โรคภัยไข้เจ็บ อันเกิดจากการนั่งสมาธิ / การฝึกจิต / การฝึกพลัง

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO


จักระทุกคนเปิดอยู่แล้ว แต่ อาจทำงานได้ไม่เต็มที่ หรือ บกพร่อง

ถ้ายาที่ทานแล้วเป็นพิษต่อระบบร่างกาย จะถูกระบบภูมิต้านทานธรรมชาติที่สมบูรณ์เต็มที่( จักระ เต็มประสิทธิภาพ)ขับส่วนที่เป็นพิษไม่แรงนัก ออกมาได้


ถ้าระบบจักร ที่ทำงานได้ระดับปกติของคนทั่วๆไป ทำงานขับพิษได้ไม่ดี
เท่าที่ควร จะเกิดพิษสะสมที่ตับ ไต


ถ้าจักระทำงานดี แทบไม่ต้องทานยาเลยนะครับ


ผมสงสัยว่า ระบบจักระคุณบกพร่องหรือ มีการบล๊อคของจักรหรือไม่

เพราะยาสมัยใหม่หลายอย่างจะบล๊อคการทำงานของจักร
และ เมื่อพิษสะสมระดับหนึ่ง ต้องเพิ่มยาไปเรื่อยๆ ร่างกายจะพังเร็ว

 

อ้อ เพิ่งนึกได้...

ปิติ คือ ธรรมที่อยุ่ตรงข้ามกับ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ

สุข คือ ธรรมที่อยุ่ตรงข้ามกับ อาฆาต พยาบาท



ถ้าเรารักทีจะทำสิ่งดีอะไรก็ตาม แล้ว สนุก เพลิดเพลิน ก็ลองทำดูบ่อยๆนะครับ

ใจที่สบายๆ ปิติ ( ขนลุก ) จะเกิดง่าย

 

ส่งลิ้งค์ ตัวแอนตี้ กำจัดไวรัสที่มากับ msn

http://community.thaiware.com/thai/index.php?showtopic=341680

 

ขอขอบพระคุณมากๆนะครับคุณ โอม.และคุณมังกรบูรพารวมทั้งท่านผู้ร่วมกันสร้างสรรค์กระทู้ที่ดีงามและน่าสนใจนี้ขึ้นมา.......ผมเพิ่งมาพบน่ะครับ...เรื่องจักระและพลังกุณฑาลิณีสำหรับผู้เริ่มต้นผมจะหาได้จากกระทู้ไหนหรือขอรับ
.....พูดถึง... ปิติคือธรรมที่ตรงกันข้ามกับความฟุ้งซ่านรำคาญใจ.....แล้วเป็นความจริงแท้ทีเดียวครับ..เพราะผมใช้บ่อยในการข่มตัวโมหะเมื่อใรก็ตามที่เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย..ใจโหวงๆ..ตื้อๆในหัว..สมองคิดอย่างไร้ระบบฟุ้งซ่าน..ผมก็ใช้วิธีทำขนลุกให้เกิดขึ้นมา..ก็สามารถระงับอาการนั้นได้..หลังจากนั้นจึงใช้สติพิจารณาความไม่เที่ยงของสิ่งที่ดำเนินอยู่ของจิตอาการฟุ้งซ่านก็จะค่อยๆหายไป..เพราะทราบว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรคงทนถาวร..ไม่ว่าทุกข์หรือสุข...
....สังเกตุได้ว่าการเกิดของอาการปิตินั้นนอกจากมาจากการทำสมาธิแล้ว..ยังมาจากการอ่านหนังสือธรรมมะแล้วพิจารณาตามได้อีกด้วย..อย่างเรื่องของขันธ์ห้าหรือไตรลักษณ์นี่แน่นอนที่เดียวครับสำหรับการเกิดของปิติ...หรือการสนทนาปัญหาธรรมหรือกฏเกณฑ์ธรรมชาติกับท่านผู้รู้หรือสหายธรรมก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน...หรือการมองสภาวะรอบๆตัวแล้วโน้มนำมาพิจารณาร่วมกับไตรลักษณ์ก็เกิดขึ้นได้......แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่
อาการปิติเมื่อเกิดขึ้นจากเรื่องราวใดๆแล้วเมื่อเราได้กลับมาหาเรื่องราวเหล่านั้นเพื่อทบทวนหรือเรียนรู้เพิ่มเติมแล้ว....ก็ไม่ได้เกิดอาการปิติเกิดขึ้นมาอีกหรือเกิดขึ้นน้อยมาก...เว้นเสียแต่เราจะกำหนดน้อมนึกสร้างขึ้นมาตามที่ใจ(จิต)อยากให้เกิด...
...................................
..............สุขคือธรรมที่อยู่ตรงข้ามกับ อาฆาต พยาบาท...............
..............ผมเคยเข้าใจว่า....สุขเกิดจากการรู้จักพอและการให้........
....เมื่อพิจารณาแล้ว...สิ่งที่สามารถข่มอาฆาต พยาบาทได้ คือการแผ่เมตตาและให้อภัย นั่นก็คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา...เมื่อแผ่และให้แล้วก็จะเกิดปิติและสุข...........ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกรึเปล่าครับ....

