ที่ว่า จิตไม่เที่ยง คือจิต หรืออาการของจิต....

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย 2ชาติตรัสรู้, 2 ธันวาคม 2009.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ คำสอนเหล่านี้สอนเกินหน้าเกินตาจอมศาสดาซะงั้น
    ในพระสูตรอนัตตลักขณสูตร พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ชัดเจนว่า
    อะไรที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตนพึ่งพาอาศัยไม่ได้

    ไม่มีตรงไหนในพระสูตรที่ทรงตรัสไว้อย่างที่ท่านยกมาเลย
    อย่าซี้ซั้วมั่วว่าเป็นพระพุทธพจน์ แบบนี้กฏพระไตรลักษณ์บิ่นหมด...

    ;aa24
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ อาการของจิตไม่เที่ยงคงไม่มีใครเถียง
    แล้วโลกุตรจิตของพระอริยเจ้านั้น เที่ยงตรงต่อพระนิพพานมั้ย???

    ในเมื่ออะไรๆในโลกนี้ ล้วนไม่เที่ยง ไม่มีแล้ว
    เอาพระนิพพาน ที่เที่ยง ที่มีอยู่จริงมาจากไหน???
    อย่าบอกหนะว่าอยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาเอง...

    ;aa24
     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ ถ้าจิตไม่มีความสำคัญเลย แล้วอบรมจิตให้มีสติเพื่ออะไร???
    ถ้า"จิตเป็นของหนัก" ทำไมเราจึงปฏิบัติภาวนาให้จิตเบาสบายได้หละ???
    ถ้า"เป็นของสกปรก" แล้วพระพุทธองค์ทรงสอนให้ชำระจิตให้บริสุทธิ์หมดจดเพื่ออะไร???

    อ่านดูที่นี่ครับ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง
    ที่อบรมแล้ว ย่อมควรแก่การงาน เหมือนจิต
    ที่อบรมแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อย่างใหญ่ เหมือนจิต
    ที่อบรมแล้ว ปรากฏแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อย่างใหญ่ เหมือนจิต
    ที่อบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อย่างใหญ่ เหมือนจิต
    ที่อบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ เหมือนจิต
    ที่ฝึกแล้ว คุ้มครองแล้ว รักษาแล้ว สังวรแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อย่างใหญ่ เหมือนจิต

    [๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง
    แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมองแล้วด้วยอุปกิเลสที่จรมา
    ปุถุชนผู้มิได้สดับ ย่อมจะไม่ทราบจิตนั้นตามความเป็นจริง
    ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า ปุถุชนผู้มิได้สดับ ย่อมไม่มีการอบรมจิต ฯ

    [๕๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง
    และจิตนั้นแล พ้นวิเศษแล้วจากอุปกิเลสที่จรมา
    พระอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมทราบจิตนั้นตามความเป็นจริง
    ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า พระอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมมีการอบรมจิต ฯ

    ;aa24
     
  4. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ครับท่าน.
    นายหลง ไม่ใช่พระอรหัตสาวกแต่จะขอตอบแบบสาวกอรหัตแล้วกัน

    การโผล่ขึ้นมาในที่นี้ เราบังคับหรือสั่งให้โผล่ได้ไหมล่ะ
    แต่จะบอกว่า อยู่ๆโผล่ขึ้นมา!
    การโผล่ขึ้นมาต้องมีกระบวนการขัดเกลาปัญญา บางคนภาวนา บางคนเพียงสดับธรรม นั่นแปลว่าไม่ใช่เหตุบังเอิญ

    นิพพาน เป็นเรื่องดับสูญในนิยามของจิต เป็นผลของเหตุ ส่วนจิตเที่ยงตรงพระนิพพาน เป็นเรื่องคำสมมุตติเพื่ออธิบายความ นั่นเพราะขันธ์มียังมีอยู่แม้ผู้ครองขันธ์บอกว่าไม่มีเหลือแล้ว อุปมาเหมือนคนส่องกระจกนะน้า

    ส่วนข้อนี้ ผมไม่รู้จริงๆครับ จิตเที่ยง เป็นอย่างไรหนอ


    กินไม่ได้ หรือกินไม่เป็นล่ะ
    มั่วแต่ดูสิ่งที่อยากดู กินสิ่งที่อยากกิน บำรุงหูด้วยสิ่งที่อยากฟัง
    มันก็ได้แค่นั้นแหละ

    ทีนี้ เจอสิ่งไม่อยากได้ยิน ตบเข้าบ้องหู มันก็ต้องออกอาการหน่อย เป็นธรรมดา ถูกไหม
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านครับ พระนิพพานใช่ของที่มีอยู่ก่อนแล้วใช่มั้ย???
    เมื่อเราปฏิบัติจนบรรลุถึงจึงปรากฏให้ประจักษ์ขึ้นมาใช่มั้ย???
    พระนิพพานที่ประจักษ์ขึ้นมานั้น ประจักษ์ขึ้นมาที่ไหน กายหรือจิต???

