การภาวนาคาถา ต้องใช้กำลังสมาธิระดับไหน คาถาถึงเริ่มมีผล

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย แผ่บุญ, 14 กรกฎาคม 2018.

  1. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    เวลาเราไปเจอคาถา ที่มีสรรพคุณในด้านต่างๆ ถ้าจะภาวนาให้มันเริ่มจะมีผลจริงๆ จะต้องภาวนาถึงกำลังสมาธิในระดับไหนครับ อย่างเช่น คาถารวม...ของเดิม คาถาเรียก...ต่างๆ
     
  2. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    ระดับอุปจาระสมาธิ ผมก็ลองภาวนาบางคาถาที่เกี่ยวข้องกับการเรียก...ต่างๆ ก็เหมือนว่าจะมีกำลังภายนอกมาช่วยทำให้จิตเรานิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่เห็นผลอะไรที่ชัดเจนมากนัก

    การดึงพลังงานจากนามธรรมด้านบนมาช่วยกลั่นให้เป็นรูปธรรมจริงๆมันต้องมีแนวทางยังไงที่พอเป็นไปได้บ้างครับ
     
  3. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    อย่างเช่น เวลาผมภาวนาคาถา "นะมะพะทะ" คาถาสายวัดท่าซุง จะมีอาการแปลกๆเกิดขึ้นทุกครั้ง คือผมจะร้อนๆออกมาผึ่งๆทั้งเนื้อทั้งตัวร้อนเหมือนไฟกำลังจะออกจากตัว ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีอาการแบบนั้น มันมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับคาถานี้หรือเปล่า น่าจะมีผู้ให้คำตอบผมได้
     
  4. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    ต่างจากคาถา สัมปะจิตฉามิ ที่เวลาผมภาวนาถึงอุปจาระจะรู้สึกว่ากำลังเย็นกว่ามาก แต่จะมีพลังงานอะไรบางอย่างส่งมาที่บนหัวผม ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะมีผลอะไรยังไงต่อไป ถ้าเราทำไม่หยุดน่าสงสัยครับ พลังงานอะไรมาบนหัวทำให้หัวหนักๆ

    ปล.FC สายพลังจิตอภิญญาครับ ชอบๆแต่ยังทำไม่ถึง 555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2018
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    นะมะพะทะ เกี่ยวกับธาตุ
    ถ้ากำลังสมาธิและกำลังจิต
    และวิปัสสนาเรายังไม่พอ
    จะส่งผลต่อร่างกายเป็นปกติ
    ก็ไปเพิ่มซะ ถ้าใช้ด้านท่องเที่ยว
    เราจะมองไม่เห็นตัวจิต
    ถ้าใช้ทางด้านตา จะไม่ต่าง
    สัมปะฯ

    ส่วนคำภาวนาจะได้ผล
    หรือพอเห็นผลได้
    ต้องในโหมดที่จิตเป็นทิพย์
    เห็นผลยกตัวอย่างด้านการเห็น
    ตัวอย่าง เช่น เราภาวนา
    ๑.พุทโธ เห็นเหมือนมองผ่านตาแมว
    และจะเห็นเฉพาะในสิ่งที่ควรเห็น
    ๒.สัมปะจิตฉามิ นะมะฯเหมือนจอ LCD
    จะเห็นในรายละเอียดเมื่อหันไปมอง
    ๓.โสตัสตะ. เห็นเหมือนเราไปยืนตรงนั้น
    รายละเอียดจะขึ้นมาก่อนที่เราจะหันไปมอง
    พอประมานความต่างได้ไหม

    แต่ถ้ากรณี จะเรียกของเก่าขึ้นมา
    ต้องมีพื้นฐานทางจิต และกำลังจิตรองรับ
    ในระดับที่เพียงพอ และมีสถานนะการณ์
    ที่จะรองรับการใช้งานด้วย
    ยกตัวอย่างระหว่าง สัมปะ กับ โสตะ
    ยกตัวอย่าง สมมุติมีเหตุให้ใช้งาน
    ถ้าเรามีพื้นฐานพียงพอรองรับกสิณไฟได้
    เราจะใช้กสิณไฟได้แบบโปรกองเดียวเพียวๆ
    ในแบบลืมตาปกตินี่หละไม่ใช่หลับตานะ
    แต่ถ้าตอนนั้นเรานึกภาวนา โสตัสฯ
    กสิณจะรวมกันขึ้นมาอย่างน้อย ๕ กอง
    พอเห็นความต่างไหม
    ที่พูดคือด้านเดียวแบบหยาบๆ
    พอให้เห็นภาพกว้างๆ

    ยกเว้นเราเป็นเซียนสวด
    มันจะเกิดผลด้านการใช้งาน
    จะต้องมีฐานสมาธิใช้งานระดับ
    ฌาน ๒ และ๓ เป็นอย่างน้อย

    ฐานสมาธิใช้งานคือ กำลังสมาธิที่สามารถ
    นำมาใช้งานได้ในเวลาลืมตาปกติ
    ไม่ใช่ระดับสมาธิที่เคยนั่งได้หรือเคยเข้าได้
    เช่นเราเคยนั่งได้เข้าได้ถึงฌาน ๔
    แต่กพลังใช้งานในเวลาปกติเราอาจจะ
    ไม่มีเลย หรือได้แต่อุปจาระ.
    พอเข้าใจคำว่าเคยเข้าได้
    กับใช้งานได้จริงนะ
    เราจะดูว่าใครได้ฌานไหน
    ทางปฎิบัติจะวัดที่ตรงการใช้งานได้
    ไม่ใช่เคยเข้าได้ หรือกำลังเข้าได้อยู่
    แบบที่ทำให้นักปฏิบัติทั้งหลาย
    ชอบหลงตัวเองว่าได้ฌาน
    ทั้งๆที่ใช้งานจริงไม่ได้
    พอมองภาพออกเนาะ
    ปล แค่เล่าให้ฟัง ความจริงเรื่องพวกนี้
    เคยเขียนในนี้ไปเมื่อ ๔หรือ ๕ ปีก่อนนี่หละ
    ถ้าจำไม่ผิดนะ

    รู้ด้วยตัวเอง ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง
    หัดเพิ่มการสังเกตุ
    มันถึงจะไปได้เร็ว ทางปฎิบัติ
     
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ตอบยาก แต่เหมือนง่าย

    ถ้าคาถาของวัตถุมงคลของครูบาอาจารย์ที่พุทธพิเสก นั้น อาราทนาเช้าเย็นทุกวันก็เห็นผลแล้วครับ

    ทดสอบได้ด้วยตัวเองครับ

    ถ้าคาถาเงินล้าน ภาวนา 108 จบทุกวันติดต่อกันสองเดือน+ ตอนภาวนาอย่าให้เกิดอารมณ์อยาก ก็จะเริ่มเห็นผล

    ถ้าพวกไสสาตร์ ใช้ กำลังระดับสมาธิอุปจารสมาธิ ขึ้นไปครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2018
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    กรณีนี้ พื้นฐานคือเราเข้าถึงต้นกำลังก่อน
    ตรงนี้เป็นเบสิกทั่วไป
    แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำได้เลยนะ
    การทำได้มันเริ่มจาก
    จิตเราต้องเคยใช้งานได้ก่อน
    ในเวลาลืมตาปกตินี่หละ
    แล้วก็ค่อยๆพัฒนาระดับ
    การใช้งานจากประสบการณ์
    การสะสม คล้ายๆเก็บประสบการณ์
    เราถึงจะยกระดับผลของการใช้งานนั้นได้
    ไม่มีหรอกประเภทที่เชื่อมได้เข้าถึงได้
    แล้วจะใช้งานแบบโปรเลยนั่นคือ
    อ่านตำราและคิดเอา
    ถ้าเราอยู่ดีๆไปโปรทางด้านนั้น
    ประกันได้เลยว่าเราจะเพี้ยน
    ต่อให้มีกำลังจิตเป็นพื้นฐานก็เพี้ยน
    เพราะจิตจะรับกำลังใช้งานตรงนี้ไม่ได้

    สิ่งที่จะทำให้เราพัฒนาไปได้เร็ว
    หลังจากใช้งานได้แล้ว ควรใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะและประโยชน์ทางธรรม และผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆเท่านั้น เราถึงจะได้การสนับสนุนจากสิ่งที่มองไม่เห็น
    เมื่อทำได้ ลำดับต่อก็คือ
    ทิ้งมันไปเลย(รับรองทำได้ไม่มีคำว่าเสื่อม) เหมือนกับว่ามันไม่เคย
    เกิดกับเราแล้วมาต่อทางด้านปัญญา
    มันถึงจะค่อยๆเป็นอัตโนมัติของมันเอง
    จริงๆมันก็คือค่อยๆส่งคืนธรรมชาติเดิม
    แท้ของจิตเราเองนั่นเองหละ. ^_^

