หลักในการโต้แย้งกันในกระทู้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 13 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    การโต้แย้งกัน การกล่าวโทษ ตำหนิผู้อื่นในกระทู้ เกี่ยวกับ ข้อธรรมพระศาสดาวางหลักเอาไว้ดังนี้ พระวินัยปิฎกเล่ม 7 จุลวรรคภาค 2

     
  2. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    การโต้แย้ง ทางธรรม ไม่ได้แปลว่า การขัดแย้ง หากมีการขัดแย้งนั้นไม่ได้ถือว่าเป็น
    การโต้แย้งทางธรรม จะเรียกว่า การทะเลาะเบาะแว้ง มากกว่า
    การคุยสนทนากับคู่สนทนา ก็หมาะสม หากมีคยอื่นเข้าร่วม ก็ควรใช้ภาษาที่สุภาพ
    ไม่ก้าวร้าว บุคคลที่กำลังสนทนา ธรรม ฟัง และ พูดคุยด้วยเหตุผล
    ประสบการณ์ของตน ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่อวดอ้างครูบาอาจารย์ ให้ตนดูดี
    เป็นการกระทำของบัณฑิต
     
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    กิเลสกับธรรม มันก็ต้องขัดแย้งสิ นั่นแหละ เรียกว่า การโต้แย้งทางธรรมแล้ว

    ถ้าทะเลาะเบาะแว้ง จะใช้แต่ความรู้สึกตนเข้ามา ตัดสิน แต่ถ้าธรรมแล้ว จะเอาเหตุผลเข้ามาตัดสิน

     
  4. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    ตรงนั้นไม่ได้เถียงค่ะ เรื่องกิเลส กับเรื่องของการขัดเกลา มันต้องเป็นอริกัน
    แต่ในการโต้แย้งทางธรรม นั้น แม้จะขัดกันแต่จะจบด้วยการไม่มีอัคคติ ความไม่ชอบใจ
    ลองวัดกับตัวเองก็ได้ เคยนะ ไปกราบพระวัดหนึ่ง ท่านสอนเรื่อง ดูเฉยๆ
    ท่านบอกว่า จะบ้าเหรอจะทำตัวเป็นพาชะนะ ที่ไม่รู้เรื่องเลยเหรอ ตอนนั้นใจ
    มันก็ขุ่นๆ เนอะ นึกในใจ อะไรว๊ะ มาถึงไม่ได้พูดอะไรสักคำดด่าเอาๆๆ
    สักพักเรานิ่งนะ ฟังท่านไปเรื่อย ความขัดใจมันเริ่มหายไป เมื่อท่านบอกว่า
    ให้รู้ ไม่ได้เอานี้แระ เราก็อ้อ ไม้งั้นกลับบ้านด้วยอารมณ์ขุ่นแน่ๆ
    หากไม่ตั้งใจฟังคู่สนทนาให้ดีดีๆ พูดผิดก็ฟัง พูดถูกฟัง
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    ก็ท่านก็พูดถูกแล้ว ที่ว่า จะบ้าหรือทำตัวเป็นพาชนะไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะหรือ
    ท่านไม่ได้ด่าหรอก แต่เราต่างหากที่ตีความว่า ท่านด่า จนโกรธไปเอง

     
  6. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ในเวบนี้โดยเฉพาะบอร์ดนี้ เขาไม่ยึดถือหลักข้างต้นกันหลอกครับ.....

    เขาเอาหลักใจเขานั่นหละเป็นหลักวัด....
     
