การทำงานของกิเลส อุปกิเลส อาสวะกิเลส

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กล่องไม้ขีดไฟ, 11 มิถุนายน 2018.

  1. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ก็ถูกแล้วนี้ครับ
    ถ้าแยกจิตออกจากอาสวะไม่ได้
    ก็ฉิบหายสิครับ

    เหมือนเผาเหล็กเพื่อเอาสนิมออก

    ที่ผมเขียนไว้เป็นวิธีค้นหาจิต
    และเห็นการทำงานของมันครับ

    ส่วนพระสูตรที่คุณอ้างถึง
    เป็นวิธีทำลายอาสวะ
     
  2. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ผมขอกล่าวแบบคิดไปเองนะครับถูกผิดต้องขออภัย
    ตอนที่คุนทำกายคตาสติแล้วคุนพบความสว่างที่คุนว่านั้น ไม่ใช่โอภาส
    แต่คุนได้เห้นถึงกายที่ยึดไม่ได้ตัววิญญานโปร่งใสสว่างอยู่ไม่ใช่ตัวตนคุนจึงเกิดปัญญา
    แต่คุณยังยึดจิตเป็นตน คุนเห็นวิญญานแล้ว คุนทำกายคตาสติต่อไป
    เมื่อวิญญานแตกหายไปคุนด้จะเห็นอีกว่าจิตไม่ใชตน ขออภัยท่าผิดพลาดประการใด
     
  3. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    เขียนไปเถิดถูกผิดไม่เกี่ยว
    เพราะภาษาที่ไว้สื่อสภาวะมันยากนะ

    บางเรื่องละเอียดจนพูดไม่ถูกก็มี
     
  4. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    อาสวะกิเลสอุปกิเลส และกิเลสทั่วไป
    มันทำงานเป็นทีมครับ
    เกี่ยวโยงกัน

    เช่น กามาสวะไปเกี่ยวโยงกามตัณหา
    กามตัณหาไปเกี่ยวโยงกับกิเลสราคะ
     
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    วิปัสสนูกิเลส อุปกิเลส๑๐แห่งวิปัสสนา
    ๑. โอภาส - แสงหรือภาพ เห็นแสงสว่างสุกใสหรือนิมิต เห็นแสงต่างๆ ภาพต่างๆ เห็นแสงสว่างรอบๆสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น พระพุทธรูปที่เป็นกสิณ หรือเห็นเจิดจ้าสว่างไสวไปทั่ว หรือแสงออกจากร่างกายตน, รูปนิมิตต่างๆ แล้วไปน้อมเชื่อด้วยอธิโมกข์อย่างเป็นจริงเป็นจัง ว่าเป็นจริงอย่างนั้นจริงแท้แน่นอน สิ่งเหล่านี้ความจริงแล้วต้องเกิดขึ้นอันเป็นปกติตามธรรมชาติของจิตเมื่อเป็นฌานสมาธิ จึงเกิดภวังค์ ขึ้น ยิ่งโดยเฉพาะในระยะแรกๆ แต่เมื่อผู้ปฏิบัติเข้าใจผิดไปน้อมเชื่อในความตื่นตา ตื่นใจ จึงน้อมคิดปรุงแต่งไปต่างๆนาๆว่าเป็น บุญ อิทธิปาฏิหาริย์ อันตื่นตา ตื่นใจ ไม่เคยประสบมาก่อน เลยไปยึดมั่นหมายมั่นพึงพอใจหรือน้อมเชื่ออย่างรุนแรงด้วยความไม่รู้ตามความเป็นจริงในโอภาสหรือนิมิตต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นด้วยอวิชชา จึงทําให้ติดเพลิน(นันทิ-อันคือตัณหา)อยู่ในวังวนของความตื่นตาตื่นใจ เมื่อเกิดนันทิอันคือตัณหา ย่อมเกิดอุปาทาน ภพ(รูปภพ) ชาติ คือการเกิดขึ้นของกองทุกข์ตามมาโดยไม่รู้ตัว และเกิดความคิดนึกปรุงแต่งต่างๆนาๆไปทางฤทธิ์ ทางเดช ทางบุญ ทางกุศลโดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดอาการที่เรียกกันทั่วๆไปว่า ติดนิมิต กล่าวคือเกิดการไปน้อมดู,น้อมทำ, น้อมเชื่อในนิมิต คือในภาพเหล่านั้นอย่างงมงายเป็นที่สุด

