้วมีกระดาษจดแบบนี้หรือ…แกบอกเปล่า ท่านถามผมก็ทำให้ดู นี่เล่นกับพระภูมิ พระภูมิไม่ก้อยนะ ไม่งั้นท่านเป็นเทวดาไม่ได้ เทวดาต้องฉลาด ถ้าโง่เป็นเทวดาไม่ได้
    ความจริงเขารู้กฎของกรรม กฎของกรรมไม่ต้องไปนั่งจด ถ้าเขาทำอะไรจะมีความสุขหรือมีความทุกข์ หรือทำกรรมดีหรือไม่ดี มันปรากฏแก่ใจเขาเอง เขาเล่าตอนนี้ตอนนะ เลยถามว่าเมื่อกี้นี้คุณไปยืนที่ตรงนั้นทำไม…แกบอกว่าตี ๓ นี่ เจ้าคนนี้จะมีอาการเป็นแบบนี้ แล้วก็ถ้าอาการแบบนี้เกิดขึ้นนะ ต้องเอายาในตู้ของหมอนะ ให้หมอใช้ยาขนานนี้ฉีด แล้วแกคุยประเดี๋ยวแกก็ไป พอไปแล้วตี ๓ คนนั้นก็ดิ้นตึงตังโครมครามเป็นอาการแบบนั้น
    พอดีขณะที่คุยอยู่นี่หมอพยาบาลเขาฟังอยู่ อยู่ใกล้ๆ เขาได้ยิน เขาเลยวิ่งไปเอายาหลอดนั้นมาฉีด มาบรรเทา ก็คิดว่าตายเหมือนกัน ปรากฏว่าพอรุ่งขึ้น ๔ โมงเช้า เดินที่สนามหญ้าหน้าตึก สบายขึ้น นี่อำนาจภูมิเทวดานะ ภูมิเทวดาที่เป็นหมอก็มีนะ”
    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๕ หน้า ๑๔-๑๖
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

    28168475_1400239173421155_5759292735235193290_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  5. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    #ศาลานวราช #วัดท่าซุง
    คำว่า “ศาลานวราช” หมายถึง “พระราชาองค์ที่ ๙” คือ รัชกาลที่ ๙ นั่นเอง หลวงพ่อตั้งไว้เป็นอนุสรณ์ในการเสด็จพระราชดำเนินของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ นั่นเอง เพราะเดิมได้จัดทำห้องสุขา (ห้องพระบังคน) ไว้เผื่อพระองค์จะเสด็จใช้ห้องนี้ ปัจจุบันห้องพระบังคนนี้ใช้เป็นที่เก็บสิ่งของหลังศาลานวราช
    ศาลาหลังนี้สร้างเสร็จประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๘ หลวงพ่อใช้เป็นที่รับแขกทั่วไป และเป็นที่จำหน่ายวัตถุมงคล หนังสือ เทปธรรมะไปด้วย (ต่อมาได้ย้ายไปสร้างใหม่ที่ตึกรับแขก) ปัจจุบันเป็นสถานที่ติดต่อสำหรับผู้มาเข้าพักปฏิบัติธรรมภายในวัด และเป็นสถานที่ทำวัตรเช้าของพระภิกษุและญาติโยม ตลอดถึงการเปิดเสียงตามสายด้วย
    #ระเบียบการเข้าพักปฏิบัติธรรม
    พระเจ้าหน้าที่เปิดทำการ เวลา 09.00 – 10.30 น. ตอนบ่ายเวลา 13.00 – 16.00 น. (ตามปกติ ถ้าเป็นช่วงวันธรรมดา ที่วัดไม่ได้มีการจัดงานสำคัญ ท่านสามารถมาพักที่วัดได้โดยมีข้อปฏิบัติดังนี้)
    – พักครั้งละไม่เกิน ๗ วัน
    – การมาพักต้องติดต่อพระเจ้าหน้าที่ ณ ศาลานวราช (อยู่บริเวณโบสถ์ ติดกับหอนาฬิกา) โทรศัพท์ (056) 502 – 655
    – ต้องมีบัตรประชาชนหรือใบขับขี่เป็นหลักฐาน
    – หากเป็นพระต้องมีใบรับรองจากเจ้าอาวาสวัดที่ท่านสังกัดมาแสดง
    – พระเจ้าหน้าที่จะขอเก็บไว้ ๑ บัตรหรือใบต่อ ๑ ห้องพักเพื่อแลกกับกุญแจ (และไว้มาแลกคืนตอนกลับ)
    – ต้องมาติดต่อพระเจ้าหน้าที่ (ไม่ว่าจะขอกุญแจหรือคืนกุญแจ) ในช่วงต่อไปนี้เท่านั้นคือ
    – ที่พักมีพักเป็นห้องๆ หลายจุดในวัด แยกชาย-หญิง
    – เตรียมเสื้อผ้าที่สุภาพมาให้เพียงพอ
    – ทางวัดมีห้องน้ำไว้บริการเพียงพอ
    – เรื่องอาหารการกินผู้มาปฏิบัติต้องรับผิดชอบตนเอง โดยมีร้านอาหารตั้งอยู่หลายจุดรอบๆวัด
    – ภายในวัด มีร้านสหกรณ์ของวัดจำหน่ายของใช้จำเป็นทุกอย่าง
    – ในวัดมีรถรางนั้ง ๒ แถวหรือไม่ก็มีรถสามล้อเครื่องให้ใช้บริการตามสะดวก
    – ห้ามดื่มเหล้าและเล่นการพนันรวมทั้งอบายมุขทุกอย่าง
    – ท่านต้องเคารพในสถานที่ และทำตามระเบียบของทางวัดอย่างเคร่งครัด

    28279641_1400632506715155_1371847723998984645_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  6. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  7. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    พระอรหันต์มีกี่แบบและแตกต่างกันอย่างไร?
    ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

    1. พระอรหันต์มี 4 แบบ คือ สุขวิปัสสโก หมดกิเลสแล้ว แต่ไม่มีความรู้พิเศษ เห็นผีเห็นเทวดาไม่ได้ ได้แต่ปลงสังขาร ให้อารมณ์หยุดอยาก คือ ไม่อยากเกิด ไม่อยากมี ไม่อยากเอาดีกับชาวโลก เพราะเห็นว่าเมื่อยังเกิด ตราบใด ก็ยังต้องทุกข์ตราบนั้น ท่านเลยเบื่อเกิด ทั้งเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม ท่านไม่เอาด้วยทั้งนั้น สิ่งที่ท่านต้องการก็คือ พระนิพพาน
    2. พระอรหันต์อีกแบบหนึ่งก็คือ พระอรหันต์ที่เรียกว่า เตวิชโช คือ ท่านทรงวิชชาสาม ได้แก่
    – ทิพยจักขุญาณ มีอารมณ์จิตเป็นทิพย์ รู้เรื่องราวต่าง ๆ ทั้งอดีตและอนาคต ท่านรู้ได้คล้ายตาทิพย์
    – อันดับที่สอง สามารถระลึกชาติในอดีตได้ทุกชาติที่ท่านเกิดมาแล้ว
    – สาม ท่านละกิเลสหมดทุกอย่างเหมือนท่านสุกขวิปัสสโก

