จิตที่มีกิเลสทำงานโดยอัตโนมัติ ต้องแก้ด้วย จิตที่เกิดสติปัญญาอัตโนมัติ ถึงจะทันกัน ใช่หรือไม่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เตรียมตัว, 7 มิถุนายน 2018.

  1. เตรียมตัว

    เตรียมตัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +156
    เชิญผู้รู้ ผู้ใผ่รู้ ผู้กำลังเรียนรู้ แสดงความคิดเห็นได้ตามอัธยาศัยครับ





    พุทโธสะเทือนสามแดนโลกธาตุ
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ปัญญาอัตโนมัติ เป็นของพระอริยเจ้า ครับ

    คุณยังไม่บรรลุ อริยเจ้า แล้วจะแก้ได้อย่างไร

    คำถามก็รู้สึกว่าผิดละ

    ใครบ้างที่มีจิตกิเลสทำงานโดยอัตโนมัติ ช่วย บอกทีครับ
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ไม่ผิดหรอกอะไรครับ
    อย่าไปยึดที่ข้อความ
    ยึดหลักการอะไรมากมาย
    ให้ดูกิริยาที่ จขกท สื่อครับ

    คำว่าอัตโนมัติในที่นี้
    ก็คือกำลังสติและปัญญา
    ของเราตามไม่ทันนั่นเองครับ
    มันเป็นธรรมชาติของปถุชนอยู่แล้ว
    ที่จะวนเวียนใน โลภะ โมหะ โทสะ
    ที่จะไปดึงเอา ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    อย่างใดอย่างหนึ่งมาปรุง
    กลายเป็นกิเลสครับ
    เป็นปกติ ไอ้ ๓ ตัวนี้(โทสะ โมหะ โลภะ)
    มันมีอยู่ในจิตเรา
    ตั้งแต่เราจะมีร่างกายแล้ว
    ครับ มันไม่ใช่กิเลสนะครับ
    ยกเว้นว่ามันจะต้องส่งออกไปดึง
    อะไรเข้ามาก่อนครับ


    เช่น เวลาทานอาหาร มีใครดับ
    ความอยากก่อนทานไหมครับ
    เวลาเคี้ยวมีใครไม่ปรุงแต่ง
    ว่ามันอร่อยไหมครับ
    เวลาเดินไปไหนมีใคร
    รู้เท่าทันการเคลื่อนไหว
    ของร่างกายตัวเองตลอดไหม
    เข่น ไปเข้าห้องน้ำ ซื้อกับข้าว
    ไปขึ้นรถ ไปหาเพื่อนที่ทำงาน ฯลฯ
    นี่ครับ พวกนี้คือเราไม่ทันมัน
    คำว่าอัตโนมัติของกิเลสมัน
    ทำงานอย่างนี้ครับ อย่าไปดูไปแต่ตัว
    ใหญ่ๆ เช่น อยากได้ รถ ได้บ้าน ซื้อโทรศัพท์
    ซื้อโน้นนี่นั่น พวกนี้มันหยาบๆเห็นง่ายแก้ง่ายครับ

    ดังนั้น การเจริญสติในขีวิตประจำวันหรือวิธีการใดๆนั้น มันทำให้เราพอที่จะ รู้เท่าทัน
    และคอยควบคุมพฤติกรรมความคิดและ
    พฤติกรรมของจิต
    เราเองไม่ให้ปรุงไปตามมันได้ก่อน
    จนกระทั่งเจริญสติจนจิตแยกรูปแยกนามได้
    กำลังสติตรงนี้ ก็จะเป็นตัวที่คอบควบคุม
    ให้จิตเค้าว่างรับรู้ในสภาวะที่เป็นกลาง
    เพื่อให้เราค่อยๆคลายความคิด ละความคิด
    ละพฤติกรรมของจิต จากความคิด และ
    ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม(หรือความคิดผุด)
    ให้ได้ก่อน จนจิตว่างรับรู้
    ก็จะเกิดเป็นปัญญาทางธรรมขึ้นมาได้ครับ


    ก็จะทำให้เรารู้ทันได้เร็วและตัดได้เร็วขึ้น
    บางครั้งอาจจะเร็งกว่าวินาที

    ถ้าเราสังเกตเห็นระยะเวลาที่มันตัดได้ภายใน
    วินาทีตรงนี้บ่อยๆ กำลังสติเราจะกลายเป็นมหาสติได้เอง และมันจะค้นตามเจ้าใจทุกเรื่องที่จรมา.

    และถ้าเราสังเกตุได้เพิ่มอีกว่า
    เรื่องนั้นมันเกิดเพราะอะไร
    มันเกิดเวลาไหน มันดับตอนไหน
    และมันดับเพราะอะไร
    มันก็จะมีพัฒนาการไป
    รู้และเข้าใจ กระบวนการเกิดเหล่านั้น
    ว่าแท้จริงแล้ว มันเป็นแค่กระบวนการปรุงแต่งอย่างหนึ่งของจิตปกติได้เอง

    และมันจะเข้าใจเหตุที่เกิดดับได้เอง
    (ไม่ใช่ไปเห็นการเกิดดับความคิด
    หรือไปเห็นกระบวนการที่เกิดไปแล้ว
    ตรงนี้มันไม่รู้อะไรหรอกครับ เพราะมันแค่ตามดูรู้ทันสิ่งที่เกิดไปแล้ว
    รู้ได้ตามสัญญาเท่านั้น หรือทันตาม
    กำลังสติเท่านั้นครับ)

