ศีลห้า ศีลติดตัว - หลวงพ่อชา สุภัทโท

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ผ่อนคลาย, 29 กันยายน 2010.

  1. ผ่อนคลาย

    ผ่อนคลาย Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    5,774
    ค่าพลัง:
    +12,932
    ศีลห้า ศีลติดตัว

    [​IMG]
    ญาติโยมรุ่นเก่าได้เล่าถึงการสอนศีลห้าของหลวงพ่อ

    “ศีลทั้งห้าข้ออันเป็นศีลสำหรับชาวบ้าน หลวงพ่อให้พยายามรักษา ถึงจะมีการด่างพร้อยไปบ้างในตอนแรก ก็ให้ตั้งใจพยายามตั้งขึ้นใหม่

    ข้อหนึ่ง ท่านห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์ ไม่ให้เบียดเบียนสัตว์อื่นให้ได้รับความทุกข์ทรมานเพราะเป็นบาปกรรมทำให้เราต้องได้รับผลกรรมนั้น

    ข้อสอง อทินนา ห้าไม่ให้ลักขโมยหรือฉ้อโกง เพราะถ้ามีคนมาขโมยของเรา เราก็จะเสียใจเสียดายมาก ความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นก็เหมือนกันกับเรา จึงไม่ควรทำ

    ข้อสาม กาเม ห้ามไม่ให้ล่วงเกินสามีภรรยาของผู้อื่น ไม่ให้นอกใจคู่ครองของตน ถ้าล่วงเกินศีลข้อนี้ ก็จะทำให้มีการทะเลาะเบาะแว้งมีปากเสียงกัน ทำให้เกิดความหวาดระแวง ไม่เชื่อใจซึ่งกันและกัน ท่านจึงให้งดเว้น

    ข้อที่สี่ มุสา พูดเท็จหลอกลวงผู้อื่น ทำให้เราเสื่อจากสง่าราศี ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย จะพูดจาสิ่งใด ก็ไม่มีใครเคารพนับถือ ไม่มีใครเชื่อฟัง เราจึงไม่ควรพูดเท็จ

    ข้อห้า สุราเมรัย ห้ามไม่ให้ดื่มสุรายาเมา เพราะเป็นสิ่งที่ย้อมจิตใจให้ฮึกเหิมประมาทลืมตัว เป็นเหตุให้ก่อกรรมทำชั่วทุกอย่างได้ ความมึนเมาเป็นลักษณะอาการของคนบ้าใบ้เสียสติ ไม่มีกิริยามารยาทสมบัติผู้ดีหลงเหลืออยู่เลย จึงควรที่จะรักษา ไม่ควรประมาท

    ถ้าครอบครัวใดมีความประมาท ไม่ระวังรักษาศีลซึ่งเป็นข้อห้ามไม่ให้ทำความชั่วนี้ ครอบครัวนั้นจะไม่มีความสงบร่มเย็น จะได้รับความเดือดร้อนวุ่นวาย ท่านจึงสอนให้มีการงดเว้นจากการกระทำอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท อันเป็นทางนำมาซึ่งความเดือดร้อนเหล่านี้”

    นอกจากนั้น หลวงพ่อยังกำชับให้ทุกคนตั้งอกตั้งใจรักษาศีลของตน คือ เมื่อสมาทานแล้วก็ต้องงดเว้นจริง ๆ จึงจะเรียกว่าการปฏิบัติให้ศีลเกิดขึ้น

    “ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราท่านจึงให้ปฏิบัติ ไม่ให้พูดเฉย ๆ ให้ปฏิบัติก็คือให้ทำตามความเป็นจริง เช่นว่า เราสมาทานซึ่งศีลอย่างนี้เป็นต้น ก็ว่าปาณา อทินนา กาเม มุสา สุรา นี่เรียกว่าศีล แต่เป็นเพียงคำพูดถึงศีล ไม่ใช่ตัวของศีล สภาวะของศีลนั้นไม่ใช่ว่าการพูด มันเป็นการกระทำจริง ๆ เช่นว่า ไม่ฆ่าสัตว์อย่างนี้ เราก็ไม่ฆ่าจริง ๆ ไม่กินสุราเราก็ไม่กินจริง ๆ ไม่พูดโกหกเราก็ไม่โกหกจริง ๆ เราไม่ขโมยของคนอื่นเราก็ไม่ขโมยจริง ๆ ไม่ใช่ดีแต่พูดเฉย ๆ

    ศีลมันอยู่ที่ตรงนั้น อยู่ตรงที่กระทำ ไม่ใช่อยู่ตรงที่พูด ที่พูดเพื่อชี้ให้เห็นว่า อันนั้นมันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เมื่อเราตกลงใจว่ามันเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็ลงมือประพฤติปฏิบัติเลย ก็จะเกิดเป็นผลขึ้นมา อันนั้นท่านเรียกว่าก้อนศีล

