วิชชา ธรรมกาย ไม่ได้มาจาก วัดพระธรรมกาย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jack5487, 28 มิถุนายน 2008.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    คุณ นักบุญ คุณบอกว่าคุณเป็นผู้การซึ่งก็คือ ผู้พัน คุณบอกว่า คุณโดนระเบิด มองไม่ค่อยเห็น พิมพ์ไม่ค่อยได้
    ผมว่า ถ้าตาคุณไม่ดี คุณก็อย่ามาอ่านข้อความมากเลย

    ประเด็นคือ คนเป็น นายพัน ควรมีวิจารณาญาณ ให้มาก การเขียนหนังสือ คุณเคยเขียนหนังสือราชการไหม
    นั่นแหละเขียนแบบนั้น ยิ่งคุณบอกว่าคุณเคย ฝึกธรรม จนไม่มีอะไรจะถามแล้ว คุณยิ่งต้องมีสติ แยกอะไรต่ออะไรให้มากกว่านี้ มันเรื่องอะไรเอามาปน กันหละ ระหว่าง ทหารกับผม เลยเถิดไปถึงเรื่อง ล้อปมด้อย อะไรให้วุ่นไปหมด

    ไปพักผ่อนให้มาก คิดอะไรค่อยๆ คิด ค่อยๆอ่าน ถ้าเป็นผู้บังคับบัญชาแล้ว คิดได้แค่นี้ ก็ต้องยอมรับฟัง พลทหารแล้วแหละ
     
  2. นักบุญภาคอีสาน

    นักบุญภาคอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2008
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +334
    อืมช่วงนี้ไม่ขอยได้เขียนนะมีแต่ เลขาเขาเขียน เราเป็นคนอ่าน และเซ็น จึงมีเวลาอ่านมาก กว่าเขียน มันเป็นงานถึงผม ถึงต่อให้ตาข้างนี้ผมใช่งานไม่ได้จะมีตาข้างเดียวก็ตามผมก็ต้องทำเพราะผมคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของผมนะ คุณขันธ์พลทหาร ปี 2 ผมได้มามีส่วนรวมในเว็ปนี้กับพวกคุณก็มีเวลาเดียวคือตอนนี้ละขนาด เสา อาทิตย์ ยังไม่ได้หยุดงานเลยคุณรู้ไมว่าประเทศต้อนนี้มัน วิกิจ กว่าที่พวกคุณคิดภาคใต้ยิ่งแล้วใหญ่ ที่ออกข่าวนะ มันแค่เหตุใหญ่ๆๆ ที่มีการตายแต่จริงๆ มันระเบิดทุกวันนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2008
  3. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,157
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +29,709
    ฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯ


    คนที่บ้าน อยู่หน่วยรบพิเศษที่ 5 กลับมาบ้าน 10 วัน เล่าให้พวกเราฟัง

    ก็เป็นเช่นนั้นแหละครับ สงสารทหารจำนวนมากที่ถูกส่งไปล้อเล่นกับความตายเหมือนกันครับ


    ครั้งหนึ่ง พี่เค้ารอดตายหวุดหวิด ระเบิดที่มันฝังไว้ด้านครับ ระเบิดที่อัดใส่ถังดับเพลิงขนาดใหญ่ ชุดที่ออกวันนั้น พระเครื่องหลวงพ่อเปลี่ยน วัดป่าอรัญวิเวก อ.แม่แตง เชียงใหม่ และรักษาศีลห้ากัน

    พี่แกเอาเหรียญหลวงพ่อใสไว้ในหมวกตลอดเลย....

    ( เล่าแทรก เป็นโฆษณาครับ )
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    คุณ ก็รีบปฏิบัติให้มาก แล้วก็ แผ่เมตตาไป อย่ามัวแต่มานั่งด่าผม ให้มาอ่าน ตาไม่ดีก็เลือกอ่านแต่ธรรม
    อย่าไปตาม พวกบ้า ผมมีธรรมมาให้ก็อ่านธรรมให้มาก

    เป็นทหารนี่ บุญก็มีมาก กรรมก็มีมาก เพราะฉะนั้นก็ทำบุญให้มากจะได้เสวยกรรมดีก่อน
    ให้ฝึก มหาสติปัฎฐานให้มาก
     