  7. blackky

    blackky Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2009
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +27
    ที่เอามาขึ้นโอเคมากครับผม อนุโมทนาด้วยครับ
    ส่วนเรื่องที่พูดกันอยู่ผมคิดว่าเราก็รู้ครับ ว่าเรื่องอะไรควรเถียงหรือไม่เถียง
    ถ้าเป็นหัวข้อธรรมนั้น มีแต่การถามและตอบ การเถียงมีแต่ผู้มาใหม่ ไม่ได้ศึกษาอย่างจริงแท้ ส่วนการเถียงในข้อที่ไม่ใชธรรมนั้นก็แล้วแต่บุคคลจะโต้ตอบกันไป ผู้ประพฤติธรรมย่อมไม่มาข้องเกี่ยวอยู่แล้วครับ เพียงแต่แนะนำแล้วก็จบกันไป
    ธรรมของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ผมศึกษามายังไม่พบประเด่นไหนให้ต้องเถียงกันเลยนะครับ
    มีแต่ไปศึกษามาจากพระองค์นู้น องค์นี้แล้วมาเถียงกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กุมภาพันธ์ 2011
  8. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    อุ๊ยต๊ายยยยยยยยยยยยยยยยย
    ป๋าขัน 5 ใบ ของอิฉัน มาตั้งกระทู้
    ปาฐกถา เรื่อง หลักการโต้คารมมัธยมศึกษา ณ จักรวาลพลังจิต
    มิทราบว่า 'ทู้ นี้ เกี่ยวไร ก๊ะ 'ทู้กระโถนอารมณ์
    ของ อาหลง ฯ อ๊ะปล่าวหนอ ?
    อิทัปปัจจยตา สิ่งนู้มี สิ่งนี้จึงมี นี่เน๊าะ คริคริ


    แหม ๆ ไหน ๆ ป๋า ก็อุส่า ถ่อสังขาร
    มาตั้งกาทู้ง้องแง้งทั้งที
    อิฉาน เก๊าะเรยนึกครึ้ม
    แวะมา เปิดซิง ล็อกอินใหม่
    เรียกร้องฟามสนใจจากป๋าซะหน่อยดีกั่ว อิอิ


    และ ไหน ๆ ทั่นผู้อ่าน
    ก็ ได้รับรู้ หลักการตบตี เอ๊ย หลักการโต้แย้ง
    จากเลคเชอร์ของ ป๋าขัน ไปแระ
    มาฟัง หลักกู เอ๊ย หลักการโต้คารมอุดมศึกษา
    จากอิฉัน เป็นการแก้เลี่ยน ซะหน่อยเป็นไร ? เหอ...เหอ...


    อืม...อิฉัน คงม่ะยก พระไตรปิฎก มากล่าวอ้างหรอกนะ
    มันคลาสสิก เกินไป ขาดฟามเป็นโมเดิร์น ( เชยโคตร ๆ )
    เอาเป็นว่า อิฉันจะลองทำโพล ในกาทู้นี้
    แข่ง ก๊ะ ดูเร็กซ์ บ้างก็แระกัน

    ว่า บรรดา เหล่า พุทธมามกะ จ๋า
    มักจะ อาศัย หลักกู เอ๊ย หลักการใด ๆ
    ในการโต้แย้งกันในกระทู้ ?


    ระหว่าง

    V 1

    ถ้า พวกเมิง ทนอ่านสิ่งที่ ตรูเขียน บ่ ด้ายยยย
    ก็จงควักลูกกะตาทั้งสองข้าง ของเมิง ออก ซะสิ


    [​IMG]


    ก๊ะ


    V 2

    ถ้าพวกเมิง...เอ๊ย... เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ลุง ๆป้า ๆ น้า ๆ อา ๆ
    ทนอ่าน ตัวหนังสือ ของกรู...เอ๊ย.... ของนู๋ มิได้..


    นู๋ จา กลั้นใจตาย ( จิง ๆ น๊ะ ) อ่ะซิก ๆ

    [​IMG]

    ชอบสไตล์ไหน ก็โหวตกันได้ตาม อัธยาศัย นะเจ้าคะ
    แบ่บว่า กระโถนคราย ก็ กระโถนมัน
    ม่ะเกี่ยวอารายก๊ะ กระโถน ของอิฉาน นิหว่า อิอิอิ


    จาก มาตุคามผู้บอบบางและ ไม่มีพิษมีภัย ( จิง ๆ นะ ) หุหุ


    [​IMG]
     
  9. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    [​IMG]

    สาธุค่ะ ธรรมะดีๆ หามาให้อ่านเป็นธรรมทาน
    อ่านแล้วต้องจำด้วย พอปฏิบัติกันจริง
    เดือดร้อน กับ ไม่เดือดร้อน จะใช้สลับกัน
    ดังนั้น ต้องระวังตอนนำไปใช้ปฏิบัติด้วยนะค่ะ