    หวังว่าจะเข้าที่เขียนให้ฟัง

    ปล สุดยอดของทุกวิชาคือว่าง
    “ที่ไม่ใช่ว่าว่าง และไม่ว่าง นั่นหละว่าง” ^_^
     
  8. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    มันเกี่ยวกับวิบากกรรมเก่าด้วยป่าวครับ อย่างเช่นคาถาเรียกเงินเรียกทอง ที่เราทำกันแล้วมันยังไม่เห็นผลที่ชัดเจน อาจจะเป็นที่ว่าอดีตชาติเราไม่มีบุญเก่าสะสมเพียงพอจริงแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในทางรูปธรรมเลย

    ที่ว่าห้ามอยากเวลาสวดภาวนามันก็พอทำได้ แต่อยู่ในสภาวะปกติมันก็ต้องอยากอยู่เพราะมันจำเป็นต้องกินต้องใช้ แม้เพียงปัจจัย4 ธรรมดาๆยังต้องใช้เงินเป็นตัวซื้อหามาทั้งหมด มันน่าจะมีอะไรที่พอจะบ่งบอกได้ว่าบางคนสวดถึงได้ผลไว บางคนได้ผลช้าถึงช้ามากจนท้อเลิกสวดไปก็นักต่อนัก จุดนี้เหตุอะไรถึงแตกต่างในผลที่เป็นรูปธรรมครับ
     
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    FB_IMG_1531630235401.jpg ได้ผลเร็วก็เข้าฌานสวดครับ สวเในสมาธิ ฌานเห็นผลแน่นอน

    ที่ไม่เกิดผลเพราะเวลาสวดคาถาอยากไปด้วยเลยไม่เกิดผล. จิตไม่สงบ ไม่ได้ทำติดต่อกัน สวดแค่ไม่กี่จบ

    เวลาสวด วางกำลังให้สงบ อย่าให้เกิดความอยากรวยอยากมีเงิน เวลาสวด แล้วก็สวดไปตามหน้าที่ อย่าให้ฟุ้งซ่าน

    แตกต่างกันที่การปฏิบัติสวด 108จบติดต่อกันสองเดือนขึ้นไปจะเริ่มเห็นผล

    จะให้เห็นผลไวสวด 1000 จบต่อวันให้ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2018
  10. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เคล็ดลับในการสวดคาถาเงินล้าน


    ถาม :เรื่องลดค่าเงินบาท ?

    ตอบ:ไม่ต้องถาม เอาคาถาเงินล้านไปตั้งใจภาวนาอย่างจริง ๆ จัง ๆ เราจะฟื้นเร็ว

    ถาม :ท่องวันละ ๙ จบ ?

    ตอบ: อาตมาเคยท่องวันละ ๑,๒๐๐ จบ จำไว้ว่าถ้าอยากรวยทำแค่ ๙ จบหรือ ? ทำมาก ๆ หน่อย ๓๐๐,๕๐๐ จบไปเลยก็ได้ ท่องไปเลย ๓ วัน ๓ คืนก็ได้ พระคาถาเงินล้านมีเคล็ดลับอยู่ตรงที่ว่า อย่าทำเพราะอยากได้ ให้ทำเพราะว่าเป็นของดีที่สุดครูบาอาจารย์ให้ไว้ หน้าที่ของเราก็คือรักษาสมบัติครูบาอาจารย์ ด้วยการท่องบ่นภาวนาเป็นปกติ อีกข้อหนึ่งคือ อย่าทำเพราะอยาก ว่าไปเยอะ ๆ เลย อาตมาเริ่มต้นขึ้นมา ๓๐ ต่อไปก็ ๓๐๐ มีแต่มากขึ้น ไม่มีน้อยลง ปัจจุบันนี้นึกได้เมื่อไรว่าเมื่อนั้น

    ถาม : จะดีขึ้นมั้ยครับ ?

    ตอบ: ถ้าหากว่าเอาพระคาถาเงินล้านไปทำ ทุกอย่างจะดีขึ้นไปเอง เพราะว่าพระคาถานี้เป็นเรื่องของลาภผลโดยตรง แล้วห้ามบ่นว่าเหนื่อย ถ้าหากว่าเกี่ยวกับเรื่องการงาน จะมาชนิดที่ต้องทำกันตายไปข้างหนึ่งเลย

    ถาม : หนักไปทางสวดมนต์ ?

    ตอบ: อย่างไรก็ได้ ขอให้เป็นการทำความดีเท่านั้น ในเมื่อเราสวดมนต์เก่ง ก็สวดพระคาถาเงินล้านแทนไปเลย

    ถาม : ๙ จบน้อยไป ?

    ตอบ: น้อยไป น้อยมาก อาตมาเองเล่นทีหลาย ๆ ร้อยจบมาหลายปีแล้ว มีอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ ที่ภาวนาคาถาเงินล้านวันละ ๓๐๐ จบเป็นอย่างน้อย ภาวนาไปชักลูกประคำไป จนนิ้วมือ ๒ข้างด้านเป็นเม็ดเบ้อเร่อเลย ลูกประคำเส้นนั้น โดนเขาปล้นไปแล้ว เพราะว่าชักจนเป็นแก้วไปเลย คิดดูแล้วกันว่ามือถูกับไม้จนกระทั่งไม้ใสเป็นแก้วไปเลย ถ้าไม่ทำจริง ๆ ขนาดนั้นไปไม่รอดหรอก

    ทำเพราะว่าอาตมาเชื่อครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่าอะไรก็เป็นอย่างนั้น ตั้งแต่รู้จักศึกษาวิชาการที่ท่านสอนให้ ทุกอย่างเป็นไปตามนั้นหมด ในเมื่อท่านบอกว่าคาถาเงินล้านทำแล้วรวยก็ต้องรวย

    สมัยหลวงปู่ปานก็มีนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ ท่านทำแล้วรวยเป็นหลักเป็นฐาน มาถึงรุ่นหลวงพ่อไม่มีใครทำจริง ๆ อาตมาก็เลยตั้งใจว่า...กูทำเองก็ได้ อาตมาใช้เวลาสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเกาะพระฤๅษีแค่ ๑๓ เดือน สร้างครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่างจากพื้นดินเปล่าๆ ปัจจุบันนี้สร้างที ๔ - ๕ วัดพร้อม ๆ กันโดยไม่กลัวไม่มีสตางค์ เพราะว่าพระคาถาบทนี้บทเดียว...ไปทำดูเถอะ

    ถาม : งานขาดทุน สับสน ?

    ตอบ:ไม่ต้องสับสนอะไรทั้งนั้น ถ้าเรามาถึงจุดนี้แล้ว โยมมีสมเด็จคำข้าวหรือสมเด็จหางหมากของหลวงพ่อวัดท่าซุงไหม ? ถ้าหากว่าไม่มีให้ไปหามา แล้วใช้ควบกับพระคาถาเงินล้าน ทุกอย่างจะคล่องหมด ขอให้ทำจริง ๆ เท่านั้นทุกอย่างจะคล่องตัวหมด

    อาตมาเคยภาวนาแล้วอยากจะรู้ว่า ในแต่ละวันถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาภาวนาคาถาเงินล้าน ภาวนาช้า ๆ สติจับตามอยู่ตลอดทุกคำ ประเภทที่เรียกว่าเน้นคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ อยากรู้ว่าจะว่าได้เท่าไร ปรากฏว่าตั้งแต่ตี ๓ ยัน ๑ ทุ่มของแต่ละวัน จะได้ประมาณ ๑,๒๐๐ จบ จะมีเวลาหยุดกินข้าว ตีว่า ๒ มื้อ ๑ ชั่วโมงแล้วกัน ตี ๓ ถึง ๑ ทุ่มทำอยู่ทุกวัน ทำอยู่ประมาณ ๓ เดือนเต็ม ๆ ทำจนกระทั่งคำนวณได้ว่าแต่ละวันจะได้ประมาณ แต่ถ้าท่องเร่ง ๆ ได้เยอะกว่านั้น แต่นี่ประเภทเอาคุณภาพกันเลย ทำให้จริง ๆ ซะที อาตมาเอาต้นทุน ๓๐๐ จบ นี่ล่อซะ ๓ ปีเต็มๆ เสร็จแล้ว ๑,๒๐๐ จบนี่เล่นอยู่ประมาณ ๓ เดือน หลังจากนั้นมาเปลี่ยนเป็นนึกได้เมื่อไรก็ว่าเมื่อนั้น ตอนนี้เรื่องนับจบเลิกนับไปแล้ว


    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนธันวาคม ๒๕๔๕ (ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    <o:p</o
    การวางกำลังใจในการภาวนาคาถาเงินล้านให้ได้ประโยชน์สูงสุด