    ศีล ไม่ใช่เป็นของยา การละความชั่วเท่านั้นแหละ ความชั่วมันจะเกิดขึ้นทางไหน เกิดขึ้นทางกายของเรา ทางวาจาของเรา ทางใจของเรานี้ มันจะเกิดผิดพลาดก็เกิดตรงนี้แหละ เราไปที่ไหนเราก็เอาไปด้วย กายเราก็เอามาวันนี้ ใจเราก็เอามาวันนี้ วาจาก็เอามาวันนี้โทษมันจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นทางกาย ทางวาจา ทางใจนี้ นี่คือแหล่งที่จะปฏิบัติ ข้อปฏิบัติมีอยู่แล้ว มันจะดีขึ้นตรงนี้ พูดดีก็ขึ้นตรงที่ปากเรานี้ พูดไม่ดีก็ไม่ดีที่วาจานี้ ทั้งกายทั้งวาจานี้มันมีอยู่แล้ว ไม่ต้องอดที่จะต้องปฏิบัติ”

    ในเบญจศีลของฆราวาสนั้น ข้อแรกและข้อสุดท้าย ไม่สู้จะเป็นที่ยอมรับของคนในสมัยปัจจุบัน การฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร การดื่มสุราเพื่อสังคมกลายเป็นของธรรมดา แต่เพื่อให้เห็นการสอนศีลธรรมของหลวงพ่อชัดเจนขึ้น ขอยกศีลสองข้อนี้มาขยายความดังนี้



    เคยมีใครคนหนึ่งพูดว่า เมืองไทยทุกวันนี้ อะไร ๆ ก็แพงไปเสียหมด เว้นแต่สิ่งเดียวคือชีวิตเป็นเรื่องน่าสลดใจทีเดียว เพราะพุทธศาสนาอยู่ในเมืองไทยมาหลายร้อยปีแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ยังเข้าไม่ถึงหลักธรรมของศาสนา การเบียดเบียนซึ่งกันและกันจึงยังเกิดขึ้นอย่างมากมาย รวมทั้งการฆ่าสัตว์ก็มีมหาศาล แต่ละปีสัตว์เลี้ยงเช่นวัว ควาย เป็ด ไก่ ถูกฆ่าไปหลายล้านตัว เพื่อสนองความต้องการการกินเนื้อสัตว์ของมนุษย์

    ชาวอีสานมีภาษิตในการบริโภคเนื้อสัตว์ว่า “ดิ้นได้ ก็กินได้” อาหารของคนอีสานจึงหลากหลาย มีตั้งแต่ชนิดที่ขุดรูอยู่ในดินจนถึงบินอยู่บนฟ้า เมื่อครั้งที่หลวงพ่อจาริกไปประเทศอังกฤษ ดูเหมือนท่านประทับใจในความรักสัตว์ของชาวตะวันตกไม่น้อย เพราะที่วัดป่าจิตตวิเวก สาขาของวัดหนองป่าพงแห่งแรกในต่างประเทศนั้นหลวงพ่อเล่าว่ามีสัตว์ป่าต่าง ๆ เช่น กระต่าย เป็นต้น พลุกพล่านไปหมด เมื่อกลับมาเมืองไทย ท่านยังปรารภให้ญาติโยมที่วัดหนองป่าพงฟังว่า

    “ถ้าแม่นบ้านเฮาบ๊อ โอ๊! ป่านนี้เหลือแต่ขี่ข่อหล่อแข่แหล่แหล๋ว” หมายถึงว่า ถ้าอยู่ในภาคอีสาน กระต่ายพวกนั้นก็คงเหลือให้เห็นแต่ขี้ก้อนเล็ก ๆ เท่านั้นเอง

    ดังนั้น เมื่อหลวงพ่อสอนศีลห้าแก่ชาวบ้าน ศีลข้อที่หนึ่งนี้ จึงเป็นข้อที่ญาติโยมปฏิบัติตามได้ยากมาก มีปัญหามาร้องเรียนกับหลวงพ่ออยู่บ่อย ๆ บางคนก็ถึงกับต้องเอาศีลมาส่งคืนท่านอย่างที่เล่าแล้ว เป็นต้น

    นอกจากทำปาณาติบาตในชีวิตประจำแล้ว การฆ่าสัตว์ทำบุญหรือเพื่อฉลองอะไรสักอย่างในโอกาสพิเศษ ก็เป็นประเพณีที่ชาวบ้านในชนบทเลิกละได้ยากเหมือนกัน จะเป็นงานบวช งานแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ หรือฉลองอะไรก็สุดแล้วแต่ แม้กระทั่งงานศพ ถ้าเป็นงานใหญ่มีผู้คนมาชุมนุมกันมาก แน่นอนสัตว์ที่เลี้ยงในหมู่บ้านไม่ตัวใดก็ตัวหนึ่งหรืออาจหลายตัว จะต้องมีอันถูกฆ่าเป็นอาหารในวันนั้น หลวงพ่อเคยปรารภเตือนสติญาติโยมเกี่ยวกับการละเมิดศีลข้อที่หนึ่งนี้ว่า