  5. นักบุญภาคอีสาน

    นักบุญภาคอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2008
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +334
    นิ อีก 7 ปีข้างหน้านะผมจะกระเสียนกิน บัมนาน คิดดูเอา ขนาดกระเสียนนะ จะได้ติดยศ พล.ต แต่เงินเดือน เท่าเดิม ถ้าเขาเรียกรวมผล ผม 80 ก็ต้องไปให้เขา คิดดูเอาชีวิตทหารลำบากขนาดไหน ฝึกหนัก ตายก่อนเพื่อน เงินเดือนน้อย ค่าครองชีพมาก น้ำมันก็แผง จากบ้านผมไปค่ายทหาร 15 กม คุณคิดดู
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    ดีเลยนะ คุณช่วยบอกหน่อยซิว่าทำไมมันแก้กันไม่ได้ เรื่องภาคใต้เนี่ย

    ผมยังเคยคิดจะช่วยเลย ว่าจะหาวิธีอย่างไรช่วย แต่มันต้องมีข้อมูลพื้นที่ให้ครบ
     
  7. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    เอาเถอะ เป็นทหารนั้นน่าภูมิใจ เกิดเป็นลูกผู้ชาย เรื่องตายเรื่องเล็ก
    ภูมิใจที่ได้เ็ป็นคนปกป้อง แผ่นดิน น่าภูมิใจมาก
     
  8. นักบุญภาคอีสาน

    นักบุญภาคอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2008
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +334
    อันนี้ผมต้องขอโทษคุณขันธ์นะ ขอมูลต่างๆเป็นความรับของ กองทับบก ผมคงบอกไม่ได้.........มันเป็นอุดมการของทหารผู้ที่ไม่เกี่ยวของโดยตรงรู้มากไม่ได้ครับ.....รู้เท่าที่รู้แล้วกันนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2008
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    ก็ปฏิบัติ ทุกวันสิ คุณนี่ไม่รู้จัก สติปัฎฐาน กินเดิน ยืนนั่งนอน ทำอะไรรู้เนื้อรู้ตัว มันก็ตลอดเวลาอยู่แล้ว
    ธรรมมันอยู่กับตัวตลอดเวลา ทุกข์ก็อยู่ที่ใจ ทุกข์ใจเอง ไม่รู้หรือไง
    สุขใจ ตัวเองไม่รู้หรือไง คิดอะไรไม่รู้หรือ

    อารมณ์ดีไม่ดี ดูเข้าไปสิ นั้นแหละ มันจะเห็นเองว่า เรากำลังคิดเลื่อนลอยด้วยอำนาจตัณหาผลักดัน หรือไม่

    นี่ให้ดูที่ตัวเอง จะไปที่ไหน นั่งทำงาน ว่างมากก็ดูเข้าไป ทำอะไรให้คอยรู้สึกตัว
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    คนเรา ทำงาน ใจคิดไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ ให้มากมาย เวลาใจคิดมันก็ปรุงเรื่องราวมากมาย วันทั้งวัน
    ถ้าคนมีสติก็ต้องคอยดึงใจกลับมา อยู่กับปัจจุบันธรรม นั้นแหละ

    ผมคงต้องไปพักผ่อนแล้ว
     
  11. นักบุญภาคอีสาน

    นักบุญภาคอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2008
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +334
    สติปัฎฐาน ผมไม่เคยขาดเลยนะสมัยอยู่กับ หลวงปู่พวก ตอนนั้นบวชอยู่ ตอนปี 2524 - 2525 ก็ได้สึกมา รับราชการทหาร ตอนนั้นคิดว่าผมไม่เคยขาดนะไอ้ สติปัฎฐาน เนี่ย 4 -5 ปีต่อมาก็ตอนอยู่ สุริน นี้ละผมสติขาด ทำไมถึงขาด เหอๆ ก็ขาเพื่อนผมขาดนิ เยียบระเบิด ตาผมก็ถูก สะเก็ดระเบิดจนเป็นเหมือนทุกวันนี้......แต่พอมีสติอยู่ก็เคยกำหนดนะ แต่ด้วยความเป็นคน และ ในสภาวะขนาดนั้น นะ มันไม่ควรประมาท ควรเอาสมาธิ มาระวังสิที่จะเกิด แล้วมันจะรู้เองว่ามันจะมีอะไรเกิดให้ระวัง นั้น
    ในสภาวะเช่นนั้น ผมว่าผมได้ทำสมาธิแล้วคงจไม่ต้องอะไรมาก การระวังตัวนั้นละ คือการรู้ในสภาวะปัจจุบันของผม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2008
  12. นักบุญภาคอีสาน

    นักบุญภาคอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2008
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +334
    เชิญเถอะ ผมก็คงไปเช่นกัน..............
     
