เดี๋ยวมันก็แบบเดิมล่ะผมว่าน่ะท่านนิวรณ์
การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาและได้บุญเยอะที่สุด
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย รสมน, 21 พฤษภาคม 2009.
หน้า 4 ของ 19
-
พิจารณาที่ธรรม....ไม่ได้พิจารณาที่พรรคพวกใคร
เห็นด้วย...ถ้าเป็นธรรมและเป็นสิ่งถูกต้อง ไม่เห็นด้วยถ้าไม่ถูกต้อง
และไม่ได้รู้จักใครเลยในห้องนี้..แม้สักคนเดียว -
ถ้าคุยกันด้วยไมตรีมันก็ไม่มีพรรคมีพวกหรอกครับ
สนทนาธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว แต่มักจะลามปามอยู่เรื่อย
ผมเองก้ไม่เคยเจอหน้าใครในห้องนี้เลยแม้ซักคนเดียว -
คนที่ภาวนาตลอดเวลาเขาจะรู้สึกเหนื่อย และเย็นค่ะ เสียงรอบข้างไม่ดัง
แค่รู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมภายนอกมันเริ่มช้าลง ทุกวัน ได้แค่นี้ -
-
คุณ ไม่ได้ดูหรือว่า เขากำลังพูดเรื่องอะไร
เขากำลังพูดว่า สมถะไม่ต้องไปทำหรอก ทำวิปัสสนาอย่างเดียว
คุณมาถึงมาบอกว่า แยกสมถะกับวิปัสสนา ออกจากคำว่าสมาธิ
คุณ ทำสมาธิอย่างไรมิทราบ จึงได้พูดในทำนองว่า สมถะไม่ใช่สมาธิ
คุณวิปัสสนาอย่างเดียวหรือ จึงได้สมาธิมา
หรือ คุณมีสมาธิเกิดขึ้นเองในสันดาน
คุณนิวรณ์ คุณถกธรรมอย่าเอาแต่คิด เอาสิ่งที่มันเกิดในใจจริงๆ ของคุณ อย่าไปคิดแล้วมาถก มันจะเข้ารกเข้าพง -
จะว่าไป จิตสงบคือสมถะ แต่เพียงจิตสงบแต่ยังไม่เป็นสมาธิ
-
คุณก็ตอบคำถามตัวเองสิครับคุณขันธ์ ทำเป็นทั้งสองอย่างไม่ใช่เหรอ
ลักขณูปณิชฌาณ ทำแล้วมันได้ ฌาณ สมาธิไหม หากได้ ก็นั่นแหละ วิปัสสนา ทำให้
เกิดสมาธิได้
อรัมณูปณิชฌาณ ทำแล้วได้สมาธิทันทีเหรอ ก็เปล่า มันเป็นเรื่องของอิทธิบาท4 ที่
ยังต้องเจือเจตนา เจือตัณหา ก็มันยังเจือตัณหาคุณจะเรียกว่าเกิดสมาธิเหรอ ในเมื่อ
มันมีนิวรณ์อยู่
ดังนั้น เมื่อหมดเจตนา หรือ หมดตัณหา หมดนิวรณ์นั่นแหละ สมาธิ ถึงจะเรียกว่าเกิด
สมาธิ ที่เกิดจากการหมดตัณหา หมดเจตนา มันจึงเข้าได้ทั้งสองทาง ทั้งทาง
อรัมณูปณิชฌาณ และ ลักขณูปณิชฌาณ
ใช่ หรือ ไม่ใช่
หากคุณตอบว่าไม่ใช่ สมาธิจะต้องมาจาก อรัมณูปณิชฌาณ เท่านั้น ก็แปลว่า
ที่อ้างว่า ทำลักขณูปฌิชฌาณ เป็นนั้น เป็นไม่จริง ไปเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง -
อีกอย่าง ถ้าคุณ จะเอาคำว่า สมาธิ ที่ใช้กันแบบภาษาปฏิบัติพื้นบ้าน