    ถ้าทำได้ และเข้าใจ
    เรื่องใดๆก็ตามที่เคยระลึก นึกขึ้นได้
    เคยตัดได้เร็วในเสี้ยววินาที
    ตากการเดินปัญญาได้ จนมีปัญญาทางธรรม
    มันถึงจะไม่ผุด ไม่เวียนมา
    เป็นเหตุให้จิตเราเกิดได้อีก
    (ระลึก นึกขึ้น คิด ปรุงได้)ครับ

    ดังนั้นควรค่อยๆเป็นค่อยไป
    มันมีลำดับขั้นตอนของมันอยู่

    การจะมีสติทางธรรมหรือมีปัญญาทางธรรม
    จึงมีความจำเป็นในเบื้องต้นก่อน
    แม้จะเป็นระดับทีเป็นอัตโนมัติได้
    แต่มันก็ยังไม่ใช่ที่สุดครับ

    จนกว่าจะรอบรู้ในเหตุแห่งการเกิดและดับ
    (ไม่ใช่เห็นมันเกิดดับอย่างเดียว หรือรู้ว่ามันเกิดแล้วเป็นอย่างไร)
    ของเรื่องนั้นๆจนจิตมันไม่เอาเรื่องนั่นๆเลย
    นั่นหละครับ. และเมื่อไม่เอาเรื่องนี้
    เด่วมันก็มีเรื่องอื่นๆจรมาเรื่อยๆนั่นหละครับ

    เพราะฉะนั้นอย่าพึ่งยึดในหลักการตนเอง
    หากว่า เรื่องที่ท่านเคยวางไปแล้ว
    ท่านยังสามารถ ระลึก นึกขึ้น คิดได้อยู่
    แสดงว่าจิตมันยังไม่ตัดหรือทิ้งเรื่องนั้นๆ
    ได้จริงๆครับ.

    ปล. ค่อยๆเป็นค่อยๆไป
    ตามเหตุและปัจจัยแห่งตน
    อย่าไปยึดในระหว่างทาง
    ไม่ว่าหลักการ เทคนิค วิธีการใดๆ
    ระหว่างทาง มันจะทำให้เราไปได้ช้า
    เข้าถึงผลได้ช้า อย่างคาดไม่ถึงครับ

    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง
     
  4. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    เห็นด้วยครับ
    เราฝึกสติและปัญญาก็เพื่อให้ทันกับ
    การทำงานของกิเลสทุกตัว

    พอถอดถอนกิเลสได้หมด
    สติปัญญาก็หมดหน้าที่
    จบกิจในศาสนานี้

    ชีวิตที่เหลือก็ใช้ชีวิตเหมือนคน
    ปกติทั่วไป กิน ถ่าย นอน รอวันทิ้งขันธ์
     
  5. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,293
    ค่าพลัง:
    +12,622
    คำว่าอัตโนมัติ คือความว่องไวของสติที่ฝึกจนเชี่ยวชาญในการเข้าถึงปัญญาญาณ
    ส่วนการละกิเลสทำได้ตั้งแต่เบื้องต้น
    คือเรียนรู้ว่าสิ่งใดคือกิเลส หรือสิ่งที่
    จะทำให้ใจเศร้าหมอง ก็ยุติมันเสีย
    แต่ต้นมือไม่รับเข้ามาสร้างเสริมเติม
    ต่อเป็นอารมย์เนื่องไปเพราะไม่มีคุณ
    ต่อจิตต่อใจเรา มีแต่โทษ เรียกว่าการละ
    กิเลสแบบแมนวล
     
  6. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,264
    ค่าพลัง:
    +5,219
    จิตที่มีกิเลสทำงานโดยอัตโนมัติ ต้องแก้ด้วย จิตที่เกิดสติปัญญาอัตโนมัติ ถึงจะทันกัน ใช่หรือไม่

    ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ จิตเหนื่อยตายเลย อีกอย่าง ใช่ว่าปัญญามันจะมีกันทุกคน
    ต้องเอาปัญญามาแก้กิเลศทุกครั้งที่กิเลศทำงาน เหนื่อยตาย
    คนไม่มีปัญญาก็อาจจะเครียดตายได้เหมือนกัน เพราะไม่มีปัญญาจะเอามาแก้ (555+)

    คนพูดว่าใช้ปัญญาแก้น่ะพูดได้ แต่คนที่ไม่มีปัญญาเขาไม่รู้หรอกว่า ปัญญาคืออะไร (ประสพการณ์ตรงของตัวเอง.. ผมเป็นคนมีปัญญาน้อย)


    อีกอย่าง กิเลศทำงานอัตโนมัติมันมีด้วยเหรอครับ เพราะส่วนใหญ่มันมีสาเหตุที่ทำให้เกิดกิเลศทั้งหมดเลย เพียงแค่เรารู้ไม่เท่าทันมันตลอดกระบวนการเท่านั้น
    อันนี้ผมไม่รู้จริง ๆ นะ กรุณายกตัวอย่างด้วยครับ

    เรื่องปัญญาอัตโนมัติส่วนตัวเชื่อว่า
    ถ้าอะไรทำงานอัตโนมัติ มันเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ตัวว่ามันเกิดขึ้นครับ สิ่งที่ไม่รู้ตัวย่อมไม่ได้ทำให้เราเกิดปัญญาและไม่น่าจะใช่ปัญญาด้วย
    ซึ่งน่าจะผิดหลักการกับการปฏิบัติในทางศาสนาพุทธนะ เพราะการปฏิบัติในศาสนาพุทธเท่าที่ผมสัมผัสมาและได้สัมผัสมาแล้ว คือมีแต่การฝึกตัวเองให้รู้เท่าทันให้มากที่สุดครับ