  13. James Bond

    James Bond สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +20
    For your better understanding krub Khun Kun
    Best wishes,
    James Bond

    http://www.dhammakaya.org/vijja/vijja_patijja.php
    วิธีพิจารณาปฏิจจสมุปบาทธรรม ๑๒


    [​IMG]
    พระพุทธดำรัสว่าด้วยปฏิจจสมุปบาท

    วิธีเจริญภาวนาพิจารณาปฏิจจสมุปบาทธรรม ๑๒
    [​IMG] พระพุทธดำรัสว่าด้วยปฏิจจสมุปบาท
    สมัยหนึ่ง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี พระนครสาวัตถี ได้ตรัส​
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    ตายห่า ถ้าสอนเด็กแบบนี้ พระศาสนาบรรลัยหมด
    ผมขอพระไตรปิฎก ยืนยันคำพูดนี้ครับ คุณยกขึ้นมาแบบนี้ ถ้าหากว่า วิชชามีสัณฐานอย่างที่ว่า เล็กเท่าเมล็ดโพธิ์
    คุณ ต้องดูด้วยว่า อะไรเป็นปัจจยาการให้อวิชชา ที่มันโตเท่าเมล็ดโพธิ์

    แต่เพราะอวิชชา นั้นเป็นรากเหง้าเริ่มแรก ผุดเกิด หาที่ตั้งไม่มี เป็นความหลง ความไม่รู้ จะไปมีสัณฐานอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ได้ เพราะอวิชชา ตัวใหญ่เท่าตัวคุณก็มี อวิชชา ใหญ่ทั้งโลกนี้ก็มี

    นี่พระพุทธองค์ ไม่เคยสอนแบบนี้ ท่านสอนแต่ว่า สายแห่งทุกข์ คือ ปฏิจจสมุปบาทนั้น มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย

    แต่ การยก อะไรขึ้นมาเองโดยไม่มีเหตรองรับ นี้แหละ สมุนของอวิชชาตัวจริง
    ที่ว่า อวิชชาเป็นเมล็ดเท่าเมล็ดโพธิ์ ข้อนี้ไม่มีเหตุอธิบายว่า ทำไมจะต้องเมล็ดเล็กหรือใหญ่เท่านั้น
    นามรูป สฬายตนะ ใหญ่เท่านั้นเท่านี้ อยู่ในดวงอวิชชาบ้างอะไรบ้าง นี้ไม่มีเหตุมารองรับว่า ทำไมมันต้องอาศัยอยู่ในนั้น ซึ่งในปัจจยาการนั้น คือ เมื่อสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิดตาม ไม่ได้บอกว่า มันต้องอยู่ตรงนั้นตรงนี้ เมล็ดเท่านั้นเท่านี้
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    สิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ผมจะพูดให้ฟัง และให้ตั้งใจอ่านให้ดี

    ตามธรรมดา ถ้าเราเกิดความโกรธขึ้นนั้น มันอยู่ตลอดเวลาหรือไม่
    ตอบว่า ไม่ได้อยู่ตลอดเวลา

    แล้วตอนอารมณ์ดีอยู่ ความโกรธในใจมันไปอยู่ที่ไหน
    ตอบว่า เพราะมันดับไปแล้ว มันไม่มีว่าไปอยู่ตรงไหน

    ถ้าเช่นนั้นแล้วแสดงว่า เหตุของมันก็ดับไปด้วยแล้วนะสิ ตัวโกรธจึงดับไป
    ตอบว่า ถูกต้องแล้ว เหตุของเหตุความโกรธนั้นดับไปแล้ว

    แล้วเหตุแห่งความโกรธนั้น คืออะไร
    ตอบว่า ตัวต้นสุดคือ อวิชชา และไล่มาตามสายปฏิจสมุปบาท จนถึงตัว วิภวตัณหา

    ถ้าเช่นนั้นแล้ว อวิชชา ดับไปแล้ว เราก็บรรลุธรรมนะสิ

    ตอบว่า อวิชชา มีหลายสาย แล้วแต่ว่าเรากำลังหลงและเกิดทุกข์ในเรื่องใด นั้นแหละ สายอวิชชาของสายนั้นเกิดขึ้น
    ไม่ได้หมายความว่า ดับเส้นหนึ่งแล้วจะดับไปทั้งหมด