    3. พระอรหันต์อันดับที่ 3 ได้แก่ท่านผู้ทรง อภิญญา 6 คือ
    – แสดงฤทธิ์ได้ทุกอย่าง เพราะอำนาจกสิณ
    – มีหูทิพย์ เพราะอำนาจกสิณ
    – มีทิพยจักขุญาณ
    – มีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้
    – รู้ความรู้สึกนึกคิดของคนและสัตว์ได้
    – ทำกิเลสให้สิ้นไป

    4. พระอรหันต์ประเภทที่ 4 ท่านมีอำนาจฤทธิ์เหมือนท่านผู้ทรงอภิญญา แต่มีญาณพิเศษกว่า คือ มีปัญญาฉลาดเฉียบแฉลม สามารถคิดคำนวณพยากรณ์เหตุการณ์ทุกอย่างได้โดยฉับพลัน มีฤทธิ์คล่องแคล่วกว่าอภิญญา 6

    ท่านอันดับที่ 4 นี้แหละ ที่ท่าน ปิณโฑลภารทวาชะ และท่านโมคคัลลาน์ ท่านทรงได้

    ได้บรรยายเรื่องพระอรหันต์พอให้ท่านผู้อ่านทราบไว้เพียงย่อ ๆ จะได้ไม่เข้าใจผิด เพราะคนส่วนมากก็คิดว่าพระอรหันต์จะต้องเป็นพระมีฤทธิ์เหมือนกันหมดทุกองค์ ความจริงพระอรหันต์ไม่ใช่จะมีฤทธิ์มีเดชเหมือนกันหมดตามที่บอกมาแล้ว

    28378431_1402259469885792_7463265825881849856_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  8. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ขออนุญาติลงบอกบุญนะคะ..
    ช่วงนี้ฝนจะลงบอกบุญบ่อยมากๆถ้าไม่ถูกจริตท่านใดก็ขออภัยด้วยค่ะ..เนื่องด้วยใกล้งานเททองหล่อสมเด็จองค์ปฐม2องค์และหล่อหลวงพ่อทองคำวัดไตรมิตรอีก1องค์ที่สวนพุทธธรรมหลวงปู่ใหญ่สุพรรณบุรีเข้ามาทุกที ท่านใดว่างก็ขอเชิญมาร่วมบุญด้วยกันนะคะ(ปักหมุดมาได้เลยค่ะ)เจอฝนที่งานนะคะ..วันนี้มาบอกบุญเจ้าภาพเต็นท์งานเททองค่ะ
    1f607.png 1f607.png 1f607.png บอกบุญนะคะ
    1f64f.png ขอเชิญญาติธรรมทุกท่านร่วมบุญเป็นเจ้าภาพ
    เต็นท์งานเททองหล่อสมเด็จองค์ปฐม2องค์ หลวงพ่อทองคำวัดไตรมิตร1องค์ ที่สวนพุทธธรรมหลวงปู่ใหญ่ สุพรรณบุรี ในวันอาทิตย์ที่25มีนาคม2561ค่ะ
    1f343.png 1f33a.png 1f343.png บอกบุญเจ้าภาพเต็นท์หลังละ500บาทจำนวน30หลัง ตอนนี้มีเจ้าภาพแล้ว3หลังขาดอีก27หลังค่ะ..หรือร่วมบุญได้ตามกำลังค่ะ
    1f308.png โอนธ.กสิกรไทย023-3-52102-7
    น้ำฝน บุญสิงห์ค่ะ
    1f33a.png ✨((อานิสงส์ในการถวายเต็นท์เเด่พระพุทธศาสนา))
    1. ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุข ไม่ร้อนรน (เพราะให้ความร่วมเงาบังเเดดบังฝน)
    2. มีที่อยู่อาศัย ไม่ขัดสน (ไม่ขาดเเคลนที่พักผ่อน)
    3. ได้บุญจากผู้คนที่มาเททองหล่อพระ
    4. ได้สร้างถาวรวัตถุให้ผู้คนได้กราบได้ไหว้
    5. ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้ทานที่ ได้อานิสงส์มาก (เพราะมีความต้องการมาก)ทานบารมี
    6. ถวายทำนุบำรุงพระศาสนาให้เจริญมั่นคง

    28279988_1402264563218616_3633347319425925120_n.jpg
    28377527_1402264586551947_2903378895455649792_n.jpg
    [​IMG]

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  9. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ทำบุญได้อานิสงส์สูง
    ๑. ก่อนจะให้ก็ตั้งใจว่าจะให้
    ๒. ขณะที่ให้ก็ดีใจ
    ๓. เมื่อให้แล้วก็เกิดความเลื่อมใส
    …..มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยหนึ่ง เมื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีจนลง ขนาดข้าวเป็นเม็ดแทบไม่มีกินต้องกินปลายข้าว แต่ศรัทธาท่านยังไม่ถอย ท่านนิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยพระสงฆ์ ไปฉันภัตตาหารที่บ้าน ท่านก็เอาปลายข้าวละเอียด เรียกว่าข้าวปลายเกวียนต้ม แล้วก็เอาน้ำผักดอง เปรี้ยวๆ เค็มๆ ทำเป็นกับ มาถวายพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า
    …..”เวลานี้ ทานของข้าพระพุทธเจ้าเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าข้า”
    …..พระพุทธเจ้าถามว่า “เธอมีเจตนาในการถวายทานอย่างไรล่ะ ?”
    …..ท่านบอกว่า
    …..”ก่อนจะให้ เต็มใจพร้อมเสมอ ในขณะที่ให้ก็ปลื้มใจ เมื่อให้แล้วก็เกิดความเลื่อมใสดีใจว่าให้แล้ว พระพุทธเจ้าข้า”
    …..พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า “ดูก่อนมหาเศรษฐี “ลูขัง วา ปณีตัง วา”
    …..หมายความว่า ถ้าคนให้ทานมีเจตนาพร้อมเพรียงทั้ง ๓ กาลอย่างนี้ ของดีก็ตาม ของเลวก็ตาม ย่อมมีอานิสงส์เลิศมีอานิสงส์สูง แต่ที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านทำนั้น ท่านถวายพระพุทธเจ้า และพระที่ฉันก็เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด นับเป็นยอดของทาน ถ้าหากว่า เราไม่รู้จะเลือกยังไง องค์นี้จะเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์หรือเปล่า
    …..หรือเป็นพระโปเก พระเชียงกง ถ้าเราไม่รู้ ก็ถวายเป็นสังฆทานเลย เพราะสังฆทานมีอานิสงส์สูงมากรองจากวิหารทาน”
    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)