    และผมไม่เชื่อหรอกว่ามันมีกิเลศทำงานอัตโนมัติด้วย มันมีแต่กิเลสที่เรารู้ไม่เท่าทันถึงสาเหตุของมัน และไม่รู้วิธีแก้ไข
    คือ เวลาโกรธ เราก็รู้ว่าเราโกรธเพราะอย่างนั้น ๆ ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ ก็โกรธ
    เวลาเศร้า เรารู้ว่าเศร้าเพราะอย่างนั้น ๆ ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็เศร้า
    แต่ตอนที่ยังเป็นปถถุชนผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม มันหาทางออกให้กับชีวิตไม่ได้เลย
    ตอนนี้หลังจากเป็นปุถุชนผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว ก็ ได้กลายมาเป็นปุถุชนผู้ไม่ได้ปฏิบัติธรรมอีกครั้งครับ แต่สติดีกว่าเดิม นิดหน่อย

    เมื่อผ่านการปฏิบัติมาบ้าง ผมจึงไม่เชื่อสักเท่าไรมีปัญญาอัตโนมัติด้วย มีแต่ปัญญาที่รู้เท่าทันแล้ว คล่องแล้ว ที่ใช้สติสัมปชัญญะในการลั่นไก (ที่ผมพอจะสัมผัสได้) ส่วนปัญญาที่อยู่สูงกว่านี้ผมยังเข้าไม่ถึงครับ

    ไอ้กิเลสอัตโนมัตินี่ผมว่ายังหาง่ายกว่าปัญญาอัตโนมัติอีกนะ คือถ้าโกรธแบบไม่รู้ โมโหแบบไม่รู้ นี่พอจะเรียกกิเลสอัตโนมัติได้อยู่ แต่ปัญญาอัตโนมัตนี่ ผมว่าไม่น่าจะมีเลย เพราะตอนนี้ที่ผมระงับอารมณ์บางอารมณ์ทันได้ก็เพราะการสีสติรู้เท่าทันล้วน ๆ ครับ
    เช่นเราเดินผ่านเด็ก เด็กเรียนเราว่าไอ้อ้วน เราจะโกรธ เราก็ระงับความโกรธไว้เสีย ด้วยการทำใจว่ามันเด็กมันไม่รู้ เป็นธรรมดาของเด็กมัน
    จะเป็นในลักษณะนี้แหละครับ จนการระงับอารมณ์บางตัวเกิดความคล่อง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมก็ไม่ได้คิดว่ามันอัตโนมัติเลย แม้จะคล่องแล้วก็ตาม เพราะการระงับอารมณ์ได้ทุก ๆ ครั้งมันต้องใช้สติตลอด เพียงแต่ความช้าเร็วในการระงับอารมณ์มันต่างกันเท่านั้น

    ผิดถูกอย่างไร วานท่านผู้รู้ ชี้แนะด้วยครับ
    (ช่วงนี้ผมไม่ได้ปฏิบัติธรรมแล้วครับ เพราะผมถอยออกมาศึกษาความรู้ทางโลก มากกว่า เพราะความเข้าใจที่ถูกต้องในศาสนาพุทธยังไม่ค่อยจะมีเท่าไร เลยอาศัย ษึกษาธรรมดาทั้งหลายให้เข้าใจเฉพาะตน ค่อยศึกษาพระธรรมเอาดีกว่า สำหรับผมมันทำให้ผมเข้าใจพระธรรมได้ง่ายกว่า แม้จะเสียเวลากว่าท่านทั้งหลายอยู่บ้างก็เถอะครับ)



    ยังไงก็ตาม นี่เป็นแค่ความคิดที่ยังไม่รู้จริงของผมเท่านั้นนะ เพราะไอ้กระผมก็ไม่ได้เป็นนักปฏิบัติอะไรครับ ต้องขออภัยในความโง่ของตนด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มิถุนายน 2018
  7. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ปกติไม่อัตโนมัติครับ แต่ถ้าท่านรู้สึกว่ามันอัตโนมัติ ไม่เคยทันตัวนั้นเลย
    ก็คงเป็นจุดอ่อนที่แสดงออกมา ที่ต้องรีบแก้ หรืออาจเป็นเครื่องกั้น
    ผมเจอตอนช่วงดูจิต ตัวผมจะมีความคิดปรามาศออกมาเรื่อยๆ ไม่เคยทัน
    ผมใช้วิธี เวลาเกิด ก็ขอขมา แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อไม่ให้จิตตก
    แล้วใช้ สติ คอยสังเกตว่าเกิดช่วงไหนบ้าง จับได้ 3 ช่วง
    รื่นเริงเกิน เปลี่ยนอริยาบท ช่วงดึกมากๆที่สติหมด

    รื่นเริงเกิน ผมก็พยายามปรับให้กลางๆ
    เปลี่ยนอริยาบท ผมก็พยายามบอกตัวเองว่าเปลี่ยน
    ช่วงดึกมากๆ ผมก็ จับลมหายใจไปด้วย