    ครับ

    ความเห็นคือ มันสำหรับ คนที่ไปยึดติด ยึดมั่น คิดเองเออเอง ว่าตัวเองว่าสำเร็จคุณวิเศษ เป็นบุญที่ตัวเอง แสงสว่าง มันถึงจะเป็น วิปัสสูนกิเลส ครับ

    ถ้าใครปฏิบัติถึงจิตที่เป็นสมาธิ มันก็สว่างกันหมด ครับ แต่ถ้าไม่ได้ไปติดแสงสว่าง มันก็ไม่ได้ติดวิปัสสนูกิเลส ครับ

    คุณเข้า สมาธิ ฌาน รูปฌานต่างๆ มันก็สว่างกันหมด ถ้าทำได้
     
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819

    คนทำได้จริง ย่อมดับ แสงสว่างได้จริง ครับ

    เมื่อน้ำใส ย่อมเห็นตัวปลา

    จิตที่เป็นสมาธิ ย่อมระงับความฟุ้งซ่าน เมื่อความฟุ้งซ่านระงับออกไป น้ำก็หายขุ่น

    ผมว่าคุณไปปฏิบัติแล้วทดสอบด้วยตัวเองดีกว่าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2018
  7. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +3,195
    วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ นี้ไม่ใช่เป็นการผิดทางนี่ค่ะ

    แต่ที่กล่าวว่าเป็นวิปัสสนู ก็เพราะติดอยู่แค่นั้น คิดว่าตนเองบรรลุธรรมแล้ว จึงหยุดเดินหน้ากำหนดวิปัสนาญาณที่กำหนดถูกทาง ที่ตนเองพึงจะเดินต่อไปค่ะ

    ตามนี้ค่ะ....

    วิปัสสนูปกิเลสทั้งสิบนี้ เป็นภาวะที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง และไม่เคยเกิดมี ไม่เคยประสบมาก่อน จึงชวนให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจผิด คิดว่าตนบรรลุมรรคผลแล้ว หรือหลงยึดเอาคิดว่าวิปัสสนูปกิเลสนั้นเป็นทางที่ถูก ถ้าหลงไปตามนั้นก็เป็นอันพลาดจากทาง เป็นอันปฏิบัติผิดไป คือพลาดทางวิปัสสนา แล้วก็จะทิ้งกรรมฐานเดิมเสีย นั่งชื่นชมอุปกิเลสของวิปัสสนาอยู่นั่นเอง

    แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะแก้ไขได้ ก็จะกำหนดได้ว่าวิปัสสนูปกิเลสนั้นไม่ใช่ทาง รู้เท่าทัน เมื่อมันเกิดขึ้น ก็กำหนดพิจารณาด้วยปัญญาว่า โอภาสนี้ ญาณนี้ ฯลฯ หรือนิกันตินี้ เกิดขึ้นแล้วแก่เรา แต่มันเป็นของไม่เที่ยง เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง จะต้องเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา แล้วกำหนดวิปัสสนาญาณที่ดำเนินถูกทาง ซึ่งจะพึงเดินต่อไป
     
  8. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    คุณเข้าใจผิดอยู่นะครับ

    ที่ยกมานั้น เค้าหมายความว่า คนที่ไปติด หลง วิปัสสนูกิเลสอยู่นั้น ตัวคนหลงนั้นจะ ชื่นชมอย่างยิ่ง และไม่เคยเกิดมี ไม่เคยประสบมาก่อน

    วิปัสสนูกิเลส เป็นทางผิดครับ ไม่ใช่ถูกทาง แวิปัสสนูกิเลส ตัวขวางผลการปฏิบัติ ครับ


    ลองอ่านนี้นะครับ

    วิปัสสนูปกิเลสทั้งสิบนี้ เป็นภาวะที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง และไม่เคยเกิดมี ไม่เคยประสบมาก่อน จึงชวนให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจผิด คิดว่าตนบรรลุมรรคผลแล้ว หรือหลงยึดเอาคิดว่าวิปัสสนูปกิเลสนั้นเป็นทางที่ถูก ถ้าหลงไปตามนั้นก็เป็นอันพลาดจากทาง เป็นอันปฏิบัติผิดไป คือพลาดทางวิปัสสนา แล้วก็จะทิ้งกรรมฐานเดิมเสีย นั่งชื่นชมอุปกิเลสของวิปัสสนาอยู่นั่นเอง

    แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะแก้ไขได้ ก็จะกำหนดได้ว่าวิปัสสนูปกิเลสนั้นไม่ใช่ทาง รู้เท่าทัน เมื่อมันเกิดขึ้น ก็กำหนดพิจารณาด้วยปัญญาว่า โอภาสนี้ ญาณนี้ ฯลฯ หรือนิกันตินี้ เกิดขึ้นแล้วแก่เรา แต่มันเป็นของไม่เที่ยง เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง จะต้องเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา แล้วกำหนดวิปัสสนาญาณที่ดำเนินถูกทาง ซึ่งจะพึงเดินต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2018
  9. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +3,195
    ก็ในบทสวดธรมจักร ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ว่า ที่กล่าวไว้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ฯลฯ

    แสงสว่างจึงย่อมดับไม่ได้ และไม่มีการดับแสงสว่างค่ะ

    ตามนี้ค่ะ......

    ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้แล คือ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ซึ่งได้แก่สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ ฯลฯ ทุกขอริยสัจนั้นควรกำหนดรู้ ฯลฯทุกขอริยสัจนั้นเรากำหนดรู้แล้ว

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแก่เราในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขสมุทยอริยสัจ ฯลฯ ทุกขสมุทยอริยสัจนั้นควรละ ฯลฯทุกขสมุทัยอริยสัจนั้นเราละแล้ว

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแก่เราในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธอริยสัจนั้นควรกระทำให้แจ้ง ฯลฯ ทุกขนิโรธอริยสัจนั้นเรากระทำให้แจ้งแล้ว

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนั้นควรเจริญ จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนั้นเราเจริญแล้ว

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ญาณทัสสนะ (ความรู้ความเห็น) ตามความเป็นจริงมีวนรอบ ๓ อย่างนี้ มีอาการ ๑๒ ในอริยสัจ ๔ เหล่านี้ของเรา ยังไม่บริสุทธิ์เพียงใด เราก็ยังไม่ปฏิญาณตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เพียงนั้น

    ก็เมื่อใด ญาณทัสสนะ(ความรู้ความเห็น) ตามความเป็นจริง มีวนรอบ ๓ อย่างนี้ มีอาการ ๑๒ ในอริยสัจ ๔ เหล่านี้ของเรา บริสุทธิ์ดีแล้ว เมื่อนั้น เราจึงปฏิญาณตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์

    ก็ญาณทัสสนะได้บังเกิดขึ้นแก่เราว่า วิมุติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติที่สุดบัดนี้ ภพใหม่ไม่มี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2018
  10. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +3,195
    ที่ตนเข้าใจนะค่ะ ไม่ใช่ผิดทางค่ะ แต่เป็นทางที่ต้องผ่าน

    โอภาสที่เป็นแสงสว่าง นั้นเป็นแค่วิญญาณ

    แต่อาโลโก แสงสว่างที่เกิดขึ้นแล้วแก่เรา เป็นจิต ที่เป็นตัวปัญญาญาณ เพื่อละกิเลสค่ะ
     
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ที่คุณยกมานั้น คุณอ่านประโยคสุดท้าย ด้วยนะครัรบ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแก่เราในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธอริยสัจนั้นควรกระทำให้แจ้ง ฯลฯ ทุกขนิโรธอริยสัจนั้นเรากระทำให้แจ้งแล้ว

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนั้นควรเจริญ จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนั้นเราเจริญแล้ว
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    งองูฉองตัวเบย หวยออกที่ จิกยิ้ม ซะงั้น

    ถ้า จิกยิ้ม พิจารณา ข้ออรรถ ข้อธรรม นี้ในภายใน เพื่อความไม่ประมาท

    เสร็จแล้ว ไปเห็นแสง ระยิบระยับ แล้ว กำหนดรู้เท่าทันได้ แสงไม่เกิด
    แต่มีความเบา สบาย และ "คลายตัว" ของ สิ่งหมักดอก จน จิตมันมีสุขโชย

    ก็ต้อง พึงระวังความสุขโชย ที่จะพาให้ จิกยิ้ม ตรงนี้ไว้ด้วย

    สว่างมีทั้ง สว่างแสง สว่างสุขโชย สว่างแบบมี "นิกันติ" ปรากฏ เนี่ยะ
    จะเสร็จ วิปัสสนูปกิเลสหมด