 

...มีอีกบางประการเกี่ยวกับอาการขนลุกครับ...ที่ผมไม่เข้าใจ..จากการทำสมาธิหรือกำหนดให้เกิดอาการขนลุกสิ่งที่ตามมาหลังจากทำแล้วก็คือจะมีลมขึ้นมาจากแถวๆกระเพาะหรือหน้าอกขึ้นมา(แต่ไม่ใช่ลมจากกระเพาะหรือว่ากระเพาะผมไม่แน่ใจ..จับความรู้สึกไม่ชัดเจนครับ)ผมก็เลย...เรอ..ออกมาเป็นลมจริงๆครับ..ผมสงสัยว่าลมนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร..บางครั้งก็มีนำลายเหนียวๆออกมาเกินปกติด้วยครับ......
อีกอาการเรื่องลมที่ขึ้นมาก็คือ..สังเกตุได้ว่าเมื่อจิตบังเกิดโทสะคือความดกรธหรือความไม่ชอบใจ..จะสังเกตุได้ว่าบริเวณหน้าอกจะร้อนรุ่มๆเมื่อมองพิจารณาบริเวรนั้นก็จะมีลมขึ้นมาเหมือนกัน.....เมื่อ..เรอ..ลม..ออกมาแล้วรู้สึกว่าอาการโทสะจะเบาบางไป...ผมไม่เข้าใจและไม่แน่ใจในกระบวนการ ลม หรือน้ำลายเหนียวๆที่เกิดขึ้น ว่าเกี่ยวข้องกับการทำสมาธิหรือสภาวะจิตอย่างไรขอรับ..

 

เดี๋ยวคืนนี้จะลองแบบที่ 3 ก่อนครับจารย์ ยังไม่เคยฝึกครับ ไม่แน่ใจว่าต้องทำ

กี่ครั้งผลถึงจะออกมา แต่ยังไงมั่วไว้ก่อนครับ 555555555 ผิด/ถูก แล้วค่อย

มาถามใหม่ อิอิ

 

ฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯ


เตรียมตัวอาบน้ำแข็งได้เลยครับ

แล้วจะทราบได้ด้วยตนเอง

ลองอ่านตั้งแต่ต้นกระทู้ จะมีรายละเอียดอยู่

บอกเป็นไกด์ได้เพียงว่า....
ในระดับแรกๆ ที่ทำ เป็นการระบาย การขับสิ่งไม่ดี ต่อร่างกายออก
ไม่ว่าทวารไหนๆ

 

ขอขอบพระคุณท่านผู้เป็นคุรุที่ได้ชี้แนวทางที่ควรเดินแก่กระผม..ขอให้ท่านประสพพบเจอความสุขความสำเร็จตามที่มุ่งหวังทุกประการด้วยเดชแห่งบุญกุศลที่ท่านทำเทอญ...สาธุ.

 

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO


คงเป็นท่านอื่นๆ ที่เป็นคุรุ ผมไม่ยอมรับคำนี้ เดี๋ยวเหาขึ้นหัว เพราะยกตัวเกินเหตุ

การอาบน้ำแข็ง เรียนรู้ได้ไม่ยาก เรื่องที่อาศัยหลักการธรมชาติ อย่าพลาดที่จะเห็นคุณค่าตัวเอง

ตอบข้อสงสัยเดิมของคุณ ใหอีกนิดนะครับ

เวลากำหนดขนลุก แล้วน้ำลายเหนียว...ออกมามาก
ในช่วงแรกๆของการฝึกฝน เป็นการชำระล้างพิษออกมาทางจักร 5
( คอ ปาก )

ที่มีลมเรอออกมา ตอนกำหนดขนลุก ก็เช่นเดียวกัน แต่ถ้าคุณกัดฟัน
ดูซิ จะต่างกันอย่างไร


คุณสังเกตุอาการได้ละเอียด ดีครับ
ที่เห็นว่า ตอนอารมณ์พลุ้งพล่าน มีลมร้อนที่บริเวณอก
ถ้าลมระบายออกไปแล้วจะเย็นขึ้น

อธิบายได้อย่างนี้อย่างนึงคือ....