    ผมค่อยๆดู ค่อยแก้ไปทีละนิด

    แล้วผมมานึกได้ว่า ผมไม่ค่อยชอบสวดมนต์ ก็ลองเพิ่มสวดมนต์บทสั้นๆในชีวิตประจำวัน
    คาถา จักรพรรดิ์ คาถา เงินล้าน
    ก็ทำให้ปัญหาน้อยลงมาก แต่ถ้าหลุดไม่มีสติ ก็โดนประจำ
    แยกได้เป็น ใช้ 1 วิธีแก้ไขเฉพาะหน้า 2 สติ 3ปัญญา 4 วิธีแก้ไขระยะยาว 5 เพิ่มแบบการปฎิบัติ
     
  8. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    คำว่าอัตโนมัติตามความเข้าใจผม
    กิเลสมันทำงานโดยตัวของมันเอง
    ไม่ต้องมีใครมาสั่ง

    เช่นเกิดความโกรธขึ้นมา
    มันก็ทำงานเองเจ้าของไม่ได้สั่ง

    พอมีอารมณ์มากระทบผัสสะ
    ความโกรธก็ขยับตัวโดยอัตโนมัติ

    กิเลสก็มีหลายตัว
    กิเลสอย่างหยาบ กลาง ละเอียด
    ทุกตัวมันทำงานได้เองไม่ต้องมีใครสั่ง
    และทำงานเป็นทีม

    กิเลสมันทำงานทุกขณะจิต
    การที่จะเห็นการทำงานของกิเลสทุกตัว
    ต้องมีสติที่ละเอียดมากพอจึงจะเห็นการทำงานของกิเลส

    ส่วนปัญญาใช้ในการถอดถอนกิเลสทุกตัว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2018
  9. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ถ้ามาเป็นแผง หลายตัวก็ไม่ไหวเหมือนกัน ต้องทวนความรู้ใหม่
    ช่วงเริ่ม ผมอ่าน พุทธสุภาษิต มงคลชีวิต เรียนรู้กรรมแบบต่างๆ
    แล้วลดการทำกรรมที่หนักก่อน
    แล้วเรียนรู้สติปัฏฐาน 4 หมวดกาย
    ค่อยๆเริ่มสร้าง สัญญาใหม่ ในส่วน หิริ โอตัปปะ

    แต่ในกรณี มีความรู้มากแล้ว แต่ไม่ทัน ก็ต้องฝึกสติเพิ่มขึ้น เพื่อให้ทันว่าเกิดอะไรขึ้น

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔
    อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
    สีติวรรคที่ ๔
    ๑. สีติสูตร
    [๓๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ
    ย่อมเป็นผู้ไม่ควรเพื่อทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้เย็นอย่างยิ่ง ธรรม ๖ ประการเป็น
    ไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมไม่ข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม ๑ ไม่ประคอง
    จิตในสมัยที่ควรประคอง ๑ ไม่ยังจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรให้ร่าเริง ๑ ไม่วาง
    เฉยจิตในสมัยที่ควรวางเฉย ๑ เป็นผู้น้อมไปในธรรมเลว ๑ และเป็นผู้ยินดียิ่ง
    ในสักกายะ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการนี้แล
    ย่อมเป็นผู้ไม่ควรเพื่อทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้เย็นอย่างยิ่ง
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นผู้
    ควรเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้เย็นอย่างยิ่ง ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน คือ
    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม ๑ ย่อมประคองจิตในสมัยที่ควร
    ประคอง ๑ ย่อมยังจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรให้ร่าเริง ๑ ย่อมวางเฉยจิตในสมัยที่
    ควรวางเฉย ๑ เป็นผู้น้อมไปในธรรมประณีต ๑ และเป็นผู้ยินดียิ่งในนิพพาน ดูกร
    ภิกษุทั้งหลายภิกษุประกอบด้วยธรรม ๖ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้ควรกระทำให้
    แจ้งซึ่งความเป็นผู้เย็นอย่างยิ่ง ฯ
    จบสูตรที่ ๑
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    แรกเริ่ม การที่ คนธรรมดาๆ เกิดมา จะมาเตรียมตัว เหาะ

    ก็ต้องอาศัย การสดับ ปฏิปทาว่าด้วยการ " รู้เท่า เอาทัน " ตับ ตับ ตับ

    แต่พอ หมั่นสดับธรรมจนเข้าไปเห็น "รู้เท่า เอาทัน" มันจะเริ่มเกิด กำหนัด

    พอนักภาวนา เริ่มมาปรารภด้วยอาการ เข้าไปส่วนสุด หรือ เข้าไปบัญญัติ(สูตรลับ)
    เราก็จะ แก้จิตนั้น ด้วยการบอกว่า เฮ้ย ไม่ใช่ คนละเรื่องกับ "รู้เท่า เอาทัน"
    ให้ออกมาอยู่นอกๆ นี่ อย่า รู้เท่าเอาทัน แช่อยู่ในนั้น อย่างนั้น จะแตก เอาได้

    ดังนั้น

    นักปฏิบัติต้อง ทำใจร่มๆ ไม่รีีบร้อนไปเอา ของดี อะไรต่อมิอะไร ที่เข้าไปบัญญัติ
    มาอวด มาปรารภ ตกข้าง ช้างตกมัน ฉุดไม่อยู่ ดื้อ ด้าน(ชาชิน

    นะ

    พิจารณาดีๆ ทำไม เดี๋ยวตีซ้าย เดี๋ยวพาย้ายขวา เดี๋ยวพาขึ้น ขึ้น ลง ลง บี เอ

    เพราะมันมี ขั้น select start ที่เป็นเรื่องของ ธาตุ บางอย่าง ที่ไม่ใช่การ
    ตบแต่งขันธ์(ส่วนที่รู้เท่า เอาทัน)