    แสดงว่า ทุกอย่างนั้น เกิดขึ้นจากการสร้างการปรุงของเราเอง หาได้มีอยู่ในจิตเราไม่

    ตอบว่า ถูกต้องแล้ว จิตนี้เดิมทีว่างอยู่ สรรพทุกข์ทั้งปวง หาได้อยู่ในจิตนี้ไม่ แต่เราปรุงไม่หยุดเอง จึงคิดว่า นี้คือเราอยู่ในเรา


    สรุป ธรรมกายกำลังสร้างอวิชชาตัวใหม่ขึ้น อย่างน่ากลัว กำลังสร้างความมีอยู่ ของอวิชชาให้ตั้งอยู่ ทั้งๆ ที่ มันดับได้เพียงแต่ต้องเท่าทัน และค่อยๆ ดับไปทีละสาย จนดับทั้งหมด เรียกว่า รากเหง้าแห่งอวิชชา ทั้งปวง
     
  16. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    958
    ค่าพลัง:
    +1,699


    อวิชชาเป็นความรู้ที่ไม่ถูก ตรงข้ามกับวิชชา เมื่อไม่มีความรู้ที่ถูก ไม่เห็นธรรมชาติตามจริง เป็นมูลให้เกิดเหตุแห่งปฏิจจฯ ซึ่งเป็นเหตุของขันธ์ห้า เป็นที่เกิดแห่งขันธ์ห้า<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ทั้งนี้อวิชชาอยู่ที่ไหน ตั้งอยู่ที่ไหน ? <O:p</O:p
    ก็ตั้งอยู่ในจิตนั้น ตราบที่ยังไม่เกิดวิชชา จิตนั้นย่อมตกอยู่ในความหลง หรือในกิเลสสาม คือ โลภโกรธหลง (อาสวะกิเลส) ซึ่งหมักดองอยู่เรียกว่าอนุสัยกิเลส ซึ่งอนุสัยนี้ย่อมถูกกวนให้เกิดขึ้นเป็น ราคะ โทสะ โมหะ หรือสังโยชน์ ด้วยเหตุพราะยังไม่มีวิชชา ..วิชชาจะเกิดเมื่ออริยมรรคสมังคี ประหารกิเลสนั้นลงเสีย เมื่อสังโยชน์ขาดไป หรือ อนุสัยขาดไป อวิชชาย่อมขาดไป (ตามกำลังของอริยะ) จึงเห็นว่านิพพานนั้นว่างไปจากขันธ์ห้า<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ความโกรธไม่ได้เกิดอยู่ตลอดเวลาแต่ก็พร้อมจะเกิดตลอดเวลา แม้นในช่วงอารมณ์ดีอยู่ ต้องดูว่าดีอย่างไร ดีเพราะสะใจที่ได้กระทำชั่วอยู่ หรือดีเพราะได้ทำความดี ความโกรธก็พร้อมจะเกิดในอารมณ์ดีนั้น สลับปรับเปลี่ยนได้ เพราะขณะจิตนั้นรวดเร็วกว่าวินาที ตราบที่จิตเกิดการกระทบอารมณ์ใด ย่อมพร้อมปรุงแต่งสลับเวียนไปมาอย่างรวดเร็ว ใครที่จับความคิดทันจะเห็นว่า ปฏิจจฯ นั้นรวดเร็วนั้น มีดีชั่วโกรธร้ายเซ็ง ฯลฯ ความคิดปรวนแปรต้องจับให้ทันจริงๆ ไม่ใช่ว่าดับไปแล้วตัวเก่าหายไปเกิดตัวใหม่แบบแยกกัน เพราะที่จริงเป็นเหตุของกันและกัน