เมื่อคนเราโกรธ พลังงานถุกปลดปล่อยออกมามากขึ้น

แต่ การที่คุณมีสติสัมปชัญญะดี (สังเกตุจากการที่คุณมีสติเห็นอาการของกาย และลมที่สัมพันธ์กัน )

กำหนดจิตเห็นลักษณะลมที่สัมพันธ์กับอาการของจิต ( โกรธ ) จากลิ้นปี่ ( จักระ4 - ศูนย์กลางที่ตั้งของอาณาปราณ) ขึ้นมา ทำให้พลังสติเพิ่มพูนขึ้น อารมณ์โกรธ จึงสลายไปเร็ว แม้ไม่ได้ตั้งเจตนาครับ


อธิบายก็ยืดยาวอย่างนี้ ถ้าทำเอง จะเข้าใจได้ละเอียดและเร็ว


ขอให้คุณขมิ้นชันประสพความสำเร็จจากการฝึกตน ให้เป็นที่พึงของตน

 

ขอความเมตตา กรุณา

จากท่านที่ทำสำเร็จ มีประสพการณ์จากการอาบน้ำแข็ง ทำขนลุก ฯลฯ

หลายท่านแอบทำอยู่

แล้วเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น


ขอให้ท่านเมตตามาเล่าเป็นวิทยาทาน และ กำลังใจ

แก่ท่านอื่น ด้วยครับ


เป็นกัลยาณมิตร ช่วยเหลือกันต่อไป ให้วิชานี้ เป็นวิชาที่ช่วยตนและผู้อื่น

แม้คนแรกๆ มีเหตุไม่ได้มาบอกเล่าในเวป

 

ช่วงนี้ก่อนอาบน้ำแข็ง ทุกครั้งไม่เคยอยากอาบเลย อยู่ๆก็กลัวน้ำแข็งขึ้นมาซะงั้น อาบขันที่สาม ก็ร้องไห้แล้ว แต่ก็สู้ต่อไป เพียงแต่ช่วงอาบน้ำมันช่างยากเย็น กะอีแค่น้ำแข็งทำไม ถึงมีอำนาจทำให้ใจเรากลัวได้ขนาดนี้ อาบไปก็พิจารณาไป เออ เรานี่มันใจเสาะจริงแค่น้ำแข็งเองนะ สู้จ้วงอาบน้ำต่อไป สู้แค่ไหน ก็สู้แค่ตาย ยิ่งกลัว ก็ต้องพยายามอาบให้ไม่กลัวให้ได้ ขอเป็นกำลังใจให้คนอาบน้ำแข็งที่รู้สึกเหมือนกัน อาบต่อไปสู้ต่อไปนะคะ แม้มันจะหนาวเหน็บแค่ไหน แต่หลังอาบเราก็อบอุ่นนี่นา

 

ฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯ


ไม่ใช่เรากลัว

แต่ สิ่งที่แอบในหัวเรา ต่างหาก

 

ต่อไปอีกระยะ ผมจะไม่มีเวลาเข้าเวปฯบ่อย


จะเข้ามาตอบส่ว่นที่สำคัญๆ ตามเวลาที่อำนวยครับ


ตอนนี้งานที่รับผิดชอบทางโลกมากขึ้นแล้ว


อยากให้ทุกท่านทำ เอาปัญหาข้อสงสัยจากการทำมาถาม และ เล่าให้กันฟัง



คนที่ทำมาก่อน ก็ช่วยกันตามที่เคยทำ แชร์ประสพการณ์กัน และช่วยประคองกันไป



ลองทวนความรู้ทั้งหมดตั้งแต่ต้นกระทู้ นั่นมากพอแล้ว

มากจนเฝือแล้ว ..........ถ้าทำแล้วจะรู้

ถ้าผมตายไป หรือ ไม่ได้เข้ามาตอบ วิชาอาบน้ำแข็ง จะมีประโยชน์ต่อไป





"""""""เสียดาย บัณฑิต นักปราชญ์ ผู้ทรงคุณธรรมขั้นสูง หลายท่าน

ไม่ปรากฏออกมา สั่งสอนเอง ...........