    <table style="background: rgb(239, 235, 239) none repeat scroll 0% 0%;" class="MsoNormalTable" width="4" height="20" cellspacing="0" cellpadding="0" border="0"><tbody><tr style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><td style="BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-BOTTOM: 0in; BACKGROUND-COLOR: transparent; PADDING-LEFT: 0in; PADDING-RIGHT: 0in; BORDER-TOP: #ece9d8; BORDER-RIGHT: #ece9d8; PADDING-TOP: 0in">
    </td></tr></tbody></table>​

    ถาม : เมื่อสองสามวันก่อนนี่ แฟนเพื่อนไปอธิษฐานหน้ารูปหลวงพ่อที่อยู่ที่บ้านเขา ขอให้ถูกหวยสักงวดหนึ่ง ก็ซื้อเลย ๔๗๒ มาทั้งปึก แทงสองตัว ๗๒ ด้วย พอตอนบ่ายกลิ่นน้ำอบน้ำหอมเต็มบ้านไปหมด แทบจะวิ่งหนีออกนอกบ้านเพราะกลัว พอหวยออกมาโดนตรง ๆ เลย
    ตอบ :คราวนี้ก็รีบไปแก้บน ไม่ได้บนหรอกขอเอาดื้อ ๆ แต่รีบไปทำบุญใหญ่ซะ แสดงว่าวาระบุญของเขามาถึง ถ้าหากว่าวาระบุญที่เกิดจากทานบารมีมาไม่ถึงนี่ซื้อให้ตายก็ไม่ถูก

    ถาม : อยากจะเล่าให้ฟังเรื่องคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า คือผมเริ่มท่องมาได้ประมาณเจ็ดแปดเดือนแล้ว ตอนนี้รู้สึกว่าเงินในกระเป๋าไม่เคยขาดจะมีแต่เพิ่มขึ้นแต่รู้สึกว่ายังไม่ถึงขั้นที่ว่า...

    ตอบ : ค่อย ๆ ทำไป ถ้าหากว่าเราทำโดยที่กำลังใจของเราคิดว่า เราทำเพื่อบูชาคุณครูบาอาจารย์ เรามีหน้าที่ทำเพื่อรักษามรดกล้ำค่าที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้เราไว้

    แล้วก็ท่องบ่นภาวนาของเราไป โดยที่ไม่ได้คิดอยากได้ใคร่ดีอะไรกับผลตอบแทนอันนั้น เรามีหน้าที่ท่อง ผลตอบแทนจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ถ้าอย่างนั้นจะมาเยอะ มาเร็วด้วย แต่ถ้าหากว่าเราท่องแล้วใจไปคิดอยากได้ ตัวอยากจะตัดไปเยอะ อันนี้กล้ายืนยัน เพราะอาตมาทำเอง แล้วก็ทำมาตลอด

    ถาม : หลวงพ่อท่านบอกว่า หลวงปู่ปานท่านให้ทั้งมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ และท่านก็บอกด้วยว่า พระคาถานี้คนไปนิพพานกันเยอะแล้ว ก็เลยท่องมาเรื่อย
    ตอบ : คือคาถานี้อย่างน้อย ๆ เราก็ต้องคิดว่าเป็นหลวงปู่หลวงพ่อให้ เจ้าของคาถาก็คือพระปัจเจกพุทธเจ้า และถ้าเป็นคาถาในพระคาถาเงินล้าน หลายบทก็เป็นที่พระพุทธเจ้าประทานให้มา
    ถ้าใจของเราเกาะหลวงพ่อ ใจเกาะพระปัจเจกพุทธเจ้า ใจเกาะพระพุทธเจ้า คิดว่าท่านเองทรงความดีถึงขนาดนั้น เป็นผู้ให้คาถาเรามา ถ้าเราตายเราขอไปอยู่กับท่าน อย่างนั้นโอกาสไปนิพพานก็สูง อยู่ที่ทำได้หรือทำเป็น ถ้าหากว่าทำเป็นนี่ประโยชน์เยอะ


    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณบ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔

    <hr width="100%" size="1" noshade="" color="white" align="center">


    การใช้พระคาถาเงินล้าน โดย หลวงพ่อเล็ก
    <v:shape style="WIDTH: 209.25pt; HEIGHT: 288.75pt" id="_x0000_i1032" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\darineec\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image005.jpg" o:href="http://gallery.palungjit.org/data/590/lingdum1186lt.jpg"></v:imagedata></v:shape>

    "....... ดังนั้น ขอให้ทุกคนยึดคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งให้มั่นคงเอาไว้ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อมอบให้แก่เรามา โดยเฉพาะพระคาถาเงินล้าน ขอให้ทุกคนท่องบ่นภาวนาไว้เป็นประจำ ๆ จะสร้างความคล่องตัวให้แก่เราอย่างคิดไม่ถึง ใครจะว่างมงาย ใครจะว่าเหลวไหล อาตมายืนยันว่าไม่งมงาย ไม่เหลวไหล เพราะอาตมาใช้มาเอง มีใครบ้างที่สามารถสร้างวัด ๆ หนึ่งเสร็จได้ภายในปีเดียว โดยที่มีแค่ ๒ มือเปล่า ๆ กับพระคาถาบทเดียว จะไม่ให้ยืนยันอย่างนี้ก็ไม่ได้ แล้วขณะเดียวกัน เวลาไปช่วยเขาที่อื่นที่ไหนก็ตาม ขึ้นชื่อว่าการสะดุดหยุดยั้งผิดจังหวะไม่มี มีแต่ความสะดวกคล่องตัวอยู่เสมอ

    ดังนั้นขอย้ำว่าถ้าเราใช้คาถาเป็น ส่วนใหญ่ทำไมใช้ไม่เป็นใช้ไม่ถูกกัน ? การใช้คาถาเป็นก็คือต้องวางกำลังใจให้เป็น การวางกำลังใจให้เป็นก็คือตั้งใจว่า คาถานี้คือสมบัติวิเศษที่พ่อให้มา หน้าที่ของเราคือรักษาไว้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะพึงดีได้ ด้วยการเป็นคนที่ขยันท่องบ่นเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อย่างสม่ำเสมอและจริงจังทุกวัน เรื่องของความสม่ำเสมอจริงจังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ส่วนใหญ่จะทำ ๆ ทิ้ง ๆ กัน ในเมื่อเราตั้งใจทำถวายบูชาต่อท่านอย่างสม่ำเสมอและจริงจัง ผลพิเศษต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นเอง แต่ถ้าเราทำเพื่อจะหวังผลพิเศษ ตัวอยากที่บังหน้าจะตัดไปเกือบหมด อยากได้..ไม่ใช่ความผิด แต่พออยากตั้งใจว่าต้องการอะไรแล้ว ให้ลืมความอยากนั้นเสีย แล้วตั้งหน้าตั้งตาภาวนาไป นี่คือการใช้คาถาที่ถูก การปฏิบัติทุกอย่างก็เหมือนกัน ต้องอยากถึงจะทำ แต่ตัวอยากตัวนี้เป็นฉันทะ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเรียกว่าธรรมฉันทะ คือ ความพอใจในธรรม ไม่ใช่ตัวตัณหา ตัวตัณหาเป็นการอยากได้ใคร่มีในลักษณะที่ ถ้าให้ได้มาถึงต้องผิดศีลผิดธรรมก็ยังเอา ตัวอยากมีอยู่ในทุกธรรมะ แต่ว่าตัวอยากนี้เป็นตัวธรรมฉันทะ คือ พอใจในการปฏิบัติ ขณะเดียวกัน..การปฏิบัติทุกอย่างอารมณ์อุเบกขาสำคัญที่สุด"<o:p</o

    ------------------------------------------------------------------------

    (จากหนังสือสมบัติพ่อให้)...<o:p</o​


    <o:p</o
    ...
    ต่อนี้ไปก็อ่านคาถาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานและให้ทุกคนตั้งใจนึก ถึงองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคิดว่าคาถาทั้งหมดนี้จงปรากฏอยู่ในจิตของเรา ลาภผลต่างๆให้ปรากฏแก่เราตามที่พระองค์ทรงต้องการนะ….นึกถึงท่านนะ



    นาสังสิโมคาถาพระพุทธกัสสป

    บทแรก"พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ"อันนี้ตัดอุปสรรคที่ลาภจะมาแต่เขามาบอก ว่ามีผลแน่นอน คือว่าแกจะไม่ยอมให้ลูกแกจน พูดง่าย ๆ ก็แล้วกัน พระพุทธเจ้า ก็ทรงยืนยันบอกว่า ให้หมด

    บทที่สอง"พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภาภะวันตุเม"คาถาบทนี้เป็นคาถาเงินแสนของท่าน