    "การโผล่ขึ้นมาต้องมีกระบวนการขัดเกลาปัญญา"
    ปัญญาขัดเกลากันที่ไหน? ที่กายหรือที่จิตของผู้ปฏิบัติหละ???

    คำสมมุติ เป็นคำที่จะต้องมีสิ่งรองรับคำสมมุตินั้นใช่มั้ย???
    ถ้าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง จะบัญญัติคำสมมุติขึ้นมาได้หรือ???

    ในครั้งปฐมพระพุทธพจน์ที่พระองค์ตรัสไว้ว่า
    "จิตของสิ้นการปรุงแต่ง บรรลุพระนิพพานพระสิ้นตัณหา"

    ในขณะนั้นพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ บรรลุพระนิพพานอยู่นั้น
    พระพุทธองค์ยังทรงดำรงขันธ์อยู่ตลอดเวลาใช่มั้ย???
    ที่พระพุทธองค์ทรงบรรลุพระนิพพานนั้น ทรงบรรลุที่กายหรือที่จิตของพระพทุธองค์หละ???
    จิตที่เป็นพุทธะนั้น ยังจะมีการกลับมาเกิดอีกหรือ???

    "ท่านเปรียบเหมือนคนสองกระจก" ผมถามว่า
    ถ้าไม่มีวัตถุสิ่งของอยู่หน้ากระจก จะปรากฏเงาในกระจกขึ้นมามั้ย???

    คำว่า"เที่ยง" หมายความว่า ว.ตรง แน่นอน ที่สะท้อนตรงกับความเป็นจริง
    แน่ แม่นยำ

    มีพระพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า "พระโสดาบันนั้น เป็นผู้เที่ยง"
    ถามว่า เป็นผู้เที่ยงนั้น อะไรของพระโสดาบันที่เที่ยงหละ???
    กายหรือจิตของพระโสดาบันที่เที่ยงหละ???

    ;aa24
     
  6. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรครับ
     
  7. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    หากยึดถือว่าจิตเที่ยง..... เพราะรับไม่ได้ว่า ตัวเองจะไม่มีตัวตน...ไม่มีผู้เสพสุข

    อย่างนี้มิจฉาทิฐิ ต้องเนรเทศไปอยู่กับลัทธิฤาษีที่บำเพ็ญจิต กอดจิตแน่นหนีความทุกข์

    ไม่ให้จิตรับรู้สิ่งใดใดที่เข้ามาสร้างความทุกข์ให้


    ท่านธรรมภูติครับ

    การบรรลุธรรมคือ...การหมดความสำคัญมั่นหมายในตัวจิต ว่าเป็นตัวกู ของกู

    จิตจะมีก็ช่างหรือไม่มีก็ช่างไม่ได้สลักสำคัญอะไร ไม่ได้สนใจ

    โดยความรู้ที่สำคัญของพระโสดาบันก็คือ.....การหมดความถือมั่นในตัวจิต


    ***********************************************************

    อ้างอิงของคุณธรรมภูติ

    ตอนแรก...

    ในเมื่ออะไรๆในโลกนี้ ล้วนไม่เที่ยง ไม่มีแล้ว
    เอาพระนิพพาน ที่เที่ยง ที่มีอยู่จริงมาจากไหน???
    อย่าบอกหนะว่าอยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาเอง...


    ไม่ทราบหรือครับ.........มันมีกระบวนการขัดเกลาจิตให้คลายความถือมั่นในตัวเอง

    ทำไปพอสมควร มันจะมีบางอย่างเกิดขึ้นเอง โดยปราศจากการบังคับให้เกิด

    ซึ่งอาจจะจะผิดหลักการของคนที่คิดว่าบังคับจิตได้ จิตรู้และเห็นบางอย่างนี้แล้ว

    จิตก็คลายความถือมั่นในตัวเอง รู้ว่าจิตไม่ได้เป็น เรา,กู เลย แต่พระโสดาบันก็ยังถือจิตอยู่ ยังทิ้งไม่หมด

    ***********************************************************

    ต่อมา.......