แม้อยากออกมาสอน แต่ เกรงคนที่ปรามาสท่าน จะได้รับผลกรรมทีทำให้ผู้ล่วงเกินท่านตกต่ำ จนช่วยเหลือยาก



""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""







ขอความสำเร็จ จงมีแก่ ชีวิตทั้งหลายผู้หวังพ้นทุกข์ ด้วยความเพียร<!-- / message --><!-- sig -->

 

วันนี้เป็นการอาบน้ำแข็งวันที่เจ็ดไม่มีความเย็นเหมือนทุกวันเหมือนอาบน้ำปรกติ แต่อาการปวดที่ต้นคอเป็น ๆ หาย ๆ รู้สึกทำให้ขนลุกขึ้นบ้างเวลานึกถึงสิ่งศักดิ์บางอย่างที่เราเคารพ มีอารมณ์นิ่งพอดู อาการอย่างอื่น ๆ ก็ยังมีอาการง่วงบ้าง แต่ก็น้อยลง แต่ทำไมถึงเป็นคนชอบฝันจังเลย บางทีก็เหมือนจริงเกินไปในบางช่วง ทำอย่างไรถึงทำให้จิตนิ่ง ไม่ให้เกิดความฝันได้ในเวลากลางคืน หลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อไปอีกค่ะ หลังครบเจ็ดวันแล้ว สมาธิดีขึ้นค่ะ เย็นในจิตน๊ะบอกไม่ถูกเหมือนกัน ขอบคุณมากค่ะที่แนะนำเรื่องดี ๆ ในนำมาปฏิบัติ

 

สวัสดีครับผมพึ่งเข้ามาในกระทู้ขอร่วมด้วยคนนะครับ

 

รายงานผลแบบที่ 2 ครับจารย์

ยังไม่แน่ใจครับว่าทำถูกต้องไหม ผมได้ตั้งจิตที่ลิ้นปี่ และเริ่มหายใจเข้า

ให้ยาวไปถึงจมูก โดยทำความรู้สึกที่ลิ้นปี่ด้วย พอหายใจออกลดตัวยาง

ยืดมาที่ลิ้นปี่ (เหมือนปรอทขึ้นลง) มีอาการจมูกโล่ง , เปลือตาเต้นถี่ ๆ ,

สักพักตาลืมขึ้นมาเอง , แต่ที่น่าตกใจคือตรงลิ้นปี่ (อก) มีกระจุกก้อนพลัง

ความร้อนครับ

แบบที่ 3 ครับจารย์

รู้สึกจะยากขึ้นครับ เพราะต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงและผมยังไม่ชำนาญ.............

มีอาการจมูกโล่ง , เปลือกตาไม่เต้นถี่เหมือนแบบที่ 4 คือเห็นแสงขาว ๆ ที่

เปลือกตา เสร็จแล้วตาจะค่อย ๆ ลืมขึ้นมาอย่างช้า ๆ มีช่วงจังหวะที่ผมเผลอ

ตามันลืมเองโดยที่ไม่รู้ตัว , ดูเหมือนมีแสงแดดเป็นลำกว้าง ๆ ส่องมาเข้า

ตัว , เส้นเอ็นที่ีแขนซ้ายเต้นถี่ยิบ , มีกระจุกพลังความเย็น อยู่ตรงคอหอยครับ

แบบที่ 1 ไม่ต้องห่วงครับจารย์ คือทำไม่เป็นอ่ะ งิงิ

มี ป.ล.ด้วยอ่ะ...ทำของอาจารย์เสร็จแล้วมาทำของคุณโอมต่อ คือทำติดกัน

เลยงง ๆ ครับ อาจมีมั่วมั่ง อิอิ

 

