จิตบังคับบัญชาได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้...จะอบรมจิตได้อย่างไร???

วี ร บุ รุษ

 

แปลว่า ไม่รู้

 

ไม่รู้ = ว่าง

 

<TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

[ แนะนำเรื่องเด่น ] ​

</TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>jinny95, วิษณุ12, สันโดษ+ </TD></TR></TBODY></TABLE>
เจ้าโดด รู้ป่าว ^-^

 

ไม่รู้ ถ้า รู้ ก็ ไม่ว่าง

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ธรรมภูต
*ครับสุขกับสุขยิ่งต่างกันยังไงครับ???
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ วิษณุ12<O</O
ท่านธรรมภูต เคยกิน น้ำตาลไหมครับ หากอายตนะท่านไม่เสีย มันจะรู้รสหวานแล้วท่านตอบผมได้ไหม รสหวานเป็นอย่างไร


</TD></TR></TBODY></TABLE>
***ถ้าไม่ต่างกัน จะมีการแบ่งชั้นความหวานกันหรือครับว่า
หวานพอประมาณ หวานมาก หวานมากๆจนเลี่ยน

แล้วทำไมระดับความหวานที่แต่ละคนต้องการจึงไม่เท่ากันละครับ???

ทำไมบางคนที่มีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก
ได้ของที่ต้องการมากเพียงเล็กน้อย ก็เป็นสุขอย่างยิ่งครับ???

ส่วนบางคนที่เกิดมามีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมมูลแล้ว
ทำไมยังต้องดิ้นรนเพื่อหาความสุขอีกหละครับ???
ที่ท่านธรรมภูตถามผมว่า สุข กับ สุขยิ่ง ต่างกันอย่างไร
ผมตอบว่า มันต่างกันแน่นอน แต่ที่ผมตอบไปก่อนหน้านี้นั้น ผมอยากให้ทราบว่า มันตอบยาก จึงได้ชี้ให้ท่านฟังว่า น้ำตาล รสหวานเป็นอย่างไร มันอธิบายยาก

ผมอยากให้ท่านธรรมภูต อธิบายให้ฟังหน่อย รสหวาน เป็นอย่างไร??

 

ระวังพลังจักรวาลมันตีจากไขสันหลังไปอัดอยู่ที่ ช่องทางเดินท้ายทอยนะครับ อย่านึกว่าเป็นไมเกรนเชียว พอเกิดอาการปวดแน่นท้ายทอย (บางทีก็ปวดสูงถึงฐานกระโหลก แล้วก็วิ่งไปเกือบๆขมับสองข้าง) ให้หยุดพักสักวัน นั่งสมาธิเดินพลัง 7 จุด ค่อยๆเดินจากตะเข็บเย็บ ถึง กระหม่อม ให้พลังได้เดินคล่องบ้าง ป้องกันพลังอุดตันครับ

ปล. ผมเคยเป็น ยาหมอก็แก้ไม่หายเด้อ ระวังๆด้วยละกัน
ปล.2 อย่าลืมกฏห้ามรักษาเกินวันละคน

 

ขอบคุณนะครับ ...ว่าแต่ว่า พลังจักรวาล คือ อะไรเหรอครับ

 

คุณก็ต้องบอกให้ชัดเจนสิครับ ในครั้งแรกนั้นคุณพูดลอยๆว่าอยู่โดยธรรม???
คนอ่านอาจเข้าใจผิดได้นะครับ
เพราะคุณเคยบอกว่ากิเลสไม่เป็นทุกข์ เมื่ออยู่โดยธรรม
ถ้าไม่เป็นทุกข์ก็แสดงว่าเป็นโลกุตตรธรรมสิครับ
คุณพูดกำกวมเองนิครับ???

คุณควรพูดให้ชัดเจนสิครับ ในเมื่อครูบาอาจารย์บางท่านยังชอบพูดเสมอๆว่า
เราทุกวันนี้เป็นอยู่โดยธรรมใช่มั้ยครับ???


วิษณุ12...ท่านธรรมภูตลองกลับไปอ่านใหม่ซิว่า ผมว่าอย่างไรครับ...

ธรรมภูต...เพราะคุณเคยบอกว่ากิเลสไม่เป็นทุกข์ เมื่ออยู่โดยธรรม( ตัวเขียวๆนี่ท่านธรรมภูตตอบเองนะครับ..สังสัยต้องไปซื้อแว่นท้อปเจริญใส่แล้วล่ะครับ ..แซวนะครับ)

อ้างอิงนะครับ..
ธรรมภูต...ในเมื่อตัวกิเลสไม่เป็นทุกข์ ก็ดีแล้วนิครับ แล้วทำไมต้องเป็นเหตุด้วยครับ???
วิษณุ12... เพราะมันมีอยู่โดยธรรม

ท่านธรรมภูตถามผมว่า ในเมื่อตัวกิเลสไม่เป็นทุกข์ แล้วทำไมต้องเป็นเหตุด้วยครับ???