    28468112_1403093753135697_9043309183692177408_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  10. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  11. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    1f607.png อัพเดตยอดล่าสุดวันนี้17,450บาทค่ะ
    1f64f.png ขอเชิญทุกท่านร่วมบุญด้วยกันนะคะ
    1f607.png 1f607.png 1f607.png บุญใหญ่สำหรับปีนี้อีกงานหนึ่งที่ฝนรับมานะคะ..
    1f64f.png 1f64f.png 1f64f.png ขอเชิญญาติธรรมทุกท่านร่วมบุญเป็นเจ้าภาพผาติกรรม สมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก4ศอกในซุ้มเรือนแก้วปิดทองคำแท้ประดับเพชรทั้งองค์ในงานกฐินของวัดท่าซุงปีนี้ (วันอาทิตย์ที่ ๒๘ ตุลาคม 2561) งบประมาณ 100,000 บาท(หนึ่งแสนบาทถ้วน)คณะของเราอยู่ลำดับที่52ค่ะ ในนาม”เพจคำสอนหลวงพ่อฤๅษีลิงดำวัดท่าซุง น้ำฝน บุญสิงห์พร้อมคณะญาติธรรม”..
    เปิดรับตั้งแต่วันนี้จนครบยอด100,000บาทค่ะ
    โอนร่วมบุญได้ที่ธ.กสิกรไทย011-1-98323-2(บัญชีนี้ไม่มีพร้อมเพย์ค่ะ)
    น้ำฝน บุญสิงห์
    1f343.png 1f33a.png 1f343.png การบอกบุญนี้เป็นความศรัทธาของฝนและคณะไม่เกี่ยวข้องกับวัดท่าซุงแต่อย่างใด

    28575632_1404155176362888_7643855632876961792_n.jpg
    28577232_1404155203029552_614007785901785088_n.jpg
    28782633_1404155249696214_5789419596347867136_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  12. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    1f607.png อัพเดตยอดล่าสุดวันนี้10,323บาทค่ะ
    1f64f.png ขอเชิญทุกท่านร่วมบุญด้วยกันค่ะ
    1f343.png 1f33a.png 1f343.png บอกบุญนะคะ
    ☀ขอเชิญทุกท่านร่วมบุญเป็นเจ้าภาพหินคลุก จำนวน 10 เที่ยวๆละ2,800บาท
    -หินคลุก ร่วมบุญตันละ 200 บาท
    -หินคลุก 1 คัน รถสิบล้อ(14ตัน) ร่วมบุญคันละ 2,800 บาท

    *** 1f33a.png ท่านที่เป็นเจ้าภาพหินคลุก 1 คันรถสิบล้อ มอบหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์เนื้อมหาชนวน ปิดทองคำแท้ หน้าตัก 3 นิ้วเป็นที่ระลึก กรุณาช่วยค่าส่ง 100 บาท)ค่ะ..
    1f33a.png 1f33a.png 1f33a.png โอน.ธไทยพาณิชย์406-337594-3 น้ำฝน บุญสิงห์ พร้อมเพย์0915145635
    บุญชำระหนี้สงฆ์…เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพถมหินคลุก สำหรับถมพื้นที่บริเวณที่จะประกอบพิธีททองหล่อสมเด็จองค์ปฐม บริเวณด้านหน้าอาคารหลวงปู่เทพโลกอุดร ด้านหน้าพระมหาเจดีย์สมเด็จองค์ปฐมฯ ให้กว้างขึ้น เเละจะถมทางเข้าออกวัด ซึ่งหากฝนตกก็จะช่วยบรรเทาให้คนและรถสามารถเข้าออกได้สะดวกขึ้น และยังสามารถเป็นที่จอดรถของญาติธรรมที่มาทำบุญอีกด้วย
    1f352.png การถวายดิน หิน ถมที่วัด เป็นบุญใหญ่อเนกอนันต์ 1f352.png
    1f34f.png อานิสงส์การถมดินและ หินคลุก ถมลานวัด และสร้างถนนเข้าออกวัด 1f34f.png
    1.ส่งผลให้มี”ลู่ทางในการทำมาหากิน” มีช่องทางเสมอเดินทางก็ปลอดภัยแคล้วคลาดสะดวกสบายขึ้น ไม่ว่าทำอะไรก็ไม่ติดขัด
    2. มีหนทางโล่งเตียน เหมือนดั่งถนนที่ช่วยให้สาธุชนทั้งหลายได้เดินทางกันมาทำบุญในวัดได้ง่ายดาย
    3. เเละยังทำให้เดินทางไปไหนมาไหนไม่ค่อยหลงทาง
    4. ทำการงานใดไม่ค่อยมีอุปสรรค์
    5. มีคนนำพาไปในที่ต่างๆ อย่างปลอดภัย ไม่ค่อยมีอุปสรรค์
    6. เดินทางไปไหนมาไหน ก็สะดวกสะบาย เป็นต้น
    อนึ่ง..การอำนวยความสะดวกในผู้มีศีล มีธรรม ผู้มาบำเพ็ญบุญบารมี สะสมอริยทรัพย์ ผู้เเสวงหาทางพ้นทุกข์ ได้มีถนนหนทาง ได้มีสถานที่อันเอื้อเเก่การบำเพ็ญบารมี สั่งสมบุญอันสูงสุดในพระศาสนา
    ก็ได้ชื่อว่าผู้อำนวยความสะดวกได้รับผลเเห่งมหากุศลอันสูงสุดที่เกิดจากการอุปถัมภ์ผู้ปฏิบัติเช่นกัน
    1f64f.png 1f64f.png 1f64f.png ขออนุโมทนาบุญทุกๆท่านทุกประการค่ะ

    28577619_1404160523029020_8835532761994362880_n.jpg
    28379465_1404160559695683_9066691827465191424_n.jpg
    28468598_1404160606362345_6834545032507162624_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  13. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  14. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ขออนุญาตลงรูปให้อนุโมทนาบุญกันนะคะ
    1f308.png วันนี้ฝน พี่พร น้องปุ้ยได้นำงานบุญหินคลุกถมทางเข้าพระเจดีย์สมเด็จองค์ปฐมมาถวายพระเดชพระคุณหลวงปู่องค์น้อยจำนวน 14,000 บาท
    1f338.png ถวายงานบุญน้ำดื่ม 7,080 บาท
    1f338.png ถวายงานบุญปิดทองคำแท้หลวงพ่อทันใจ1,100บาท
    1f338.png ถวายงานบุญพระเจดีย์กลางน้ำ(รอบสอง1,500)บาท
    1f64f.png ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านเจ้าภาพด้วยนะคะ..

