มีความสลดเป็นเหตุใกล้.........(kiss)
การนั่งสมาธิ วิปัสนา กรรมฐาน
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย พันตา, 4 มิถุนายน 2009.
หน้า 12 ของ 16
-
-
ถ้าไม่มีใครสักค้าน
ผมขอทิ้งคำถามเพิ่ม
1.หากใครประกาศตัวว่า เป็น วิริยาธิกะ แปลว่า เขามีอะไรเป็นเหตุใกล้ให้เกิด
2.ใครก็ตาม ที่กล่าวร่ำลา(ด้วยความสลด) นั่นแปลว่า เราพึงหวังประโยชน์อะไรที่จะเกิดขึ้นได้ -
ท่านนิวรณ์ อะไรที่มันปล่อยได้ก็ปล่อย....อะไรที่วันวางได้ก็วาง.......อะไรที่มันละได้ก็ละเถอะนะครับ..........ใจจะสบายขึ้นมากนะ....
เอาเรามาฟังเพลง....
[music]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=12008[/music] -
ถึงรู้ไปก่อนก็ไม่เข้าใจ
สู้ ๆ นะคุณ สาธุ -
ปล่อยวางกันเถอะ
-
rat_wting
-
สลดแต่เนิ่น ๆ
-
-
ขำๆนะท่าน
ปล. รบกวนท่านทิ้งไข่ปลาน้อย ๆ หน่อย มันออกทางยาว อ่านยาก piggi -
-
มันเป็นยังไง
ตัวเองไม่เคยรู้เคยเห็น
แต่จับเอามาพูดโอ้พูดอวด
เป็นคุ้งเป็นแคว
เอ้า...อวดอุตริเข้าไป -
เรื่องของพระอริยะเบื้องสูง มาถามผมทำไม...? -
ผมจึงถือโอกาสหาประเด็นมาสนทนา ถามเรื่องการปฏิบัติเพื่อให้เกิดวิปัสสนาญาณ
ท่านไม่ตอบอยู่พักหนึ่งโดยหันไปคุยกับคนอื่นเหมือนไม่สนใจเรา
สักพักท่านตอบว่า เรื่องง่ายๆอย่างศีลทำให้ดีก่อน หลังจากนั้นก็อธิบายขยายความเพิ่มเติม
เหตุการณ์ครั้งนั้นเตือนใจได้อย่างดีตลอดมา...เรื่องง่ายๆทำให้ได้ก่อนที่จะไปพูดถึงปรมัตถ์สภาวะ ทำให้นึกถึงคำถามของคุณเอกวีร์ ปฏิบัติไม่ถึงไหนแต่กลับพูดแต่สิ่งที่ไกลเกินตัว เห็นข้อความคุณเกสท์แล้วถูกใจจัง หุๆๆๆๆๆ -
เรื่องการสอบอารมณ์ มีทั้งข้อดีข้อเสีย
จะแน่ใจได้อย่างไรว่าผลการสอบนั้นถูกต้อง
สัพพัญญูตญาณเท่านั้นที่ฟันธงได้... -
เอาท่านสังฆราช และในหลวงมาบังหน้าเลยนะครับ
แล้วแบบนี้ชาติศาสนาจะเหลือรึ
ผมเตือนแล้วเตือนเล่าเฝ้าแต่เตือน
ท่านเป็นคนเก้อ-ยากเอาเสียจริงๆ
ถ้าไม่รู้จริงๆ ก็อย่าโชว์เลยความเขลาออกมาเลย
ไม่พูดซะก็คงไม่มีใครว่าอะไรหรอกว่าเขลา
ท่านนิฯสันดานที่ชอบกล่าวร้ายป้ายสีชาวบ้านชาวช่องเค้าหนะ
ควรกลับตัวกลับใจเสียใหม่ยังไม่สายหรอก
ใครกันแน่ครับที่พยายามบิดเบือนให้เข้ากับทิฐิของตัว
ผมเห็นท่านทำอยู่เป็นประจำจนเป็นสันดานจนจะกลายเป็นสันดอนอยู่แล้ว
ท่านพูดว่า “ตอนแรกพี่ภูติชื่นชมสมาบัติฌาณ8
มาวันนี้ ชื่นชมฌาณ4 มันก็ ฌานเหมือนกันนั้นแหละ
ก็เท่ากับกลบธรรมของลุงขันธ์เลยนะนั่น เพราะ
ลุงขันธบอกว่า ฌาณ8ทำให้เห็นจิตเดิมแท้ได้ หากไม่ถึงก็ถือ
ว่าไม่เห็น งงกันเองซะแล้ว”
^
^
ท่านอาจานนิฯ ที่พูดแบบนี้ต้องการอะไรครับ???
ให้ผมกับอาจานขันธ์ทะเลาะกันใช่มั้ยครับ???