    ธาตุ ที่พ้นการเข้าไปตั้งของ รูป มหาภูตรูป ..... ธรรมชาตินั้น จิต จะหมดเหตุในการ
    เวียนขึ้นวิถีกำเหนิด4

    การปฏิบัติธรรม แรกๆจะบอกว่าให้ รู้เท่า เอาทัน แต่พอชำนาญ จะบอกว่า ไม่ใช่
    เพื่อให้ เบรค แล้ว หยุดตรง กลาง หันมาเห็น หญ้าปากคอก ที่เดินผ่านไปผ่านมา สส

    แล้วเน้น การแจ้งใน ธรรมชาติ ที่พ้นการปรุง ทุกชนิด พ้นไปจาก สมถะ และ วิปัสสนา
    จนเห็นได้ชัดๆว่า กิจใดเพื่อการเป็นอย่างนี้ ไม่มีทางอื่น ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มี
    การรู้เท่า เอาทัน จนชัดในการ หมดกิจ
     
  11. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    จิตที่มีกิเลสทำงานโดยอัตโนมัติ ต้องแก้ด้วย
    จิตที่เกิดสติปัญญาอัตโนมัติ ถึงจะทันกัน ใช่หรือไม่

    คหสต. ครับ
    จิตกับกิเลศ เป็นคนละส่วนกัน
    จิตทำงานอัตโนมัติได้ทั้งมีกิเลศและไม่มีกิเลศครับ
    เมื่อกิเลศไม่เกี่ยวข้องกับจิตจิตก้ยังคงทำงานตามอัตโนมัติเช่นเดิมครับ มีรับรู้ทางอายตนะ เกิดวิญญานขึ้นรับรู้ เกิดเวทนาทุขสุขเฉย เกิดสัญญาจำได้หมายรู้ เกิดสังขารความคิดได้
    แต่ไม่ได้ข้องเกี่ยวด้วยกิเลศ คือไม่มี กิเลศ ตันหา อุปทาน เกิดขึ้น
    จิตที่มีกิเลศทำงานอัตโนมัติตรงนี้น่าจะหมายถึงจิตที่ข้องแวะด้วยกิเลศใช่ไหมครับ
    จิตที่ข้องแวะด้วยกิเลศแก้ด้วยปัญญา เมื่อเกิดปัญญารู้เห็นก้จะรู้ว่ากิเลศกับจิตไม่ใช่สิ่งเดียวกันจิตจึงทำงานอัตโนมัติต่อไปส่วนกิเลศไม่ข้องแวะกับจิตครับ
    ตอบแค่ตามความรู้ที่มีครับผิดพลาดประการใดขออภัย
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ใน สัทธรรมของ พระผู้มีพระภาค จะ ตรัสถึง " วิญญาณาหาร "

    ซึ่งเป็น สภาพธรรม "จิต เป็นเหตุของการเวียนเกิดให้กับ จิต"

    จิตที่เวียนเกิด อุบัติขึ้น ด้วยตัวมันเอง ก็เพราะว่า มันมี ..........

    จะไม่ใช้คำว่า กิเลส แล้วให้ยกขึ้นกำหนดรู้ อวิชชาสวะ

    ปัญญาก็ไม่ใช้ เพราะ ไม่เพียงพอ ....แล้วใช้อะไร ....ไม่ได้ยาก แค่ สดับธรรม
    ให้มีสัทธา พอแก่การมี การใส่ใจ เพ่งพิสูจน์ธรรมที่ควรแก่การเพ่ง เกิดปิติ
    เกิดปราโมทย์ เกิดความตั้งมั่น ถอยกำลังปัญญาลงอย่าให้ ฝุ้งซ่าน
    แล้ว น้อมจิตไปใน.............."โยนิโสมนสิการ"

    หากพอดี ปัญญาดับลง สมถะดับลง ปราศจากการกดข่ม .....ณ จุดๆนั้น ไม่มี
    สิ่งไรๆ ที่จะต้องไป รู้เท่า เอาทันอีก เพราะ สุดขอบของขันธ์5ที่จะปรากฏ

    เห็นได้แค่นี้ แค่ชั่วเวลาช้างกระดิกหู งูแล๊บลิ้น ก็พอปรารภได้ว่า รู้กิจในอริยสัจจ

    ญาณการไปรู้อริยสัจจ ก็ดับด้วย ไม่มีค้างเติ่ง มีฐานที่ตั้ง ไม่มีการแบกปัญญา
    ขันธ์ แบก"วิชา"เข้าไปในส่วนที่ "พ้น" หรือนำขึ้นฝั่งไปด้วย

    สติ ต้องไวแค่ไหน ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย ในการ แยบคายในการกำหนดรู้
    ของผู้มีปัญญาดี(อธิปัญญา ปัญญาอันยิ่ง สิ่งที่ยิ่งกว่าปัญญา)
    ไม่ใช่ปัญญาทราม(ปัญญาทำงานไม่เลิก)

    สติ ของ พระโพธิสัตว์ ไวกว่า บุคคลที่ภาวนาเพื่อความเป็น พระปัจเจก นับประมาณไม่ได้

    สติ ของบุคคลที่ภาวนาเพื่อความเป็น พระปัจเจก ไวกว่า อัครสาวก เอทัคคะ นับประมาณไม่ได้