มากล่าว แบบนั้นก็จะเกิดการใช้คำรวมกัน สมถะสมาธิ จะกลายเป็น
คำเดียวกัน
หากคุณใช้ข้อนี้มาพูด ก็จะเถียงกันไม่เลิก เพราะเราไม่ได้กร่อนระดับ
ภาษาที่งดงามในอรรถ ในพยัญชนะ ลงไปใช้แบบนั้น -
เรื่อง พรรค เรื่อง พวก ก็อย่าได้คิดไปเอง ผมเองก็ไม่เคยเจอใครในนี้สักคน
ไม่รู้จักเลยก็ว่าได้ นี่ก็ว่ากันไปตามคำที่อ้างในกระทู้กันไปเท่านั้น
แต่ถ้าจะเกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก ก็เดี๋ยวก็คงเกิด โดยคราวนี้ก็จะไม่เดือด
ร้อนคุณ visuto เท่าไหร่ในการถามหา พรรษา ของอาจารย์ของคุณรสมน
เพราะดูเหมือนจะเป็น ฆารวาส ชื่อ อ.สุจินต์ คุณรสมนเองก็บอกแจ้งชัดในข้อนี้
แต่ที่ว่า จะเกิดเป็นกลุ่มเป็นพวก ก็คงจะอีกสักเดี๋ยว คงเกิดสำนักเทวทัตตาม
คำพิภากษาแบบไร้สติเกิดขึ้นอีก ถึงตอนนั้น ก็คงเป็นพวกเดียวกับเราไปโดย
ปริยาย
ซึ่ง "เรา" ก็ได้มาจากการแต่งตั้งแบ่งพรรคพวกโดยการจัดมาให้ ปฏิเสธก็ไม่ได้
ผู้พิภากษาสมาชิกหนึ่งเดียวของกลุ่มที่เขาเอิดตัวตั้ง ก็จะหาว่าเป็นการดิ้นรนของกิเลส -
ผมขี้เกียจเถียงกับคุณ นิวรณ์
ฌาณ เข้าได้ทั้งสองแบบนั้น มันสำหรับผู้ที่เจริญวิปัสสนาญาณ แก่กล้าแล้ว
และก่อนจะทำ ลักขณูปนิชฌาณ ได้ จะต้องมี สมาธิ อันเกิดจากสมถะเป็นบาท จนมีศีลตั้งมั่น สมาธิ ตั้งมั่นระดับหนึ่งก่อน
และ สมาธิในโลกุตระฌาณ นี้ จะต้องมีปัญญากล้ามากพอ ที่จะเห็น สุขในเราว่าไม่ใช่เรา
เห็น อายตนะหนักในเราไม่ใช่เรา เห็นสังขารใหญ่ไม่ใช่เรา แล้วปล่อยคืน เมื่อปล่อยคืน
มันจะล่อน ตัวหนักออกไป จิตจะว่าง ตามชั้นภูมิของตน
ตัวที่หลงอยู่ที่กายนี้จะล่อนไป เหลือแต่จิต เมื่อเหลือแต่จิต จะไม่ไปสัมผัสอายตนะหนักๆ ที่กายนี้ มันจะเหลือแต่ รู้ กับ ธรรม
ดังนั้น การทำสมาธิ นี้ต้องหมั่นทำให้มาก ด้วย สมถะนี่แหละ
เมื่อทำได้แล้วเป็นฐาน แล้วให้เจริญ ปัญญา ในการเข้าฌาณ -
ถ้าตอบแบบนี้ ก็แปลว่า เจริญ ลักขณูปณิชฌาณ ไม่เป็น
อย่าว่าแต่แค่นี้เลยครับ
ทางมันมีอยู่ 4 ทางที่ทำได้ แต่คุณเองรู้เพียง 1 แต่เอิดตัวว่ารู้สอง
แต่อีก สอง ให้ตายยังไงก็ไม่รู้
ลองอ่านดูละกันว่า ที่ว่ามี 4 ทางนั้น มีอะไรบ้าง
http://palungjit.org/threads/มารู้จักแนวทางทั้ง-๔-ที่นำไปสู่อรหัตตผลกันเถิด.188774/ -
อ้อ แล้วอย่าสับสน คิดว่า ผมกล่าวหาว่า คุณทำวิปัสสนา หรือ ลักขณูปณิชฌาณ
ไม่เป็นแบบว่า ไม่เป็นเลย นะ
เพราะการพูดว่า คุณทำไม่เป็นก็คือ