    บทที่สาม"มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม"บทนี้เป็นคาถาปลุกพระวัดพนัญเชิง

    บทที่สี่"มิเตพาหุหะติ"เป็นคาถาเงินล้าน

    บทที่ห้า"พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสาวิระอิตถิโย พุทธัสสะ มามีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม"เป็นคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า

    บทที่หก"สัมปติจฉามิ"บทนี้เป็นบทเร่งรัดบทสุดท้าย

    บทที่เจ็ด"เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ"พระปัจเจกพุทธเจ้ามาบอกหลวงพ่อเมื่อ พ.ย. 33 เป็นภาษาโบ ราณ แต่เทียบกับภาษาไทยอ่านได้อย่างนี้เป็นคาถามหาลาภ มีผลยิ่งใหญ่มาก ทั้งหมดนี้ต้องสวดเป็นบท เดียวกัน บูชาเรื่อย ๆ ไปการบูชาถ้าบูชาเฉย ๆ มันเป็นเบี้ยต่อไส้

    อย่าลืมนะเวลาสวดมนต์ แล้วให้สวดคาถานี้ จบเท่าเดิมนะ และเวลาภาวนานอนภาวนาก็ได้ ว่าเรื่อย ๆ ไปจนกระทั่งหลับไปเลย ตื่นขึ้นมา ต่อจากกรรมฐาน นอนก็ได้ ใจสบาย ๆ นะ บางทีเผลอ ๆฉันก็ต้องว่า ของฉันเรื่อย ๆ ไป คาถาเงินล้านนี่ มาให้เมื่อปีฝังลูกนิมิตท่านบอกว่า งานข้างหน้าจะหนักมาก หลังจาก นี้เป็นต้นไป เงินจะใช้มากกว่าสมัยที่สร้างโบสถ์ อย่าลืมนะ…..เวลาว่าง ๆ นั่งนึกก็ได้ เดินไปก็ได้ ไม่ห้ามเลยนะให้มันติดใจอยู่อย่างนั้น ให้ถือว่า เป็นกรรมฐานไปในตัวเสร็จเพราะ คาถาที่พระพุทธเจ้า บอกทุก บทก่อนจะทำต้องนึกถึงท่าน ถือว่าเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน<o:p</o<o:p</o

    https://palungjit.org/threads/เคล็ดการสวดคาถาเงินล้าน-จากหลวงพ่อเล็ก-วัดท่าขนุน.260344/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2018
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    มองอย่างนี้นะ วิบากคือกะแสที่จรเข้ามา
    มันจรเข้ามาแล้วมาเกาะเพราะเราเผลอรับไว้(ไม่ว่าจากการคิด ระลึก นึกขึ้น ปรุงร่วม) หรือว่าเราได้เคลียร์ไปแล้ว. ถามว่าตรงนี้รู้ได้จากกำลังสตินั่นหละ
    และคลายได้จากการวิปัสสนา
    ซึ่งกะแสจรนี้ มันก็จะขวาง
    การคลายตัวของจิต
    เราเพื่อการกลับคืนสู่ธรรมชาติเดิมของจิตแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไปนั่นหละ
    คือมันมาเพิ่มพูนให้จิตยิ่งเกิด
    หากตรงนี้ เราไม่พยายามคลี่คลายก่อน
    มันก็ยากที่จะเห็นผลได้
    เป็นเรื่องปกตินั่นหละ
    ปล เริ่มสกิดใจได้บ้างนะดีแล้ว
     
  12. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ท่านแผ่บุญ ลองเข้าไป พุทธศาสนาและธรรมะ
    หัวข้อแยก หลวงพ่อฤาษีลิงดำ และ หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน ครับ
    จะมีคำตอบหลายๆเรื่องที่ท่านสงสัย รวมทั้งยังมีเคล็ดอีกมากมายให้เรียนรู้
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    มีข้อแนะนำ ถ้าสกิดใจขออภัย
    ถ้าข้องใจเชิญท้า
    แสดงความสามารถแบบ
    ตัวๆมา
    ให้เลือกกองที่คิดว่าตนเก่งสุด
    ในจักรวาลมาแล้วมาเจอกัน

    ๑.ถ้าเคยมีประสบการณ์จากการใช้คาถา
    แล้วได้ผล เชิญแนะนำวิธีการที่ตนทำแล้วได้ผล เพื่อเป็นแนวทางให้ จขกท ได้พิจารณา
    ถ้าไม่เคยมีประสบการณ์ กรุณาเงียบๆ
    อย่าพึ่งรีบเสนอหน้ามาแนะนำ
    และควรอ่านก่อนว่า จขกท ถามด้านไหน


    ๒.ถ้าไม่เคยมีประสบการณ์ที่ภาวนาแล้วได้ผลมาก่อน ไม่ว่าด้านไหนก็ตาม
    แต่มีความเชื่อในแหล่งข้อมูลอื่นๆ
    ก็แนะนำแหล่งข้อมูลนั้นๆได้ แต่อย่าสะเออะ
    ไปแทรกความคิดความเห็นของตัวเอง
    ที่ไม่ได้มาจากประสบการณ์ในการปฎิบัติ
    เพิ่มเติมเข้าไป

    และสิ่งที่ไม่ควรทำ คือ

    ๑.การเน้นปี๊แปะ ที่ไม่ได้ดูเนื้อหา
    เจตนาของ ผู้ตั้งกระทู้ เพียงแค่เห็นว่าในเนื้อหาจากแหล่งข้อมูลอื่นที่ตนเคย
    ได้อ่านมานั้นมีบางส่วน
    ที่เกี่ยวข้องกับที่ถาม
    เช่น เค้าถามสรรพคุณ
    เกี่ยวกับ การเรียกของเก่า รวมของเก่า
    คาถาที่ส่งผลทางด้านพลังงาน กรุณาอ่าน
    ซักนิด ไม่ใช่เอะอะ

    ก็จะ จัดคาถาเงินล้านไว้ก่อน
    ประมานว่า. คาถาเดียวนี่หละวะ
    ตรูเอามาตอบแบบครอบจักรวาล

    และถ้าเกิด ปัญหาว่าทำไมไม่ได้ผล
    ก็ควรแนะนำด้วยประสบการณ์ตนเองว่า
    ตนผ่านตรงนี้มาได้อย่างไร


    ไม่ใช่ เอะอะเอาอีก ตรูก็ปี๊แปะ
    คาถาเงินล้านจากแหล่งขอมูลเดิมอีก

    คือเอาจากประสบการณ์ตัวเองได้ไหม
    มันจะตายไหมถ้าจะแนะนำแบบไม่ต้องปี๊แปะ

    ปล ถ้าไม่รู้ก็เงียบๆ อย่าเสนอหน้ามาก
    ถ้าจะเสนอหน้าก็หัดอ่านดีๆก่อน
    แนะนำแหล่งข้อมูลดีๆ ที่มันตรงกับสิ่งที่ จขกท ถาม.

    ปฏิบัติมันได้จากมาจากการลงมือทำ
    ไม่ใช่ลงมืออ่าน หรือปี๊แปะเอามาให้อ่าน
    แล้วจะหมายถึงว่าตนทำได้

    ที่นักปฎิบัติหลงตัวเองกันมาก
    แล้วก็ชอบแนะนำอะไรไปแบบตัวเอง
    ไม่เคยมีประสบการณ์ทำได้มาก่อนและ
    ตีทุกศาสตร์เข้าหลักการตัวเองหมดจน
    ดูเพ้อเจ้อฟุ้งเพ้อไปวันๆ
    ทั้งๆที่ไม่มีความสามารถทำได้จริง
    พอถูกท้าให้แสดงความสามารถ
    ก็แถไปเรื่อยเปื่อย อ้างไปเรื่อย
    เพราะสำเร็จหลักสูตร
    คิด วิเคราะห์ แยกแยะ ตีความ
    พูดยังกับว่ามันจะช่วยให้ตนเอง
    พัฒนาคุณภาพทางจิตตนเองได้
    มีแต่จะยึดเอาเป็นอัตตาตนเอง
    เพื่อสนองตัณหาของตน
    เพิ่มอุปทานตนเองแล้วก็มาแสดง
    ความฟุ้ง เพ้อเจ้อ ถ่ายทอดไปวันๆ
    ทั้งที่ทำไม่ได้จริงซักแอะ

    แต่เก่งจริงๆเรื่องเถียงกับแถ
    ยกตนเองให้ดูดีเนี่ย

    ปล แค่เล่าสู่กันฟัง
    ทำไม่ได้ก็บอกทำไม่ได้ ไม่มีใครว่าโง่หรอก
    ใครมันจะเก่งไปทุกเรื่อง แต่ถ้าโม้ไว้มาก
    แต่กลับตายด้วยคำถามและกิริยาง่ายๆ
    นั่นหละข้อหาโง่อวดฉลาดจะตามมาเอง
    แต่ถ้ายังมั่นใจอวดเก่งอีก
    อย่าแถหนีเวลาถูกท้า
    แสดงความสามารถหละ
    เค้าจะว่าเก่งแต่ปากอีกข้อหาหนึ่ง