ที่เรียกว่ากระแสวิบากในกรรมนั้นๆ เมื่อกระทบวิญญาณ(จิต) สัญญานำกลับมา สังขารย่อมปรุงให้เกิด เวทนา และ ตัณหาอุปาทานภพชาติฯ ย่อมสืบต่อ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    บุคคลที่ถูกฝึกมาดีแล้วจึงมีจิตมั่นคงไม่หวั่นไหวง่านต่อกิเลสสาม ราคะ โทสะ โมหะ นั้น แม้อนุสัยยังอยู่ แต่ก็ถูก สติปัญญา ตามดู อย่างเก่งแค่คิด อย่างกลางเป็นวาจาในกรอบ อย่างแรง เป็นวาจาและการกระทำที่ผิดศีล ไม่ใช่อวิชชาตัวเล็กตัวใหญ่ แต่เหตุที่อนุสัยมีอยู่ เมื่อไม่ถูกทำลาย ย่อมกวนให้เป็นไปตามแรงปรุง บางคนไม่มีเจตนาร้ายอะไร แต่ก็ทำลายโลกได้ง่ายๆ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ความโกรธดับไปจริงหรือ ไม่มีที่ตั้งจริงหรือ หรือมันแค่สงบไป แต่ยังหมักดองเป็นอนุสัยกิเลสอยู่ในจิต มีการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แต่ไม่ได้ถูกประหารไป จึงพร้อมจะถูกกวนให้ขุ่นอีกทันที ที่ถูกกระทบ และเปลี่ยนแปลงทันทีตามการสังขาร ของ ราคะ โทสะ โมหะ หรือกิเลสนั้นๆ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เหตุแห่งความโกรธ ก็มาจากหนึ่งในกิเลสสาม คือ โทสะ ซึ่งถูกกวนมาจาอนุสัยอีกที และเหตุแห่ง ความโลภโกรธหลงนั้นเพราะอวิชชา <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ถ้าอวิชชาดับไปแล้ว วิชชาเกิดขึ้น อาสวะกิเลสถูกทำลายไป ย่อมบรรลุธรรม เป็นผู้เข้าสูกระแสนิพพาน เห็นความจริงตามธรรมชาติแห่งจิตนั้น ตามสังโยชน์ที่ดับไป ไม่ใช่ต้องตามดับอวิชชาหลายสายแบบนั้น แต่เกิดความเข้าใจถูกขึ้นมา อวิชชาจึงถูกทำลายไป (ตามกำลัง)<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อวิชชา ก็คืออวิชชา ไม่ใช่ความไม่รู้ แต่เป็นการรู้ที่ไม่ถูก พร้อมจะเกิดทันทีที่คิดว่ารู้ในสิ่งที่ไม่รู้ เมื่อคิดไม่ถูกการปรุงแต่งย่อมสร้างกระบวนของปฏิจจฯ ปฏิจจฯ นี่ หากดับ(ประหาร)อวิชชา ได้เพียงครั้งก็ข้ามโคตรปุถุชน เข้าสู่อริยบุคคล
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อ่านอวิชชามูล ตัณหามูล http://www.larnbuddhism.com/visut/3.8.html