ท่านไม่เข้าใจเรื่องฌาน วันหลังหัดสมาทานเสียบ้างจะได้อานิสงส์ไปบ้าง
วันหลังจะกล่าวร้ายใคร เอาหลักฐานว่าผมไปชื่นชมไว้ที่ไหน
การกล่าวร้ายแบบลอยๆที่ท่านชอบทำจนเป็นสันดาน
ไม่เคยมีหลักฐานมายันกันเลย มีสันดานที่กล่าวเสร็จ
ถูกถามหาหลักฐาน หายจ้อยทุกที่สิหนะ
ทำไมผมถึงต้องบอกท่านศรีให้อธิบาย
ก็เพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องเจอลูกเล่นแบบนี้อยู่แล้ว
ก็เห็นลงรูปก็รู้แล้วว่าต้องเอาชาติ ศาสนามาบังหน้าเท่านั้น
ถามตรงๆเถอะว่าได้อ่านพุทธประวัติบ้างมั้ย???
ถ้าไม่เคยกลับไปแหกพระเนตรอ่านเสียบ้าง
ไม่เข้าใจอะไรก็ถามเพื่อนเก่าอาจานขันธ์ของท่านไง
อย่าลืมนะว่าก่อนพระจอมศาสดาจะตรัสรู้นั้น
ท่านไปเรียนฌาน๗-๘กับท่านอาจารย์ทั้งสอง จนคล่องแคล่วชำนาญ
อาจารย์ทั้งสองยังชมว่าท่านจอมศาสดาของเราเป็นผู้มีความสามารถและเรียนรู้ได้เร็ว
เมื่อท่านจอมศาสดากลับมาทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ก็ปรารภว่า ทางนี้ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์
จึงขอลาท่านอาจารย์ทั้งสองออกหาโมกขธรรมด้วยองค์เอง
ในตอนที่ท่านจอมศาสดาตรัสรู้ใหม่ๆนั้น
ท่านปรารภถึงท่านอาจารย์ทั้งสองเป็นพวกแรก
เพราะเห็นว่าท่านอาจารย์ทั้งสองกิเลสเบาบางมากควรแก่การชี้แนะ
ให้เห็นถึงฌานทั่วไปที่มีอยู่ กับฌานในพุทธศาสนาเท่านั้น
ก็เกิดมีดวงตาเห็นธรรมได้
แสดงว่าฌานสมาบัติทั้งหลายไม่ใช่ของเลวร้าย เห็นจิตแท้ได้ครับ
เพียงยึดอรูปเป็นอารมณ์ฌาน ซึ่งปล่อยวางอารมณ์อรูปไม่เป็น
ในครั้งปฐมเทศนานั้น ท่านจอมศาสดาไม่เคยกล่าวถึงวิปัสสนงวิปัสสนา
ที่ไหนเลยในพระปฐมเทศนา ถ้าสำคัญจริงเป็นเอกเทศแล้ว
พระองค์ท่านจะไม่กล่าวถึงบ้างเลยเหรอ กล่าวเพียงอริยมรรคมีองค์๘เท่านั้นจริงๆ
สัมมาสมาธิมีเพียง๔ฌานเท่านั้นเอง
และฌาน๔ก็เป็นฌานที่รู้เห็นตามความเป็นจริง
เพราะจิตกับขันธ์แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิงครับ
พวกท่านกล่าวร้ายว่าพระองค์ท่านเก็บเรื่องวิปัสสนาไว้สอนเฉพาะบุคคลอย่างนั้น
อย่ากล่าวร้ายจอมศาสดานะครับ
หรือพระองค์ท่านแอบสั่งสอนเฉพาะท่านอาจารย์ปราโมทย์เท่านั้น
อย่างที่ท่านอาจารย์ปราโมทย์ เคยบอกไว้ว่าหลวงปู่ดูลย์
เคยแอบสอนเฉพาะท่านองค์เดียว ทั้งที่ผู้ใกล้ชิดบอกว่าไม่เคยมีเรื่องเช่นนั้นเลย
;aa24 -
ไม่ใช่มีแต่สภาวะเท่านั้น มีสิ่งรองรับถึงนิสัยใจคอของพวกดูจิตคิดก่อการร้ายอยู่เสมอๆ
เช่นประโยคที่ควรยกมากลับไม่
ส่วนประโยคที่ไม่ควรยกมากลับเอามาเน้นย้ำกันจัง
กลัวไม่ขลังชักชวนพรรคพวกมาช่วยอีกต่างหาก
ท่านผู้หญิงครับ ท่านกล่าวไม่ผิดหรอก แต่ไม่ได้เจาะจง
จึงทำให้พวกดูจิตคนอื่นที่นิสัยดีๆต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยครับ
วันหลังกรุณาเน้นๆชัดๆลงๆไปเลยว่าเป็นล๊อกอินชื่ออะไรครับ
;aa24 -
จาก บันทึกดูจิต ตอน... ระลึกรู้ระลึกชอบ
โดย สุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา
มีนาคม ๒๕๕๐
;aa24 -
แต่ท่านไม่รู้แล้วยังจะทำให้พุทธพจน์เสียหายเป็นสิ่งที่ไม่ค๊วร ไม่ควร