    สติ ของอัครสาวก เอทัคคะ ไวกว่า สาวกทั่วๆไป นับประมาณไม่ได้

    สติ ของสาวก ทั่วไป ไวแบบ พอเพียง แก่ ชีวตา ณ ปัจจุบันแค่ 2 - 3 ขณะจิตก็บรรลุ

    ความไวของสติ รู้เท่า เอาทัน จึงไม่เกี่ยวอะไรกับ มรรคผล เพราะ กิเลส วิญญาณาหาร
    นั้นไวอย่างไม่มีขอบเขต สติ มีเท่าไหร่ ก็ไม่เคยพอ ( เพราะ ตัวมันเองเป็น สสังขาร หรือ ขันธ์5)
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ "กิเลส" ในคำถามนี้ คือ อะไร มันเกิดขึ้นเองแบบ "อัตโนมัติ" หรือไม่ แล้ว "รู้จัก" มันหรือเปล่า ก่อนที่จะไปยัง "สติปัญญาอัตโนมัติ" หนะ

    +++ หาก "กิเลส" ยังโดนจำกัดที่ "โลภ โกรธ หลง ราคะ โทสะ โมหะ" แล้วละก็ "กิเลส จัดเป็น กองธัมมารมณ์ ใน ธัมมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน"

    +++ หากผู้ที่ยังฝึก "ไม่ถึง" ธัมมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน แล้ว โอกาส ที่จะมี "สติปัญญาอัตโนมัติ" ย่อมเป็นไปไม่ได้


    +++ ดังนั้น "กิเลส" ตรงนี้ จึงกลายเป็น "กิเลสทำงานโดยอัตโนมัติ" เพราะ จิต ยังไม่รู้จัก กิเลส ได้เลย


    +++ หาก "กิเลส" คือ ความหมายของ "สัพสิ่ง ที่ บดบังจิต" (รูป+นาม) ล่ะ

    +++ ตรงนี้ หาก "สติยังไม่บริสุทธิ์" ก็จะไม่มีวัน "รู้จักกิเลส" ได้อีกตามเคย เช่นกัน


    +++ ก็เช่นเคย "กิเลส" ตรงนี้ จึงยังเป็น "กิเลสทำงานโดยอัตโนมัติ" เพราะ จิต ยังไม่รู้จัก กิเลส ได้ตามเดิม


    +++ กามาวจรภูมิ คือ "สัตว์เสพ ธัมมารมณ์ ไปกับสิ่งภายนอก ทั้งหมด" เรียกง่าย ๆ ว่า "จิตส่งออก" นั่นแหละ

    +++ คำถาม คือ "แล้ว จิตมันส่งออก โดยอัตโนมัติ หรือไม่" ถ้าหาก "ใช่" ก็นั่นแหละ คือ "กิเลสทำงานโดยอัตโนมัติ"


    +++ ดังนั้น "คำถามจาก จขกท" จึงเป็น คำถามที่ ถูกต้องแล้วว่า "กิเลสทำงานโดยอัตโนมัติ"

    +++ ดังนั้น ผู้ที่ถามว่า "ใครบ้างที่มีจิตกิเลสทำงานโดยอัตโนมัติ ช่วย บอกทีครับ"

    +++ ก็ตอบมันไปได้เลยว่า "ก็เอ็งนั่นแหละ" แม้แต่ "กิเลส มันก็ยังไม่รู้จัก"

    +++ แต่ชอบ "เสือกโพสท์ สอนคนอื่น จนดองสันดานปัญญาอ่อน ๆ ของมัน"


    +++ ในส่วนของ "สติปัญญาอัตโนมัติ" นั้นขึ้นอยู่กับว่า ผู้นั้นสามารถ "เห็น" จิตส่งออก ได้หรือไม่ ที่เรียกว่า "จิตเห็นจิต เป็นมรรค" นั่นแหละ

    +++ ในส่วนนี้จัดเป็น "จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน" จะเรียกว่า "เห็นกิริยาจิต หรือ เห็นการเคลื่อนตัวของจิต" ก็ได้

    +++ หาก จขกท "ฝึก" ได้ถึง จิตตา/ธัมมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ได้

    +++ เรื่องของ "สติปัญญาอัตโนมัติ" ก็จะเกิดขึ้นได้จริง ตามระดับของ ผู้ฝึก


    +++ จขกท ไม่ต้องไปสนใจการโพสท์ของ "บุคคลปัญญาอ่อน"

    +++ ที่เอาแต่ "ปี้แปะ" ใช้ข้อเขียนของครูบาอาจารย์ มาเป็นเครื่องมือในการโจมตีผู้อื่น ตามความคิดของตนเองก็แล้วกัน

    +++ เห็นการโพสท์ของมัน "ก็รู้สึกว่าผิดละ" ผิดเกือบ "ทุกโพสท์" นั่นแหละ โง่อวดฉลาดจริง ๆ ไอ้นี่ สมควร "ไปนรก" แต่เนิ่น ๆ ได้เลย
    +++ คำตอบ คือ "ใช่" แต่ต้องขึ้นกับ "ระดับของผู้ฝึกด้วย" นะครับ
     
  14. เตรียมตัว

    เตรียมตัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +156

    ขอบคุณทุกท่านครับ กล่าวได้น่าฟัง น้อมรับไว้พิจารณาครับ


    พุทโธสะเทือนสามแดนโลกธาตุ
     
  15. เตรียมตัว

    เตรียมตัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +156
    หายหน้ากันไปนาน ว่าจะไม่คุยด้วยซะหน่อย(ปากไม่ดี พูดไม่รู้เรื่อง ) แต่ท่านก็กรุณามา คอเม้น(ไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือเดิม) แต่ก็จะพยายามแกะความเอานะ มันต้องมีอะไรดีในโวหารทีไม่ค่อยจะรู้เรื่องบ้างละน่ะ(น่าคิด) ผมนี่แข็งแรงขึ้นแล้ว ไม่ขี้โมโหแล้ว เชิญท่าน ฟรีสไตล์ ได้ตามอัธยาศัย