หามิได้ขอรับ..สำหรับผมแล้ว..ท่านใดหรือสิ่งใดก็ตามก็ตามที่แสดงสิ่งดีๆที่ผมไม่รู้ให้ผมได้เรียนรู้ผมก็นับถือเป็นคุรุครับ...ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อยกว่าผมก็ตาม..อิอิ..ไม่อยากจะบอกเรยว่า ต้นไม้ หรือสัตว์บางชนิดที่มีส่วนดีหรือคุณธรรมบางข้อ..ดีกว่าผมผมก็ยังนับถือเรยคับ..หุหุ..ผมคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เท่าเทียมกันหมด เว้นแต่ความสูงส่งของจิตวิญญาณ.....ก็เลยชักจะมองโลกไม่ค่อยเหมือนคนปกติ..............
..................เรื่องขนลุก...........ร่างกายท่อนบนและแขนผมทำได้คล่องดีครับ......แต่ติดปัญหาตรงตั้งแต่ท้องลงไปต้องใช้การกำหนดจิตมากหน่อยถึงจะลงไปถึงขาแต่ก็ไม่มากนัก....จะมีวิธีการแก้ไขอย่างไรครับ...ขณะที่ทำจะรู้สึกว่าเป็นคลื่นไหลจากหน้าอกตรงลิ้นปี่กระจายไปตามแขน ขณะเดียวกันก็จะขึ้นไปข้างบนมากหน่อยจนหน้าฝากวูบๆตึงๆแล้ววนลงมาทางใบหน้าผ่านลำคอจังหวะนี้ถ้าใช้ลิ้นดุนเพดานปากก็จะรู้สึกว่าไหลผ่านลำคอลงท้องไปเลยครับ....ถ้ากัดฟันก็เช่นเดียวกัน..ลมที่จะเรอก็ไม่ออกมาไหลย้อนลงท้องเหมือนกันครับ...เรื่องลมไม่ใช่เฉพาะอาการโกรธครับ..ไม่ว่าจะเป็นอารมย์ใดๆที่ชัดเจนกว่าปกติ..ก็เกิดลมเช่นกัน..เช่นถ้าดีใจก็จะรู้สึกเย็นๆสดชื่น..เอ้อ..ไม่ใช่ลมซะทีเดียวนะครับ..เป็นกึ่งๆลมและคลื่น..บอกไม่ค่อยถูก..คล้ายๆกับว่าคลื่นเกิดก่อนแล้วจึงขึ้นมาเป็นลม....น่ะครับ....อีกนิดนึงเกี่ยวกับอาการขนลุก..ที่สังเกตุได้...วิธีการก็คล้ายๆของคุณ โอม.มากครับ..คือ ยืนนิ่งๆ ปล่อยตัวตามสบาย หลังตรง หายใจช้าๆ ยาวๆ ลึกๆ อัตตราโดยประมาณ
ก็คือ หายใจเข้า สามสิบวิ หายใจออกสามสิบวิ หากชำนาญแล้วก็ เข้าหนึ่งนาที ออกหนึ่งนาที...ใหม่ๆจะรู้สึกมึนศรีษะ....เมื่อทำได้ซักห้านาที ก็จะเกิดอาการขนลุกแผ่ซ่านปลายมือปลายเท้าตึงๆ ครับ....วิธีการนี้ได้มาตอนสมัยบวชพระ ท่านว่าเป็นการ "กินลม" ซึ่งดีต่อสุขภาพครับ..

 

อยากช่วยต่อเติมความหวังให้คุณโอมเหมือนกันครับแต่คงช่วยได้น้อยนิด
เหมือนที่คุณโอมว่าครับ ท่านที่ทรงธรรมชั้นสูงก็อยากมาแต่คนก็จะปรามาสท่าน
เป็นบาปกรรมกันเปล่าๆ แค่ผมอาบน้ำแข็งแค่นี้ยังลือไปข้ามจังหวัดเลยครับ
ส่วนมากไม่เชื่อบอกว่าจะแข็งตายว่างั้น ส่วนพวกที่เชื่อคือที่ทำงานร่วมกัน
บางคนก็ว่าผมบ้าไปนอกลู่นอกทางแล้ว(พวกนี้ล่ะจะเจอ) หลายคนก็ถามเหตุผล
ผมก็บอกว่าแค่อาบรักษาสุขภาพเท่านั้น