    “พวกเรามันเสียในการปฏิบัติ เพราะไม่ได้พิจารณาให้ละเอียด ทำไป ๆ อาตมาเคยเป็นหนุ่มมาหรอก ไปเที่ยงานวัดนั้นวัดนี้ ฮ่วย! มีแต่ขาวัว ขาควายแขนอยู่นั่น กินกันครึมอยู่ ถ้าแม้นพระพุทธเจ้าท่านมาเห็นอย่างนั้น คงจะอ่อนแรงนะ

    ฉะนั้น อาตมาจึงไม่อยากไปที่นั่นที่นี่ บางทีเดี๋ยวก็สมเด็จนั่นไปนี่ สมเด็จนี่ไปนั่น ตายแล้วสองตัวสามตัว ถ้าสมเด็จฯ ไม่ไปก็ไม่ตาย มันเป็นอย่างนั้น ให้คิดกันดู มาหาญาติโยมทั้งหลายนี้ให้มาทำบุญ ไม่ได้ให้ญาติโยมมาทำบาป

    ถ้าอาตมามาแล้ว เป็ดน้อยเป็ดใหญ่ หมูน้อยหมูใหญ่ ทำไปถวายจังหันท่าน อาตมาไม่มีความมุ่งหมายอย่างนั้น มาคิด ๆ ดูแล้วไม่อยากไปหรอก ไปแล้วมันไปส่งเสริมเขาทำบาป มันเป็นเสียอย่างนั้นทำนองอันนี้

    ศีลข้อนี้ถ้าทุกคนรักษาได้ บ้านเมืองก็จะไม่วุ่นวาย โลกจะไม่เดือดร้อน เพราะมันไม่รักษาศีลข้อนี้เอง ปัญหาทุกอย่างจึงเกิดขึ้น ความเดือดร้อนจึงได้เกิดขึ้น สร้างความยุ่งยากให้ผู้ปกครองบ้านเมือง เป็นทุกข์กันไปหมด

    ที่ท่านห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์นับตั้งแต่มดแมลงขึ้นไปนั้น เพราะว่าถ้าฆ่ามดแมลงได้ นกหนูมันก็ฆ่าได้ เป็ดไก่วัวควายหรือช้างม้ามันก็ฆ่าได้ และถ้าฆ่าช้างฆ่าม้าได้ มันก็ฆ่าคนได้ ในที่สุดมันจะฆ่าพระอรหันต์ก็ได้ เรื่องมันต่อไต่ไปอย่างนี้ ท่านจึงห้ามเสียให้หมดเลย ไม่ให้ฆ่าอะไรทั้งนั้น แม้แต่มดแมลงก็ไม่ให้ฆ่า

    แต่ถ้าฆ่าจะเป็นอย่างไร มันจะเป็นอย่างไร มันก็เป็นโลกเท่านั้น ในที่สุดแล้ว ผู้ที่มีปัญญหาย่อมหาทางออก ให้มันน้อยที่สุดจนไม่มีอะไรเลยโน่นแหละ”

    พ่อหนูแดง เป็นชาวบ้านคนหนึ่งที่ยอมแพ้เหตุผลของหลวงพ่อ แล้วเลิกฆ่าสัตว์

    “หลวงพ่อท่านมีอุบายในการสอน เช่น ท่านสอนให้โยมเลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ให้ทำมาหากินในทางสุจริต แต่โยมส่วนมากจะมาติดอยู่ตรงข้อนี้ ตัวผมเองก็เหมือนกัน ต่างก็คิดว่า ถ้าไม่ให้ฆ่าสัตว์แล้วจะเอาอะไรมากิน เพราะอยู่บ้านชนบทนอกเมืองอย่างนี้ นึกเถียงอยู่ในใจ ถ้าจะเอาแต่น้ำพริกไปถวายพระให้ท่านฉันทุกวัน ๆ จะไม่ร้างวัดไปหรือ แต่หลวงพ่อท่านมีปัญญาที่จะเทศน์โปรดคนผู้หลงทาง ท่านเทศน์ว่า

    ดูตัวอย่างพวกเขาทำงานข้าราชการ หรือพวกคนจีนที่เขาเป็นพ่อค้าพาณิชอย่างนี้ เขาไม่ได้ทำนาเลย แต่ทำไมเขาจึงได้กินข้าวกันเล่า รวมทั้งวัตถุของใช้ถ้วยจานต่าง ๆ เหล่านี้ โยมทำเองเป็นไหมล่ะ กระโถนทำเป็นไหม ถ้าโยมทำไม่เป็น ทำไมโยมถึงมีของเหล่านี้ใช้ ได้มาอย่างไรล่ะ โยมต้องหาทางออกด้วยปัญญาให้ได้ เราไม่ฆ่าสัตว์ เราก็ใช้ปัญญาหาวิธีอย่างอื่นได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องฆ่าเสมอไปจึงจะได้กิน ผู้มีปัญญาจะต้องหาอุบายออกจากการสร้างบาปสร้างกรรมได้ ให้งดเว้นจากการกระทำบาปอกุศลต่าง ๆ ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ เพราะมันเป็นบาปกรรมที่จะติดตามเราไป

    เมื่อผมพิจารณาดูก็เข้าใจตามเหตุผลอันเป็นจริงตามที่ท่านเทศน์ทุกอย่างครับ”