    พุทโธ สะเทือนสามแดนโลกธาตุ
     
  16. แนน จันทบุรี

    แนน จันทบุรี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +82
    ....กิเลสในที่นี้หมายถึงว่าจิตในจิตหรืออย่างไร..อันนี้ขอเว้นวรรคไว้ก่อน..ส่วนวิธีส่วนตัวที่จะสามารถเจริญสติได้คือ รักษาศีล ๕ ในขั้นต้น ทุกคนมีกิเลส แต่ใช้ให้เหมาะสมโดยมีสติ ฉะนั้น เรื่องปัญญาอัตโนมัติ คือตามรู้กิเลสได้ด้วยตัวสติ มนุษย์ชาวเราถือศีล5เป็นการไม่รบกวนผู้อื่น ฉะนั้นจะสร้างสติ ต้องใช้ศีล สมาธิมีอยู่แล้ว ส่วนตัวใช้วิธีการบริกรรมภาวนา เช่น(ยกตัวอย่าง) นำดินมาก้อนนิดนึง ทำสมาธิบริกรรมภาวนาจนตัวหาย(ในความรู้สึกไม่มีตัวไม่รู้สึก)เหลือแต่จิต พิจารณาเพียงธาตุดินนั้นๆ จิตบังคับไม่ได้แต่บางโอกาสจิตจะถอนออกมาเอง ทำเช่นนี้บ่อยๆ แล้ว เอาดินนั้นๆ ติดตัวไป แล้วนึกตั้งสติ เหมือนกับมองตนเองอยู่ผ่ายนอก ว่าทำ คิด พูด กิน อะไรๆ ก็แล้วแต่ จะช่วยได้...
     
  17. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    อทิบายอริยะสัจได้ชัดเจนครับอนุโมทนา
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เล่าให้ฟังทั่วๆไปนะครับ....
    ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ไม่ใช่กิเลสนะครับ
    เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วภายนอกเป็นปกตินะครับ
    แต่ตัว โทสะ โมหะ โลภะ ที่อยู่ในจิตเรา
    ที่มันอาศัยอยู่ในที่ว่างในจิตตั้งแต่เราจะมี
    ร่างกายนี้ขึ้นมา ที่มันส่งตัววิญญานการรับรู้
    จากจิตผ่านอายตนะต่างๆของเราออกไป
    กระทบและดึงเข้ามาจนกลายเป็นตัวเราเอง
    นั่นหละครับ ถึงเรียกว่า กิเลส

    การที่จะปฏิบัติแบบไหนอะไรก็ตาม
    ไม่ใช่ว่าเราจะไปรู้ในกระบวณการที่มันเกิด
    ไปแล้วนะครับ มันจะแค่เห็นในกระบวณการนั้นๆ
    มันจะไม่ใช่ปัญญาทางธรรม
    และ ไม่ใช่การรู้พิเศษอะไรเลย
    เพราะมันแค่เห็นในกระบวณการที่เกิดไปแล้ว
    ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดาของตัวจิต
    ที่เราเคยชินกับมันมาตั้งแต่เกิดแล้วครับ......
    เพียงแต่เราเห็นมันได้ เพราะว่าจิตเราสงบขึ้นเท่านั้นเอง


    เพราะฉนั้น เราถึงมาเจริญสติในชีวิตประจำวัน
    ให้ต่อเนื่อง ก็เพื่อให้ตัวจิต มันละ มันคลาย
    ตัววิญญานการส่งออกไปรับรู้ตรงนี้ให้ได้ก่อน
    พูดง่ายๆว่า เพื่อควบคุมความคิดและพฤติกรรมของจิตมัน
    ให้ได้ก่อนในเบื้องต้น.....
    จนกระทั่งจิตแยกรูปแยกนามได้ก่อนโน้นหละครับ
    ถึงจะเข้าใจสภาวะที่จิตเป็นกลาง คือไม่มีตัววิญญาน
    การรับรู้จากตัวจิต ไปแทรกแซง ไปร่วมปรุง
    และใช้กำลังสติทางธรรมที่ได้จากการเจริญสติ
    เพียงแต่ควบคุม ปล่อยให้จิตว่างรับรู้ภายในของมันอยู่
    อย่างนั้น ก็จะเกิดเป็นปัญญาทางธรรมขึ้นมาได้

    จริงอยู่แม้ว่า จะยังไม่เห็นภาพได้ชัดเจน
    เหมือนการยกเรื่องใดๆขึ้นมาพิจารณา
    แต่การจะพิจารณาเรื่องใดๆได้นั้น
    เราก็ต้องเห็นเรื่องเหล่านั้นได้ก่อน
    จากกำสติทางธรรมในระหว่างวันของเราเอง

    ซึ่งเปรียบเสมือนได้กับตาใน....
    ไม่ใช่เห็นได้จากลูกนัยต์ตาทั้ง ๒ ข้างของเรานะครับ
    และการจะเห็นเรื่องที่จะวางอารมย์ไว้นั้น