    ท่านครับ พระนิพพานใช่ของที่มีอยู่ก่อนแล้วใช่มั้ย???
    เมื่อเราปฏิบัติจนบรรลุถึงจึงปรากฏให้ประจักษ์ขึ้นมาใช่มั้ย???
    พระนิพพานที่ประจักษ์ขึ้นมานั้น ประจักษ์ขึ้นมาที่ไหน กายหรือจิต??


    ประจักษ์ที่จิตนั่นแหละ คุณธรรมภูติ

    แต่........จิตก่อนเห็นพระนิพพาน กับจิตหลังเห็นพระนิพพาน มันคนละชั้นกันนะัครับ

    จิตก่อนเห็นฯเปรียบเหมือนฟองไข่ไก่ ที่คนทั่วไปกอดฟองไข่หรือตัวจิตว่าเป็น ตัวกู


    แต่พอเห็นพระนิพพานแล้ว ก็เปรียบเหมือนมีอะไรบางอย่างเจาะเปลือกไข่ออกมา

    ทำให้รู้ว่าฟองไข่หรือตัวจิตไม่ใช่ตัวกู มันเป็นอย่างนั้นครับ


    สำหรับพระพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า "พระโสดาบันนั้น เป็นผู้เที่ยง"นั้น

    ท่านไม่ได้หมายความว่า กายหรือจิต ของพระโสดาบันนั้นเที่ยงไม่ใช่หรือครับ

    แต่ท่านหมายถึงว่าเป็นผู้เที่ยงแท้ ที่จะเดินสู่ทางพ้นทุกข์ และไม่มีการถอยหลัง
    อีกแล้วไม่ใช่หรือครับ



     
  8. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
  9. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    แนะแบบโง่ๆแล้วกันเผื่อวันหน้าไปเจอพระอรหันต์จะได้ถามท่านว่า หากหลงยึดว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เที่ยงแล้ว นั่นหมายถึง เรานั้นไม่เป็นปัจจุบัน เพราะปัจจุบันนั้นเรามีขันธ์ และขันธ์ทั้งหลายอาศัยอยู่ในโลก แล้วโลกนี้เป็นสิ่งไม่เที่ยงภูมิต่างๆก็ไม่เที่ยง ขันธ์นี้ก็เช่นกัน เว้นแต่ว่า เราจะไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้วไม่ได้อยู่ในภูมิต่างๆแล้วจึงกำหนดได้ว่า จิต ที่เรายึดครองนั้นเที่ยงซึ่งในความเป็นจริงก็เป็นไปไม่ได้เลย หากยังเวียนอยู่ ยังมีภพที่มาที่ไปอยู่จึงเห็นเป็นของเทียงแล้วไม่ได้เลย เพราะเป็นเหตุแห่งความเสื่อมในธรรมของตนเองโดยแท้ จะปรุงแต่งจากตำราด้วย คำกล่าวของพระสาวกองค์ใดก็ตาม มันก็จบลงสู่ที่เมื่อไม่มีจิตก็ไม่มีภพไม่มีภูมิ ถึงตรงนี้รูปนามก็ไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่ใช่สิ่งอันยึดถือแล้ว แต่ด้วยปัจจุบันเราอาศัยกันอยู่ได้ด้วยขันธ์ทั้งหลาย อยู่ในภพภูมิต่างๆและปัจจุบันเราอยู่ในมนุษย์โลก การเห็นความไม่เที่ยง เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปของจิต จึงยังมีอยู่ และสืบต่อภพ ภูมิต่างๆก็ยังมีอยู่ เพราะจิตคือสิ่งที่อาศัยซึ่งปัจจัยเป็นองค์ประกอบกันขึ้นจึงมีได้ คือ ขันธ์ทั้ง ๕ แต่ละภูมิแต่ภพนั้นหยาบละเอียดแตกต่างกัน แต่โดยมากพระอรหันต์เจ้าทั้งหลายท่านจะไม่กล่าวเพราะ ปัจจัยให้เกิดจิตและภพ ภูมิ ต่างๆนั้นไม่มีไม่เกิดแก่ท่านในแง่นี้จึงเหมือนกับว่า เที่ยง เพราะไม่มีอะไรจรมาให้เกิดจิตสืบต่อกันไปให้เกิดภพ ภูมิต่างๆอีก แต่ท่านทั้งหลายก็ไม่ค่อยกล่าว โดยมากจะเห็นเพียง ไม่มีจิต พระอรหันต์ นั้นท่านไม่มีจิต ตรงนี้น่าจะหมายความแบบนี้มากกว่า ส่วนตัวผมเห็นว่า หากจิตที่แยกจากกายได้แล้วด้วยกำลัง สมาธิ สติปัญญา แล้วยังกำหนดเห็นเป็นตัวเป็นตนอยู่ ยังเห็นว่าสิ่งนั้นเที่ยงหรือไม่เที่ยงอยู่ ยังติดอยู่ที่อัตตาหรืออนัตตาอยู่นั้นแสดงว่า จิตนั้นยังไม่สิ้นความยึดมั่นถือมั่นเพราะยังหลงอยู่ เพราะหากมองธรรมหรือพิจารณาให้เป็นปัจจุบันกันจริงๆ ก็สมควรจะเห็นความเป็นอนัตตา และเพราะอะไรจึงเป็นอนัตตา นอกจากแปลว่าไม่เป็นตัวเป็นตนแล้วยังไม่ใช่ของตัวของตนด้วยตรงจุดนี้ก็ลองๆไปแยกจิตออกจากขันธ์ ๕ ดูอย่าเอาเวลามาเสียไปกับการเอาตำรามาว่ากันเลยว่า ท่านโน้นว่าอย่างนั้น ท่านนี้ว่าอย่างนี้ ผมเองก็ยืนยันว่าหากพระศาสดาอบรมบำเพ็ญบารมีมา ๔ อสงไขยกับแสนกัปล์เพียงเพื่อเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นว่าเป็นของตัวของตนแล้วก็ย่อมไม่สมควรและไม่เป็นไปเพื่อ ธรรมอันสูงสุดของพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้แน่นอน ลองไปพิจารณาคือการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน อย่าไปถามใคร อย่าไปอ่านเอา อย่าไปฟังอย่างเดียว มันพูดกันไม่รู้เรื่องหรอกจริงๆแล้ว
     