    28576684_1405194779592261_3523055840619659264_n.jpg
    28575707_1405194852925587_34198462346035200_n.jpg
    28576306_1405194912925581_2164742308359045120_n.jpg
    28472267_1405194936258912_669427462614024192_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  15. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    อาการของอุปจารสมาธิ และอาการของฌาน ที่ ๑ , ๒, ๓ ,๔

    โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    อาการและอารมณ์ของอุปจารสมาธิ-1
    ……อาการและอารมณ์ของอุปจารสมาธิ…..

    “….อาการของอุปจารสมาธิคือ ปีติได้แก่อารมณ์ความอิ่มใจเมื่อทำมาถึงตอนนี้อารมณ์จะชุ่มชื่นมาก อารมณ์สะอาดเยือกเย็น มีความเป็นสุขอย่างยอดเยี่ยม ไม่เคยพบความสุขอย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต ตอนนี้เวลาภาวนาลมหายใจจะเบากว่าปกติมาก อารมณ์เป็นสุขร่างกายของนักปฏิบัติที่เข้าถึงระดับนี้ ผิวหนังจะนวลขึ้นเพราะอารมณ์ที่มีความสุขแต่อาการทางร่างกายนี่สิที่ทำให้นักปฏิบัติตกใจกันมากนั่นก็คือ

    ….๑. อาการขนลุกซู่ซ่า เมื่อเกิดอาการอย่างนี้หรืออย่างอื่นที่กล่าวถึงต่อไปจะมีอารมณ์ใจเป็นสุข ขอให้ทุกท่านปล่อยอาการอย่างนั้นไปตามสภาพของร่างกาย จงอย่าสนใจ เมื่อสมาธิสูงขึ้น หรือลดตัวลงต่ำกว่านั้น อาการอย่างนั้นก็จะหมดไปเอง อาการขนลุกพองถ้ามีขึ้นพึงควรภูมิใจว่า เราเข้าถึงอาการของปีติระดับหนึ่งแล้ว อย่ากังวลอาการของร่างกาย ….

    ….๒. อาการของปีติขั้นที่ ๒ ได้แก่อาการน้ำตาไหล”

    …..๓. อาการของปีติขั้นที่ ๓ คือร่างกายโยกโคลง โยกไปข้างหน้าบ้างข้างหลังบ้างบางคราวโยกแรง จนศีรษะใกล้ถึงพื้น….

    ….๔. อาการของปีติขั้นที่ ๔ ตามตำราท่านว่าตัวลอยขึ้นบนอากาศ แต่ผลของการปฏิบัติไม่แน่นัก บางรายก็เต้นเหมือนปลุกตัว บางรายก็ตัวลอยขึ้นบนอากาศ เมื่อลอยไปแล้ว ถ้าสมาธิคลายตัวก็กลับมาที่เดิมเอง (อย่าตกใจ)…

    ….๕. อาการของปีติขั้นที่ ๕ คือ มีอาการแผ่ซ่านในร่างกายซู่ซ่าเหมือนมีลมไหลออกในที่สุดเหมือนตัวใหญ่และสูงขึ้น หน้าใหญ่แล้วมีอาการเหมือนลมไหลออกจากกาย ในที่สุดก็มีความรู้สึกว่าตัวหายไปเหลือแต่ท่อนหัว..

    ….อาการทั้งหมดนี้ เมื่อเกิดขึ้นอารมณ์ใจจะมีความสุข ฉะนั้น นักปฏิบัติให้ถืออารมณ์ใจเป็นสำคัญ อย่าตกใจในอาการตามที่กล่าวมาแล้วนั้น พอสมาธิสูงถึงระดับฌานก็จะสลายตัวไปเอง ปีตินี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วอารมณ์จะเป็นสุข คือถึงระดับที่สี่ ที่จะเข้าถึงปฐมฌาน ต่อไปก็เป็นปฐมฌานเพราะอยู่ชิดกัน
    อัปปนาสมาธิหรือฌาน’…

    ….ต่อไปนี้จะพูดหรือแนะนำใน อัปปนาสมาธิ คำว่า อัปปนาสมาธิ เป็นสมาธิใหญ่ มีอารมณ์มั่นคง เข้าถึงระดับฌาน ตั้งแต่ฌานที่หนึ่งถึงฌานที่สี่ แต่ก่อนที่จะพูดถึง อัปปนาสมาธิ ขอย้อนมาอธิบายถึงอุปจารสมาธิเล็กน้อยก่อน การที่พูดมาแล้วเป็นการพูดในเรื่องของนิมิตโดยตรงท่านที่ไม่นิยมนิมิตจะไม่เข้าใจ….

    …..อุปจารสมาธิระดับสุดท้าย……

    ….เมื่อจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิขั้นสุดท้าย ถ้าผู้ปฏิบัติไม่สนใจในนิมิต หรือสร้างนิมิตให้เกิดขึ้นไม่ได้ ให้สังเกตอารมณ์ใจดังนี้ อารมณ์นี้มีเหมือนกันทั้งท่านที่ถือนิมิตหรือไม่ถือนิมิต คือจะมีความรู้สึกว่ามีอารมณ์ตั้งมั่นทรงตัวดี มีความชุ่มชื่นไม่อิ่มไม่เบื่อในการปฏิบัติ มีอารมณ์เป็นสุขเยือกเย็นมาก ซึ่งไม่เคยพบมาเลยในชีวิต และมีอารมณ์เป็นหนึ่ง กำหนดอารมณ์ไว้อย่างไรอารมณ์ไม่เคลื่อนจากที่ตั้งอยู่ได้นาน ตอนนี้เป็น ฌาน อารมณ์ที่สังเกตได้คือ…

    …๑. รู้ลมหายใจเข้า รู้ลมหายใจออก คำภาวนาทรงตัว ไม่ลืมไม่เผลอไม่ฟุ้งไปสู่เรื่องอื่นนอกเหนือจากที่คิดจะภาวนา มีอารมณ์เต็มเปี่ยมด้วยกำลังใจไม่อิ่มไม่เบื่อไม่อยากลุกออกจากที่ มีความสุขหรรษาเป็นพิเศษ ซึ่งไม่เคยมีความสุขใดในชีวิตที่เคยพบมาก่อนเลยมีอารมณ์ตั้งมั่นดิ่งอยู่ในที่เดียวเป็นพิเศษ (ข้อห้านี้เป็นฌาน) หูได้ยินเสียงทุกอย่างชัดเจนมากที่เข้ามากระทบประสาทหู เสียงคนหรือเสียงสัตว์ธรรมดาไม่ใช่เสียงทิพย์ แม้แต่เสียงเครื่องขยายเสียงที่มีเสียงดังมาก ตอนนี้ได้ยินทุกอย่างชัดเจนตามปกติแต่ไม่รำคาญในเสียงนั้นเลย คงภาวนาหรือกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกได้เป็นปกติเหมือนไม่มีเสียงรบกวนลมหายใจจะเบากว่าเวลาปกติจนสังเกตได้ชัดอาการอย่างนี้ท่านเรียกว่า ปฐมฌาน คือ ฌานที่หนึ่ง…