ใช้ลักขณูปณิชฌาณ นำหน้าออกตัวสตาร์ท ไม่เป็น เพราะ คุณฝึกมา ก็เริ่ม
จาก สมถะนำหน้า คิดยังไงก็คิดไม่ออก เห็นแต่สมถะนำหน้าเท่านั้นที่ใช่ ที่มี
ยิ่ง ทำแบบควบนี่ คุณยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่ ว่าทำแบบไหน ควบอย่างไร เท่าที่คุณนึก
ออกและคิดว่าทำได้ มันเป็นเรื่องการทำได้ทีหลัง ไม่ใช่การเริ่มต้นออกตัวสตาร์ท
แล้วยิ่งการเริ่มต้นมาก็เกิดโอภาสเลย และไประงับอุธธัจจะที่ขวางกั้นนี่ ยิ่งงงเข้าไป
ใหญ่ว่าคืออะไร -
ดังนั้นผมจะเป็นหรือไม่เป็น มันไม่มีใครรู้
คุณอย่าไปสรุปเอง เออเอง
มันไม่ใช่แบบนั่งรู้ดูเฉย แล้วจะเป็นลักขณูปณิชฌาณ เพราะนั่นเขาเรียกว่า ดูรูปนาม
ถือเป็นการเพ่ง ในสมถะ เพราะไม่ได้เจริญในสิ่งที่ละเอียดขึ้นไป ก่อนละ -
ทำลักขณูปณิชาฌาณไม่เป็น แต่อันนี้เป็นการทำไม่เป็นเพราะ คุณต้องการ
ยัดเยียดคำว่า "นั่งรู้ดูเฉย" ให้พวกเรา เพื่อให้ตัวเองถูกต้อง แล้วก็คงเล่นมุข
ยัดเยียดกระต่ายขาเดียวตามเคย
แบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำกันนะครับ เข้าวงจรเดิมแล้ว
เอาเป็นว่า ผมจะรอดูการแต่งตั้งสำนักใหม่ เป็นสำนักเทวทัต เป็นรายต่อไปก็
แล้วกัน คิดว่า ด้วยความวิปลาสของคุณ คงจะทำให้เกิดขึ้นได้ไม่นานนัก -
มันน่าสงสาร ที่ว่า นั่งรู้ดูเฉย นี้ ถ้าทำให้ดี จะเป็นการเจริญ อานาปานสติได้
เป็น 1 ในกองสมถะกรรมฐาน ที่สามารถทำให้ถึง โลกุตระฌาณ หากว่า ชำนาญในมหาสติปัฎฐานสี่แล้ว
แต่บังเอิญว่า คนสอน ไม่รู้เรื่องอะไรเลย จะเอาอานาปานสติก็ไม่เอา
จะเอาวิปัสสนาก็ไม่เพียร
จะเอามหาสติก็ไม่เจริญ ปัญญาเพื่อละ
มันก็เลยไปสับสนใจตัวเอง -
อ้าว พ่อคุณ ทางเขามี 4 พี่ไปหยิบมา 1 เฉพาะที่ตรงกับตน มันก็ถูกซี
แต่ของคนอื่นที่คุณเที่ยวไล่แจกวุฒิบัตรเทวทัตหนะ บางคนเขาทำแบบที่สอง
ผม และ พี่วิษณุ นี่ทำแบบที่สาม
ผม นี่ทำแบบที่ 4 (พี่วิษณุผมไม่ทราบข้อนี้) เรียกว่า ทำครบ 4 แต่ของคนอื่น
ทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ -
เรื่อง วิปัสสนาก่อน หรือ สมถะก่อน เป็นเรื่องที่ อบรมใจดีแล้ว
แต่ก่อนจะเข้าสู่สภาวะนี้ จะต้องมี สมถะเป็นฐานให้ดี
ในส่วนที่วิปัสสนาก่อนสมถะ เป็นส่วนของ การใช้ปัญญาอบรม สมาธิ ให้ยิ่งขึ้นไป
ไม่ใช่ว่า ไม่ต้องเจริญ สมถะ แล้วเจริญวิปัสสนาได้
ให้ดูลำดับธรรมให้ดีก่อน -
เอาเถอะ กี่ทางมันก็แบบนี้แหละ ไม่ไปไหนหรอก
หน้า 4 ของ 19