ผมตอบว่า... เพราะมันมีอยู่โดยธรรม
เพราะ กิเลส มันมีอยู่โดยธรรม จึงเรียก อริยสัจ

 

ครับเป็นสีแดงเช่นกันครับ แต่มูลเหตุเป็นสีแดงที่มีก่อน<O</O
ส่วนกิเลสก็เป็นสีแดงเหมือนกันแต่มีมาภายหลังครับ<O</O
<O</O

ที่ตอบมานั้นถูกต้องแล้วใช่มั้ยครับ???

ท่านธรรมภูตครับ อ้างอิงนะครับ

อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ วิษณุ12
อวิชชา เป็นมูลเหตุแห่งกิเลสทั้งปวง....
ตัวแดงๆนี่ตัวเดียวกันไหมครับ?? </TD></TR></TBODY></TABLE>

(อวิชชา เป็นมูลเหตุแห่งกิเลสทั้งปวง)....ประโยคในวงเล็บนี้ผมก๊อปจาก ท่านธรรมะสวนัง ท่าน ธรรมะสวนังโพสไว้
ตัวแดงๆนี่ตัวเดียวกันไหมครับ?? ...ส่วนประโยคสีเขียวนี้ผมถาม ท่านธรรมะสวนังครับ ว่า มูลเหตุ หรือ อวิชา ที่ท่านธรรมะสวนัง นำมาโพส กับ กิเลส เป็นตัวเดียวกันไหม...

 

เธอจงเป็นผู้มีสติ ดูโลกให้เห็นเป็นของว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิเสียได้ อัตตาฟังซิ ถอนอัตตานุทิฏฐิกัน ดีไม่ดีผู้เรียนมากนี่แหล่ะทิฐิมานะยิ่งสูง

 

<TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

[ แนะนำเรื่องเด่น ] ​

</TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>นิวรณ์*, วิษณุ12, หนูน้อย, ธรรมะสวนัง </TD></TR></TBODY></TABLE>


;aa8

 

อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ธรรมะสวนัง
อวิชชา เป็นมูลเหตุแห่งกิเลสทั้งปวง


</TD></TR></TBODY></TABLE>
อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">วิษณู12
ตัวแดงๆนี่ตัวเดียวกันไหมครับ??


</TD></TR></TBODY></TABLE>

อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ธรรมภูต
ครับเป็นสีแดงเช่นกันครับ แต่มูลเหตุเป็นสีแดงที่มีก่อน<O</O
ส่วนกิเลสก็เป็นสีแดงเหมือนกันแต่มีมาภายหลังครับ



</TD></TR></TBODY></TABLE>
<O</O

 

ถ้าไม่มีอวิชชาเป็นมูลเหตุ(สีที่ทาทับครั้งแรก)ให้รู้เห็นผิดจากความเป็นจริงแล้ว....ผมถามท่านธรรมภูตว่า สีที่ทาทับครั้งแรก แล้วต้องทาทับครั้งที่สองไหมครับ หรือ ทาแค่ชั้นเดียวครับ??
<O</O
คุณจะมีกิเลสเกิดขึ้น(พอกพูน)กับตัวคุณมั้ยครับ???

 

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้อวิชชา เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิใช่ไม่มีอาหาร,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าเป็นอาหารของอวิชชา,
ควรจะกล่าวนิวรณ์ ๕ เป็นอาหารของอวิชชา

 

ถามท่านธรรมะสวนังครับ ตกลง อวิชา (มูลเหตุ) เป็นตัวเดียวกันกับกิเลสใช่ไหมครับใช่ไหมครับ ??

 

อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ วิษณุ12
.......ท่านธรรมภูติ เกิดมาจนได้ทุกวันนี้ เป็น เหตุสร้างผลแล้วใช่ไหมครับ?? </TD></TR></TBODY></TABLE>
ธรรมภูต...ถ้าคุณ<st1ersonName alt="" 0? w:st=" border="></st1ersonName>ไม่มีกิเลส กรรม วิบากเป็นเหตุกดดันให้เกิด
คุณจะมาเกิดมั้ยครับ???