    …๒. เมื่อจิตเป็นสมาธิในฌานที่สองมีความรู้สึกดังนี้คือจะรู้สึกว่าคำภาวนาหายไปบางท่านหรือหลายท่านควรจะพูดว่า มากท่านก็คงไม่ผิดเมื่ออารมณ์เข้าถึงฌานที่สองใหม่ๆ อารมณ์ยังไม่ชิน เมื่อขณะที่จิตทรงอยู่ในฌานนี้ จะมีความอิ่มเอิบสุขสบาย จะเผลอตัว เมื่อจิตมีสมาธิลดลง เพราะกำลังจิตถอยสมาธิ จะลดลงอยู่ที่อุปจารสมาธิ ตอนนี้อารมณ์คิด คือความรู้สึกก็เกิดขึ้น เมื่อจิตตั้งอยู่ในฌานจะไม่สามารถคิดอะไรได้ เพราะเอกัคคตารมณ์คืออารมณ์เป็นหนึ่งไม่มีอารมณ์คิดจะทรงตัวเฉยอยู่และไม่มีคำภาวนา คำภาวนานี้ตั้งแต่ฌานที่สองถึงฌานที่สี่จะไม่มีคำภาวนาเมื่อรู้สึกตัวว่าไม่ได้ภาวนาก็จะคิดว่าตนเองหลับไปหรือเผลอไป ความจริงไม่ใช่ ซึ่งเป็นอาการของฌานที่สอง…

    …๓. เมื่อจิตมีสมาธิเข้าถึงฌานที่สาม ตอนนี้จะรู้สึกว่า ลมหายใจเบาลงมาเกือบไม่รู้สึกว่าหายใจ แต่ความจริงยังรู้สึกถนัดอยู่แต่เบามากนั่นเอง อาการทางร่างกายจะรู้สึกเหมือนเกร็งไปทั้งร่าง แต่ความจริงร่างกายเป็นปกติ แต่ที่มีความรู้สึกอย่างนั้นเป็นอาการของสมาธิ เสียงภายนอกที่เข้ามากระทบหูเกือบไม่ได้ยินเสียงนั้นเลยได้ยินแต่เบามาก จิตทรงอารมณ์เป็นหนึ่งสงัดดีมากเป็นพิเศษ อย่างนี้เป็นอาการของฌานที่สาม..

    …๔. อาการของฌานที่สี่ เมื่อจิตเข้าถึงฌานที่สี่ ฌานสี่นี้มีสองขั้นคือ หยาบ กับ ละเอียด สำหรับฌานหนึ่ง สอง สาม นั้น แต่ละฌานมีสามชั้นคือ หยาบ กลาง ละเอียด ที่ไม่อธิบายไว้ ก็เพราะกลัวจะเฝือ เพราะเมื่อฝึกได้ใหม่ยังไม่มีกำลังใจที่แน่นอน ประเดี๋ยวได้ประเดี๋ยวสลายตัวอธิบายละเอียดเข้าแทนที่จะเป็นผลดี จะกลายเป็นอาหารผสมยาพิษไปจุกจิกใจเข้าเลยเลิกดีกว่า..

    ….เป็นอันว่ารู้กันว่าเป็นฌานชั้นที่สี่ก็พอ ฌานอื่นๆ พอรู้ว่าถึงฌานก็พอ จงอย่าลืมว่าเมื่อถึงฌานแล้วเวลาไม่นานก็พลัดจากฌาน คืออารมณ์ลดลงมาที่อารมณ์ปกติ ให้คิดว่าเราถึงฌานได้แล้วจะอยู่นานหรือไม่นานก็ช่าง เป็นอันว่าเราเข้าถึงธงชัยแล้วก็ดีถมไป วันนี้ฌานสลายตัววันหน้าเวลาหน้ายังมีอีก เมื่อเรายังไม่ตายเพียงใด เราก็เล่นเพลิดเพลินในฌานให้อารมณ์เป็นสุข เพื่อเพราะกำลังสมาธิไว้เป็นกำลังช่วยตัดกิเลสในโอกาสหน้าต่อไป

    ….เลอะเทอะมาเสียนาน ตอนนี้เข้าตอนฌานสี่กันเถอะ เมื่อจิตเข้าถึงฌานสี่หยาบตอนนั้นจะมีความรู้สึกว่า ลมหายใจหายไป ไม่รู้สึกว่าหายใจ แต่ที่จริงแล้วลมหายใจยังมีตามปกติแต่ทว่าจิตไม่รับทราบว่าร่างกายทำอะไร หายใจหรือไม่ จิตใจย่อมไม่รับรู้ตามท่านพูดว่าจิตกับประสาทแยกกันเด็ดขาด แต่ตอนฌานสี่หยาบนี้จิตแยกออกจากประสาทจริงแต่ยังไปไม่ไกลนัก ฉะนั้นเมื่อมีเสียงดังขนาดเครื่องขยายเสียงที่ดังมากๆ ตั้งอยู่ใกล้หูยังพอได้ยินแว่วๆ เหมือนอยู่ไกลกันมาก..

    …เมื่อจิตเข้าถึงฌานสี่ละเอียด ตอนนี้สบายมาก เพราะไม่รู้อะไรเลย (ไม่ใช่หลับ) ภายในกำลังของจิตเข็มแข็งมาก มีความสว่างโพลง แต่จิตไม่ยอมรับรู้เรื่องของประสาทเลย ไม่ว่าเสียงหรือการกระทบกาย จิตไม่ยอมรับทราบด้วยประการทั้งปวง อาการของฌานสี่ที่ละเอียดเป็นอย่างนี้…

    ….ที่นำอาการของฌานมากล่าวไว้ที่นี้ก็เพราะว่าการปฏิบัติในหมวดสุกขวิปัสสโก ก็ทรงฌานเหมือนหมวดอื่นเหมือนกัน เพื่อนักปฏิบัติจะได้ทราบอาการเอาไว้ เพราะมีผู้มาถามเรื่องอาการของฌานนี้นับรายไม่ถ้วน บางรายถามแล้วถามอีกถามบ่อยๆ ชักสงสัยว่าทำจริงหรือเปล่า เพราะผู้ทำจริงเขาไม่ถามบ่อย เมื่อถามแล้วเอาไปปฏิบัติได้แล้วรู้เรื่องก็ไม่มีเรื่องถามต่อไป…”.
    หนังสือวิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่ายๆ หน้า ๒๕ – ๓๐ โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี..