สำหรับการอาบน้ำแข็งตอนนี้ก็อาบเช้าเย็น แต่ก่อนยังกะจะตายแน่ะครับ
กว่าจะถึงสิบขันแทบถอดใจ เพราะมันปวดมันทรมานมาก
แต่ทุกวันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปครับ ผมแข็งแรงขึ้นมาก ท้องไม่ค่อยอืด
(แต่ก่อนทานอะไรนิดหน่อยก็ไม่ค่อยย่อยครับ ทุกวันนี้สบายก็เลยทานเก่งขึ้นนิดๆ...)
หน้าก็ดูใส ดูอ่อนวัยมากขึ้น และอาบน้ำช่วงหลังๆไม่ค่อยปวดเลย เย็นสบายสุดๆ
เสียงก็เปลี่ยนไปนิดครับ ดูเสียงแน่นๆมีพลังขึ้น

สำหรับใครที่กลัวอยู่ก็ตั้งใจใหม่ครับ ผมนี่ใช้คติว่าลุยทุกอย่าง บ่ยั่น ถึงไหนถึงกัน
แรกๆอาบองสามขันแรก โห...ยังกะหัวจะระเบิด ลูกตาจะถลนออกมา
แต่เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ผมจำต้องไว้ลายสุดฝีมือ สู้จนแรงอึดสุดท้าย
ทุกวันนี้ก็มีอาการเป็นประจักษ์พยาน ไม่ค่อยกลัวหนาว
เวลาอาบน้ำเย็นธรรมดาจะหนาวๆเย็นๆ แต่พอเจอน้ำแข็งราดลงไปทุกอย่างก็จบครับ
ความหนาว ความเย็น หมดไป ความปวดในหัวนิดๆมาแทน
จากนั้นก็เย็นสบายตลอดทุกขันที่อาบ ทุกวันนี้เห็นการอาบน้ำแข็งเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่กลัว

ขอเอาใจช่วยทุกท่านที่ยึกยักอยู่รีบชักอาวุธออกจากฝักเสียก่อนที่จะไม่มีโอกาสชัก
ผ่านด่านนี้ไปได้...รับรอง....น้ำแข็ง...เรื่อง สุกรๆ...(อิอิ)
ชีวิตหนึ่งตายหนเดียว ขอไว้ลายให้สมชื่อ

 

มังกรเอย..มังกร
เมื่อเธอทดลองแล้ว ให้หล่อหลอมให้เกิดสิ่งที่เหมาะแก่ตน
รวมเข้าเป็นทักษะเฉพาะตน

ทุกสิ่งมีดีมีเสียพิจารณาสิ่งที่เข้ากับตน แล้วใช้ประโยชน์ ใช้เป็นบันไดเพื่อปีนขึ้นสู่จุดหมาย

อย่ามัวเสียเวลากับของเล่นน่าสนุกนี้

 

ช่วงนี้ไม่ได้อาบน้ำแข็งมาสามวัน
แต่ว่าวันนี้จะอาบต่อไปแม้อากาศจะหนาวเย็นสักเพียงใด
เพราะเดี๋ยวก็อุ่นเพราะคนเรามีเครื่องทำน้ำอุ่นอยู่ในตัว
วันก่อนพลาดพลั้งเกิดอาการของขึ้นมา
คือมีอาการถูกคุมโดยอะไรก็ไม่ทราบ
ออกอาการสวดภาษาแปลกแถมทำอาการแปลกๆ
แต่ไม่มีอาการคลื่นใส้หรือโอ๊กอ๊ากแต่ประการใด
ทุกอย่างรู้ตัวอยู่แต่มีอาการมาได้
ขำตัวเองแทบแย่อุตส่าห์ไปฝึกสติปัจฐาน4
ที่วัดอัมพวันมาหลายรอบแต่ก็ยังไม่ทันได้กำหนดให้ทันได้สักที
หรืออาจเป็นเพราะอยู่ในภาวะว่างๆ
ต้องถามคุณโอมแล้วล่ะว่าทำอย่างไรดีเหมือนกับเขาคุมเราเสียทั้งหมด
เหลือแค่ให้เรารู้ว่าเรายังมีสติรู้อยู่เท่านั้นมันผิดพลาดตรงไหนละเนี้ย
อ้อเมือวานไปดูดวงไพ่มาสงสัยว่าที่นั่นจะมีอะไรอยู่ตัวซ่าๆทั้งตัวทั้งขาด้วย
และหมอดูก็ออกอาการหาวแล้วหาวอีก
จนเราสงสัยว่าจะดูได้หรือนี่ที่ยังไปดูมานี่
เพราะว่าจะตั้งศาลพระพรหมไว้ที่บ้าน
ก็ยังไม่แน่ใจว่าควรไม่ควรเพราะมีศาลพระภูมิอยู่แล้ว