    ;aa34<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2008
  17. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    958
    ค่าพลัง:
    +1,699
    ขอบคุณคุณ James Bond
    สำหรับลิงค์นี้ ประเภทของจิต http://palungjit.org/showpost.php?p=70902&postcount=6

    แต่คิดว่า เจตสิก น่าจะ 52 ดวงค่ะ

    ;k07
     
  18. James Bond

    James Bond สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +20
    Sadhu Anumotami krab

    Dear Khun Tao Jiao and All,

    For comprehensive understanding the real story & situation, please visit this link:

    http://palungjit.org/showthread.php?t=132021&page=5

    Spend your time throughly,the answer is based on your prudent judgment.

    Best wishes,
    James Bond
     
  19. taengmostudio

    taengmostudio สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +17
    มีนิทานเก่าๆ มาให้ทบทวน

    “สหาย ท่านคิดเช่นนั้นหรือ? ถ้าหากว่าพระพุทธเจ้ามิได้ชี้ ความดับทุกข์ ว่า เป็นสุดทางปฏิบัติ
    หรือมิได้สอนให้กำหนดความรู้ความทุกข์เป็นปากทางปฏิบัติก่อน เอาแต่ พร่ำด้วยวิธียกสมบัติสวรรค์ในชาติหน้า มาชม
    เพื่อล่อใจว่าเมื่อตายแล้วจะไปเกิดใหม่ใน สิบหกชั้นฟ้า ได้เสวยศฤงคารสมบัติในสวรรค์นั้นมีแต่ความสุขได้อย่างใจทุกประการ เพียงเท่านี้จะมีผลเป็นอย่างไร?
    คงมี สาวก อเนกอนันต์ มีความเชื่อถือ ยินดีรับรองคำสอนไว้โดยเร็ว และคงเพียรพยายามเพื่อความหลุดพ้นจากโลกมนุษย์ด้วยความเต็มใจ
    แต่หารู้สึกไม่ว่าความเพียรเพื่อหลุดพ้น แต่เป็นไปในการเช่นนี้ย่อมเป็น การรั้งเอาตัณหา คือความร่านกระหาย ติดไปด้วยกันกับตน
    อย่างแน่นหนา ต้อง วนเวียนไปมาใน เหตุแห่งความทุกข์ แล้ว ก็ได้รับผล คือ ความทุกข์ จะหลุดทุกข์ไปไม่พ้นเลย
    เปรียบเหมือนสุนัขเฝ้าบ้าน ผูกล่ามไว้กับเสา พยายามจะให้หลุดพ้นเครื่องล่ามไป แต่ก็รั้งเอาเครื่องล่ามนั้นไปด้วยรอบ ๆ
    เสาก็หาหลุดไปได้ไม่ อุปมาฉันใด ภิกษุผู้ตั้งความเพียรเพียงไรก็ตามแต่เมื่อ รั้งเอาตัณหาต้นเหตุทุกข์มาเพลินใจไว้ด้วย
    ก็ต้องวนเวียนรับทุกข์แล้วทุกข์เล่าไม่ออกจากภพน้อยภพใหญ่ไปได้ มี อุปไมยอย่างเดียวกัน”
    “ข้อนี้ ข้าพเจ้ายอมรับว่าเป็นอันตรายต่อการหลุดพ้นอยู่เพราะอาจไปรับทุกข์ แต่ก็ยังเห็นว่า
    ลัทธิที่มาชี้แจงเสียอย่างนี้ย่อมเป็นอันตรายร้ายกว่า เพราะทำให้ความเพียรที่บำเพ็ญมาแต่ต้นหย่อนล้าหมดอยากลงไป
    เพราะถ้าตายก็สูญไม่ได้ไปเกิดในสถานบรมสุข ไม่ได้รับบำเหน็จที่ลงทุนเพียรเหนื่อยยากมา”
    “สหาย ถ้าเรื่องจะเป็นอย่างต่อไปนี้ ท่านจะสำคัญอย่างไร? ต่างว่าไฟกำลังไหม้บ้าน”
    ขณะนั้นหลังคาและไม้เคร่าถูกไฟไหม้ กำลังจะร่วงตกลงมาอยู่แล้ว ถ้านายจะตอบบ่าวว่า “เจ้าออกไปดูก่อน ว่าข้างนอกบ้านฝนตกหรือเปล่า
    มีพายุหรือเปล่า เดือนมืดหรือเปล่า ต่อฝนไม่ตก พายุไม่มี เดือนไม่มืด ข้าจึ่งจะออกจากบ้านไป”