    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

    28576474_1405316169580122_4492645888807665664_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  16. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    คาถาสมเด็จพระมหากัสสปะเถระเจ้า

    หลวงพ่อบอกคาถาบทนี้ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๒๐ คาถาบทนี้ ท้าวเวสสุวัณให้มา ท่านบอกว่าให้สวดมนต์ไว้ทุกคืน ก่อนอื่นให้ระลักถึงบารมีของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ อันมีสมเด็จพระพุทธกัสสปทรงเป็นประธาน เพราะท่านเป็นเจ้าของคาถานี้

    พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ ศัตรูทั้งหลาย วินาศสันติ

    พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ โรคภัยทั้งหลาย วินาศสันติ

    ในบรรทัดที่ ๒ นี้รักษาโรค ท่านบอกว่าเสกน้ำให้กิน เสกอะไรให้กิน เสกข้าวให้กินก็ได้นะ แม้แต่ยาพิษมันก็สลายตัว อีกบทหนึ่งเป็นของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

    ฆะเตสิ ฆะเตสิ กิงกะระณัง ฆะเตสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ

    ทั้งสามบทนี้ท่านให้สวดพร้อมกันเลย เวลาฉันข้าวก็เสก กลางคืนก็ให้ภาวนาไว้นะ ภาวนาไว้สักครู่ เช้าเย็นอะไรนี่นะ ท่านบอกว่าศัตรูจะพินาศไปเอง สำหรับบทหลังศัตรูทำอะไรไม่ได้ จะทำอะไรแล้วเราจะต้องรู้อยู่เสมอ บทกลางนะทำลายโรค ได้ทำลายโรคนี่ดีใช่ไหม เสกข้าวนะ ข้าวที่เราจะฉัน เสกซะหมด และคนอื่นกินก็เป็นยาไปหมด ให้เป็นยาสำรับคนอื่นด้วยนะ ดีไหม ถ้าเห็นว่าดี ถ้าคุณจะให้รักษานี่นะ ถ้าจะใช้รักษาโรค คุณจะต้องหาดอกบัวมา ๓ ดอก ธูป ๕ ดอก เทียน ๑ เล่ม บูชาขอต่อพระพุทธรูป (ผมเข้าใจว่า ถ้าไม่นำสิ่งที่ให้นำมาผลกรรม โรค นั้นจะตกที่คนรักษา)

    ถ้าใครต้องการจะให้เรารักษา ต้องบังคับให้เขาเอาดอกบัวมา ๓ ดอกนะ ธูป ๕ เทียน ๑ เสกน้ำมนต์ เสกอะไร อะไรให้กินได้ นั่งทำก็ได้ นอนก็ได้ ภาวนาให้เป็นฌานเป็นฌานในกรรมฐานภายในตัวเสร็จ

    อย่าลืมนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกาะก็ได้ผลเท่ากันเป็นฌาน

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    28472101_1406703469441392_6761264167358824448_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  17. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    *** หลวงพ่ออยู่รอสงเคราะห์ลูกหลานญาติมิตร ***

    เมื่อประมาณปี พ.ศ.2512 ในวันหนึ่งหลังจากที่หลวงพ่อฉันอาหารเพลในแพริมแม่น้ำของวัดท่าซุงเสร็จ ก็ชวนข้าพเจ้าและผู้ติดตามเคลื่อนย้ายจากแพไปกุฏิ ระหว่างทางหลวงพ่อได้หยุดยืนใต้ร่มไทรต้นหนึ่งริมแม่น้ำ แล้วพูดบอกข้าพเจ้าว่า

    “ณ ที่แห่งนี้บริเวณนี้ต่อไปในอนาคตอันใกล้จะมีลูกหลานและญาติสนิทมิตรสหายของฉันในอดีต จะกี่ภพกี่ชาติมาแล้วก็ตามที่มาเกิดทันฉันในชาติปัจจุบัน จะพากันมาชุมนุม ณ ที่แห่งนี้เป็นหมื่นๆ แสนๆ คน”

    ข้าพเจ้าในขณะนั้น ได้ฟังหลวงพ่อพูดแล้วก็ให้นึกสงสารหลวงพ่อสุดหัวใจและรำพึงอยู่ในใจว่า “โถ! จะมีใครมาเป็นหมื่นเป็นแสนคน ทุกวันนี้ก็ดูเหมือนจะมีแต่ผู้คนในชุดของข้าพเจ้าเท่านั้นเอง”

    และข้าพเจ้าก็เชื่ออย่างเหลือเกินว่า หากผู้ใดเป็นข้าพเจ้าในขณะนั้นก็คงต้องคิดเช่นเดียวกับข้าพเจ้า เพราะรอบกายที่ยืนอยู่ไม่ว่าจะเหลียวไปทางด้านใด ก็เห็นแต่ความรกร้างว่างเปล่า และสิ่งปรักหักพังทั้งสิ้นถาวรวัตถุอันเป็นหลักของวัด อาทิเช่นโบสถ์,วิหารก็ชำรุดทรุดโทรมไปหมดไม่มีแม้แต่หลังคา ศาลา 1 หลังก็ตั้งอยู่บนเสาที่โย้เย้มีสภาพเอียงกระเท่เร่พร้อมที่จะล้มพังเมื่อไรก็ได้ ส่วนหอไตรเล็กๆ อีก 1 หลัง ก็มีแต่โครง ส่วนเมรุโบราณที่เผาศพด้วยฟืนนั่น ก็มีแต่คราบตระไคร่น้ำจับดำไปหมด คงมีแต่กุฏิเจ้าอาวาสเก่าๆ 1 หลัง กุฏิเล็กๆของหลวงพ่ออีก 1 หลังและแพริมฝั่งแม่น้ำเท่านั้นที่พอใช้การได้บ้าง ทั้งหมดที่กล่าวนี้ก็คือวัดท่าซุงในขณะนั้นจริงๆ ส่วนฝั่งวัดตรงข้ามถนนที่เป็นโบสถ์ใหม่ หรือศาลานวราชก็ดี,ศาลา 2 ไร่ 4 ไร่ หรืออาคารอื่นใดก็ดีหามีไม่ คงมีแต่ป่าไผ่ดงดิบตลอดแนว สรุปความว่าวัดท่าซุงในตอนที่หลวงพ่อพูดกับข้าพเจ้านั้น อยู่ในสภาพของวัดร้างจริงๆ

    หลวงพ่อเห็นอาการอันเงียบสงบและแววตาของข้าพเจ้า ก็คงจะทราบว่าในใจข้าพเจ้านึกคิดอย่างไร ท่านก็ได้เมตตาพูดต่อไปว่า