    แต่ถ้า ฟังหูไว้ข้างหัวให้ดีๆ จะมี แนวรับแนวต้าน แนวสังเกต ใจที่มันขยับ

    นะ

    จนรู้ชัด สภาวะคลาย(กำหนัด) มันจะ ยิ๊บๆแย๊บๆ แล้ว ร่อนออกไปเรื่อย

    การสว่างแบบไม่มีแสง แต่มีสภาวะรู้ชัดการ จางคลาย การคลายกำหนด
    ตรงนี้จะเดินได้ถึง อนาคามีมรรคประเภทที่ อุ๊ยตาย ภาวนาผิด( ยังติดสว่าง
    แต่จะไป ภาวนาต่อใน ชั้นพรหม เห็นการยิ๊บๆ ยั๊บๆ แล้ว ผั๊วะ ไปเลย ไม่ใช่
    กลายเป็น พระพรหมอานคมีค้างเติ่ง ยังจัดว่า โหลยโถ้ย!! )
     
  13. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    มันไม่ใช่ทางที่ต้องผ่านใดๆ ครับ

    แต่มันคือ ทางที่บางคนไปหลงติด วิปัสนูกิเลส คือตัวขวางมรรคผลนิพพาน ครับ


    ไม่ใช่ทางผ่าน

    แล้ว อาโลก กสิณแสงสว่าง อาโลกกสิณัง ครับ คนละตัวกับ แสดงสว่างของจิต

    แล้ว โอภาสที่เป้นแสงสว่าง นั้น ไม่ใช่ วิญญาณ ครับ จิตที่เข้าสมาธิ ฌาน แสงสว่างในจิตนั้นเป็นตัว ภพ ครับ ภพของจิต

    และ แสงสว่างที่เกิดขึ้นแก่เรานั้น ไม่ใช่ ตัวปัญญาญาณ ใดๆ นะครับ

    และ แสดงสว่าง ไม่ใช่ จิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2018
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    วิญญาณธาตุเป็นอย่างไร คืออะไร

    หลวงพ่อฤๅษี ท่านเมตตามาสอนเรื่องนี้ไว้มีความสำคัญดังนี้

    ๑. “วิญญาณธาตุ หมายถึง ระบบประสาทสัมผัสทั้ง ๖ อายตนะ ๖ หรือประตูทั้ง ๖ ของร่างกาย อันมีระบบประสาทรับรู้ของตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย โดยมีใจหรือจิตเป็นผู้รับรู้” (สมองเป็นหนึ่งในอาการ ๓๒ ของร่างกาย เป็นศูนย์รับระบบประสาทสัมผัสของร่างกาย ซึ่งทำงานของมันอยู่เป็นปกติ เกิดดับ ๆ อยู่เป็นสันตติธรรม ผู้ที่ไปรับรู้เรื่องของสมองก็คือจิต จะเห็นได้ชัดเจนตอนร่างกายถูกดมยาให้สลบหรือใช้ยาสลบ ร่างกายทุกส่วนก็สลบรวมทั้งสมองด้วย แต่จิตไม่สลบยังคงรู้อยู่เป็นปกติ มิได้สลบตามร่างกาย จุดนี้ผู้ปฏิบัติธรรมได้ขั้นสูงเท่านั้น จึงจะรู้และเข้าใจได้)

    ๒. "วิญญาณธาตุตัวนี้แหละเป็นตัวสร้างอารมณ์สุข (พอใจ) สร้างอารมณ์ทุกข์ (ไม่พอใจ) ให้เกิดแก่ร่างกาย”

    ๓. “บุคคลใดเอาจิตไปเกาะอารมณ์ทั้งสองแล้วหลงคิดว่า สุข-ทุกข์เวทนาของกายนี้มีในเรา เป็นของเรา (เราคือจิตไม่ใช่กาย) มีในเขาเป็นของเขา แต่พอร่างกายมันตาย อารมณ์เหล่านี้ซึ่งเกิดจากวิญญาณธาตุก็ตายไปพร้อมกับกาย”

    ๔. “แต่จิตไม่เคยตาย จิตเป็นอมตะ ผู้ตายคือร่างกายพร้อมวิญญาณธาตุ อันตรายอันใหญ่ยิ่งอยู่ที่จิตไปยึดเกาะติดวิญญาณธาตุ เกาะอารมณ์สุข-ทุกข์ว่าเป็นเรา เป็นของเรา เอาเวทนาของกายมาเป็นเวทนาของจิต นี่แหละคือตัวสักกายทิฏฐิ ตัวอวิชชา”

    ๕. “เพราะแยกกาย-เวทนา-จิต-ธรรม ให้ออกจากจิตไม่ได้ สักกายทิฏฐิก็ตัดไม่ได้เช่นกัน”

    https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2469
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    เน้นอีกที หน่าขอรับ ท่านแม่ชี

    แสงสว่างใด เสมอด้วยปัญญา ไม่มี !!!