    โพสท์คุณบัวผ่อง อืม..555
     
  10. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    บัวมีสี่เหล่าก็ครอบคลุมหมด ไม่มีตกหล่น ไฉนจึงจะแสวงหาเหล่าที่ห้าได้ วิ่งวนอีกร้อยชาติแสนชาติก็ไม่เจอ
     
  11. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    บ่อยไปที่ผมเห็นเถียงกันจนหน้าดำคล้ำเครียด ตัวคนแสดงธรรมกลายเป็นคนหน้าแดง หน้าดำไปเลย เพราะอัตตานั่นเอง คิดเพียงแต่ว่า กูผู้ไม่แพ้ แต่ที่แท้ทั้งซีดทั้งเซียวอยู่ในใจ เพราะไม่รู้จัก คุณธรรมของสัตบุรุษ หรือของคนดี ปุริสธรรม 7 ประการ คือ เหตุ ผล ตน ประมาณ กาล หมู่ รู้เฉพาะบุคคล ฉะนั้นเพียง เหตุกับผล ยังไม่เพียงพอต่อการแสดงธรรมครับ
     
  12. ทองอยู่

    ทองอยู่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +1,493

    อนุโมทนา นะคะ เมื่อกี้ ก็เจอ คืออ่านแล้วไม่เข้าใจ อ่อนพระไตรปิฏก ค่ะ เลยรบกวนให้เจ้าของโพสต์แปลให้ ของท่านปราบเทวดา น่ะ เด๋วท่านคงมาแปลให้

    รบกวนอาจารย์ ขันธ์ แปลเป็นสำนวน ที่อ่านแล้วเข้าใจ ง่าย ๆ หน่อย นะคะ เอาแบบภาษา ปัจจุบัน น่ะ คิดว่าคงมีหลายคน ก็คงสับสน เหมือนดิฉัน ถ้าแปลไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร นะคะ เพราะที่ถามมา ๕ ๖ คน แปลไม่ได้ สักคน ได้แต่อ้ำอึ้ง

    กราบขอบพระคุณค่ะ รับอย่างไม่อายเลยค่ะ ว่าเข้าใจเป็นบางส่วน
     
  13. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +4,062
    เข้ามาสาธุท่านขันธ์ครับ..!
    การโต้แย้ง โดยไม่เกิดเป็นการขัดแย้ง จนเกิดเป็นการวิวาทกันในเวปบอร์ดนี้มีหลักง่ายนิดเดียวที่ผมใช้ประจำครับในทางโลก
    คือ การไม่ก้าวก่ายความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง..เราก็รนณรงค์ความเห็นของเราไป และไม่เข้าไปก้าวก่ายความเห็นของอีกฝ่ายเมื่อเขาตอบมา โดยพยายามงดใช้คำประเภทดูหมิ่นในทีโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เช่น..คุณไม่รู้เรื่อง กลับไปอ่านให่อีกครั้งเลยไป.. อย่าเบลอ ..มาผมสอนให้.. ไม่รู้แล้วอย่าสะเอะ..ฯลฯ(ยกเว้นคนคุ้นเคยกัน หรืออยากมีเรื่อง จงใจด่า ..หรือถูกก้าวร้าวก่อนจึงตอบโต้ แต่ถ้าหากเผลอเรอใช้คำดังกล่าวก็รีบก็รีบขออภัยเขาซะ เรื่องก็จะจบง่ายครับ ผมฝึกนิสัยนี้ไว้ระวังผู้มาใหม่ ตลอดสำหรับเล่นเนตครับ )
    หากจะตอบโต้แค่ใช้คำว่า " ขออภัย ในมุมมองของผม หรือด้วยความเคารพ"..แล้ววิจารณ์เหตุผลไปรับรองไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งครับ..สาธุ อนุโมทนากับท่านขันธ์ครับ
     
  14. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +4,062
    ตัวอย่างคนคุ้นเคย..กัลยา ณ มิตร คนนี้ของผม..
    .. แม่นางผู้มีปากเป็นอาวุธ ปากโดนชาน .. ชอบหาเรื่องใส่ผัวเอ๊ย..ใส่หัว "แม่บัวผ่อง"..พอได้เกิดก็พยายามหาเรื่องตายซ้ำ ตายซากอีกครั้ง..กับสำนวนแกรมมี่อะวอร์ด ตุ๊กตาทองดำ ..
    ..นี่เธอ นู๋บี.. ได้ข่าว่าไปเปิดร้านขายยาผสมแป้งมัน ร่ำรวยเพราะทำเลดีแล้วชิมิ ..รึไปผ่าตัดแปลงเพศมาสำนวนจึงแปล่งไป ใช่รึไม่จ๊ะ..!
     