  10. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,697
    ค่าพลัง:
    +1,559
    จิตเที่ยงหรือไม่ เรื่อง1
    จิตเป็นเราหรือไม่ เรื่อง1.

    การมีความเห็นว่าจิตเที่ยง ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีความเห็นว่าจิตเป็นเราเสมอไป
    การมีความเห็นว่าจิตเที่ยง ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีความยึดมั่นถือมั่นในจิตนั้นเสมอไป

    จิตเที่ยงเหมือน ความตาย
    อาการของจิต ไม่เที่ยง เหมือน อาการของความตาย(เวลาตายและเหตุที่ทำไห้ตาย)

    เดาสุ่มทั้งนั้นหละตามกิเลสและข้อมูลที่ศึกษามาเอามาจินตนาการ..
    ไม่มีไครรู้จริงหรอก ก็รู้ทั้งรู้นะว่าถึงพระท่านรู้จริงพูดเองก็เท่านั้นเรื่องแบบนี้พูดไปก็เข้าใจด้วยกันไม่ได้ ก็ยังอดไม่ได้ ที่จะแสดงเดาไปตามกิเลสมัน

    ไปเดินดีกว่า . . .
     
  11. จีโอ14

    จีโอ14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +262
    เห็นแต่..เมื่อไม่มีอุปาทาน..ก็ไม่มีภพ..

    เข้าใจคำนี้มากกว่า

    พระสาวกองค์ไหนหนอ..ที่จบลงสู่ที่..เมื่อไม่มีจิตก็ไม่มีภพ

    อาการของจิต


    ลองไปถามพระอรหันต์ดูซิ..ว่าท่านมีจิตไหม?..

    สัพพปาปัสสะ อกรณัง จงละความชั่วเสียทั้งหมด

    กุสลัสสูปสัมปทา จงบำเพ็ญกุศลให้ถึงพร้อม

    สจิตตปริโยทปนัง จงทำจิตให้ผ่องใส

    เอตัง พุทธาน สาสนัง นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์

    จะทำให้ผ่องใส่ยังงัย..เมื่อมันไม่มี?

    และถ้ากล่าวว่า..จิตไม่มี..จะไม่เกินพระพุทธเจ้าไปหรือ?


    จริง..
     