    พ่ออ่ำ ก็เป็นศิษย์คนหนึ่งที่ตื่นตัวสำนักบาปอย่างกระทันหัน
    “ไปช้อนปลาที่หนองขาม คราวนี้ภรรยาผมนั่งทำอาหารอยู่ในครัว ผมก็นั่งเลือกปลาอยู่ ทันใดนั้น ความคิดของผมไม่รู้ว่ามันผุดขึ้นมาจากไหนว่า โอ! สัตว์ที่เราได้มานี่ มันก็มากมายหลายชีวิต มันไม่ใช่เป็นหมื่นชีวิต แต่มันเป็นหลายแสนชีวิต ที่เราเทียวไปจับเอามานี้ ก็มาคิดว่า ชีวิตของตัวเราเองก็ชีวิตเดียว คิดได้อย่างนี้ก็เลยถามภรรยาว่า แม่จะว่าอย่างไร สัตว์นี้มันหลายชีวิตนะที่มันต้องมาตายเพราะ แต่เรานี้ซิชีวิตเดียวเท่านั้นเอง

    “ก็แล้วแต่พ่อ จะว่าอย่างไรก็เอาอย่างนั้น” ภรรยาตอบอย่างพร้อมที่จะคล้อยตาม

    ต่อมาสองสามวันเป็นวันพระ ผมก็ไปวัดเพื่อขอสมาทานตัวเป็นอุบาสกกับหลวงพ่อ

    ท่านก็ซักไซ้ไล่เลียงผมใหญ่เลยเรื่องจะเลิกฆ่าสัตว์

    หลวงพ่อ : “ตัดแล้วบ่ ข้อปาณา?”


    พ่ออ่ำ : “โดย ขะน่อย”

    หลวงพ่อ : “สิตัดจักปี ตลอดชีวิตบ่?”

    พ่ออ่ำ : “บ่แหล๋ว ขะน่อย”

    หลวงพ่อ : “เป็นหยังจังว่าบ่ สิเอาจักปี?”

    พ่ออ่ำ : “ขะน่อยสิขอจักสามปี”

    หลวงพ่อ : “เป็นหยังสมาทานน่อยแท้?”

    พ่ออ่ำ : “ถ่าหากขะน่อยทุกข์ลงไปกั่วนี่ ขะน่อยกะสิขอลา หรือถ่าหากขะน่อยต้องอยู่ท่อเก่า ขะน่อยกะต้องลา ถ่าหากขะน่อยบ่มีความสุขต่อไป ขะน่อยก็ต้องขอลา”

    หลวงพ่อ : “เอา! จังซั่นกะเอา รักษาดี ๆ เด้อ รักษาบ่ดีได้ลาเด้อ”


    ต่อมาผมก็เลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไปทำไร่อ้อยอยู่กลางป่ากลางดงโน้น ผมก็เลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่ง มันเป็นหมาพันธุ์ ชอบไปกัดสัตว์ป่าพวกกระจงฯลฯ แล้วก็คาบมาให้ แปลกครับผมก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้นจนครบสามปี

    สมัยก่อนนั้นวันพระพวกโยมทานข้าวแล้วก็เข้าไปในศาลาเพื่อฟังเทศน์ หลวงพ่อท่านก็ถามผมว่า

    “พ่ออ่ำ บ่คิดอยากลาศีลบ่”
    “ศีลอีหยัง ขะน่อย” ผมย้อนถามด้วยความสงสัย
    “อ้าว! กะโยมขอสมาทานศีลสามปี อาตมานับมามันครบสามปีมื่อนี่พอดี”


    หลวงพ่อทบทวนให้ฟัง

    “โอ!” ผมพึ่งนึกออก แล้วก็นั่งคิดสักครู่ ก่อนที่จะตัดสินใจ
    “บ่ลาดอก ขะน่อย” และผมก็ได้รักษาศีลมาจนตลอดทุกวันนี้”

    หลวงพ่อเล่าว่า ครั้งหนึ่งเมื่อท่านพยายามเกลี้ยกล่อมให้ชายขี้เมาคนหนึ่งเลิกดื่มเหล้า เขาโวยวายกับท่านว่า

    “โอ๊ย! เจ้าประคุณ ขอทานก่อน อีกซักปีก่อนเถอะ”

    อย่างนี้หลวงพ่อก็ช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากปรารภว่า

    “หวงความชั่วไว้ไม่อยากให้ความชั่วหนีจากตัวเขา คนเขาไม่อยากสร้างความดี แต่ก็ไม่อยากได้ความชั่ว หรือสร้างความชั่ว แต่ไม่อยากให้มีชั่ว”

    [​IMG]
    มีขี้เมาอีกสองรายซึ่งหลวงพ่อได้พบและนำมาเล่าให้โยมฟังที่วัด
    “เมื่อคืนนี้ นั่งในรถ มีคนสองคนเดินสะเงาะสะแงะเข้ามาหา
    หลวงพ่อ ผมมาขอธรรมะ

    อ้าว! นึกว่ามาขอเอาขนมซะแล้วนะ อาตมาก็มอง ๆ ดู ตามันแฉะ ๆ นะ มันจะเมาอะไรมาก็ไม่รู้มาถามเอาธรรมะ อาตมาก็นั่งอยู่บอกว่า