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    สรุปว่า หากเราจะกล่าว ว่าผู้ใดผิด ทั้งผิดพลาดในธรรม หรือ ผิดพลาดในส่วนใดก็ตาม

    ๑. เราจักกล่าวโดยกาลอันควร จักไม่กล่าวโดยกาลอันไม่ควร
    ๒. จักกล่าวด้วยคำจริง จักไม่กล่าวด้วยคำอันไม่เป็นจริง
    ๓. จักกล่าวด้วยคำสุภาพ จักไม่กล่าวด้วยคำหยาบ
    ๔. จักกล่าวด้วยคำประกอบด้วยประโยชน์ จักไม่กล่าวด้วยคำไร้ประโยชน์
    ๕. จักมีเมตตาจิตกล่าว จักไม่มุ่งร้ายกล่าว

    แต่ทีนี้ คนอาจจะสับสนคำว่า คำหยาบ กับ คำจริง
    ในสมัยหนึ่ง พระศาสดา ทรงกล่าวคำที่ คนทั่วไปเขาคิดว่าหยาบ แต่แท้จริงไม่หยาบ
    เช่น กล่าวคำว่า สตรีมีแต่มูตรแต่คูตร ทีนี้ หากสตรีมาได้ยิน เขาก็แค้นเคืองเพราะเขาคิดว่าเป็นคำหยาบ คำด่า

    นี่คือ ประเภทหนึ่งที่สังคมไทย ควรยกระดับ ความรู้สึกให้มีความต้านทานเรื่องคำพูดให้มากกว่านี้หน่อย
    และ ควรจะแยกให้ออกระหว่าง คำพูดหวานหูแต่ล่อลวง หรือ คำพูดอาจจะดูไม่สุภาพ แต่ตรงและจริง


    คนทั่วไปเคยชินกับคำพูดหวานหู และ คำที่เสกสรรขึ้นมาใหม่ จากผู้ดีตีนแดง
    จึง ลืมคำเก่าๆ ไป เช่น กู มึง โง่ พล่าม สันดาน บ้า เพี้ยน ครั้น พอได้ยินใครพูดแบบนี้ โมโห
    แต่หากว่า เราได้ยินคำแบบนี้เราจึงจะชอบ เช่น
    กระผม = กู
    ืท่าน= มึง
    ตระหนักไม่ทั่วถึง = โง่
    ใช้คำมาก = พล่าม
    นิสัยดั้งเดิม = สันดาน
    คิดแตกต่างจากปกติ = บ้า
    ไม่ตรงแนวทาง = เพี้ยน

    มันก็คงจะเหมือนกับ คนเคยสบาย แต่พอให้จับไม้กวาดหน่อย ก็ปวดก็เมื่อย
    แต่ ตรงกันข้าม คนเคยลำบากขุดจอบไถนา ครั้นมา จับไม้กวาด กลายเป็นเรื่องขี้ผง
    ทีนี้ เราต้องรับให้ได้ ทั้งคำพูดหวานหู หรือ คำพูดไม่หวานหู จนทั้งแผ่นดินนี้ มันชอบแต่คำป้อยอ สรรเสริญ

    ใครพูดดี แต่พูดไม่จริง ก็สรรเสริญ
    แต่ทีนี้ เราก็ไม่ต้องถึงกับพูด คำไม่สุภาพไปทุกคำ

    ที่พูดนี้ไม่ได้ พูดเพื่อแก้ต่างให้กับตนเอง แต่ความจริงมันเป็นเช่นนั้น โดยแท้ที่จริงเราอาจจะคาดไม่ถึงว่า

    เดิมทีแล้ว เราใช้คำพูด ข้า เอ็ง กู มึง มันสื่อถึง ความสนิทใจ เพื่อนพูดกัน ผัวเมียพูดกัน ญาติพี่น้องพูดกัน
    แต่ เมื่อ มีระบอบการเมืองเข้ามาแล้ว นักการเมือง หรือคนที่ร่ำเรียนสูงๆ เขาสร้างคำพูดกันขึ้นมาใหม่ เพื่อให้