    ถ้าพูดอย่างเป็นทางการก็คือ ตัวสติสัมปะชัญญะ
    ที่มันสามารถเห็นได้ เดี้ยวนี้ เห็นได้เดี้ยวนั้นก่อน
    เรียกง่ายๆว่า เห็นได้ ณ ปัจจุบันนี้
    ร่วมกับ กิริยาต่างๆ ไม่ว่า จะเป็น การ เดิน ยืน หรือนอน
    เพราะถ้าไม่เป็นไปตามกิริยาทั้ง ๔ ที่ว่ามา กำลังสติ
    เราจะน้อยไป และไม่เห็นรอบด้านครับ
    ตลอดจน กำลังสติของเราจะลดน้อยลงไป
    จากกิริยาต่างๆที่เราไม่ได้ใส่ใจมัน
    รวมทั้งกำลังสมาธิสะสมที่จะสูญเสียไป

    พร้อมด้วยกับระบบหายหายใจแบบ อาปาฯ ที่กำลังสตินั้น
    จดจ่ออยู่กับการเกิดอารมย์ ที่ผ่านอายตนะต่างๆ
    แล้วไปกระทบ ไม่ว่า ทาง ตา หู จมก ลิ้น กาย ใจ ร่วมด้วย
    ตรงนี้ถึงจะพอเรียกได้ว่า เป็นสติสัมประชัญญะปัจจุบันครับ

    ซึ่งมันก็ยังไม่เพียงพอ ต่อการระลึกเรื่องที่จะพิจาณาได้
    เราจึงต้องมาตรวจสอบ ไตร่ตรองเรื่องราว หรือสิ่งที่ผ่าน
    มาในระหว่างวันร่วมด้วย ว่าสิ่งไหนถูก สิ่งไหนไม่ถูก
    สิ่งไหนชอบ สิ่งไหนไม่ชอบ สิ่งไหนผ่าน สิ่งไหนไม่ผ่าน
    ก่อนที่เราจะหลับตานอน หรือก่อนที่จะทำสมาธิ
    เพื่อที่จะไปต่อทางด้านวิปัสสนา....

    ไม่งั้น หากไม่อาศัยองค์ประกอบ ดังที่เล่ามา
    การพิจารณาของเรามันจะไม่ได้ผล
    เพราะมันจะเป็นแค่เพียง. การที่ตัวจิต
    มันยกเรื่องที่อยู่ในตัวมันเอง
    หรือยกเรื่องร่วมกับความคิดที่เกิดจากจิตขึ้นมาพิจารณาเอง
    ซึ่งมันจะยังไม่พ้นสัญญาความจำได้
    ซึ่งต่อให้เราจะมีความรู้ทางโลกมากมายแค่ไหน
    มันก็จะยังเป็นสมมุติบัญญติอยู่ครับ

    เป็นเหตุให้เราเผลอไปได้ว่า มันคือตัวสติและปัญญา
    แล้วนำมันไปพิจารณา มันจะกลายเป็นวิปัสสนึก
    อย่างที่เราคาดไม่ถึง

    ซึ่งแน่นอนว่ามันจะผลต่อการพัฒนาคุณภาพของจิตเราเอง
    ไม่ว่า จะเป็นในเรื่องการเข้าใจในนามธรรมทั้งหลาย
    ตลอดจน การรับรู้ทางจิตในกรณีบุคคลที่มีสัมผัส
    ในเรื่องนามธรรมต่างๆเป็นทุน
    ตลอดจนโยงไปถึง ผลสำเร็จในการฝึกกรรมฐานต่างๆ
    จนถึงระดับที่ใช้งานได้ และการคลายตัวได้
    ของจิตโดยธรรมชาติในระหว่างวัน อย่างคาดไม่ถึงครับ

    ปล. ถ้าความเข้าใจทางนามธรรมท่านไม่ดีขึ้นเลย
    และถ้าท่านเคยสัมผัสนามธรรมมาก่อน แต่การรับรู้ท่าน
    ทางด้านนามธรรมและความเข้าใจก็ไม่ดีขึ้นเลย
    และถ้าท่านเหมือนเข้าถึงกรรมฐานต่างๆได้ง่ายๆในช่วงเริ่มต้น
    แต่ฝึกไม่เคยสำเร็จและใช้งานได้เลยซักกอง.........
    ถ้าในระหว่างวัน ท่านไม่เคยเข้าถึงสภาวะการคลายตัว
    ได้เองตามธรรมชาติของตัวจิตเลย.....

    ให้พึ่งพิจารณาให้ดีๆ ว่ามันมีอะไรแปลกๆแล้วหละครับ
    ในระหว่างทาง และ ในวิธีการที่ท่านกำลังปฎิบัติอยู่ครับ
    ให้พิจารณาดูว่า ยึดในวิธีตนเองมากไปไหม
    วางใจเป็นกลางดีแล้วหรือยัง....
    หรือยังยึดอะไรอยู่แบบไม่ยอมวาง.....

    ฝากไว้ให้พิจารณาเล่นๆครับ (^_^)
     
  19. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    จิตที่มีกิเลสทำงานโดยอัตโนมัติ ต้องแก้ด้วย จิตที่เกิดสติปัญญาอัตโนมัติ ถึงจะทันกัน ใช่หรือไม่

    จิตที่มีกิเลสทำงานโดยอัตโนมัติ ต้องแก้ด้วย การบรรลุพระอริยเจ้า อนาคามี ถึงจะทันกัน

    ทุกคน ที่ยังไม่บรรลุ อรหันต์ ครับ

    ถามเอง ตอบเอง


     
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    นั่นประไร นับหิน ไม่ใส่ถุง

    โยดาหาย สกิดทายาบิกตู่ ก้ หาย
     

แชร์หน้านี้

Loading...