    “ฉันนั้นได้เคยปรารถนาพุทธภูมิไว้ แต่หากดำรงเจตนาเดิมก็จะต้องมาเกิดอีก 7 ชาติ จึงจะได้พบและอุปการะลูกหลาน, ญาติมิตรที่เคยเกี่ยวข้องผูกพันกับฉันมาแต่ในอดีตชาติได้ทั้งหมด ซึ่งนับเป็นภาระที่หนักมาก และฉันก็เบื่อหน่ายโลกมนุษย์นี้เต็มทน จึงได้ลาพุทธภูมิและได้เอาชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของฉัน ดังนั้นภาระในชาตินี้ของฉันจึงมีมากเพราะจะต้องอยู่ช่วยลูกหลาน ญาติมิตร ที่เคยเกิดร่วมภพร่วมชาติกับฉันมาในอดีตชาติ และมาเกิดทันฉันในชาตินี้ทั้งหมด ให้พ้นจากอบายภูมิด้วย หากผู้ใดมีบุญบารมีก็จะไปถึงพระนิพพาน หากผู้ใดบุญบารมียังน้อยก็จะพยายามให้สร้างบุญกุศลเพื่อไปพักในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไว้ก่อน เมื่อพระศรีอาริย์มาตรัสรู้ก็จะลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในสมัยของพระศรีอาริย์พอดี ด้วยวิธีนี้จะช่วยให้เขา เหล่านั้นพ้นจากอบายภูมิไปได้ แต่กุศลผลบุญหลักที่จะช่วยให้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็คือ การถวายสังฆทานและการสร้างวิหารทานนั่นเอง ดังนั้น ต่อไปในอนาคตที่นี่จะมีการก่อสร้างวิหารทานมาก บริเวณวัดท่าซุงในขณะนี้จะไม่พอ จะต้องขยายวัดไปทางดงไผ่ฝั่งตรงข้ามวัดท่าซุงด้วย”

    ในขณะนั้น แม้หลวงพ่อจะได้เมตตาบอกข้าพเจ้าโดยละเอียดแล้ว เช่นไรก็ตาม ข้าพเจ้าหาได้เข้าใจไม่ด้วยไร้ปัญญา คงคิดอยู่แต่ในใจว่าคนจะมาเป็นหมื่นเป็นแสนคนได้อย่างไร? และการก่อสร้างที่จะต้องขยายไปถึงดงไผ่ฝั่งตรงข้ามยิ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ใหญ่ เพราะเอาแต่บูรณะโบสถ์,วิหาร,ศาลา,หอไตร และกุฏิเดิมในวัดเก่า ที่มีอยู่ก็ใช้เงินมากมหาศาลอยู่แล้ว จะทำได้อย่างไร

    “แต่ท่านผู้อ่านทั้งหลายในปัจจุบันนี้ที่วัดท่าซุงก็เป็นไปตามที่หลวงพ่อบอกข้าพเจ้าไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2512 แล้วทุกประการ ในพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร และพิธีต่างๆผู้คนก็พากันไปเป็นหมื่นเป็นแสนจริงๆ และการก่อสร้างวิหารทานก็ได้กระทำกันเกินกว่าที่ข้าพเจ้าวาดภาพเอาไว้เสียอีก และดูเหมือนจะไม่มีการจบสิ้นด้วย

    ดังนั้น หากข้าพเจ้าจะคิดว่าหลวงพ่อระลึกชาติในกาลก่อนได้ (ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ)รู้ที่มาของคนและสัตว์ที่มาเกิดว่ามาจากที่ใด(จุตูปปาตญาณ)และรู้เหตุการณ์ต่อไปในอนาคตของคน,สัตว์,สิ่งของ และสถานที่ได้(อนาคตังสญาณ)ก็คงไม่มีผู้ใดว่าใช่ไหมครับ”

    —————————————————————
    จากเรื่อง : หลวงพ่ออยู่รอสงเคราะห์ลูกหลาน ญาติมิตร
    หนังสือ “สู่แสงธรรม” โดย พล.อ.ต.มนูญ ชมพูทีป

    28872534_1406986669413072_2017420141217710080_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  18. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    จากหนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน
    เด็กตายในครรภ์
    เอาเรื่องอัศจรรย์อีกนิดหนึ่ง
    เวลานี้คนมีครถ์ถ้าเด็กตายในท้อง เขาก็ผ่าท้องกัน แต่ว่าสมัยนั้นวิชาหมอของหลวงพ่อปาน มีดหมอมันก็ไม่คม ผ่าท้องมันก็ไม่เข้า เฉือนใครก็ไม่เข้า ตานี้ทำยังไง ถ้าหากว่ามีคนตั้งครรภ์ปรากฏว่าเด็กตายในท้อง ท่านทำยังไงทราบไหม ท่านก็เอาด้ายไจ ด้ายที่เป็นไจมาจับเป็นมงคลเล็กๆ แล้วก็ม้วนๆ เข้าผสมกับน้ำมนต์ เอาใส่ไปในปาก แล้วให้คนกินน้ำมนต์กลืนด้วยลงไป แม่ของเด็กน่ะ กลืนน้ำมนต์ลงไปแล้ว กลืนด้าย สักประเดี๋ยวเดียวปรากฏว่าเด็กจะคลอดออกมาจากครรภ์ แล้วเชือกมงคลนั้นจะคล้องคอเด็กออกมาด้วย
    นี่วิชาแบบนี้ท่านทำให้ปรากฏเป็นปกติ ถ้าปรากฏว่าตายในท้องละแบบนี้ทุกราย แล้วออกก็ไม่ยาก แม่ไม่มีอันตราย ไม่ต้องผ่ากัน เรียกว่าความรู้ในสมัยนั้นวิชาแพทย์ยังไม่รุ่งเรืองเหมือนสมัยนี้ ก็เลยต้องเล่นกันลุ่นๆ แบบนี้แหละ หมายความว่าเอามงคลเข้าไปสวมคอเด็กที่ตายในท้องให้มันออกมาไม่ต้องผ่า ผ่าก็ผ่าไม่ได้เพราะไม่มีความรู้จะผ่า เรื่องนี้เกิดได้จากวิธีการและอำนาจของสมาธิ

    28685895_1407261476052258_5014398052069277696_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  19. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    เป็นอันว่าทุกคนถ้าใครมุ่งพระนิพพาน อย่าท้อถอย ถ้าเผอิญเราไปนิพพานไม่ได้จริง ๆ ก็ไม่ต้องวิตกกังวล มันจะต้องค้างสวรรค์หรือพรหมโลก ถ้าบังเอิญคิดว่าเผื่อเหนียว เกรงว่ามันจะต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ตัดสินใจว่า กำลังทานของเรามหาศาล ขอยืนยันว่ากำลังทานของทุกคนน่ะมหาศาลมาก สังฆทานนี่หนักมาก พระพุทธเจ้าก็ชม ใครก็ชม ตั้งใจว่าถ้าหากจำเป็นต้องเกิดเมื่อไหร่ การอธิษฐานควรจะเป็น ๒ อย่าง มันมีสิทธิ์ทั้งสองอย่าง