    “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ไฉนผู้เป็นนายจะกล่าวแก่บ่าวอย่างนี้? เพราะบ่าววิ่งเข้ามาปลุกด้วยความตกใจ
    บอกว่าให้หนีออกจากบ้านไปเพราะไฟไหม้ถึงเคร่าและหลังคากำลังจะตกลงมาอยู่แล้ว”
    “ก็ถ้าหากว่า ผู้เป็นนายจะตอบว่า “เจ้าออกไปดูก่อนว่าข้างนอกบ้านฝนตก หรือเปล่ามีพายุหรือเปล่า
    เดือนมืดหรือเปล่า ถ้าฝนไม่ตก พายุไม่มี เดือนไม่มืด ข้าจึ่งจะออกจากบ้านไป” ดั่งนี้ ท่านคงจะเห็นว่าเรื่องที่บ่าวอันซื่อสัตย์มาบอกว่า
    กำลังเกิดภัย ร้ายแรงอยู่ในบ้านนั้น ผู้เป็นนายคงฟังไม่เข้าใจไม่ใช่หรือ?”
    “ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าย่อมจะลงความเห็นเป็นเช่นนั้น เพราะคิดไม่เห็นเลยว่า นายไหนจะเป็นบ้าพอถึงกับจะตอบอย่างนั้น”
    “ถูกแล้ว อาคันตุกะ ตัวท่านในเวลานี้ ก็ เหมือนกับมีเพลิงลุกฮืออยู่รอบศีรษะ เพราะบ้านของท่านกำลังถูกไฟไหม้? ถูก
    ไฟคือความรักใคร่ยินดี
    ไฟคือโทสะ และ
    ไฟคือความหลง
    มาเผาอยู่ สกลโลกย่อมถูกไฟนี้เผาผลาญอยู่ สกลโลกอัดแน่นอยู่ด้วยควันไฟนี้ และสกลโลกก็สะท้านไหวจนถึงราก เพราะฤทธิ์ไฟนี้พลุ่งโพลงเต็มกำลังแรง”
    เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสอธิบายดั่งนี้ กามนิต มี อาการสั่นเทิ้มคล้ายลูกแหง่ที่ได้ยินเสียงบันลือแห่งราชสีห์ในพุ่มไม้ใกล้ตัว
    ทรุดกายยวบศีรษะตกฟุบอก นั่งนิ่งคอตันเป็นครู่ใหญ่ ครั้นระบายลมหายใจได้บ้างแล้วก็กล่าวด้วย เสียงสั่นแต่กระด้าง ว่า
    “ตามที่อธิบายมานี้ อย่างไรก็ยังไม่เป็นทางที่ข้าพเจ้าพอใจ พระพุทธเจ้าช่างไม่ทรงแสดงเรื่องที่ข้าพเจ้าอยากจะทราบ เสียเลย
    พระ พุทธเจ้า “ดูก่อนอาคันตุกะ ทั้งนี้ก็เช่นเด็กไม่เดียงสาคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ เด็กคนนี้ปวดฟันเจ็บร้าวไปหมด พอเห็นแพทย์มีความรู้เชี่ยวชาญก็วิ่งไปหา และบอกถึงความทุกข์ให้ฟังว่า “ข้าพเจ้าขอความกรุณาให้ใช้ความรู้ของท่าน ทำให้รู้สึกเกิดปีติสุขแทนความเจ็บปวดที่มีอยู่ในขณะนี้” แพทย์ตอบว่า “ความรู้ที่มีอยู่ก็คือถอนเหตุเจ็บปวดนั้นเสีย ที่จะทำให้เกิดความสุข ทั้ง ๆ ไม่ถอนเหตุเจ็บปวดเสียก่อนย่อมไม่ได้” แต่เด็กนั้นไม่พอใจคร่ำครวญว่า “ได้ทนความเจ็บปวดรวดร้าวที่ฟันมานานแล้ว จึ่งควรได้รับรสแห่งความบันเทิงสุขแทนและก็ได้ทราบว่ามีแพทย์วิเศษที่สามารถ ทำให้เกิดความสุขได้ โดยไม่ต้องถอนฟันที่เจ็บออก เข้าใจว่าท่านคือแพทย์วิเศษที่อาจทำได้ เมื่อท่านไม่สามารถจะทำได้ก็ต้องไปแพทย์อื่น” ว่าแล้วเด็กคนนั้นก็ไปมีแพทย์เถื่อนทำปาฏิหาริย์เล่นกลได้มาจาก แคว้นคันธาระ ตีกลองร้องโฆษณาว่า “ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง ความไม่มีโรคเป็นที่มุ่งของมนุษย์ ผู้ใดมีความเจ็บป่วยทนทุกขเวทนาร้ายแรงเพียงไร ก็อาจรักษาให้กลับเป็นผู้มีแต่ความสุขความบันเทิงทั่วสรรพางค์กายได้ โดยเสียค่ารักษาอันย่อมเยา” เด็กเจ็บฟันวิ่งไปหาแพทย์เล่นกล และขอให้ช่วยเปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นความบันเทิงสุขด้วย แพทย์เล่นกลก็อวดอ้างและรับรองว่า ตนมีความรู้ความชำนาญในทางนี้ ว่าแล้วเรียกเงินค่ารักษาเสียก่อน เอานิ้วแตะที่ฟันเสกคาถาอาคมตามพิธี เด็กนั้นรู้สึกหายเจ็บปวด วิ่งกลับบ้านโดยความ แช่มชื่นรื่นเริงเป็นความสุข