    ทำได้จริงก็รู้จักถ่อมๆตัวหน่อย
    แนะนำไป ตามวาระ
    แต่อย่าแสดงกล้าม โม้เสริมมากเชิง
    ยกตนข่มท่าน
    ดูถูกคนถามไปเรื่อย
    (ถ้าเค้ารู้แล้ว เค้าจะมาถามหาป้ามะรึงเหรอ
    มีหน้าที่แนะนำก็แนะนำไป ถ้าเค้าไม่ถาม
    ก็อย่าพยามยามโม้เสริมเพื่อสร้าง
    ความน่าเชื่อถือ ยกเว้นไอ้พวกมา
    ถามเพื่อแสดงอวดกล้ามคอยข่มทุกความเห็นว่าตรูเจ๋ง ก็ช่วยกันคนละตุ๊บสองตุ๊บ
    มันไม่ตายกรอกพวกนี้ เพราะมันหน้าด้าน)

    ป่านว่าตนเก่งระดับจักรวาล
    เด่วจะเจอสายแข็งจะหาไม่เตือน

    เวลามีใครถามเรื่องอะไรก็ตอบ
    เรื่องนั้น ไม่ใช่ถามสูตรคูณ
    แต่เล่าดิฟท์อินทิเกรทเพื่อให้ตน
    ดูหล่อเหลาประหนึ่งว่าแนะนำแล้ว
    จะมีสาวๆมากรี้ดกร็าด
    คิดมโนว่าตัวเองเป็นพี่โป๊บ จบ

     
  14. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    เรื่อง...สัญจรเอาไว้ก่อนดีกว่าครับ แค่มโนเป็นพี่โป๊บมาเองเลย ก็ฮาจะแย่ละ 555

    ตอนนี้ถ้าว่ากันตามตัวบทจริงก็น่าจะเห็นตัวนี้ที่สะกิดใจก่อนเพื่อน

    "ฐานสมาธิใช้งานคือ กำลังสมาธิที่สามารถ
    นำมาใช้งานได้ในเวลาลืมตาปกติ
    ไม่ใช่ระดับสมาธิที่เคยนั่งได้หรือเคยเข้าได้
    เช่นเราเคยนั่งได้เข้าได้ถึงฌาน ๔
    แต่กพลังใช้งานในเวลาปกติเราอาจจะ
    ไม่มีเลย หรือได้แต่อุปจาระ.
    พอเข้าใจคำว่าเคยเข้าได้
    กับใช้งานได้จริงนะ
    เราจะดูว่าใครได้ฌานไหน
    ทางปฎิบัติจะวัดที่ตรงการใช้งานได้
    ไม่ใช่เคยเข้าได้ หรือกำลังเข้าได้อยู่
    แบบที่ทำให้นักปฏิบัติทั้งหลาย
    ชอบหลงตัวเองว่าได้ฌาน
    ทั้งๆที่ใช้งานจริงไม่ได้"

    อ่านจากตรงนี้รู้เลยว่าผมยังไม่ได้แม้หางอึ่งเลย ถือว่าเป็นความรู้ความเข้าใจที่สมเหตุสมผล อย่างผมถ้าพอจะทำอุปจาระได้บ้าง(ขณะนั่งหลับตาปี๋) ก็คงหินที่จะเอาคาถามาใช้ขณะลืมตา เพราะตอนลืมตาไม่แน่ว่าขนิกะจะมีพอหรือเปล่า 555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2018
  15. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    ปล.ว่าแต่สมาธิใช้งานจริงแบบลืมตานี้มันมาจากการฝึกกำลังสมาธิแบบประเภทไหนครับ มันถึงติดใจได้ทั้งๆที่ลืมตา มาจากการเพ่งรูปจนจำรูปได้ หรือภาวนาหลับตานึกถึงคำบริกรรมเป็นตัวๆในจิต หรือแบบไหนสร้างได้ง่ายสุดครับ(ถ้าเป็นคนจริตแบบผม) ชอบแบบปูทางไว้โล่นโผนในอนาคต

    การบริกรรมในใจระหว่างวันผมก็ทำอยู่แต่ก็ทำแบบไม่ได้จดจ่อมากนัก ถามว่าผลเป็นไงก็ตามตรงว่ายังไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเป็นรูปธรรมชัดเจนทั้งนิสัย(ขี้เกียจ)และความเป็นอยู่ยังอยู่กันพร้อมหน้าครบถ้วนรวมถึงกิล.ด้วย หุหุ

    และที่น่าสงสัยอีกหนึ่งคือ ของเก่าที่เราเคยทำได้เวลามันจะมาจะมาตอนมีอายุแล้วหรือเปล่าครับ ประมาณว่าตอนกลางๆนี่ทำเท่าใดก็ไม่กะเตื้องต้องแก่ๆหน่อยถึงจะมาเอง หรือต้องใช้ คำ สัมปะฯ โสตัสฯ ล่อมันมาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2018
  16. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ของเก่าจะมาตอนเราเข้าฌานสี่ได้ ของเก่าจะกลับมาครับ

    ส่วนใช้งานจริงตอนลืมตาคือ ทรงสมาธิ ฌานตอนลืมตาได้ ก็ใช้ตอนลืมตาได้
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019

    เห้ย. !!!
    ไอ้ติดตาติดใจ มันเป็นเทคนิคคอลเทอมในระหว่าง
    ทางของการ เริ่มฝึก ในกรณีที่เป็นอุบาย
    สร้างให้ตัวจิต สามารถสร้างเป็นภาพขึ้นมา
    ด้วยตัวจิตเองก่อน เรียกง่ายๆว่า
    เป็นพื้นฐานหรืออุบายของด้านทิพยคิกขุ
    ถ้าเคยใช้งานได้แล้ว
    ไม่มีใครมาทำภาพติดตาติดใจกันหรอก (เด่วเล่า
    ให้ฟังถึงระดับใช้งานแต่ขอด่าก่อน)
    เพราะมันจะทำให้จิตพิการหรือซื้อบื้อ
    ดังนั้นเวลาจำกิริยามา ต้องดูว่า ท่านต้นเรื่อง
    ท่านแนะบุคคล ณ ช่วงที่กำลังฝึกหรือใช้งานแล้วแยกดีๆ
    และเวลาจะใช้งาน ภาพมันขึ้นมาเวลาใช้งาน
    และใช้แล้วก็แล้วไป...เข้าใจไว้ด้วย....

    ส่วนสัมปะจิตฉามิ บอกไปแล้วก่อนหน้า แสดงว่าอ่าน
    ไม่รู้เรื่องหรือเปล่า มันไม่ได้เกี่ยวกับอายุ
    มันขึ้นอยู่กับวาระ...บอกว่า การที่ของเก่ามันจะขึ้นมาได้นั้น
    กำลังพื้นฐานทางจิตเรามันจะต้องเพียงพอที่จะรองรับก่อน
    ไม่ใช่มีคนบอกว่า ผมเคยมีของเก่าด้านโน้นนี่นั้น
    ถ้ากำลังใช้งานเราในด้านนั้นๆยังไม่เพียงพอ
    ภาวนาไปเหอะ ชาตินี้มันก็ไม่ขึ้นมาให้ใช้งานได้หรอก
    สำคัญว่า วาระนั้น มันจะมีเหตุให้มาถึงเร็วตอนไหน
    เช่น การเคารพนับถือทุกภพภูมิ การรู้จักอุทิศส่วนกุศล
    ความมีเมตตา การรู้จักเสียสละเพื่อผู้อื่นและส่วนร่วม
    ความอ้อนน้อมถ่มตน การไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น
    การรู้จักยินดีกับคนอื่นๆ การไม่เป็นคนขี้อิจฉา
    การสร้างความดีทำบุญต่อเนื่อง พวกนี้เป็นเหตุ
    ให้วาระมาถึงเร็วขึ้นฯลฯ

    ''ได้แต่คอย. แต่คอย ได้แต่มองแต่มอง
    ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร '' (เพลงๆ)

    เหมือนกับชาติก่อนเราเคยขับรถแข่งในสนามมา
    ถ้าชาตินี้ เราไม่มีพื้นฐาน การเข้าเกียร์หรือเคยลองขับ
    ในห้องทดสอบดูหรือลอง
    วิ่งในสนามจริงมาบ้าง ถ้าอยู่ดีๆให้เราไปลงแข่งเลย
    ประกันได้ว่า ไม่ชน ก็วิ่งไม่จบรอบ รถพังอยู่ดี..
    หรืออยู่ดีๆเอารถแข่งมาให้ขับแข่งเลย
    ประกันได้ว่า จะเกิดอุบัติเหตุจนตัวเองนั่นหละเดือนร้อน
    ทางปฏิบัติพูดง่ายๆคือเพี้ยนนั่นหละ จบ