    อย่าเพิ่งไปปลูกบ้านมันเลยนะโยม ต้องปราบที่ให้มันดีก่อนจึงปลูก
    ผมไม่รู้จักที่หลวงพ่อพูด

    ถ้ามีโอกาสก็ไปวัดหนองป่าพงนะ จะได้ฟังธรรมะง่าย ๆ จะได้ฟังดี ๆ วันนี้โอกาสไม่อำนวย สถานที่ไม่อำนวย บุคคลไม่อำนวยแล้วนะ ก็เหมือนกับเติมน้ำมันรถวิ่งเล่นเฉย ๆ เท่านั้นแหละ หมดน้ำมันเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์ สิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์อย่าไปทำมันเลยมันเสียประโยชน์ เขาก็สะดุ้งไปบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ คือมันซึม ๆ ไปบ้างน่ะ”

    โยมที่บ้านก่อใกล้วัดหนองป่าพงนั่นเอง สามีเป็นขี้เหล้า ในที่สุดสามีตาย เมื่อเผาศพเสร็จ ภรรยาก็เอากระดูกใส่หม้อไปที่วัดหนองป่าพง

    “เอามาเฮ็ดหยัง” หลวงพ่อถาม

    “เอามาถวายหลวงพ่อ” ภรรยาตอบ


    หลวงพ่อ “โธ่! เก่งนอ หวั่งหั่นกินเหล่าอยู่เหยง ๆ เต้นไปเต้นม่ากะเลย เต้นกั๊บเข่าหม่อ กระดูกจั่งซี่สิเอาเข่ามาวัดเอ็ดหยัง บ่ได้เด้อก มันสิต้องเอากระดูกเป็น ๆ เดินได่มาเข่าวัด มันจั่งฟังฮู้เรื่อง นี่มันสิฮู้อี่หยังกระดูกอยู่ในหม่อ มีแต่งัวถ่อนั่นแหล่วที่มันมักโตที่มันกินกระดูกหั้น” (โธ่! เก่งนะ ตะกี้กินเหล้าอยู่เหยง ๆ เต้นไปเต้นมาก็เลยเต้นกั๊บเข้าหม้อ กระดูกอย่างนี้จะเอาเข้ามาวัดทำไม ไม่ได้หรอก มันต้องเอากระดูกเป็น ๆ ดิ้นได้มาเข้าวัดมันถึงจะฟังรู้เรื่อง นี้มันจะรู้อะไรกระดูกอยู่ในหม้อ มีแต่วัวเท่านั้นแหละที่มันชอบ ตัวที่มันกินกระดูกนั่น)

    อีกรายหนึ่ง เจ้าของเล่าให้ฟังเอง

    “แต่ก่อนผมชอบดื่มสุรามาก เวลากินไม่ต้องใช้แก้วหรอก มันไม่ทันใจ ยกขวดดื่มอึก ๆ กินหมดตั้งขวดสองขวดก็ยังเหมือนไม่ได้กิน ชอบสุรามากที่สุด ถ้าผมไม่ได้หลวงพ่อสั่งสอนอบรมให้เลิกดื่มสุราก็คงจะเสียคนไปแล้ว เพราะตกไปสู่อบายมุข ตกไปในทางที่ชั่ว

    ถ้าหลวงพ่อไม่เมตตาช่วยเหลือ ผมคงแย่มากครับ เปรียบเหมือนคนที่ตกอยู่ในโคลนตมอย่างงั้นแหละ ตอนแรก ๆ ท่านชวนให้หยุด ให้เลิกกินเหล้า ถ้าเลิกไม่ได้เดี๋ยวนี้ก็พยายามค่อย ๆ ห่าง ห่างออกทีละเล็กทีละน้อยแล้วจะเลิกได้อย่างเด็ดขาด

    ท่านสอนว่าให้พยายามเลิกให้ได้ เพราะมันเป็นทางไปสู่อบายมุขคือความชั่ว มีความทุกข์ เร่าร้อนแผดเผาจิตใจ เพราะมันเป็นบาปเป็นทางแห่งความฉิบหายตกนรกทั้งเป็น

    โยมเคยเห็นคนที่ดื่มเหล้าไหมล่ะ หลวงพ่อท่านถามผม ถ้าเมาแล้วจะมีลักษณะไม่น่าดู พูดออกมาก็ไม่น่าฟัง เดินไปตุปัดตุเป๋ เซไปข้างหน้าซัดมาข้างหลัง พูดกันไม่รู้เรื่องเลย คล้าย ๆ กับคนเสียสติเป็นบ้า

    คนดื่มเหล้าบาปมาก หลวงพ่ออบรมผมต่อ ชาติหน้าต่อไป เกิดมาจะเป็นผู้ที่มีกลิ่นปาก เป็นบ้าใบ้ เสียจริตผิดมนุษย์ธรรมดาทั่วไป มีสติปัญญาทึบ ถ้าโยมไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น ก็ควรพยายามเลิกให้ได้ ผมก็พิจารณาที่ท่านเทศน์สอน เกิดความกลัวขึ้นมา ระยะต่อมาผมก็เลิกเหล้าได้จริง ๆ ครับ”