ข้อความเก่า
<TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 100%; mso-cellspacing: 0cm; mso-padding-alt: 3.6pt 3.6pt 3.6pt 3.6pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #ece9d8 1pt inset; PADDING-RIGHT: 3.6pt; BORDER-TOP: #ece9d8 1pt inset; PADDING-LEFT: 3.6pt; BACKGROUND: #f7f3f7; PADDING-BOTTOM: 3.6pt; BORDER-LEFT: #ece9d8 1pt inset; PADDING-TOP: 3.6pt; BORDER-BOTTOM: #ece9d8 1pt inset; mso-border-alt: inset windowtext .5pt">ธรรมภูต
เหตุมีไว้ให้ละนะครับ ไม่ใช่มีไว้ให้ดับ เมื่อละเหตุได้ทุกข์ก็ดับครับ
วิษณุ 12<O<?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shapetype id=_x0000_t75 stroked="f" filled="f" path="m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe" oreferrelative="t" o:spt="75" coordsize="21600,21600"> <v:stroke joinstyle="miter"></v:stroke><v:formulas><v:f eqn="if lineDrawn pixelLineWidth 0"></v:f><v:f eqn="sum @0 1 0"></v:f><v:f eqn="sum 0 0 @1"></v:f><v:f eqn="prod @2 1 2"></v:f><v:f eqn="prod @3 21600 pixelWidth"></v:f><v:f eqn="prod @3 21600 pixelHeight"></v:f><v:f eqn="sum @0 0 1"></v:f><v:f eqn="prod @6 1 2"></v:f><v:f eqn="prod @7 21600 pixelWidth"></v:f><v:f eqn="sum @8 21600 0"></v:f><v:f eqn="prod @7 21600 pixelHeight"></v:f><v:f eqn="sum @10 21600 0"></v:f></v:formulas><vath o:connecttype="rect" gradientshapeok="t" o:extrusionok="f"></vath><?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-comfficeffice" /><o:lock aspectratio="t" v:ext="edit"></o:lock></v:shapetype><v:shape id=_x0000_i1025 style="WIDTH: 14.4pt; HEIGHT: 14.4pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\wiszign9\LOCALS~1\Temp\msohtml1\05\clip_image001.gif" o:href="http://palungjit.org/images/smilies/tongue-smile.gif"></v:imagedata></v:shape>
ละกับดับ มันต่างกันไหม เทียนที่จุดขึ้น ท่านละเทียนได้ไหม ให้มันไม่มีไฟร้อน เทียน ที่จุดมีไฟมันร้อน ท่านไปดับที่ผล คือ ความร้อนของเปลวเทียน มันก็ไม่ดับ แต่ถ้าท่านดับที่ไส้เทียน เปลวไฟจึงดับ ความร้อนจึงดับ แล้วใช้คำว่า ละเทียน แทนคำว่าดับได้ไหม<O<v:shape id=_x0000_i1026 style="WIDTH: 14.4pt; HEIGHT: 14.4pt" alt="" type="#_x0000_t75"> <v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\wiszign9\LOCALS~1\Temp\msohtml1\05\clip_image001.gif" o:href="http://palungjit.org/images/smilies/tongue-smile.gif"></v:imagedata></v:shape></O<v:shape id=_x0000_i1027 style="WIDTH: 14.4pt; HEIGHT: 14.4pt" alt="" type="#_x0000_t75"> <v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\wiszign9\LOCALS~1\Temp\msohtml1\05\clip_image001.gif" o:href="http://palungjit.org/images/smilies/tongue-smile.gif"></v:imagedata></v:shape>
ครับ?? <o></o>
</TD></TR></TBODY></TABLE>

ธรรมภูต...ถึงว่าสิครับคุณวิฯ ละกับดับต่างกันโดยสิ้นเชิงนะครับ
เทียนที่ติดขึ้นมาได้นั้น เหตุเพราะเราไปจุดด้วยประกายไฟมันใช่มั้ยครับ???
ถ้าเราละเหตุได้ เทียนก็ไม่ติดไฟใช่มั้ย???

ส่วนที่คุณพูดหนะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
(ประโยคสีน้ำเงินนี้ท่านธรรมภูตกล่าว)
คุณไม่รู้หรือครับว่า เปลวเทียนและความร้อนเป็นอัญญะมัญญะปัจัจยซึ่งกันและกัน
เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วหากรรมวิธีที่ถูกต้องในการดับครับ...ไม่เกี่ยวกับการละเลยนะครับ....


ธรรมภูต...ถึงว่าสิครับคุณวิฯ ละกับดับต่างกันโดยสิ้นเชิงนะครับ
เทียนที่ติดขึ้นมาได้นั้น เหตุเพราะเราไปจุดด้วยประกายไฟมันใช่มั้ยครับ???
ถ้าเราละเหตุได้ เทียนก็ไม่ติดไฟใช่มั้ย???