    เอ๊า !!!!! ขออภัย เรื่องสัญจร ลงผิดห้อง ๕๕๕๕
    กะจะเอาไปลงให้ น้อง ที่ปัญหาเรื่องกระดูกสันหลัง
    ย้ายแล้ว...อย่างนี้หละ ดันมารอบชิงช่วงบอลโลก (ข้ออ้าง) ๕๕๕


    หลังจากด่าแล้ว ก็มาสู่โหมดแนะนำต่อ...
    การที่จิตสามารถใช้งานได้ ในเวลาชีวิตปกติประจำวันนั้น
    เรื่องการเห็นเป็นภาพมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไปอยู่แล้ว

    ก่อนที่จะถึงการเกิดความสามารถต่างๆเหล่านี้ให้มาดูพื้นฐาน
    ของตัวเองก่อน ว่ามีพร้อมหรือยัง
    ๑.ระบบการหายใจในชีวิตประจำวันปกติ
    ลมหายใจเข้ามันลึกถึงท้องหรือยัง...หรือแค่หน้าอก(ไม่พอ)
    แล้วรู้จักทำความรู้สึกรับรู้ ว่าลมหายใจเข้าและออกหยุดที่
    ปลายจมูกได้หรือยัง โดยที่ห้ามตามลมหายใจนะ...
    ๒.เวลานั่งสมาธิแบบหลับตา โน้มสายตาปกติลงมามองที่ลิ้นปี่
    แล้วเหมือนมีตาอีกตาหนึ่งมองผ่านเหนือระหว่างคิ้วไปปกติหรือยังเพื่อตัดการไปดึงความคิดจากสมอง
    หรือเวลาลืมตา ภาวนา สวดมนต์ในใจ สายตาปกตินิ่งๆได้หรือยัง. ขยับซ้ายและขวาอยู่ไหม ลิ้นกับปากไม่ชยับได้ไหม เวลาลืม
    ตาสวดมนต์ หรือลืมตาภาวนา....
    ๓.เวลาฝึก สามารถทำทั้ง ๑ และ ๒ ได้ปกติหรือยัง.....

    ถ้ายังไม่ได้ ให้ทำให้มันได้ก่อน เพราะไม่งั้น ฝึกไปก็เสียเวลา
    เปล่าๆ เผลอๆจะหลงตัวเองเอาง่ายๆ กับพวกกิริยา กิ๊กก๊อก
    กระโหลกกระลาที่เกิดระหว่างทาง
    แล้วเผลอเอามาโม้ เป็นต่อยหอยได้ อย่างไม่รู้ตัว
    พวกนี้ไม่ต้องรีบ ช้าแต่ชัว ให้เวลาร่างกายมันปรับตัวมันเองด้วย
    อย่างน้อยก็ ๒ สัปดาห์ ถ้าจะชัวก็คือ ๒ เดือน
    มันก็จะกลายเป็นระบบหายใจในชีวิตปกติประจำวันเราได้เอง


    ความสามารถต่างๆในระดับใช้งานได้แบบสิวๆในชีวิตประจำวัน
    สามารถเกิดขึ้นได้หลายแบบ จะเล่าให้ฟังแบบ
    เกิดจากพื้นฐานที่ไม่ต้องใช้สมาธิสูงมาก
    กับเกิดได้จาก การต้องนั่งเกร๊งกล้ามตรูดเพื่อให้ได้มา
    (เกร๊งกล้ามตรูดหมายถึง มีความเพียรในการฝึกนะ
    อย่าไปเข้าใจว่า นั่งสมาธิต้องเกร๊งตะรูด หรือ
    ขยิบตูดนะ เด่วซวยเลย นั่นมัน สมาธิ
    ที่มาจากระบบกาแลคซี่อื่น ๕๕๕)

    ๑.กลุ่มพวกที่มีวิถีญานติดตัวมาตั้งแต่เกิด
    คือพอถึงเวลาหนึ่งอยู่ดีๆก็เกิดมีขึ้นมาได้เลย
    แต่ถ้าเกิดก่อนจิตจะคลายตัวได้ โอกาสที่คนอื่นๆ
    จะดูว่าเพี้ยนสูงมาก เพราะไม่ว่ารับรู้อะไรจะยึด
    จนกลายเป็นตัวเองในเรื่องนั้นๆจนแยกไม่ออก
    เราเรียกว่า จะหายตัวในญานวิถี ไม่เป็น
    พูดง่ายๆ แยกไม่ออกว่า ใครคนหรือผี
    บางทีไปเจอคนที่เดินผ่านวัดแล้วหมาหอน อาจจะคิดว่า
    เป็นผีจริงๆก็ได้ ๕๕๕ (อันนี้เอาฮา)
    แต่กลุ่มนี้ส่วนมากมักจะเป็นผู้โปรด
    ดีหน่อยที่ว่า ยังไม่มีโผ่ลมาให้ห้องอภิญญาสมาธิ...

    ๒.ค่อยๆเกิดขึ้นมาเองตามลำดับ หลังจากที่จิตแยกรูปแยกนามได้แล้วและเน้นเดินปัญญาอย่างต่อเนื่อง จนการยึดติด
    ในลาภ ยศ พวงนมย่าง สุข สรรเสริญ ลดน้อยลง
    แต่ว่า แบบนี้คงจะไม่ทันวัยรุ่น อย่างเราแน่ ฟันธง...

    ๓. จากสมถะ หลังจากที่ เข้าถึงสมาธิในระดับสูงและจิต
    กับกายแยกกันได้เด็ดขาดชั่วคราว และสามารถควบคุม
    จิตไม่ให้มันออกไปแสดงกล้าม ข้างนอกกายได้
    พูดง่ายๆ ต้องมีกำลังสมาธิและสติเพียงพอ ที่จะควบคุม
    ให้มันหงอยๆ อยู่ในกายได้ ตรงนี้ เราจะเหมือนมองเห็น
    ช่องท้องตัวเราเอง และก็ต้องมาลุ้นว่า จิตมันจะเลือกวิ่ง
    ไปดูอวัยวะภายในจนระเบิด พวกนี้มันสามารถวิ่งเข้าใน
    เส้นเลือดได้นะ มองเห็นหัวใจ ปอด เต้นตุ๊บๆได้ได้เหมือนในหนัง
    แต่ถ้ามาทางนี้ จะได้อานิสงค์ด้าน ตัดการยึดมั่นร่างกายแทน
    ต้องดูว่า จิตมันจะวิ่งซ้อนเข้าไปในจิต และซ้อนแล้วซ้อนอีก
    จนระเบิดตูมตาม ได้หรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนี้หละมีฮา
    ในเวลาลืมตาปกติ ก็จะเกิดเป็นพวกมีความสามารถพิเศษ
    ภายในขึ้นมาในระดับใช้งานได้ ทันทีได้ทั้งเรื่องการเจรจา
    สื่อสาร เรื่องสัมผัสภายในกินขาด แต่ข้อเสียคือ
    จะขาดเรื่องกำลังจิต ต้องมาสร้างสติเดินปัญญาต่อ
    ข้อดีคือ เท่ห์ เอาไว้ทักคนเล่นๆ พอขำๆได้ แบบฮาๆนะ....