    อีกท่านหนึ่งที่รอดพ้นจากอบายมุข เพราะการฝึกอบรมธรรมะจากหลวงพ่อ รำลึกพระคุณเมตตาของท่านอย่างสูงเช่นเดียวกัน

    “แต่ก่อนผมดื่มเหล้าเมายาพูดจาด่าทอ ถ้ามีใครมาพูดขัดใจเป็นได้มีเรื่องตีกัน ฆ่ากัน เพราะจิตใจมันถูกความโง่ความหลงเข้าครอบงำ พอได้มารับการฝึกหัดอบรมได้รับธรรมะจากหลวงพ่อ ท่านสอนให้รักษาศีลห้าให้ภาวนาบำเพ็ญบุญกุศล พยายามสร้างแต่คุณงามความดี ก็รู้สึกว่าดีมีประโยชน์มาก ไปที่ไหนก็สบายใจ เดินไปตามถนนหนทาง ก็มีคนทักทายปราศรัยว่าพ่อใหญ่ช่างไปไหนมาหรือมาอะไร มีคนเคารพนับถือ ไม่มีใครดูหมิ่นเหยียดหยามมองข้ามเหมือนแต่ก่อน

    ผมก็พยายามรักษาศีล เรื่องฆ่าสัตว์ผมก็เลิก เรื่องอบายมุขก็เลิกมาเกือบจะถึงสามสิบปีแล้วนะครับ ผมก็มีความสุขกายสบายใจ ทำหน้าที่การงานตามสติกำลัง มีความยินดีในสิ่งของที่มีอยู่ ไม่คิดทะเยอทะยานตนเกินไป ก็มีอานิสงส์ทำให้เกิดความสุขกายสบายใจครับ”



    [​IMG]

    อีกแง่มุมหนึ่งของศีลธรรมคือสัมมาอาชีพ การเลี้ยงชีพชอบ ซื่อสัตว์สุจริต ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ ไม่เบียดเบียนสัตว์เดรัจฉาน ไม่เบียดเบียนธรรมชาติแวดล้อม

    หลวงพ่อว่า

    “ผู้รู้จักธรรมะไม่ใช่ผู้ที่เกียจคร้าน จะต้องเป็นคนฉลาดเป็นคนขยันหมั่นเพียร แต่ว่าขยันพูด ขยันกระทำ ด้วยการปล่อยวาง ด้วยความสงบระงับ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าอย่างนี้ก็สบาย นี่มันเป็นสัมมาอาชีวะ มันก็สบาย ถึงว่ามันหนักหน่อย มันก็สบายเพราะโทษตรงนั้นไม่มี”

    โยมคนหนึ่งซึ่งเดิมเป็นพ่อค้าขายของทั่วไปหลายอย่าง รวมทั้งเหล้าด้วย แต่ก็ไม่แน่ใจในการประกอบอาชีพของตนเอง ได้มากราบขอคำแนะนำจากหลวงพ่อ

    ท่านให้โอวาทเตือนสติทำให้เขาได้ประกอบสัมมาอาชีพว่า
    “จะค้าขายอะไรก็ได้ แต่อย่าขายเหล้าเลย เพราะจะต้องทำให้ได้รับความทุกข์วุ่นวายขึ้นกว่าเก่า คือหนึ่ง มันจะทำให้โยมกลายเป็นคนกินเหล้ามากขึ้น สอง คนที่เขาซื้อจะเอาขวดโยมไปไม่ส่งคืน สาม บางคนเขาจะไม่ยอมจ่ายเงินค่าเหล้าให้โยมเลย เมื่อเราไปทวงเขาเขาจะบอกว่าจ่ายให้แล้ว ในเมื่อความจริงเขายังไม่จ่าย เราก็จะพาลโกรธเขา ในที่สุดจะกลายเป็นเรื่องทะเลาะวิวาทกัน ทำให้เป็นทุกข์ไม่สบายใจ ให้ค้าขายอย่างอื่นถึงจะไม่ร่ำรวยก็ตามให้ค้าขายในสิ่งที่ไม่ผิดศีลธรรมจะดีกว่า จำไว้นะ ให้ประกอบอาชีพในทางที่ชอบ จะมีความผาสุกร่มรื่นในชีวิต”

    และอีกโอกาสหนึ่งท่านได้ให้ข้อคิดแก่ญาติโยมในเรื่องการรู้จักประมาณในการประกอบอาชีพ

    “ให้เราทั้งหลายเข้าใจว่า หาเงินได้มาก ๆ หาของได้มาก ๆ แล้วจะสบายใจ อย่าไปเข้าใจอย่างนั้น เข้าใจผิด มันจะมากหรือมันจะน้อยก็ให้เราหาไป แต่ให้รู้จักประมาณ มันจะพอเมื่อไหร่ ถ้ามันหยุดอยากเมื่อไหร่มันจึงพอ ถ้ามันยังอยากอยู่มันพอไม่เป็นหรอก อย่างสุนัขเราเป็นต้น เอาข้าวให้มันกินสองปั้นสามปั้นก็หมด ปั้นที่สี่นี่ก็ไม่รอด แต่ถ้าไก่เข้าไปใกล้มันก็คำรามขู่จะกัดไก่ ท้องมันก็เต็มอยู่แต่ยังหวงไว้ทั้งที่มันอิ่มแล้ว แต่ใจมันไม่อิ่ม กินไปขนาดไหนมันก็ไม่พอ”