  12. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    รู้ไหม ถ้ำลิเจีย เขาว่ามีทองที่ญี่ปุ่นซ่อนไว้ เขาว่ากันนะ
    รู้ไหม อิสาน เขาว่ามีบ่อน้ำมันหลายแห่ง เขาว่ากันนะ

    เราต่างแค่เป็นนักเดินทาง และอยู่ในระหว่างทางเดิน
    เป็นธรรมดา ย่อมต้องฝอยประกาศอัตตา ว่าปลายทางเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ตามตำราหรือฟังเขามา หรือหนักไปอีกคือยังไปไม่ถึงแต่โม้เป็นต่อยหอย เป็นธรรมดา นี่ถ้าเป็นนักบวช ผมปรับมุสาไปแล้วนะ
     
  13. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    ขอผู้รู้ผู้มีปัญญาชี้แนะธรรมะด้วยมีปัญหาสงสัยและคาใจในคำตอบ

    อัตตาคือทิฐิ อัตตาคือกิเลส อัตตาคือความยึดมั่นถือมั่น (รึป่าว?)
    อนัตตาไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน สลายตัวในที่สุด (รึป่าว?)

    ท่านให้ละอัตตาโดยเห็นเป็นอนัตตา ไม่ได้ให้ยึดอนัตตาเป็นตัวเป็นตนเป็นทิฐิเป็นกิเลส เมื่อใดที่ยึดอนัตตาเป็นตัวเป็นตน เป็นทิฐิ เป็นกิเลสแล้วนั่นแหละเรียกว่าอัตตา (รึป่าว?)

    ในเมื่อยังปล่อยไม่ได้หมดไม่ได้จริง ก็ยึดเบาๆรู้จักกับอัตตารู้จักกับขันธ์5ที่ยึดอยู่ หยิบอัตตาที่หลงยึดมั่นอยู่ขึ้นมาดูให้เห็นเป็นอนัตตาแล้วก็วาง หยิบขึ้นมาดูแล้วก็วางให้เกิดปัญญา เพื่อละอัตตา รู้ตามความเป็นจริงว่าเรายังมีอัตตายังมีทิฐิยังมีกิเลส โดยใช้อนัตตาเป็นทางเดินเป็นปัญญา เพื่อปล่อยเพื่อระบายคลายความยึดมั่น (รึป่าว?)

    ไม่ใช่ให้ยึดอนัตตา เป็นทิฐิ เป็นกิเลส เป็นตัวเป็นตน ที่หาทางวางไม่ลง เพราะเห็นอนัตตานั่นเป็นอัตตา โดยไม่รู้ตัว โดยปฏิเสธความจริงว่าไม่มีอัตตา ไม่มีทิฐิ โดยหันมายึดอนัตตาแทน ยึดทิฐิแทน (รึป่าว?)

    ท่านให้เห็นอัตตาเป็นอนัตตาเพื่อเป็นทางเดินเพื่อเป็นทางระบายความยึดมั่น เพื่อปล่อยวาง ไม่ใช่ยึดทิฐิว่าทุกสิ่งล้วนอนัตตา แต่ทุกสิ่งล้วนไม่ควรยึดมั่นถือมั่น หลุดพ้นจากความยึดมั่น จากทิฐิต่างหาก จากกิเลสต่างหาก คือจุดมุ่งหมายของพุทธศาสนา (รึป่าว?)

    สิ่งที่หลุดพ้นจากความยึดมั่น จากทิฐิ จากกิเลส จากขันธ์5 เรียกว่าอะไร จะสมมุติเรียกกันว่าอะไรเล่า ตัวผมปัญญาก็ยังน้อย ก็ยังไม่เข้าใจ หรือว่าจะพ้นแล้วจากสมมุติ (รึป่าว?) แล้วมันจะเที่ยง (รึป่าว?)



    " ที่ไม่มีภพ ไม่มีอุปทานคนรับไม่ได้ "
    " ผมมันคนหลงทาง คนนึง "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 ธันวาคม 2009
  14. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    สุ จิ ปุ ลิ ท่านคงเข้าใจแล้ว ก็ขอให้เข้าอยู่ในใจจนเป็นสัมมาสติ สติของนักปราชญ์

    ทีนี้ โสดา โสตะ แปลว่าสดับ หรือฟัง ฟังได้ทั้งธรรมและไม่ใช่ธรรม แยกได้ธรรมถูก ทำไม่ถูก หรือถูกทำ ก็ได้ชื่อว่าอนุโสดา สัมมาทิฐิย่อมอยู่ในทางแน่นอน

    ธรรมในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ทันทีที่สติเกิดที่ไหน สภาวะธรรมย่อมอยู่ที่นั่น ข้อนี้ท่านก็ทราบอยู่ คงไม่นำสตอเบอรรี่มาขายคนปลูกแล้วล่ะ

    แต่จะเน้นว่า

    ความเห็นชอบคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ที่นำไปสู่ความถูกต้องและเป็นสุข
    ปล. คำโปรยหน้าปกหนังสือหลวงพ่อทูล

    วันนี้ท่านมีความเห็นชอบหรือยังหนอ..
     