ท่านไม่รู้จริงๆหรือว่า ผู้ที่ว่าเอาความว่างมาเป็นอารมณ์
ก็มีแต่ผู้ที่จะฝึกฝนอรูปฌานที่ ๗ เท่านั้น
ท่านพูดว่า “เมื่อ จิตรู้อารมณ์แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องเสวยอารมณ์นั้น (ก็ไปเสวยอารมณ์อย่างอื่นแทน)
จิตว่าง คืออะไร ก็เหมือนเดิม จิตคือธาตุรู้ ความว่างคืออารมณ์ที่จิตไปรู้ ก็แปลว่า จิตไม่
มีทางที่จะไม่ทำหน้าที่รู้อารมณ์ คือ มันไม่มีทางหยุดหน้าที่ในการรู้(มันไม่ว่างงาน)”
ท่านอานจานนิฯ ถ้าจะพูด โดยไม่เคยสมาทานจนถึง
ก็อย่าโชว์ความเขลาเลยครับ
ท่านก็พูดเองว่าจิตรู้อารมณ์แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องเสวยอารมณ์นั้น
ในเมื่อมีความสามารถไม่เสวยอารมณ์นั้น
ก็ย่อมไม่เสวยอารมณ์ใดๆก็ได้อยู่
ท่านพูดเองอย่าแถหละ
ส่วนเรื่องจิตเอาความว่างมาเป็นอารมณ์นั้น เป็นอรูปฌานเท่านั้น
ท่านพูดว่า “จิตไม่มีทางที่จะไม่ทำหน้าที่รู้อารมณ์”
ใช่ครับข้อนี้ท่านพูดถูกจริงๆเป็นครั้งแรก
จิตที่ฝึกฝนอบรมดีแล้วนั้น ก็ยังมีหน้าที่อยู่ (หน้าที่รู้)
เมื่อรู้อารมณ์แล้วไม่รับ(วิญญาณ)เอาเข้ามาปรุงแต่ง(สังขาร)ครับ
ว่างจากอารมณ์ครับ(ไม่ใช่ความว่าง)
ในเมื่อจิตเป็นธาตุรู้ ก็ต้องยืนตัวรู้ แต่เป็นการรู้อยู่ที่รู้ยังไงครับท่าน
;aa24 -
ที่ผมไม่ก้าวล่วงท่านอาจารย์ปราโมทย์ โดยการไม่เอ่อชื่อท่านนั้น<O:p
เป็นเพราะเห็นว่าท่านไม่ได้เข้าอ่านในบอร์ดนี้ <O:p
ท่านจะไม่มีโอกาสที่จะแก้ต่างให้กับตัวเอง <O:p
<O:p
ท่านคงเล็งเห็นแล้วว่า <O:p
ท่านมีหางเครื่องมากพอที่จะสร้างขบวนการดูจิตลิซึมได้อยู่แล้ว <O:p
ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องลงมือเอง <O:p
แค่งานรับแขกของท่านอย่างเดียวก็เต็มไปถึงปี ๙๕ แล้ว
จะเอาเวลาที่ไหนจะมาตอบกระทู้ครับ
;aa24 -
ที่ต้องเอาครูบาอาจารย์มารับรองความถูกต้อง
แค่อัญเชิญสมเด็จสังฆราช กับพระเจ้าอยู่หัว มารับรองยังไม่พออีกเหรอครับ
รู้หรือเปล่าว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็ทำร้ายชาติ ศาสนา พ่อแม่ ครูบาอาจารย์น่าดูอยู่แล้ว
ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น เคยพูดคำว่าสมถะยานิกหรือวิป้สสนายานิกที่ไหน
อย่าใช้สันดานแบบใครสักคนที่ชอบเอาคำพูดของครูบาอาจารย์
เพียงบางส่วนแล้วมาแต่งเสริมเพิ่มเติมเข้ากับทิฐิของตนเท่านั้น ...
ท่านรู้มั้ยครับว่าเพราะอะไรท่านพระอาจารย์ใหญ่ ถึงพูดเช่นนั้น
."หลวงปู่มั่นสอนว่า ระวัง อย่าให้จิตไปติดเฉย”
ถ้าไมรู้จริงก็อย่าหาบาปใส่ตัวเลยครับ
เพราะท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่านเทศน์ให้พระฟัง
ท่านย่อมรู้อยู่ว่า ท่านใดยังติดสุขเฉยอยู่ครับ
ที่ท่านพูดถึงผู้ที่ได้วิป้สสนายานิก เพียงอย่างเดียว มันไม่มีทางเป็นได้หรอกครับ
เป็นเรื่องหลอกเด็กขี้เกียจเท่านั้น ฝันยังไม่เป็นจริงเลย
ในเมื่อพื้นฐานไม่มี ยังคิดสร้างหลังคาอีกหรือครับ
ระวังดูจิต คิดก่อการร้ายทำลาย ชาติ ศาสนา พ่อแม่ ครูบาอาจารย์นะครับ
;aa24
หน้า 12 ของ 16