    “ต่อมาไม่ช้า ครั้นความรู้สึกเป็นความสุขนั้นค่อยจืดจางลงไปความเจ็บปวดก็มาแทนที่อีก ทั้งนี้เพราะอะไร? ก็เพราะไม่ถอนเอาต้นแห่งความปวดนั้นออกเสียก่อน
    “ดูก่อนอาคันตุกะ แต่ต่างว่า ชายคนหนึ่งเจ็บปวดฟันสาหัส แต่เป็นผู้มีความคิด ได้ไปหาแพทย์ผู้มีความชำนาญ แพทย์บอกว่าจะต้องจัดการที่ตรงฟันปวดจึ่งจะได้ ชายคนนั้นบอกว่าก็มีความต้องการอย่างนั้น แพทย์จึงตรวจดูฟันที่เห็นต้นเหตุว่าที่ปวดเป็นเพราะเหงือกอักเสบ ได้แนะนำให้เอาปลิงเกาะดูดเลือดร้ายออกมาเสียก่อนแล้วเอายาพอก ชายผู้นั้นทำตามแนะนำ ความเจ็บปวดก็หายขาด ไม่กลับมาอีก ทั้งนี้เพราะอะไร? ก็เพราะถอนเอาต้นเหตุแห่งความเจ็บปวดออกเสีย”
    เมื่อพระศาสดาทรงชักอุทาหรณ์ขึ้นเปรียบเทียบ ดั่งนี้ กามนิต นั่งนิ่งคอตกหมดปฏิภาณไม่ทราบว่าจะโต้อย่างไร แต่ก็ยังไม่ยอมตนที่จะ เป็นเหมือนเด็กไม่เดียงสาในอุทาหรณ์ ในที่สุดสงบอารมณ์อันปั่นป่วนได้แล้วก็ถามเสียงกระเส่า ๆ ว่า
    “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ! ข้อความที่กล่าวมาทั้งนี้ท่านได้ยินมาจาก พระโอษฐ์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยตนเองหรือ?”
    พระพุทธเจ้าทรงยิ้มน้อย ๆ ซึ่งพระอาการเหล่านี้นาน ๆ จักมีสักครั้งหนึ่ง ตรัสตอบว่า “ดูก่อนภราดา เราบอกไม่ได้ว่า ได้ยินมา จากโอษฐ์พระศาสดาเอง”
    เมื่อกามนิตได้ฟังดั่งนี้ ก็มีอาการโล่งใจหายหดหู่ ตัวมีดวงตาแจ่มใสขึ้น เสียงก็หายกระเส่า ออกอุทานว่า
    “นั่นนะซี! ข้าพเจ้าไม่แน่ใจในคำกล่าวของท่านมาก่อนแล้ว บัดนี้รู้แล้วว่า คำอธิบายที่ท่านกล่าว หาใช่ ถ้อยคำของพระพุทธเจ้าไม่ แต่เป็นโวหารอ้อมค้อมที่ท่านนึกเฉลยเอาเองโดยความเข้าใจผิด แท้จริงธรรมของพระพุทธเจ้าย่อมอำนวยผลประโยชน์ ในเบื้องต้น ในท่ามกลาง และ ในที่สุด? ดั่งนี้ใครอาจกล่าวหลู่หลักธรรมอันนั้นได้ ว่ามิได้อำนวยผลบันเทิงสุขอย่างยอดเยี่ยมให้? อย่างไรก็ดี ในอีกสองสามสัปดาห์ ข้าพเจ้าก็จะได้เฝ้าพระศาสดาแทบพระบาทมูล แล้วรับเอาซึ่งพระธรรมเพื่อหลุดพ้นโดยตรงจากพระโอษฐ์เอง เหมือนดั่งทารกที่ได้ดูดสิ่งโอชาอันชุ่มชื่นจากอกมารดาเองฉะนั้น และท่านก็จะได้ไปเฝ้าด้วย แล้ว รับพระธรรมอันแท้จริง ตัวท่านก็จะเปลี่ยนความเข้าใจอันกวัดแกว่งนี้เสียได้ เชิญท่านดู ดวงจันทร์อันแหว่งที่เลื่อนลอยไปถึงแนวชายคาหอนั่งแล้ว คงเป็นเวลาดึกมากอยู่ ควรที่เราจะพักผ่อนนอนกันเถิด”
    พระพุทธเจ้าตรัสว่าดีแล้ว พลางทรงชักพระอุตราสงค์คลุมพระกายแนบแน่นเป็นปริมณฑล เอนองค์ลงเหนือพระสันถัตในอาการสีหไสยา พระหัตถ์ขวาหนุนพระเศียร พระบาทซ้ายซ้อนเหลื่อมพระบาทขวา ทรงกำหนดเวลาที่จะเสด็จตื่นบรรทม

    ....................

    ;k07;k07;k07;k07
     
  20. creating

    creating สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +10
    ไพเราะ ลึกซึ้ง
     

แชร์หน้านี้

Loading...