    ๔.ขึ้นรูปด้วยภาพ ไม่ว่าจะกสิณหรือภาพพระที่ชอบ
    และไปเกร๊งกล้าม ปั่นปฏิภาคนิมิต คือมีความสว่างในตัวเอง
    และสิ่งที่สว่างในตัวเองนั้น มันรวมๆกันเลยดูสว่างมาก
    ส่วนถ้ายังอยู่ในระดับอุคหนิมิตนั้น ต่อให้เป็นนิมิตตรง
    ก็อย่าไปสนใจ เพราะว่า ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าไม่ได้
    เน้นมาทางด้านปัญญา จะยังไม่บอกตรงนี้ เพราะไม่ถูกใจวัยรุ่น
    ระเล่นหรือปั่นในกำลังสมาธิระดับสูงให้มันวนซ้ายให้ได้
    ย้ำว่าวนซ้าย
    ถ้าภาพพระคือเน้นย่อให้เล็กลงด้วยการเน้นย่อทางซ้าย
    เพราะถ้าด้านขวา มันไม่เกิดกำลังจิตอะไร เพราะพวกนี้
    เป็นพลังงาน ร่างกายเรามันมีแร่เหล็กทางด้านขวา
    ที่มันอยู่ในเส้นเลือดดำเป็นปกติอยู่แล้ว..พูดง่ายๆว่ามันทำง่าย
    และไม่ใช่ไปย่อขยายปั่นภาพในระดับอุปจารสมาธินะ
    ตรงนี้ไม่ได้กำลังจิตใช้งานเด้อ สิ่งที่ได้แทนคือ จะหลงตัวเอง
    และคิดว่าเป็นกำลังระดับฌาน ๔ อีกต่างหาก
    ถ้าหลงสภาวะตรงนี้ จะกลับตัวยากมาก เพราะใครสอน
    ก็ไม่เชื่อ สุดท้ายดูเพี้ยนๆ เฝื่อๆไปหลายราย...
    และถ้าทำได้ จิตจะมีความสามารถเล่นกับพลังงานต่างๆได้
    เลย จะสามารถเรียกขึ้นมาบนมือก่อนได้แบบสิวๆ
    แล้วก็พัฒนา มาฝึกขยายความหนาแน่น และดึง ดูด อัด คลาย
    มันจะตามมาได้เองปกติ ในเวลาใช้ชีวิตปกติ
    โดยไม่ต้องท่ามาก หรือ ใช้ลีลาประกอบอะไรมากในการใช้งาน

    ๕.ขึ้นรูปด้วยภาพเหมือนกัน พอถึงในระดับปฏิภาคนิมิต
    ให้ทิ้งภาพก่อน และเกร๊งกล้ามขึ้นภาพใหม่อีกที
    แล้วให้ฝึกอฐิษฐานจิตให้เกิดผลจริง แต่ต้องรู้จักการวาง
    อารมย์เรื่องที่จะอฐิษฐานให้เป็นก่อน เช่น จะอฐิษฐานให้เกิดโน้น
    ก็ต้องคิดไว้ก่อนระหว่างวัน แล้วลืมๆไป นี่คือการวางอารมย์
    เรื่องที่จะอฐิษฐานจิต จะอฐิษฐานกี่เรื่องให้วางอารมย์ไว้
    ทุกเรื่องทำเหมือนกัน เด่วพอถึงอารมย์แล้ว มันจะผุดขึ้นมา
    เองตามลำดับ ถ้าไม่ทำ มันจะกลายเป็นมโน และหลุดจาก
    อารมย์ทันที..จำไว้. ในครั้งแรก พอหลังจากขึ้นภาพครั้งที่
    สองได้ ขณะที่ระลึกอฐิษฐานจิตเรื่องแรก กำลังสมาธิจะตก
    ลงมาถึงอุปจารสมาธิของมันเอง ให้เรานิ่งๆเด่วมันจะค่อยๆ
    ไต่ระดับขึ้นไปเอง ในช่วงที่มันกำลังจะไต่ระดับนี่หละ
    สิ่งที่อฐิษฐานมันก็จะเกิดขึ้นมาเอง....จำไว้ มันจะเป็นแค่
    เฉพาะครั้งแรก ครั้งที่ ๒ หรือครั้งต่อไป เรื่องที่อฐิษฐานจิต
    มันจะขึ้นมาตามลำดับ กรณีที่เราจะดู มันก็จะเหมือนจอ LCD
    ให้เราดูไปเรื่อยๆ ถ้าทำตรงนี้ได้ จะเกิดความสามารถ
    ทางด้านทิพยคิกขุ ให้สามารถขึ้นมาใช้งานได้
    ในเวลาใช้ชีวิตปกติทั่วไป คือจะรู้อะไร เด่วจะมีภาพ
    ไปปรากฏกลางอากาศให้ดูเอง เคยเห็นเวลาเจอห่มเหลือง
    ท่านที่เก่งๆไหม เวลาดูอะไร จะเห็นเหมือนท่านมองข้าม
    ศรีษะเราไปก่อน นั่นหละ การใช้งานทางด้านสายตาพิเศษทั่วไป
    และถ้ามาทางสายนี้นะ ถ้าไม่มีพื้นฐานเรื่องความฉลาด
    ในการอฐิษฐานจิตเป็นทุน บอกเลยว่า ไปหาขายบะหมี่ดีกว่า
    จะรุ่งกว่า......

    ข้อไหนแล้ว.อ้อ ข้อ ๖ ก็ขึ้นด้วยภาพ แล้วก็ทิ้งภาพ แล้วดึ่งภาพขึ้นมาใหม่ และก็ทิ้งและดึงขึ้นมาใหม่ ก็จะไปต่อในโหมดอรูปฌาน
    ได้เอง แต่ต้องวางอารมย์ไว้ก่อนเหมือนกันนะ ไม่ใช่อยู่ดีๆ
    พอเข้าใจจะไปพิจารณาความว่าง อากาศ วิญญานได้เลย
    ต้องวางอารมย์เป็นเหมือนข้อที่ ๕ ที่ผ่านมา....ทำตรงนี้จะพิจารณาได้หรือไม่ได้ก็ตาม แต่ พอออกมา ใช้ชีวิตปกติประจำวัน
    ก็จะมีความสามารถเล่นกับพลังงานได้แบบชิวๆ เหมือนข้อ ๔

    ส่วนวิชาพิเศษทางอุทัยนั้น ถ้าไม่ใช่โปรซีรีย์ระดับ
    หายใจได้ครั้งเดียวแล้วอฐิษฐานจิตได้เลยเหมือน
    ท่านผู้ถ่ายทอดวิชาแล้ว..มันจะไปได้ทางสัมผัสภายในแทน
    แต่จะขาดภูมิต้านทานด้านกำลังจิต ต้องมาเน้นวิปัสสนา
    ตัดร่างกายให้มากๆ สายนี้แม้รับรู้สัมผัสได้
    แต่จะแสดงไม่ได้ เหมือนที่ผ่าน ข้อ ที่ ๔ และ ๖ มา..
    และสายๆ ทำ มะ กลาย อะไรนั่นก็คล้ายๆกัน
    จะไปหนักทางด้านได้สัมผัสภายใน..
    เผลอๆถ้าสองสายนี้ แล้วดันเผลอไปติดสัมผัสทางนามธรรม
    ไปยึดนามธรรมเป็นตุเป็นตะ จะออกนอกแนว
    กลายเป็นพวกนอกคอก หลงตัวเอง ใช้สัมผัสในทาง
    ที่ก่อให้เกิด ลาภ ยศ สุข สรรเสริญได้อย่างไม่รู้ตัว
    และจะหลงตัวเองว่าไม่ใช่อะไรที่ธรรมดา
    ทั้งๆที่ ขาดกำลังจิตและภูมิต้านทานพลังงานภายนอกที่ดี
    ได้อย่างที่คาดไม่ถึง แต่ถ้าผ่าน ๔ หรือ ๖ ได้ไม่ใช่เรื่องที่ยาก
    อะไร นอกจากจะทำได้เอง ยังมีความสามารถทำให้คนอื่นๆ
    รับรู้และทำได้เหมือนที่ตนเองทำได้ด้วย.....


    พอแระโม้เยอะจริงๆ ถามว่าอยากจะเก่งในบ้านหรือ
    ออกนอกบ้านได้อย่างปลอดภัย ถ้าชอบออกนอกบ้าน
    ชอบโล้ดโผน ก็ต้องไป สิบเอดรอดอ นอกบ้าน
    ไม่ใช่เก่งแต่อยู่ในบ้าน แล้วตะโกนโม้ไปวันๆ
    ก็ทำแบบที่ ๔ และ ๖ ให้ได้ และตอนนี้
    เลิกซะการใช้ความคิด วิเคาะห์ ว่าน่าจะเป็นแบบโน้นนะ
    หรือน่าจะเป็นแบบนี้ไหม เลิกคิดซะ..
    ฐานสัมผัสพอมีทุนอยู่ แต่อย่าไปคิดเอาในเรื่องที่ยังเข้าไม่ถึง
    สวดมนต์ร่วมด้วยเพื่อช่วยมาหนุนผลสำเร็จ
    แล้วจะค่อยๆพัฒนาการได้เอง ในอนาคตนั่นหละ

    ๔ ต่อ ๒ จบนะ..ฝรั่งเศษ เครไหม..แฟนเครแอ๊ท..