  15. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    รู้ไปตามจริงสิ มันสภาวะที่เกิดเรา วันนี้รู้อย่างพรุ่งนี้เข้าใจอีกอย่าง วันหน้าภูเขากลับเป็นภูเขา ใครจะรู้

    ไปแซกแซง หรือพยายามเข้าใจอนัตตา ทั้งที่ไม่ใจยังหยั่งไม่ถึง มันก็อนัตตาหลอกๆ
    หากตอนนี้ยังเห็นเป็นอัตตา มันก็ไม่ผิดถูกไหม
    เรารู้ของเราก็พอ ไม่ต้องให้ใครพยากรณ์
     
  16. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    รู้ไหม ถ้ำลิเจียมีอยู่ ทองคำญี่ปุ่นก็มีอยู่ แล้วมันอยู่ที่เดียวกันจุดเดียวกันตามที่เค้าว่ากันไม๊นะ
    รู้ไหม อีสานก็มีอยู่ บ่อน้ำมันหลายแห่งก็มีอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างต่างมีอยู่จริงตามสมมุติและไม่สมมุติ

    ถ้าไม่สมมุติขึ้นมาจะไปถึงที่ที่เรียกว่าถ้ำลิเจียมีทองคำญี่ปุ่นอย่างไร แล้วถ้าสมมุติผิดหละเหมือนแผนที่บอกทางผิดจะเดินไปถึงที่เดียวกันหรือเปล่า

    ความเห็นชอบคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ที่นำไปสู่ความถูกต้องและเป็นสุข (แน่นอนที่สุดเลย)
     
  17. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024

    ขอถามเพื่อเพิ่มพูนปัญญานะครับ ไม่ได้ต้องการโต้เถียง

    จะสามารถรู้ได้ยังไงโดยไม่แทรกแซง ในเมื่อจิตใจยังมีทิฐิมีกิเลสย้อมจิตใจอยู่ แล้วความรู้ที่ออกไปจะเป็นความรู้ของกิเลสโดยที่ไม่แทรกแซงหรือไม่
     
  18. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ท่านเส.
    สมมุติเป็นอย่างไรหนอ
     
  19. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    สติระลึกรู้ไงท่านเส ตอนนี้ใจรู้สึกอย่างไรก็รู้
    โกรธก็รู้ ชอบก็รู้ อยากก็รู้
    ไม่ว่าทำกิจใดๆ งานใดๆลองสังเกตุใจดู ว่าทำงานนั้นด้อยอารมณ์โกรธไหม อยากไหม โลภไหม
    หากมีอยู่ จิตย่อมถูกแซกแซง สนองไปตามภพนั้น

    หากละเอียดเข้ามาอีก ก็เป็นเรื่องปรุงแต่ง คิดค้นเพื่อได้มาสนองกิเลส รู้แล้วทำ เคลื่อนกายไปสนอง องค์กรรมย่อมครบ

    ที่ท่านว่าไม่แซกแซงไม่ได้หมายความว่าไม่ให้ทำอะไรเลย ถ้าห้ามตนไม่ทำอะไรนั้นก้ตรงเกิน เป็นการบังคับแซกแซงเหมือนกัน

    ทั้งหมดย่อมาเหลือ สติระลึกรู้ ข้อนี้ให้มันครบตลอดขณะจิตยิ่งดี
     
  20. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    สมมุติของผมคือ
    สิ่งที่ผมกำลังสื่อสารกันกับท่านโดยตัวอักษรที่สื่อข้อความออกไปให้กันและกันเพื่อให้ท่านเข้าใจความเข้าใจความจริงที่ผมต้องการจะพูด เพื่อให้ท่านเข้าใจความหมายตรงตามที่ผมต้องการสื่อออกไป แต่ถ้าผมไม่สื่อสารโดยการพิมพ์ออกไปท่านก็ไม่สามารถจะรู้ได้เลย

    เลยต้องอาศัยสมมุติขึ้นมาเพื่อให้ถึงความจริงในสิ่งเดียวการที่ต้องการสื่อ โดยใช้สมมุติในทางที่โลกทั่วไปที่คนสองคนเข้าใจใกล้เคียงกันที่สุด อันนี้คือสมมุติของผมในการสื่อสารกับท่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...