    ที่มา



    สาธุ สาธุ สาธุ

    ___________________________________________________
    .
    ส่งเสริมการโพสต์ธรรมะ การศึกษาและปฏิบัติธรรม

    อ้างอิง:

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>มาส่งเสริมกระทู้เกี่ยวกับศีลห้ากัน


    [/INDENT][/INDENT]บอกที่มา ... หรือลิงค์ที่มา ... เพื่อให้เกียรติเป็นกำลังใจแก่ผู้จัดทำเผยแผ่[/COLOR]

     
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เป็นเกราะป้องกันความเสื่อม ความเศร้าหมองเป็นอย่างดี อนุโมทนา
     
  3. ศรีสุทโธ

    ศรีสุทโธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +461
    ขอกราบอนุโมทนาสาธุการ ในเมตตาจิตของ พ่อแม่ครูบาอาจารย์
    และขอบคุณ จขกท.ที่โพสท์ ข้อธรรมะดีๆ มีประโยชน์
     
  4. ผ่อนคลาย

    ผ่อนคลาย Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    5,774
    ค่าพลัง:
    +12,932
    ขอดันขึ้นมาให้อ่านกันอีกนะครับ
     
  5. KornP

    KornP Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +68
    กราบพระธรรมคำสั่งสอน ของ พ่อแม่ ครูอาจารย์ อย่างสูงยิ่งครับ
    ขออนุโมทนาในบุญกุศลครับ...สาธุ กับท่านเจ้าของกระทู้ครับ
    และของอนุญาติ คุณ ผ่อนคลาย คัดลอก ไปเผยแพร่ ด่วยนะครับ ท่าน
    ขอบคุณมากครับ
     
  6. ผ่อนคลาย

    ผ่อนคลาย Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    5,774
    ค่าพลัง:
    +12,932
    เชิญครับ อนุโมทนาครับ ผมไปก๊อปปี้มาจากเว็บต้นฉบับ เห็นที่ด้านล่างเว็บมีข้อความว่า"
    เนื้อหาอนุญาตให้ใช้แบบ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ " ครับ

    ฉะนั้นเต็มที่ครับ (f)
     
  7. SleepingWakeup

    SleepingWakeup สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +14
    ศิล 5 เป็นศิลที่ควรปฎิบัติเป็นพื้นฐาน
     
  8. ttt2010

    ttt2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,754
    ค่าพลัง:
    +904
    อนุโมทนาสาธุ
    บุญนี้ ขอยกให้กับเจ้าของกระทู้ด้วยเทอญ...

    ttt2010 ศิษย์พระอาจารย์บุญยง อภิลาโส ภิกขุ
    _____________________________________________________
    แนะนำกระทู้
    มิจฉาชีพกับรถที่จอดบนทางด่วน ทางยกระดับ และทางกลับรถ
    เมื่อรู้ว่า...ดวงชะตาขาด
    คติธรรมนำทางชีวิต ตามแนวคิดของศิษย์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เปิดดวง พิธีกรรมแก้ดวงชะตา (สำนักสงฆ์พรหมรังศรี)
    16 ตุลาคม 2554 กฐินสามัคคีปฐมฤกษ์เบิกชัย ที่พักสงฆ์พรหมรังศรี
    ป้องกันภัยน้ำท่วมเมื่อถูกธรรมชาติลงโทษ ตัวอย่างนครอินทร์&ราชพฤกษ์
    แก๊งกลุ่มเด็กอุแว้ อุแว้...ซิ่ง...(แก้เครียดน้ำท่วม)
    ท่องเที่ยวนครนายก เมืองเจ้าพ่อขุนด่าน
    ท่องวัดและศาสนสถานที่สำนักสงฆ์พรหมรังศรี
    การเบิกโอนบุญ อนุโมทนาบุญ และวิธีปฏิบัติ
    แจกฟรี (ไฟล์ PDF) หนังสือหลวงตามหาบัว ไม่มาเกิดมาตายเรียกว่า ชาติสุดท้าย
    ขอเชิญร่วมบูรณะปฏิสังขรณ์พระอุโบสถวัดดอนพัฒนาราม พระนครศรีอยุธยา
    ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างศูนย์วิปัสสนาศิริธรรม(นายาง)ต.นายาง อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี
    แรงศรัทธาพุทธศาสนาในบอร์ดพลังจิต
    วันอาสาฬหบูชา วันนี้เลือกเวียนเทียนที่พุทธมณฑลดีกว่า<!-- google_ad_section_end -->
     