วิษณุ12...ใช่ครับเพราะมีเรานี่ล่ะครับ ....แต่เทียนที่จุดมาแล้ว ผมยกมาเพื่อนอุปมาให้ท่านธรรมภูติ เพื่อเข้าใจสิ่งที่ผมอธิบายน่ะครับ ว่าวิธีดับความร้อนหรือแสดงสว่าง จะดับไปได้อย่างไร เลยต้องดับที่เชื้อ คือ ใส้เทียน ซึ่งเป็นเหตุ ให้ไฟลุกอยู่ ผมถึงพยายามชี้ตรงนี้น่ะครับ

ธรรมภูต...ครับเพราะมีเราเป็นเหตุไปจุดเทียนขึ้นมาใช่มั้ย???
ถ้าเราไม่ไปจุดเทียนขึ้นมาเทียนจะติดขึ้นมาเองได้มั้ยครับ???
คุณกำลังพูดสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว(มีเหตุสร้างผลแล้ว)
(ประโยคสีน้ำเงินนี้ท่านธรรมภูตกล่าว)

ธรรมภูต...เมื่อเทียนติดไฟแล้ว คุณดับโดยเอามือไปดับที่ไส้เทียนนิ้วมือร้อนมั้ยครับ???

ธรรมภูต...เรื่องบ้างที่เป็นเรื่องร้อนโดยที่มีเชื้อไฟยังอยู่บางครั้งต้องรอเวลาครับ
แต่ในกรณีนี้ที่ต้องการให้ดับโดยเร็วที่สุด ก็ควรที่เอาเทียนไปไว้ในที่อับอากาศเทียนก็จะค่อยๆมอดไปเองครับ

ธรรมภูต...ไส้เทียนเป็นเหตุให้ไฟยังลุกต่อไปได้
ส่วนที่เทียนติดเพราะเหตุเราไปจุดมันใช่มั้ยครับ???(ละเหตุแห่งทุกข์)


ธรรมภูต....ส่วนที่คุณพูดหนะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
คุณไม่รู้หรือครับว่า เปลวเทียนและความร้อนเป็นอัญญะมัญญะปัจัจยซึ่งกันและกัน ..
วิษณุ12...ถูกต้องแล้วครับ ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ธรรมภูต....เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วหากรรมวิธีที่ถูกต้องในการดับครับ...ไม่เกี่ยวกับการละเลยนะครับ
วิษณุ12....ครับ ถือว่าผมเข้าใจ คำว่าละ ผิดไปเองครับตรงนี้ ต้องขออภัย...


วิษณุ12....ท่านธรรมภูตครับที่ผม พยายามยกอุปมาเกี่ยวกับเทียนที่จุดขึ้นนั้น เพื่อชี้อธิบายนะครับ หากผมไม่ยกเหตุที่มันเกิดขึ้นแล้ว ก็คงอธิบายยากนะครับ.... ก็เหมือนกับ คนที่เกิดลืมตามาดูโลกแล้ว ...ก้เป็นเหตุสร้างผลที่เกิดขึ้นมาแล้ว ถ้าท่านธรรมภูตไม่ให้ผมยกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้ว แล้วจะยกเหตุการณ์อะไรแบบไหนล่ะครับ .....


ธรรมภูต....เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วหากรรมวิธีที่ถูกต้องในการดับครับ...ไม่เกี่ยวกับการละเลยนะครับ

วิษณุ12...ในเมื่อเทียนถูกจุดขึ้นมาแล้ว เหตุ คือไส้เทียนทำให้ลุกไหม้อยู่ เมื่อจะดับเทียน ก็ต้องดับที่ไส้เทียน ไฟจึงจะดับ หรือจะใช้คำว่า ละ
คนที่เกิดมาแล้ว หากจะทำให้ไม่เกิดขึ้นมาอีก ก็ต้องดับที่เหตุ ที่ทำให้เกิด ใช่ไหมครับ หรือจะใช้คำว่าละ
ตรงนี้ผมพยายามอธิบายน่ะครับ...ระหว่าง ละ กับ ดับ

 

ปูเสื่อรอเลยนะหนิ่.......ถกธรรมกันคนอ่านก็ได้ประโยชน์ไปด้วย อิอิ

 

สำหรับผม อวิชชา นอนเนื่องอยู่ในกมลสันดาน จับแน่นอยู่ในขันธ์ทั้งห้า ทำให้กิเลสมีน้ำเลี้ยงมีอาหารเจริญงอกงาม

กิเลสโตบานเบอะเลย

แต่หากจะกล่าวว่าอวิชชากับกิเลสคนละตัวก็ไม่เชิงนัก

แต่หากจะกล่าวว่ากิเลสใช่อวิชชาก็ไม่เชิงนัก

แต่หากจะกล่าวว่าอวิชชาไม่ใช่กิเลสก็ไม่ควร^-^

 

แต่หากจะกล่าวว่ากิเลสเป็นสมุทัยอันนี้ชัด

จะเทียบสูตรอวิชชาก็ว่า ไม่รู้อริยสัจจ์ ไม่รู้อดีต ไม่รู้อนาคต ไม่รู้ทั้งอดีตและอนาคต ไม่รู้ปฎิจจสมุปบาท ^-^