     
  18. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    ขอบคุณครับ อ่านทีเดียวคุ้มเป็นสิบปี ต้องทำให้ได้สักอันละค่อยมาโม้ใหม่ ยังทำไม่ได้โม้ก่อนแกรงว่าจะโดนสอย ตบตาหลอกเขาไม่ได้ด้วยสิ 555
     
  19. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    การท่องคาถา ก็คือ กรรมทางวาจา มีผลเลยครับ
    ทุกกรรมที่เราทำมีผลทั้งนั้น ส่วนจะมากกว่าวิบากได้เมื่อไรก็คงแล้วแต่คนนั้น
    คนเราล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียรครับ

    ฌาน คือ เพ่ง ก็คือเราต้องเพ่งให้ รู้ ชัด ต่อเนื่อง ในตอนลืมตา
    แต่เราควรมีฐานของการเพ่ง ส่วนตัวปฎิบัติ พุทธานุสติ เพื่อเป็นฐานการเพ่ง

    นะมะพะทะ เป็นคาถาที่ผู้เรียนมโนยิทธิใช้ท่อง มีผลเกี่ยวกับธาตุในกาย
    การท่องแต่ละครั้ง ก็อาจมีความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน สาเหตุเพราะ ธาตุในกายแต่ละวันก็แปรเปลี่ยน
    จาก อาหาร สภาพแวดล้อม การพักผ่อน
     
  20. รัศมีสุริยา

    รัศมีสุริยา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +53
    น่าจะแล้วแต่คาถานะครับส่วนผมแค่ขณิกสมาธิก็พอใช้คุมตัวเองคุ้มครองคนอื่นได้แล้ว
    ขอเล่าความก่อนว่าเมื่อ 2ปี ก่อนผมได้คุยไลน์กับเพื่อนเก่าซึ่งเลิกจากการรับเหมามาเปิดโรงหล่อพระเลยร่วมทำบุญไปเพื่อนก็ขอที่อยู่แล้วก็ส่งพระมาให้เป็นพระเครื่องหลวงตาม้า รูปหลวงปู่ดู่หลวงปู่ทวดฯ... ผมถามว่ามีคาถาบ้างมั้ย เพื่อนก็บอกว่าลองหาสวดคาถาจักรพรรดิ์ดูใช้ครอบวิมานช่วยคนได้ ให้ดูรูปหลวงปู่หรือครูบาอาจารย์องค์ที่เรานับถือขอพลังท่านมาก็ได้ ส่วนการสัพเพใช้รวมบุญแผ่เมตตาให้วิญญาณติดภพภูมิ ผมไม่เคยทำหรอกครอบวิมานแต่ผมก็จำไว้ ส่วนพระก็เอาเก็บในตู้ แต่มีเรื่องให้ใช้ให้ทำจนได้

    เรื่องที่ 1
    น้องชาย(มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง)ไปฝึกปฏิบัติที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งแล้วคิดเครียดเดินออกจากวัดไปกลางคืนไม่มีใครรู้เดินเข้าไปทางป่าละเมาะ แม่น้องเขาโทรมาหาให้ช่วยตามหาผมก็โทรหาเพื่อนถามว่าครอบวิมานทำยังไง เพื่อนบอกว่าเอารูปหลวงปู่มาดูแล้วนึกหน้าคนที่จะครอบพอดีผมนึกหน้าได้เลยครอบหว่านๆไปทางทิศที่น้องเขาไปทั้งอำเภอ ผ่านไป 2 คืน 3 วันผมก็คิดว่าเขาน่าจะเจอกันแล้วแม่น้องก็ทำงานอำเภอ คืนที่ 3 เลยไม่ได้ครอบวิมานให้ ตกกลางคืนตี 3 คุณย่าที่เสียชีวิตไปร่วม 20 ปีมาดึงขาจนสะดุ้งตื่นทั้งที่ไม่เคยฝันถึงด้วยซ้ำ ผมตื่นมานั่งแบบงงๆคิดว่าคุณย่าต้องการอะไรแน่แต่ก็ไม่รู้หลับไป จนเช้าถึงได้รู้ว่าเขาเจอน้องชายนอนคิ้วแตกที่ศาลาหน้าฝั่งติดวิหารอีกด้านเป็นฝั่งสุสาน (เขาว่าหากนอนอีกด้านหรือนอนบนสุสานคงไม่รอด) * น้องชายน่าสงสารมากตอนเด็กๆใกล้วัยรุ่นพ่อแม่ทะเลาะตีกันแยกทางกัน (เขาไม่ได้โง่นะสอบติดวิศวะแต่เรียนให้ถูกรีไทร์ทั้ง 3ครั้งมันเป็นเรื่องของปมในใจที่ไม่ได้รับการแก้ไขใครมีลูกนี่อย่าแยกทางกันเลย)

    เรื่องที่ 2
    ไปเที่ยวบ้านพี่เขยพาไปเที่ยวเขี่อนเด็กๆลูกหลานนั่งแพเสร็จจะใส่ชูชีพลงว่าน้ำเราก็ไม่อยากลงหรอกเพราะก่อนลงคิดว่าเวลาสร้างเขื่อนจะมีคนตายมีสัตว์ตายเยอะมั้ยแต่ก็จำใจลงบันใดไปด้านลึกอ้อมมาหาเด็กๆด้านหน้าว่ายที่ลึกสักพักก็ว่ายไปใกล้ฝั่งเอาเท้าเหยียบกิ่งไม้เหมือนต้นไมยราพเหยียบครั้งแรกนึกว่าคงเป็นตอไม้แห้งตายในน้ำ เลยว่ายน้ำออกไปที่ลึกอีก 2เมตรก็เหยียบใส่อีกความรู้สึกเหมือนใครเอาไม้มาทิ่มฝ่าเท้า เลยว่ายน้ำออกไปอีก 3 เมตรพอเอาเท้าเหยียบใส่ไม้ความรู้สึกท่อนเดิมเพราะขนาดและการกดที่เท้าจุดเดิม ครั้งที่ 3นี่ผมคิดตรูไม่อยู่แล้วโว้ย บอกเด็กๆขึ้นแล้วไปสวดสัพเพขอรวมบุญหลวงปู่ให้เขาทั้งเขื่อน

    เรื่องที่3
    ไปสุสานช้าเขาเผาศพน้องที่ทำงานเร็วจีงรีบน้อมบุญหลวงปู่สัพเพให้เขา 5 นาทีแล้วจะรีบขับรถออกจากสุสาน(ผมไม่ชอบป่าช้าเท่าไรเพราะเคยเข้าป่าช้าแล้วหางตาซ้ายจะมองเห็นใบไม้ต้นไม้ทุกสิ่งเป็นสีขาวดำส่วนอีกข้างปกติ)ปรากฏว่ามีรถมาขวางประตูแล้วค่อยขยับผมเลยมาน้อมรวมบุญอีก5 นาทีคราวนี้ออกได้ (เพื่อนผมเวลาไปส่งพระ ตจว.เพลียนอนงีบข้างทางก็ยังมีรูปภาพผ่านมาเหมือนสไลด์ดูรูปในมือถือจนสะดุ้งตื่น ผลคือมานอนใต้ต้นไม้หน้าสุสานนะครับ)

    เรื่องที่4
    มีอยู่ช่วงหนึ่งผมขี้เกียจสวดมนต์ ปฏิบัติคิดว่าการที่รวมบุญสัพเพนี่มันแผ่ได้จริงริป่าวไม่รู้ ก็นอนเลยคืนนั้นผมหลับไปราวตี 2 ฝันว่าเดินบนถนนคนเดียว ข้างทางมีคน2คนเกาะที่ต้นไม้ค่อยๆเหลียวหน้ามาช้าๆหน้าเหมือนคนปกตินี่ละแต่คนบนต้นไม้เป็นภาพขาวดำ ยังมีนั่งๆสมาธิไปบางทีมีภาพคนเคยเห็นกันแต่ไม่รู้จักกันอย่างคนขายของตลาดผ่านแวบเข้ามาเฉยๆ เลยคิดว่าหรือลุงแกเสียไปแล้วเลยน้อมบุญหลวงปู่ส่งให้แกไป

    ส่วนที่ถามมาว่าใช้สมาธิถึงขั้นอัปปนาสมาธิมั้ย ผมถามอาจารย์ท่านหนึ่งท่านนี้รู้วาระจิต รู้กรรมเก่าคน ใช้กสิญไฟทำไข่สุกได้ เสกดอกไม้ใบไม้เป็นผีเสื้อตักแตนแมลงภู่ได้ หายตัวได้ (ท่านเคยบวชอยู่กับหลวงปู่หงษ์) ท่านว่ามันเอามาใช้ไม่ได้ ท่านเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงแต่จิตต้องสงบต้องคลายก่อน ท่านว่าอธิบายได้ไม่หมดมันเป็นปัจจังตัง พออธิบายขั้นตอนได้ ทำให้ดูได้ เคยบอกกับผมว่าบอกไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก 555 ผมก็น้อมรับและพอใจในขณิกสมาธิผมนี่แหละคับ ส่วนภายหน้าจะได้อะไรเพิ่มก็แล้วแต่วาสนาก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรประสบการณ์ยังมีอีกหลายเรื่องแต่กลัวว่าเอามะพร้าวมาขายเจ้าของสวนในระดับผมก็มีแค่นี้ละครับ 555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2018

แชร์หน้านี้

Loading...