    นะ

    ปัญญา ไม่ใช่สภาวะ แสง สี .......

    สว่าง ที่เป็น แสง สี สู้ ปัญญาไม่ได้ ( เพราะ ส่องกิเลส เห็นละก้อ ฉั๊วะ!!! )

    แล้ว ปัญญาสว่างเนี่ยะ ปฐมฌาณ ก็เหลือแหล่
    ไม่ใช่ จตุถฌาณ อัปปนง อัปปนา เฮียอะไร

    เพราะหมายเอา รสการจางคลาย การสิ้นไปของกิเลส เป็น นิมิต อุคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต ( ปฏิสัมภิทามรรค )
     
  16. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    พระพุทธเจ้าทรงจำแนกวิญญาณออกเป็น 6 ประเภท

    วิญญาณ (ศาสนาพุทธ)

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    Jump to navigation Jump to search
    ส่วนหนึ่งของ
    ศาสนาพุทธ
    ในศาสนาพุทธ คำว่าวิญญาณ (บาลี: viññāṇa; สันสกฤต: विज्ञान) ใช้หมายถึงพิชาน (consciousness) คือความรู้แจ้งอารมณ์[1] พระไตรปิฎกระบุว่าพระพุทธเจ้าทรงจำแนกวิญญาณออกเป็น 6 ประเภท[2] ได้แก่

    1. จักขุวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางตา คือรู้รูปด้วยตา หรือการเห็น
    2. โสตวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางหู คือรู้เสียงด้วยหู หรือการได้ยิน
    3. ฆานวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางจมูก คือรู้กลิ่นด้วยจมูก หรือการได้กลิ่น
    4. ชิวหาวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางลิ้น คือรู้รสด้วยลิ้น หรือการรู้รส
    5. กายวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางกาย คือรู้โผฏฐัพพะด้วยกาย หรือการรู้สึกกายสัมผัส
    6. มโนวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางใจ คือรู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ หรือการนึกคิด
     
  17. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
  18. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +3,195
    การปฏิบัติธรรมในห้าประการนี้ ทุกคนคงได้พบกันมาบ้าง คือ แสง เสียง สี รูป เหตุ-ผล

    และมาพิจารณาว่า ปัญญามาจากไหน? เมื่อจิตต้นกำหนดเดิมคือแสงสว่าง ที่บริสุทธิ์ ผ่องใส และรู้แจ้ง นะค่ะ แล้วคำสอนหลวงปู่ดุลย์ ในจิตคือพุทธะ กล่าวเอาไว้ว่า....


    จิตของเรานั้น ถ้าเราทําความสงบเงียบอยู่จริงๆ เว้นขาดจากการคิดนึก ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของ
    จิตแม้แต่น้อยที่สุดเสียให้ได้จริงๆ ตัวแท้ของมันก็จะปรากฏออกมาเป็นนความว่าง แล้วเราจะได้พบ
    ว่ามันเป็นสิ่งที่ปราศจากรูป มันไม่ได้กินเนื้อที่อะไรๆ ที่ไหนแม้แต่จุดเดียว มันไม่ได้ตกลงสู่การบัญญัติว่าเป็น
    พวกที่มีความเป็นอยู่ หรือไม่มีความเป็นอยู่แม้แต่ประการใดเลย เพราะเหตุที่ สิ่งเหล่งานี้เป็นสิ่งที่เรารู้สึก
    ไม่ได้โดยทางอายตนะ เพราะจิตซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้ของคนเรานั้น มันเป็นครรภ์หรือกําเนิด ไม่มีใครทํา
    ให้เกิดขึ้นและไม่อาจถูกทําลายได้เลย


    ในการทําปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ นั้น มันเปลี่ยนรูปของมันเองออกมาเป็นปรากฏการณ์
    ต่างๆ เพื่อสะดวกในการพูด
    เราพูดถึงจิตในฐานะที่เป็นตัวสติปัญญา แต่ในขณะที่มันไม้ได้ทําการตอบสนอง
    ต่อสิ่งแวดล้อม คือไม่ได้เป็นตัวสติปัญญาที่นึกคิด หรือสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมานั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจถูกกล่าว
    ถึงในการที่จะบัญญัติว่ามันเป็นความมีอยู่ หรือไม่ใช่ความมีอยู่
     
  19. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    จิตคือพุทธะ ไม่ใช่แสงแสงสว่าง คือ พุทธะ แต่เป็น จิตคือพุทธะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2018
  20. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +3,195

แชร์หน้านี้

Loading...