    อย่างพระอนุรุธท่านอธิษฐานว่า “ถ้าเกิดเมื่อไรก็ตาม คำว่าไม่มีจงอย่าปรากฎแก่ข้าพเจ้า” เอาง่าย ๆ ต้องมีทุกอย่าง

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    28870104_1408214045957001_6194400605377658880_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  20. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    1f33a.png 1f33b.png วิธีหนีนรกให้ได้ทุก ๆชาติอย่างง่ายๆ สำหรับคนทั่วไป โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน 1f33b.png 1f33a.png

    1f33b.png 1f33a.png การที่จะหนีนรกให้ครบทุกชาติ ไม่ยอมตกนรกอีกเลย ไม่ว่าจะเกิดชาติไหนทั้งหมด และจะเกิดอีกกี่ชาติก็ตาม ไม่ยอมลงนรกแน่นอน ส่วนบาปเก่า ๆ ที่ทำมาแล้ว ก็ไม่มีอำนาจที่จะดึงลงนรกได้อีก ต้องเพิ่ม ศีล ๕ และกรรมบท ๑๐ ให้ครบถ้วนในอารมณ์ใจ และปฏิบัติได้ครบบริบูรณ์

    1f33a.png 1f33b.png วิธีปฏิบัติศีล ๕ และกรรมบท ๑๐ แบบง่าย ๆ 1f33b.png 1f33a.png

    1f33b.png 1f33a.png ท่านที่มีอาชีพหนักมีเวลาน้อย จะไปนั่งรักษาศีลและกรรมบท ที่วัดที่ว่า หรือไปจำศีลภาวนานาน ๆ ที่ไหนนั้นไม่ได้แน่ เพราะท้องมันหิว ต้องหากินเป็นประจำวัน ให้ทำอย่างนี้คือตั้งใจว่า ”

    1f339.png เราจะรักษาศีลและประพฤติกรรมบท ๑๐ ให้ครบถ้วนบริบูรณ์วันละ ๑ หรือ ๒ หรือ ๓ ชั่วโมงจะเอาเวลาเท่าไหร่ เมื่อไร จัดเวลาเอาเอง แล้วก็ตั้งใจรักษาตามเวลานั้นให้เคร่งครัด ทำอย่างนี้ไม่เกิน ๓ เดือน อารมณ์จิตจะชิน จะรักษาศีล ๕ ประพฤติในกรรมบท ๑๐ ได้ครบถ้วน ตลอดเวลา 1f339.png

    1f339.png 1f33b.png อย่างนี้มีผลไม่ลงนรกทุกชาติ จนกว่าจะเข้าพระนิพพาน 1f33b.png 1f339.png

    1f339.png มีหลายท่านมาบอกว่า การรักษาศีลหรือกรรมบท ๑๐ นั้นอยากทำแต่โอกาสไม่มี เพราะทำนาทำไรต้องใช้ยาฆ่าแมลง

    1f339.png อย่างนี้ก็เห็นใจ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ปฏิบัติตามทุกอย่างที่กล่าวมาแล้วในอนุสสติให้ครบถ้วน เวลาที่ไม่ฉีดยาฆ่าแมลง ก็ขอให้ทรงศีล ๕ กรรมบท ๑๐
    ให้ครบเป็นประจำ วันใดที่มีความจำเป็นต้องฆ่าแมลงก็ต้องทำ เพราะไม่ทำท้องมันหิว ทางอื่นก็ไม่มีทางเลือก
    แต่เมื่อไปฉีดยากลับมาแล้วรีบสมาทานศีลทันที

    1f339.png คำว่าทันทีก็คือ รอให้หายเหนื่อยสบายใจเสียก่อน แล้วบูชาพระ ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลที่เราทำประจำวันให้แก่แมลงที่ต้องตายเพราะยาฉีด และกล่าวคำขออโหสิกรรมแก่แมลงทั้งหลายที่ต้องตายนั้น ขอให้อดโทษแก่ตนจนกว่าจะเข้าถึงพระนิพพาน

    1f339.png เมื่อทำบุญอะไรก็ตาม หรือบูชาพระ ทำกรรมฐานเสร้จ ให้อุทิศให้เธอทุกครั้งที่ทำบุญ และขอให้แมลงเหล่านั้นอดโทษให้ ทำอย่างนี้เป็นประจำกำลังใจจะเบา คิดไว้เสมอว่า เธออภัยให้เราแล้วจิตจะเป็นสุข

    1f339.png เมื่อถึงวาระที่จะตาย ใจจะไม่มีอกุศลรบกวน
    อำนาจพระพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ
    ผลของศีล และกรรมบท และผลของทาน จะเข้าครอบงำจิตท่านก่อนตาย เพราะผลของความดีที่ท่านทำทุกวัน จะกีดกันอารมณ์ที่เป็นบาปให้ห่างออกไป
    เมื่อตายจะไม่พบนรกแน่นอน

    1f339.png ถ้ามีอารมณ์หวังเพื่อพระนิพพานเป็นปกติประจำวัน
    เมื่อพบพระศรีอาริยเมตไตรตรัสเมื่อไร เราเป็นเทวดาหรือพรหม ได้ฟังเทศน์จบเดียว อย่างนี้ก็เป็นพระโสดาบันตัดกำลังบาปได้หมดแล้ว

    1f339.png แต่ทว่า คนที่มีอนุสสติและทานเป็นประจำ มีศีล(๕) และกรรมบท(๑๐) เป็นปกติ พร่องบ้างตามความจำเป็น
    อย่างนี้ตามที่ปรากฎมาในพระสูตร เมื่อไปเป็นเทวดาหรือพรหม ฟังเทศน์จากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจบเดียวเป็นพระอรหันต์ไปนิพพานกันหมด 1f339.png 1f33b.png

    1f33b.png 1f33a.png เรื่องการหนีบาปขอจบชั่วคราวเพียงเท่านี้ 1f33a.png 1f33b.png




    1f337.png หลวงพ่อพระราชพรหมยาน 1f337.png
    1f339.png วัดจันทาราม(ท่าซุง)อุทัยธานี 1f339.png
    ⚛⚛⚛⚛⚛⚛⚛⚛⚛⚛⚛⚛
    1f337.png กราบขอบพระคุณที่มาจาก หนังสือหนีนรก หน้า ๙๘ – ๑๐๐.,โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (ท่าซุง ) ต.น้ำซึม อ เมือง จ.อุทัยธานี
    1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png 1f333.png

    28795961_1408241262620946_6510588671710724096_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...