    1เพื่อให้ตนเองดูมีภูมิ มีหน้ามีตา เมื่อกล่าวคำประหลาดๆ ให้คนอื่นได้ฟัง เช่น เพื่อภราดรภาพ บนมาตุภูมินี้...
    ืทั้งนี้ ก็เพราะกลัวว่า คนอื่นเขาว่าตัวเองโง่

    2 เพื่อเลี่ยงการตอบตรงๆ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ตนผิดพลาด

    ทั้งนี้ เพราะเขาต้องการ อิงพลังมวลชน คำพูดต่างๆ ก็ต้องเอาใจ ประชาชน

    รู้กันไว้จะได้ไม่โง่ เป็นทาสของคำพูดสวยงาม

    เราชินกับ คำพูดสวยงาม ดังคำเทศหลวงตาประมาณว่า

    ผัวกับเมีย เมียว่า ผัวพูดจาดุ ผัวก็ว่า เอาแบบนี้นะที่รัก ฉันว่าจะไปหาภรรยาน้อยสักคน พูดแบบนี้เอาไหม

    ลองพิจารณาดู ระหว่าง คำจริง คำตรง คำสุภาพ คำหยาบ
     
  16. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    1.รับฟัง
    2.วินิจฉัยพิจารณา
    3.เข้าใจความเป็นไปของปัญหาทั้งของตนและผู้อื่น
    4.แก้ไขตามวาระที่เหมาะสม
    การรู้วาระจิตคนอื่นก็เพื่อพิจารณาให้รู้ว่าเขาเหล่านั้นรู้สึกเช่นใดเพื่อที่จะหาทางแก้ไขปัญหาของเขา และโดยมากเราควรรู้วาระจิตของเราเองให้ดีเสียก่อน การคิดเอาชนะคนอื่นด้วยกาย วาจา ใจ ล้วนก่อทุกข์ดิ้นรนเหลือประมาณ เมื่อไม่รู้วันนี้ใช่ว่าต่อไปจะไม่รู้แต่หากไม่รู้แล้วทำรู้ต่อไปก็จะไม่รู้เพราะหลงเชื่อว่าตนนั้นรู้จริง เรื่องบางอย่างนั้นไม่ต้องยกพระสูตรมาเพราะการกระทำทุกอย่างนั้น ในพระสูตรนั้นๆไม่ได้มีอะไรอยู่เหนือกฎธรรมชาติที่มันควรจะเป็น โดยเฉพาะการอยู่ร่วมกันในสังคม ถ้าคนเรารู้จักยอมรับกันและกันได้โดยตั้งอยู่ในพรหมวิหารธรรมได้นั้น การที่จะอิจฉาริษยาอันเป็นบ่อเกิดของทุกข์และเป็นเหตุให้สร้างทุกข์ก็จะไม่มี เพราะลำพังทุกข์เพราะเรื่องอื่นๆก็มีมากมายอยู่แล้ว ไหนจะการดำรงชีพ ไหนจะการเลี้ยงดูบุตรธิดาบิดามารดามิตรบริวาร ยังต้องมาสร้างทุกข์ในการสนทนาปราศัยอวดดีอวดเด่นไปเพื่ออะไร การคิดว่าคนอื่นด้อยกว่าตนนั้นมันเป็นเรื่องที่ผู้ปฏิบัตินั้นไม่เข้าถึงสัจความจริง ว่าด้วยสัตว์โลกทั้งหลายล้วนเป็นเป็นตามกรรม มีกรรมเป็นบ่อเกิดด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จะคิดว่าเราเหนือกว่าเขาต่ำกว่าแล้วกล่าววาจากระแทกแดกดัน ว่าเป็นพระเทวทัตบ้าง เป็นสัตว์นรกบ้าง นั้นมันไม่ใช่เรื่องสมควร เพราะมันเป็นการสะท้อนถึงภูมิธรรมที่แท้จริงของผู้นั้น ธรรมะที่แท้จริงไม่ใช่เพียงเศษอักษรที่ร้อยกรองให้อ่านไว้เพื่อความสวยหรูและสวยงาม หรือเพื่อประดับบารมีเวลาสนทนาถกธรรมแต่เพื่อขัดเกลากิเลสตนและวินิจฉัยความเป็นไปของตนและนำมาสู่การแนะนำตักเตือนตามกาล ด้วยความไม่มีทิฐิมานะ นี่แหละจึงจะเป็นประโยชน์โดยแท้ของการปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน ความล่ว่งเกินอันใดอันเกิดขึ้นมาในอดีตของข้าพเจ้าต่อท่านทั้งหลายและของท่านทั้งหลายต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมไว้ ณ ที่นี้ ขอท่านทั่งหลายจงมีแต่ความสุขสวัสดี มีความเจริญในธรรมและนำผู้คนให้พ้นภัยในวัฏสงสารต่อไป
    สาธุคับท่านผู้มีธรรมทั้งหลาย
     