  9. JolieAcidus

    JolieAcidus สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +20
    อนุฌมทนาค่ะ ตอนนี้รักษาศีลอยู่เหมือนกันค่ะ ยุงหรือมดก็ไม่ฆ่าค่ะ แรกๆรู้สึกว่าทำยาก แต่พอเราตั้งใจและทำได้ รู้สึกดีมากๆ มารักษาศีลกันนะคะ ^^
     
  10. กันต์ครับ

    กันต์ครับ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +9
    ศีลในทรรศณของผม

    ผมว่าเกิดศีลคือข้อปฎิบัติอย่างหนึ่งซึ่งเดิมที่มนุษย์มีอยุ่ทุกตัวคนอยู่แล้วแต่ด้วยกิเลสมอมเมานิสัยของมนุษย์จึงทำให้ทรรศนความคิดมนุษย์ผิดไปจากเดิม มองเห็นกงจักรเป็นดอกบัวเห็นผิดเป็นถูกเห็นถูกเป็นผิด แต่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้บัญญัติเอาไว้เพื่อเตือนสติพวกเราทุกคนต่างหากละว่าเราอย่าลืมหน้าที่เดิมของพวกเราซึ่ง แม่ของเราที่แท้จริงคือธรรมชาติจะมัวรักษาศีลอย่างเดียวโดยมองข้ามแม่ที่แท้จริงได้อย่างไรหากไม่มีแผ่นดินจะอยุ่ละเราควร เห็นศีลเป็นข้อปฎิบัติเป็นการกระทำแทนที่จะมาพูดแต่ธรรมะผมว่าธรรม อยุ่ที่เราแล้ว ไตรปิฎกคือเรา เรามองตน มองธรรมชาติผู้ให้กำเนิดเราสิ เปลี่ยนความคิดสะใหม่แทนการยึดมั่นถือมั่นแต่สิ่ง ที่ไม่ถูก โปรดอ่านด้วยนะครับผมอยากให้ท่านได้อ่าน ผมคือเด็กอายุ สิบเก้าปี ที่มีองค์ธรรมดาหนุนส่งพร้อมด้วยพุทธองค์ คอยช่วยเหลือผมตลอด ผมเองไม่ได้อ้างตนเป็นใหญ่แต่ต้องการ น้อมนำธรรมมาบอกต่อ หากต้องการคุย อีเมล Kan-Kantapong@hotmail.com เฟสบุ๊คนะผมไม่เล่นเอ็ม
     
  11. eMuay

    eMuay Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +99
    อนุโมทนาค่ะ มีบางข้อที่หลุดบ้างแต่ ในทุกๆวัน ก็มั่นรักษาศีลสม่ำเสมอ เหมือนเช่นตื่นเช้าก็ต้องแปรงฟัน ล้างหน้า อาบน้ำ เช่นนั้นค่ะ เป็นกำลังใจให้ทุกๆท่าน เจริญศีิล ภาวนาเช่นกันค่ะ
     
  12. tuanong

    tuanong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +559
    ธรรมมะมากมายของหลวงปู่ชาสามารถหาอ่านได้จากหนังสือ อุบลมณี(อุบล+มณี)

    สำหรับผู้สนใจในปฏิปทาของท่าน
     
  13. Followdream

    Followdream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    688
    ค่าพลัง:
    +12,448
    อนุโมทนาสาธุการค่ะ

    [​IMG]
     
  14. DoctorKritt

    DoctorKritt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2013
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +222
    กราบนมัสการ และ อนุโมทนาบุญครับ
    อันศีล5 เป็นหลักพื้นฐานก็จริงหลายคนเห็นว่าเป็นเรื่องง่ายๆที่ใครๆก็ทำได้
    แท้จริงแล้วสิ่งง่ายๆนี่แหละเป็นเรื่องที่ยากที่สุดเพราะใครๆก็คิดว่าทำได้ แต่คนที่ปฎิบัติได้ครบ5ข้อ จริงๆนั้นยากมากเพราะสิ่งยั่วยุตัวเรานั้นมันเยอะจริงๆ

    ยกตัวอย่างเลิกบุหรี่ เลิกเหล้า หลายคนคิดว่าง่ายๆแค่หยุดสูบหยุดดื่มอะไรที่มันทำง่ายซักพักมันก็จะมาง่ายๆเลิกได้6-7เดือน พอมีโอกาสก็เผลอเข้าไปสูบเข้าไปดื่มอีกเพราะคิดว่ามันเลิกง่ายเป็นอันว่าเลิกไม่ได้ซะทีเพราะคิดว่ามันง่ายๆ

    สิ่งง่ายๆนี่แหละทำยากที่สุดทำให้หลายคนละเลยที่จะปฏิบัติมัน เรารู้ว่าอะไรผิด ชอบ ชั่ว ดี แต่เราก็ละเลยมัน เพราะเรารู้แต่หลักทฤษฎีแต่เราขาดการปฏิบัติและการขาดจิตสามัญสำนึกความไม่ละอายต่อบาปการไม่เชื่อเรื่องบาป เหล่านี้เองที่ทำให้คนขาดการปฎิบัติศีล5 อย่างจริงจัง
     
  15. พิณวารี

    พิณวารี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +13
    สาธุๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...