  17. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    953
    ค่าพลัง:
    +3,165
    การละเว้นความชั่วทั้งปวง การทำความดี การทำจิตใจให้บริสุทธิ์ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธองค์ ทุกพระองค์
     
  18. ทองอยู่

    ทองอยู่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +1,493
    ขอบคุณ ค่ะท่านอาจารย์ คือขอคำแปล นะคะ จากข้อที่ ๕๐๐ ถึงข้อ ๕๑๑ ให้เป็นสำนวน แบบวิสุทธิมรรค ที่อ่านแล้ว เข้าใจง่าย ไม่ใช่บทสรุป ค่ะ อย่าย่นย่อคำสอน ซิคะ ถ้าแปลไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร นะคะ จะหาคนอื่นที่เข้าใจ มาช่วยแปล ขอบพระคุณ ค่ะ ส่วนของ ท่านปราปเทวดา ก็เริ่มแปลให้แล้ว นะคะ
     
  19. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    งง อะทำไมต้องแปลแบบวิสุทธิมรรคด้วยละ ทำไมไม่แปลบาลีเลยละแปลให้ถูก เวลาคนเราทำอะไรมันมีกี่แบบหนอคงมีแบบที่ต้องทำให้ครบกระบวนความถึงจะได้ กับไม่ต้องให้ครบกระบวนความก็ได้ ไหมหนอ เช่น บางคนอ่านหนังสือตั้งหลายร้อยรอบถึงจะจำได้เข้าใจ แต่บางคนแค่เห็นกลับเข้าใจความหมายเท่ากับคนที่อ่านมาแล้วหลายร้อยรอบ อย่างนี้มันหมายความว่าอย่างไร แสดงว่าบางอย่างนั้นต้องเรียนรู้สำหรับบางคนและบางอย่างนั้นบางคนไม่จำเป็นต้องเรียนรู้เพราะมันมีอยู่ในตัวตนของตนเองแล้ว แบบนั้นไหมหนอ คนเราจึงมักอยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น เป็นไปตามชอบใจ เวลาเขาสอนแบบเต็มๆก็บอกว่าเบื่อพูดอะไรไม่รู้เรื่อง มันง่วงนอน พอเขาสอนแบบสรุปเอาหลักใหญ่ใจความกลับบอกว่าเอาแบบเต็มๆดีกว่า เราเคยเป็นแบบนั้นกันไหมเวลาไปฟังพระท่านสอน ผมเคยเป็นนะอาการแบบนี้ พอวันนี้พอได้รับรู้ด้วยอายตนะมาว่านั่นมาว่านี่เลยเกิดอาการแบบนี้ ว่าไหมครับ ข้อที่๕๐๐ ไม่เห็นต้องแปลเลย พระสูตรว่าไงก็ว่าตามนั้นแต่คนจะเอาไปใช้นั้นถ้าไม่รู้ตนเองก่อนก็ไม่สามารถนำไปใช้ได้อย่างจริงจัง เป็นแต่เพียงเนื้อความที่ผ่านอายตนะเข้ามากระทบบ้างไม่กระทบบ้าง จริงไหมครับ
     
  20. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +3,592
    อนุโมทนากับ ท่านขันธ์ครับ
    และจะรออ่านความบิดเบี้ยวของผู้ตีความธรรมต่อไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...